เมนู

มหาโมคคัลลานเถราปทานที่ 4 (2)


ว่าด้วยบุพจริยาของพระมหาโมคคัลลานะ


[4] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนานว่าอโนมทัสสี ผู้ประเสริฐสุด
ในโลก เป็นนระผู้องอาจ อันหมู่เทพแวดล้อมประทับอยู่ ณ
ประเทศหิมวันต์.
เวลานั้น เราเป็นนาคราชมีนามว่า วรุณ แปลงรูปอันน่า
ใคร่ได้ต่าง ๆ อาศัยอยู่ในทะเลใหญ่.
เราละหมู่นาคซึ่งเป็นบริวารทั้งสิ้น มาตั้งวงดนตรี ในกาล
นั้น หมู่นางนาคแวดล้อมพระสัมพุทธเจ้าประโคมดนตรีอยู่.
เมื่อดนตรีของมนุษย์และนาคประโคมอยู่ ดนตรีของ
เทวดาก็ประโคมอยู่ ฝ่ายพระพุทธเจ้าได้ทรงสดับเสียงดนตรี
ของทั้งสองฝ่ายทรงตื่นบรรทม.
เรานิมนต์พระสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จเข้าไปยังภพของเรา
เราปูลาดอาสนะแล้วกราบทูลเวลาเสวยพระกระยาหาร.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้นายกของโลก อันพระขีณาสพ
หนึ่งพันแวดล้อม ทรงยังทิศทุกทิศให้สว่างไสว เสด็จมายัง
ภพของเรา.
เวลานั้น เราอังคาสพระมหาวีรเจ้าผู้ประเสริฐกว่าเทวดา
เป็นนระผู้องอาจผู้เสด็จเข้ามา พร้อมกับภิกษุสงฆ์ ให้อิ่มหนำ
ด้วยข้าวและน้ำ.
พระมหาวีรเจ้าผู้เป็นสยัมภูอัครบุคคล ทรงอนุโมทนาแล้ว

ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
ผู้ใดได้บูชาพระสงฆ์และได้บูชาพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายก
ของโลก ด้วยจิตอันเลื่อมใส ผู้นั้นจักไปสู่เทวโลก.
จักเสวยเทวรัชสมบัติ 77 ครั้ง จักเสวยราชสมบัติใน
แผ่นดิน ครอบครองพสุธา 108 ครั้ง
และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 55 ครั้ง โภคทรัพย์นับไม่
ถ้วน จักเกิดแก่ผู้นั้นในทันทีทันใด.
ในกัปที่นับไม่ถ้วนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคตมะ
โดยพระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จ
อุบัติขึ้นในโลก.
ผู้นั้นเคลื่อนจากนรกแล้ว จักถึงความเป็นมนุษย์ จักเป็น
เผ่าพันธุ์ของพราหมณ์ นามว่า โกลิตะ โดยนาม.
ภายหลังอันกุศลมูลตักเตือนแล้ว เขาจักบวช. จักได้เป็น
พระสาวกที่สองของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าโคดม.
จักปรารภความเพียร มีจิตอันส่งไปในพระนิพพาน ถึงที่
สุดแห่งฤทธิ์ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ
นิพพาน.
(เมื่อก่อน) เราอาศัยมิตรผู้ลามก ตกอยู่ในอำนาจกาม-
ราคะ มีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว ได้ฆ่าทั้งมารดาและบิดา.
เราเข้าถึงกำเนิดอันเป็นนรกหรือมนุษย์อันพรั่งพร้อมด้วย
กรรมลามก ยังต้องศีรษะแตกตาย.

นี้เป็นกรรมครั้งหลังสุดของเรา ภพครั้งสุดท้ายยังเป็นไป
อยู่ กรรมเช่นนี้จักมีแก่เราในเวลาใกล้จะตายแม้ในที่นี้.
เราหมั่นประกอบวิเวก ยินดีในสมาธิภาวนา กำหนดรู้
อาสวะทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่.
แม้แผ่นดินอันลึกหนา ใคร ๆ กำจัดได้ยาก เราผู้ถึงที่สุด
แห่งฤทธิ์ พึงให้ไหวได้ด้วยนิ้วหัวแม่เท้าซ้าย.
เราไม่เห็นอัสมิมานะ เราไม่มีมานะ เรากระทำความ
ยำเกรงอย่างหนักแม้ชั้นที่สุดในสามเณร.
ในกัปหาประมาณมิได้แต่กัปนี้ เราสั่งสมกรรมใดไว้ เรา
ได้บรรลุถึงภูมิแห่งกรรมนั้นโดยลำดับ เป็นผู้บรรลุถึงธรรม
เครื่องสิ้นอาสวะแล้ว.
คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 และ
อภิญญา 6 เราทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เรา
ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล.

ทราบว่า ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วย
ประการฉะนี้แล.
จบมหาโมคคัลลานเถราปทาน

2. พรรณนามหาโมคคัลลานเถราปทาน


อปทานของ ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ มีคำเริ่มต้นว่า
อโนมทสฺสี ภควา ดังนี้เป็นต้น.
คำมีอาทิว่า ก็พระเถระนี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้า
ปางก่อนทั้งหลาย สั่งสมบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่วิวัฏฏะไว้ในภพ
นั้น ๆ ครั้นในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสีดังนี้ ได้
กล่าวไว้แล้วในเรื่องของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ.
ความพิสดารว่า จำเดิมแต่วันที่บวชแล้ว ในวันที่ 7 พระเถระ
เข้าไปอาศัยบ้าน กัลลวาลคาม ในมคธรัฐ บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ เมื่อ
ถีนมิทธะคือความโงกง่วงครอบงำ อันพระศาสดาทรงให้สลดใจด้วยพระ-
ดำรัสมีอาทิว่า โมคคัลลานะ ความพยายามของเธออย่าได้ไร้ผลเสียเลย เมื่อ
ได้ฟังธาตุกรรมฐานอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบรรเทาความโงกง่วงแล้ว
ตรัสให้ฟังอยู่ ได้บรรลุมรรคทั้ง 3 เบื้องบน โดยลำดับแห่งวิปัสสนา
แล้วถึงที่สุดแห่งสาวกญาณในขณะแห่งผลอันเลิศคือพระอรหัตผล.
ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ครั้นได้บรรลุความเป็นทุติยสาวก
อย่างนี้แล้ว ได้ระลึกถึงบุพกรรมของตน เมื่อจะประกาศอปทานอัน
เป็นบุพจริยาด้วยอำนาจความโสมนัส จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อโนมทสฺสี
ภควา
ดังนี้. ในคำนั้น ที่ชื่อว่าอโนมทัสสี เพราะมีทัสสนะคือความ
เห็นไม่ต่ำทราม คือไม่เลวทราม. จริงอยู่ พระองค์มีการเห็นอันการทำ
ความไม่อิ่มแก่คนผู้มองดูพระองค์อยู่ตลอดทั้งวัน ตลอดทั้งเดือน ตลอด
ทั้งปี แม้ตลอดแสนปี เพราะพระองค์เป็นผู้มีพระสรีระประดับด้วยมหา-
ปุริสลักษณะ 32 ประการ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอโนมทัสสี อีกอย่าง