คำที่เหลืออาจรู้แจ้งได้โดยนัยดังกล่าวแล้วแล เพราะเหตุนั้น จึงไม่ต้อง
กล่าวให้พิสดาร.
จบพรรณนาปาริจฉัตตกคาถา
จบวรรคที่ 3
พรรณนารสเคธคาถา
คาถาว่า รเสสุ ดังนี้เป็นต้น มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
ได้ยินว่า พระเจ้าพาราณสีองค์หนึ่ง อันบุตรอำมาตย์ทั้งหลายห้อม
ล้อมอยู่ในอุทยาน ทรงเล่นอยู่ในสระโบกขรณีอันมีแผ่นศิลา. พ่อครัว
ของพระองค์เอารสของเนื้อทุกชนิดมาหุงอันตรภัต (อาหารว่าง) อันปรุง
อย่างดีเยี่ยม ประดุจอมฤตรสแล้วน้อมเข้าไปถวาย. พระองค์ทรงคิดใน
รสนั้น ไม่ทรงประทานอะไร ๆ แก่ใคร ๆ เสวยเฉพาะพระองค์เท่านั้น.
ทรงเล่นน้ำอยู่ จึงเสด็จออกไปในเวลาพลบค่ำเกินไป แล้วรีบ ๆ เสวย.
บรรดาคนที่พระองค์เคยเสวยร่วมด้วยในกาลก่อนนั้น พระองค์มิได้ทรง
ระลึกถึงใคร ๆ. ครั้นภายหลัง ทรงยังการพิจารณาให้เกิดขึ้น ทรงทราบ
ว่า โอ ! เราถูกความอยากในรสครอบงำ ลืมชนทั้งปวงเสีย บริโภค
เฉพาะคนเดียวนั้น ได้กระทำกรรมอันลามกแล้ว เอาเถอะ เราจักข่ม
ความอยากในรสนั้น ครั้นทรงดำริแล้วจึงสละราชสมบัติผนวช เจริญ
วิปัสสนากระทำให้แจ้งพระปัจเจกโพธิญาณ เมื่อจะทรงติเตียนการปฏิบัติ
อันมีในก่อนของพระองค์ จึงได้ตรัสอุทานคาถานี้ อันแสดงคุณตรงกัน
ข้ามกับการปฏิบัตินั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รเสสุ ได้แก่ ในของควรลิ้มอันต่าง
ตัวรสเปรี้ยว รสหวาน รสขม รสเผ็ด รสเค็ม รสแสบ และรสฝาด
เป็นต้น. บทว่า เคธํ อกรํ แปลว่า ไม่กระทำความอยากได้ อธิบายว่า
ไม่ยังตัณหาให้เกิดขึ้น.
บทว่า อโลโล ไม่หมกมุ่นในความวิเศษของรสทั่งหลายอย่างนี้ว่า
เราจักลิ้มสิ่งนี้ เราจักลิ้มสิ่งนี้.
บทว่า อนญฺญโปสี ได้แก่ ผู้เว้นจากสัทธิวิหาริกที่จะต้องเลี้ยงดู
เป็นต้น อธิบายว่า เป็นผู้สันโดษด้วยเหตุสักว่าทรงร่างกายไว้. อีกอย่าง
หนึ่ง อธิบายว่า ชื่อว่าผู้ไม่เลี้ยงดูคนอื่น เพราะไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อน
ที่เรามีปกติกระทำความอยากในรสทั้งหลายในอุทยาน เลี้ยงคนอื่น ละ
ตัณหาอันเป็นเหตุให้โลภกระทำความอยากในรสทั้งหลายนั้นเสีย แล้วไม่
ทำอัตภาพอื่นซึ่งมีตัณหาเป็นมูลรากให้บังเกิดต่อไป. อีกอย่างหนึ่ง ใน
บทนี้มีเนื้อความดังนี้ว่า กิเลสทั้งหลายเรียกว่าอัญญะ เพราะอรรถว่า ยัง
อัตภาพให้เกิด, ชื่อว่า อันญญโปสี เพราะไม่เลี้ยงดูกิเลสเหล่านั้น.
บทว่า สปทานจารี ได้แก่ มีปกติเที่ยวไปไม่แวะออก (นอกทาง)
คือมีปกติเที่ยวไปโดยลำดับ อธิบายว่า ไม่ละลำดับเรือน เข้าไปบิณฑบาต
ติดต่อกันไป ทั้งตระกูลมั่งคั่งและตระกูลเข็ญใจ.
บทว่า กุเล กุเล อปฺปฏิพทฺธจิตโต ได้แก่ มีจิตไม่ข้องอยู่ใน
ตระกูลกษัตริย์เป็นต้นตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ด้วยอำนาจกิเลส, อธิบายว่า
เป็นผู้ใหม่อยู่เป็นนิตย์ อุปมาดังพระจันทร์. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้ว
นั่นแล.
จบพรรณนารสเคธคาถา
พรรณนาอาวรณคาถา
คาถาว่า ปหาย ปญฺจาวรณานิ ดังนี้เป็นต้น มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
ได้ยินว่า พระราชาองค์หนึ่งในนครพาราณสี เป็นผู้ได้ปฐมฌาน.
เพื่อจะทรงอนุรักษ์ฌานนั้น พระองค์จึงทรงละราชสมบัติออกผนวช เห็น
แจ้งอยู่ จึงทรงบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ เมื่อจะทรงแสดงปฏิปัตติสัมปทา
ของพระองค์ จึงได้ตรัสอุทานคาถานี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจาวรณานิ ได้แก่ นิวรณ์ 5 นั่นเอง.
นิวรณ์ 5 นั้น โดยใจความ ได้กล่าวไว้แล้วใน อุรคสูตร. ก็เพราะเหตุ
ที่นิวรณ์เหล่านั้นกั้นจิตไว้ เหมือนหมอกเป็นต้นกั้นดวงจันทร์และดวง
อาทิตย์ฉะนั้น จึงเรียกว่าเป็นเครื่องกั้นจิต. อธิบายว่า พึงละ คือละขาด
ซึ่งนิวรณ์เหล่านั้น ด้วยอุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิ.
บทว่า อุปกฺกิเลเส ได้แก่ อกุศลธรรมซึ่งเข้าไปเบียดเบียนจิต.
อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ อภิชฌาเป็นต้นซึ่งกล่าวไว้ในวัตโถปมสูตรเป็นต้น.
บทว่า พฺยปนุชฺช แปลว่า บรรเทา อธิบายว่า ละขาดด้วย
วิปัสสนาและมรรค. บทว่า สพฺเพ ได้แก่ ไม่เหลือ. บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วย
สมถวิปัสสนาอย่างนี้ ชื่อว่า ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย เพราะละ
ทิฏฐินิสัยได้แล้วด้วยปฐมมรรค, ตัดโทษคือความเสน่หา อธิบายว่า
ตัณหาและราคะอันเป็นไปในไตรธาตุ ด้วยมรรคที่เหลือ. จริงอยู่ ความ
เสน่หาเท่านั้นท่านเรียกว่า สิเนหโทษ เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อคุณ. คำที่
เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบพรรณนาอาวรณคาถาน