เมนู

พรรณนาโอกขิตตจักขุคาถา


คาถาว่า โอกฺขิตฺตจกฺขุ ดังนี้เป็นต้น มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในนครพาราณสี พระราชาพระนามว่า จักขุโลลพรหม-
ทัต
เป็นผู้ทรงขวนขวายการดูละคร เหมือนพระเจ้าปาทโลลพรหมทัต.
ส่วนความแปลกกันมีดังต่อไปนี้.
พระเจ้าปาทโลลพรหมทัตนั้น เป็นผู้ไม่สันโดษเสด็จไปในที่นั้น ๆ
ส่วนพระเจ้าจักขุโลลพรหมทัตพระองค์นี้ ทอดพระเนตรการละครนั้น ๆ
ทรงเพลิดเพลินอย่างยิ่ง เสด็จเที่ยวเพิ่มความอยาก โดยผลัดเปลี่ยนหมุน
เวียนทอดพระเนตรการแสดงละคร. ได้ยินว่า พระองค์ทรงเห็นภรรยา
ของกุฎุมพีนางหนึ่งซึ่งมาดูการแสดง ได้ยังความกำหนัดรักใคร่ให้เกิดขึ้น.
แต่นั้นทรงถึงความสลดพระทัยขึ้นมา จึงทรงดำริว่า เฮ้อ! เราทำความ
อยากนี้ให้เจริญอยู่ จักเป็นผู้เต็มอยู่ในอบาย เอาละ เราจักข่มความอยาก
นั้น จึงออกผนวชแล้วได้เห็นแจ้งอยู่ ได้กระทำให้แจ้งพระปัจเจกโพธิญาณ
เมื่อจะทรงติเตียนการปฏิบัติแรก ๆ ของพระองค์ จึงได้ตรัสอุทานคาถานี้
อันแสดงคุณซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัตินั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอกฺขิตฺตจกฺขุ แปลว่า ผู้มีจักษุทอด
ลงเบื้องล่าง. ท่านอธิบายไว้ว่า วางกระดูกคอ 7 ข้อไว้โดยลำดับแล้ว
เพ่งดูชั่วแอก เพื่อจะดูสิ่งที่ควรเว้นและสิ่งที่ควรจะถือเอา. แต่ไม่ใช่เอา
กระดูกคางจรดกระดูกหทัย เพราะเมื่อเป็นอย่างนั้น ความเป็นผู้มีจักษุ
ทอดลงก็ย่อมจะไม่เป็นสมณสารูป.
บทว่า น จ ปาทโลโล ความว่า ไม่เป็นเหมือนคนเท้าคัน โดย
ความเป็นผู้ใคร่จะเข้าไปท่ามกลางคณะ ด้วยอาการอย่างนี้ คือเป็นคนที่ 2

ของคนคนเดียว เป็นคนที่ 3 ของคน 2 คน คือเป็นผู้งดเว้นจากการ
เที่ยวจาริกไปนานและเที่ยวจาริกไปไม่กลับ.
บทว่า คุตฺตินฺทฺริโย ความว่า เป็นผู้มีอินทรีย์อันคุ้มครองด้วย
อำนาจอินทรีย์ที่เหลือดังกล่าวแล้ว เพราะบรรดาอินทรีย์ทั้ง 6 ในที่นี้
ท่านกล่าวมนินทรีย์ไว้เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก.
บทว่า รกฺขิตมานสาโน ความว่า มานสานํ ก็คือ มานสํ นั่นเอง.
ชื่อว่า ผู้รักษาใจ เพราะรักษาใจนั้นไว้ได้. ท่านอธิบายว่า เป็นผู้รักษา
จิตไว้ได้โดยประการที่ไม่ถูกกิเลสปล้น. บทว่า อนวสฺสุโต ความว่า ผู้
เว้นจากการถูกกิเลสรั่วรดในอารมณ์นั้น ๆ ด้วยกายปฏิบัตินี้.
บทว่า อปริฑยฺหมาโน ได้แก่ ไม่ถูกไฟกิเลสเผา. อีกอย่างหนึ่ง
ได้แก่ ไม่ถูกกิเลสรั่วรดภายนอก ไม่ถูกไฟกิเลสเผาในภายใน. คำที่เหลือ
มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบพรรณนาโอกขิตตจักขุคาถา

พรรณนาปาริจฉัตตกคาถา


คาถาว่า โอหารยิตฺวา ดังนี้เป็นต้น มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในนครพาราณสี มีพระราชาอีกองค์พระนามว่า จาตุ-
มาสิกพรหมทัต
เสด็จไปเล่นอุทยานทุก ๆ 4 เดือน วันหนึ่ง พระองค์
เสด็จเข้าไปยังอุทยาน ในเดือนกลางของฤดูคิมหันต์ ทรงเห็นต้นทองหลาง
ดารดาษด้วยใบ มีกิ่งและค่าคบประดับด้วยดอก ที่ประตูอุทยาน ทรงถือ
เอาหนึ่งดอกแล้วเสด็จเข้าไปยังอุทยาน.