เมนู

มหาวรรค อานาปานกถา


ว่าด้วยเรื่องอานาปานสติสมาธิ


[362] เมื่อพระโยคาวจรเจริญสมาธิอันปฏิสังยุตด้วยอานาปานสติมี
วัตถุ 16 ญาณ 200 อันเนื่องมาแต่สมาธิย่อมเกิดขึ้น คือ ญาณในธรรมอัน
เป็นอันตราย 8 ญาณในธรรมอันเป็นอุปการะ 8 ญาณในอุปกิเลส 18 ญาณ
ในโวทาน 13 ญาณในความเป็นผู้ทำสติ 32 ญาณด้วยสามารถสมาธิ 24
ญาณด้วยสามารถวิปัสสนา 72 นิพพิทาญาณ 8 นิพพิทานุโลมญาณ 8 นิพ-
พิทาปฏิปัสสัทธิญาณ 8 ญาณในวิมุตติสุข 21.
[363] ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย 8 และญาณในธรรมอันเป็น
อุปการะ 8 เป็นไฉน ?
กามฉันทะเป็นอันตรายแก่สมาธิ เนกขัมมะเป็นอุปการะแก่สมาธิ
พยาบาทเป็นอันตรายแก่สมาธิความไม่พยาบาทเป็นอุปการะแก่สมาธิ ถิ่น-
มิทธะเป็นอันตรายแก่สมาธิ. อาโลกสัญญาเป็นอุปการะแก่สมาธิ อุทธัจจะเป็น
อันตรายแก่สมาธิ ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นอุปการะแก่สมาธิ. วิจิกิจฉาเป็นอันตราย
แก่สมาธิ ความกำหนดธรรมเป็นอุปการะแก่สมาธิ อวิชชาเป็นอันตรายแก่
สมาธิ ญาณเป็นอุปการะแก่สมาธิ อรติเป็นอันตรายแก่สมาธิ ความปราโมทย์
เป็นอุปการะแก่สมาธิ อกุศลธรรมแม้ทั้งปวงเป็นอันตรายแก่สมาธิ กุศลธรรม
ทั้งปวงเป็นอุปการะแก่สมาธิ ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย 8 และญาณใน
ธรรมเป็นอุปการะ 8 เหล่านั้น จิตอันฟุ้งซ่านและจิตสงบระงับ ย่อมดำรงอยู่
ในความเป็นธรรมอย่างเดียวและย่อมหมดจดจากนิวรณ์ ด้วยอาการ 16 เหล่านี้.

[364] ความเป็น ธรรมอย่างเดียวเหล่านั้นเป็นไฉน?
เนกขัมมะ ความไม่พยาบาท อาโลกสัญญา ความไม่ฟุ้งซ่าน ความ
กำหนดธรรม ญาณ ความปราโมทย์ กุศลธรรมทั้งปวงเป็นธรรมอย่างเดียว
(แต่ละอย่าง).
นิวรณ์นั้นเป็นไฉน กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ
วิจิกิจฉา อวิชชา อรติ อกุศลธรรมทั้งปวง เป็นนิวรณ์ (แต่ละอย่าง).
[365] คำว่า นีวรณา ความว่า ชื่อว่านิวรณ์เพราะอรรถว่ากระไร
ชื่อว่านิวรณ์เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก.
ธรรมเครื่องนำออกเป็นไฉน เนกขัมมะเป็นธรรมเครื่องนำออกของ
พระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยเนกขัมมะนั้น
กามฉันทะเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลไม่รู้จักเนกขัมมะอัน
เป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกกามฉันทะนั้น
กั้นไว้ เพราะเหตุนั้น กามฉันทะจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก
ความไม่พยาบาทเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริย
เจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยความไม่พยาบาทนั้น ความพยาบาทเป็นเครื่องกั้น
ธรรมเครื่องนำออก และบุคคลไม่รู้จักความไม่พยาบาทอันเป็นธรรมเครื่องนำ
ออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกความพยาบาทนั้นกั้นไว้ เพราะ
เหตุนั้น พยาบาทจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก อาโลกสัญญาเป็น
ธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำ
ออกด้วยอาโลกสัญญานั้น ถีนมิทธะเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และ
บุคคลย่อมไม่รู้จักอาโลกสัญญาอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้ง
หลาย เพราะเป็นผู้ถูกถีนมิทธะนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น ถีนมิทธะจึงชื่อว่า

เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นธรรมเครื่องนำออกของ
พระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน
นั้น อุทธัจจะเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักความไม่
ฟุ้งซ่านอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูก
อุทธัจจะนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อุทธัจจะจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกันธรรมเครื่อง
นำออก การกำหนดธรรมเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และ
พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยการกำหนดธรรมนั้น วิจิกิจฉาเป็นเครื่อง
กั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักการกำหนดธรรมอันเป็นเครื่อง
นำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกวิจิกิจฉานั้นกั้นไว้ เพราะเหตุ
นั้น วิจิกิจฉาจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก.
ญาณเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริย
เจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยญาณนั้น อวิชชาเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก
และบุคคลย่อมไม่รู้จักญาณอันเป็นเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
เพราะเป็นผู้ถูกอวิชชานั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อวิชชาจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้น
ธรรมเครื่องนำออก ความปราโมทย์เป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้า
ทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยความปราโมทย์นั้น อรติเป็น
เครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักความปราโมทย์อันเป็น
ธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกอรตินั้นกั้นไว้
เพราะเหตุนั้น อรติจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก กุศลธรรมแม้
ทั้งปวงก็เป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้ง
หลายย่อมนำออกด้วยกุศลกรรมเหล่านั้น อกุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นเครื่องกั้น
ธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักกุศลธรรมอันเป็นธรรมเครื่องนำออก

ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกอกุศลธรรมเหล่านั้นกั้นไว้ เพราะเหตุ
นั้น อกุศลธรรมแม้ทั้งปวงจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้น ธรรมเครื่องนำออก ก็แลเมื่อ
พระโยคาวจรผู้มีจิตหมดจดจากนิวรณ์เหล่านั้น เจริญสมาธิอันปฏิสังยุตด้วยอา-
นาปานสติมีวัตถุ 16 ความที่จิตตั้งมั่นเป็นไปชั่วขณะย่อมมีได้.
[366] อุปกิเลส 18 เป็นไฉน ย่อมเกิดขึ้น.
เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลม
หายใจเข้า จิตถึงความฟุ้งซ่านในภายใน ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อบุคคล
ใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจออก จิตถึงความฟุ้ง-
ซ่านในภายนอก ย่อมเป็นอันตรายเเก่สมาธิ ความพอใจคือความปรารถนา
ลมหายใจเข้า การเที่ยวไปด้วยตัณหา เป็นอันตรายแก่สมาธิ ความพอใจคือ
ความปรารถนาลมหายใจออก การเที่ยวไปด้วยตัณหา เป็นอันตรายแก่สมาธิ
ความหลงในการได้ลมหายใจออก แห่งบุคคลผู้ถูกลมหายใจเข้าเข้าครอบงำ
ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ ความหลงในการได้ลมหายใจเข้า แห่งบุคคลผู้ถูก
ลมหายใจครอบงำ ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ.
สติที่ไปตามลมหายใจเข้า ที่ไปตามลมหายใจ
ออก ที่ฟุ้งซ่านในภายใน ที่ฟุ้งซ่านในภายนอก ความ
ปรารถนาลมหายใจเข้า และความปรารถนาลมหายใจ
ออก อุปกิเลส 6 ประการนี้ เป็นอันตรายแก่สมาธิ
อันสัมปยุต ด้วยอานาปานสติ อุปกิเลสเหล่านั้น ถ้า
จิตของบุคคลผู้หวั่นไหว ย่อมเป็นเครื่องไม่ให้หลุดพ้น
ไป และเป็นเหตุไม่ให้รู้ชัดซึ่งวิโมกข์ ให้ถึงความเชื่อ
ต่อผู้อื่น ฉะนี้แล.

[367] เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงนิมิต จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจ
เข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิต
กวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงนิมิต
จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจร
คำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อ
พระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก นี้เป็น
อันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่
ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ.
เมื่อคำนึงถึงนิมิต ใจกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจ
เข้า เมื่อคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต
เมื่อคำนึงถึงนิมิต ใจกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก เมื่อ
คำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดเเกว่งอยู่ที่นิมิต เมื่อ
คำนึงถึงลมหายใจเข้า ใจกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก
เมื่อคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหาย-
ใจเข้า อุปกิเลส 6 ประการนี้ เป็นอันตรายแต่สมาธิ
อันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อุปกิเลสเหล่านั้น ถ้า
จิตของบุคคลผู้หวั่นไหว ย่อมเป็นเครื่องไม่ให้หลุดพ้น
ไป และเป็นเหตุไม่ให้รู้ชัดซึ่งวิโมกข์ ให้ถึงความเชื่อ
ต่อผู้อื่น ฉะนี้แล.

จิตที่แล่นไปตามอตีตารมณ์ ตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน ย่อมเป็นอันตราย
แก่สมาธิ จิตที่ปรารถนาอนาคตารมณ์ ถึงความฟุ้งซ่าน ย่อมเป็นอันตรายแก่
สมาธิ จิตที่หดหู่ ตกไปข้างฝ่ายเกียจคร้าน ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ จิตที่

ถือจัด ตกไปข้าฝ่ายฟุ้งซ่าน ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ จิตที่น้อมเกินไป
ตกไปข้างฝ่ายความกำหนัด ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ จิตที่ไม่น้อม ตกไป
ข้างฝ่ายพยาบาท ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ.
[368] จิตที่แล่นไปตามอตีตารมณ์ ที่ปรารถนา
อนาคตารมณ์ จิตที่หดหู่ ที่ถือจัด ที่รู้เกินไป ที่ไม่รู้
ย่อมไม่ตั้งมั่น อุปกิเลส 6 ประการนี้ เป็นอันตรายแก่
สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อุปกิเลสเหล่านั้น
ย่อมเป็นเหตุให้บุคคลผู้มีความดำริเศร้าหมอง ไม่รู้ชัด
ซึ่งอธิจิต ฉะนี้แล.

[369] เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด
แห่งลมหายใจเข้า กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะ
จิตถึงความฟุ้งซ่าน ณ ภายใน เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่าม
กลางและที่สุดแห่งลมหายใจออก กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและ
ดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟุ้งซ่าน ณ ภายนอก กายและจิตย่อมมีความปรารภ
หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความปรารถนา เพราะความพอใจลมหายใจเข้า
เพราะความเที่ยวไปด้วยตัณหา กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและ
ดิ้นรน เพราะความปรารถนา เพราะความพอใจลมหายใจออก เพราะความ
เที่ยวไปด้วยตัณหา กายและจิตย่อมมีความปรารถนา หวั่นไหวและดิ้นรน
เพราะความที่พระโยคาวจรผู้ถูกลมหายใจเข้าครอบงำ เป็นผู้หลงไหลในการได้
ลมหายใจออก กายและจิตมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะ
ความที่พระโยคาวจรถูกลมหายใจออกครอบงำ เป็นผู้หลงใหลในการได้ลม-
หายใจเข้า กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความ

ที่จิตของพระโยคาวจรผู้คำนึงถึงนิมิต กวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า กายและ
จิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่จิตของพระโยคาวจร
ผู้คำนึงถึงลมหายใจเข้า กวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต กายและจิตย่อมมีความปรารภ
หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่จิตของพระโยคาวจรผู้คำนึงถึงนิมิต กวัด
แกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน
เพราะความที่จิตของพระโยคาวจรผู้คำนึงถึงลมหายใจออก กวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต
กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่จิตของพระ-
โยคาวจรผู้คำนึงถึงลมหายใจเข้า กวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก กายและจิต
ย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่จิตของพระโยคาวจร
คำนึงถึงลมหายใจออก กวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า กายและจิตย่อมมีความ
ปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตแล่นไปตามอตีตารมณ์ ตกไปข้างฝ่าย
ความฟุ้งซ่าน กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิต
หวังถึงอนาคตารมณ์ ถึงความกวัดแกว่ง กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่น
ไหวและดิ้นรน เพราะจิตหดหู่ ตกไปข้างฝ่ายเกียจคร้าน กายและจิตย่อมมี
ความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะถือตัว ตกไปข้างฝ่ายอุทธัจจะ
กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตรู้เกินไป ตกไป
ข้างฝ่ายความกำหนัด กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะ
จิตไม่รู้ ตกไปข้างฝ่ายพยาบาท.
ผู้ใดไม่บำเพ็ญ ไม่เจริญอานาปานสติ กายและ
จิตของผู้นั้นย่อมหวั่นไหว ดิ้นรน ผู้ใดบำเพ็ญ เจริญ
อานาปานสติดี กายและจิตของผู้นั้น ย่อมไม่หวั่นไหว
ไม่ดิ้นรน ฉะนี้แล.

ก็และเมื่อพระโยคาวจร ผู้มีจิตหมดจดจากนิวรณ์เหล่านั้น เจริญ
สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติมีวัตถุ 16 ความที่จิตตั้งมั่นเป็นไปชั่วขณะ
ย่อมมีได้ อุปกิเลส 18 เหล่านี้ย่อมเกิดขึ้น.
[370] ญาณในโวทาน 13 เป็นไฉน ?
จิตแล่นไปตามอตีตารมณ์ ตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน พระโยคาวจรเว้นจิต
นั้นเสีย ย่อมตั้งมั่นจิตนั้นไว้ในฐานะหนึ่ง จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้ด้วย
อาการอย่างนี้ จิตจำนงหวังอนาคตารมณ์ ถึงความกวัดแกว่ง พระโยคาวจร
เว้นจิตนั้นเสีย น้อมจิตนั้นไปในฐานะนั้นแล จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้
ด้วยอาการอย่างนี้ จิตหดหู่ ตกไปข้างฝ่ายความเกียจคร้าน พระโยคาวจร
ประคองจิตนั้นไว้แล้ว ละความเกียจคร้าน จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้ด้วย
อาการอย่างนี้ จิตถือจัด ตกไปข้างฝ่ายอุทธัจจะ พระโยคาวจรข่มจิตนั้นเสีย
แล้วละอุทธัจจะ จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้ด้วยอาการอย่างนี้ จิตรู้เกินไป
ตกไปข้างฝ่ายความกำหนัด พระโยคาวจรผู้รู้ทันจิตนั้น ละความกำหนัดเสีย
จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้ด้วยอาการอย่างนี้ จิตไม่รู้ ตกไปข้างฝ่ายความ
พยาบาท พระโยคาวจรเป็นผู้รู้ทันจิตนั้น ละความพยาบาทเสีย จิตย่อมไม่ถึง
ความฟุ้งซ่านแม้ด้วยอาการอย่างนี้ จิตบริสุทธิ์ด้วยฐานะ 6 ประการนี้ ย่อม
ขาวผ่อง ถึงความเป็นธรรมอย่างเดียว.
[371] ความเป็นธรรมอย่างเดียวเหล่านั้นเป็นไฉน ?
ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งการบริจาคทาน ความ
เป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งสมถนิมิต ความเป็นธรรมอย่างเดียว
ในความปรากฏแห่งลักษณะความเสื่อม ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความ
ปรากฏแห่งนิโรธ ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งการบริจาคทาน

ของบุคคลผู้น้อมใจไปในจาคะทั้งหลาย ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความ
ปรากฏแห่งสมถนิมิต ของบุคคลผู้หมั่นประกอบในอธิจิตทั้งหลาย ความเป็น
ธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งลักษณะความเสื่อม ของบุคคลผู้เจริญ
วิปัสสนาทั้งหลาย และความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งนิโรธ
ของพระอริยบุคคลทั้งหลาย จิตที่ถึงความเป็นธรรมอย่างเดียวโดยฐานะ 4
เหล่านี้ ย่อมเป็นจิตที่มีปฏิปทาวิสุทธิผ่องใส เจริญงอกงามด้วยอุเบกขา และ
ถึงความร่าเริงด้วยญาณ.
[372] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน
ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้น ความพอกพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลาง
ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน.
[373] ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้นแห่งปฐมฌาน ลักษณะ
แห่งเบื้องต้นเท่าไร.
ลักษณะแห่งเบื้องต้น 3 คือ จิตหมดจดจากอันตรายแห่งเบื้องต้นนั้น
จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลาง เพราะเป็นจิตหมดจด จิตแล่นไป
ในสมถนิมิตนั้น เพราะเป็นจิตที่ดำเนินไปแล้ว จิตหมดจดจากอันตราย 1
จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลางเพราะเป็นจิตอันหมดจด 1 จิตแล่น
ไปในสมถนิมิตเพราะเป็นจิตดำเนินไปแล้ว 1 ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็น
เบื้องต้นแห่งปฐมฌาน ลักษณะแห่งเบื้องต้น 3 ประการเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ปฐมฌานเป็นฌานมีความงามในเบื้องต้น และถึงพร้อมด้วย
ลักษณะ.

[374] ความพอกพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลางแห่งปฐมฌาน ลักษณะ
แห่งท่ามกลางเท่าไร.
ลักษณะแห่งท่ามกลาง 3 คือ จิตหมดจดวางเฉยอยู่ จิตดำเนินไป
สู่สมถะวางเฉยอยู่. จิตมีความปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่
จิตหมดจดวางเฉยอยู่ จิตดำเนินไปสู่สมถะวางเฉยอยู่ 1 จิตมีความปรากฏ
ในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่ 1 ความพอกพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลาง
แห่งปฐมฌาน ลักษณะแห่งปฐมฌาน 3 ประการเหล่านี้ เพราะเหตุนั้นท่าน
จึงกล่าวว่า ปฐมฌานเป็นฌานมีความงามในท่ามกลาง และถึงพร้อมด้วย
ลักษณะ.
[375] ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน ลักษณะแห่งที่สุดเท่าไร.
ลักษณะแห่งที่สุด 4 คือ ความร่าเริงด้วยอรรถว่าธรรมทั้งหลายที่เกิด
ในปฐมฌานนั้นไม่ล่วงเกินกัน 1 ความร่าเริงด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจ
เป็นอันเดียวกัน 1 ความร่าเริงด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรสมควรแก่ความ
ที่ธรรมทั้งหลายไม่ล่วงเกินกันและความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน 1
ความร่าเริงด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ 1 ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน
ลักษณะแห่งที่สุด 4 ประการเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปฐมฌาน
มีความงามในที่สุด และถึงพร้อมด้วยลักษณะ จิตอันถึงความเป็นไป 3 ประการ
มีความงาม 3 อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ 10 ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิต
ถึงพร้อมด้วยวิตก วิจาร ปีติ สุข การอธิษฐานจิต ศรัทธา วิริยะ สติ
สมาธิ และถึงพร้อมด้วยปัญญา.
[376] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งทุติยฌาณ.

ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้น ความพอกพูนอุเบกขา เป็น
ท่ามกลาง ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งทุติยฌาน ฯลฯ จิตอันถึงความเป็นไป
3 ประการ มีความงาม 3 อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ 10 ประการอย่างนี้
ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยวิจาร ปีติ . . . และถึงพร้อมด้วยปัญญา.
[377] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งตติยฌาน
ฯลฯ จิตอันถึงความเป็นไป 3 ประการ มีความงาม 3 อย่าง ถึงพร้อมด้วย
ลักษณะ 10 ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยปีติ สุข. . .และถึงพร้อม
ด้วยปัญญา.
[378] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งจตุตถฌาน
ฯลฯ จิตอันถึงความเป็นไป 3 ประการ ถึงพร้อมด้วยลักษณะ 10 ประการ
อย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยอุเบกขา การอธิษฐานจิต ศรัทธา วิริยะ
สติ สมาธิ และถึงพร้อมด้วยปัญญา.
[379] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งอากาสา-
นัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ
เนวสัญญาสัญญายตนสมาบัติ ฯลฯ จิตอันถึงความเป็นไป 3 ประการ มี
ความงาม 3 อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ 10 ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึง
พร้อมด้วยอุเบกขา การอธิษฐานจิต ฯลฯ และถึงพร้อมด้วยปัญญา.
[380] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งอนิจจา-
นุปัสสนา ฯลฯ จิตอันถึงความเป็นไป 3 ประการ มีความงาม 3 อย่าง อย่างนี้
ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยลักษณะ 10 ประการ ถึงพร้อมด้วยวิจาร...และถึง
พร้อมด้วยปัญญา.

อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งทุกขานุปัสสนา
อนัตตานุปัสสนา นิพพิทานุปัสสนา วิราคานุปัสสนา นิโรธานุปัสสนา ปฏินิ-
สสัคคานุปัสสนา ขยานุปัสสนา วยานุปัสสนา วิปริณามานุปัสสนา อนิมิตตานุ-
ปัสสนา อัปปณิหิตานุปัสสนา สุญญตานุปัสสนา อธิปัญญา ธรรมวิปัสสนา
ยถาภูตญาณทัสนะ อาทีนวานุปัสสนา ปฎิสังขานุปัสสนา วิวัฏฏนานุปัสสนา
โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค ฯลฯ
[381] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งอรหัตมรรค.
ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้น ความพอกพูนอุเบกขา เป็น
ท่ามกลาง ความร่าเริงเป็นที่สุด แห่งอรหัตมรรค.
ความหมดจดแห่งปฏิปทา เป็นเบื้องต้นแห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่ง
เบื้องต้นเท่าไร.
ลักษณะแห่งเบื้องต้น 3 ประการ คือ จิตหมดจดจากอันตรายแห่ง
เบื้องต้นนั้น จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลางเพราะเป็นจิตหมดจด
จิตแล่นไปในสมถนิมิตนั้นเพราะเป็นจิตดำเนินไปแล้ว จิตหมดจดจากอันตราย 1
จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลางเพราะเป็นจิตหมดจด 1 จิตแล่นไป
ในสมถนิมิตนั้น เพราะเป็นจิตดำเนินไปแล้ว 1 ความหมดจดแห่งปฏิปทา
เป็นเบื้องต้นแห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่งเบื้องต้น 3 ประการเหล่านี้ เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อรหัตมรรคเป็นธรรมมีความงามในเบื้องต้น และถึง
พร้อมด้วยลักษณะ.
[382] ความพอกพูนอุเบกขา เป็นท่ามกลางแห่งอรหัตมรรค
ลักษณะแห่งท่ามกลางเท่าไร.

ลักษณะแห่งท่ามกลาง 3 คือ จิตหมดจดวางเฉยอยู่ 1 จิตดำเนินไปสู่
สมถะวางเฉยอยู่ 1 จิตมีความปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่ 1
เพราะเหตุที่จิตหมดจดวางเฉยอยู่ จิตดำเนินไปสู่สมถะวางเฉยอยู่ จิตมีความ
ปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่นั้น ท่านจึงกล่าวว่า อรหัตมรรค
เป็นธรรมมีความงามในท่ามกลาง และถึงพร้อมด้วยลักษณะ.
[383] ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่งที่สุด
เท่าไร ?
ลักษณะแห่งที่สุด 4 คือ ความร่าเริงด้วยอรรถว่าธรรมทั้งหลายที่เกิด
ในอรหัตมรรคนั้นไม่ล่วงเกินกัน 1 ความร่าเริงด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลาย
มีกิจเป็นอันเดียวกัน 1 ความร่าเริงด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรสมควรแก่
ความที่ธรรมทั้งหลายไม่ล่วงเกินกัน และความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็น
อันเดียวกัน 1 ความร่าเริงด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ 1 ความร่าเริงเป็นที่สุด
แห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่งที่สุด ประการเหล่านี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า อรหัตมรรคเป็นธรรม มีความงามในที่สุดและถึงพร้อมด้วยลักษณะ
จิตอันถึงความเป็นไป 3 ประการ มีความงาม 3 อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ
10 ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยวิตก วิจาร ปีติ สุข การ
อธิษฐานจิต ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และพร้อมด้วยปัญญา.
นิมิต ลมอัสสาสปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่ง
จิตดวงเดียว เพราะไม่รู้ธรรม 3 ประการ จึงไม่ได้
ภาวนา นิมิตลมอัสสาสปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่ง
จิตดวงเดียว เพราะรู้ธรรม 3 ประการ จึงจะได้ภาวนา
ฉะนี้แล.

[384] ธรรม 3 ประการนี้ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตควงเดียว เป็น
ธรรมไม่ปรากฏ ก็หามิได้ จิตไม่ถึงความฟุ้งซ่าน จิตปรากฏเป็นประธาน
จิตให้ประโยคสำเร็จและบรรลุผลวิเศษอย่างไร ?
เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ บุรุษเอาเลื่อยเลื่อย
ต้นไม้นั้น สติของบุรุษย่อมเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสามารถแห่งฟันเลื่อยซึ่งถูกที่ต้นไม้
บุรุษนั้นไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปไม่ปรากฏ
ก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุผลวิเศษ
ความเนื่องกันเป็นนิมิต เหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ ลม
อัสสาสปัสสาสะ เหมือนฟันเลื่อย ภิกษุนั่งตั้งสติไว้มั่นที่ปลายจมูกหรือที่ริมฝีปาก
ไม่ได้ใส่ใจถึงลมอัสสาสปัสสาสะเข้าหรือออก ลมอัสสาสปัสสาสะเข้าหรือออกจะ
ไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุ
ถึงผลวิเศษ เหมือนบุรุษตั้งสติไว้ด้วยสามารถฟันเลื่อยอันถูกที่ต้นไม้ เขาไม่ได้
ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปจะไม่ปรากฏก็หามิได้
จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ ฉะนั้น
[385] ประธานเป็นไฉน ? แม้กาย แม้จิตของภิกษุผู้ปรารภ
ความเพียร ย่อมควรแก่การงาน นี้เป็นประธาน ประโยคเป็นไฉน ? ภิกษุ
ผู้ปรารภความเพียร ย่อมละอุปกิเลสได้ วิตกย่อมสงบไป นี้เป็นประโยค
ผลวิเศษเป็นไฉน ? ภิกษุผู้ปรารภความเพียรย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อม
ถึงความพินาศไป นี้เป็นผลวิเศษ ก็ธรรม 3 ประการนี้ ย่อมไม่เป็นอารมณ์
แห่งจิตดวงเดียวอย่างนี้ และธรรม 3 ประการนี้ไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตไม่ถึง
ความฟุ้งซ่าน ปรากฏเป็นประธาน ยังประโยคให้สำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ.

[386] ภิกษุใด เจริญอานาปานสติให้บริบูรณ์
ดีแล้ว อบรมแล้วตามลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าทรง
แสดงแล้ว ภิกษุนั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือน
พระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น.

ลมอัสสาสะ ชื่อว่า อานะ ไม่ใช่ลมปัสสาสะ ลมปัสสาสะ ชื่อว่า
อปานะ ไม่ใช่ลมอัสสาสะ สติเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสามารถลมอัสสาสปัสสาละ ย่อม
ปรากฏแก่บุคคลผู้หายใจเข้าและผู้หายใจออก.
คำว่า ปริปุณฺณา ความว่า บริบูรณ์ ด้วยอรรถว่า ถือเอารอบ
ด้วยอรรถว่ารวมไว้ ด้วยอรรถว่าเต็มรอบ.
ภาวนา ในคำว่า สุภาวิตา มี 4 คือ ภาวนาด้วยอรรถว่า ธรรม
ทั้งหลายที่เกิดในอานาปานสตินั้นไม่ล่วงเกินกัน 1 ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลาย
มีกิจเป็นอันเดียวกัน 1 ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ความที่
ธรรมทั้งหลายไม่ล่วงเกินกัน และความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน 1
ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ 1 อรรถแห่งภาวนา 7 ประการนี้ เป็นอรรถอัน
ภิกษุนั้นทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง น้อมไป อบรมแล้ว ปรารภเสมอ
ดีแล้ว.
คำว่า ยานีกตา ความว่า ภิกษุนั้นจำนงหวังในธรรมใด ๆ ย่อมเป็น
ผู้ถึงความชำนาญ ถึงกำลัง ถึงความแกล้วกล้า ในธรรมนั้น ๆ ธรรมเหล่านั้น
ของภิกษุนั้น เป็นธรรมเนื่องด้วยความคำนึง เนื่องด้วยความหวัง เนื่องด้วย
มนสิการ เนื่องด้วยจิตตุปบาท เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทำให้เป็น
ดังยาน.

คำว่า วตฺถุกตา ความว่า จิตย่อมมั่นคงดีในวัตถุใด ๆ สติย่อม
ปรากฏดีในวัตถุนั้น ๆ ก็หรือว่าสติย่อมปรากฏดีในวัตถุใด ๆ จิตย่อมมั่นคงดีใน
วัตถุนั้น ๆ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่าทำให้เป็นที่ตั้ง.
คำว่า อนฺฏฺฐิตา ความว่า จิตน้อมไปด้วยอาการใด ๆ สติก็หมุน
ไปตาม (คุมอยู่) ด้วยอาการนั้น ๆ ก็หรือว่าสติหมุนไปด้วยอาการใด ๆ จิต
ก็น้อมไปด้วยอาการนั้น ๆ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า น้อมไป.
คำว่า ปริจิตา ความว่า อบรม ด้วยอรรถว่าถือเอารอบ ด้วยอรรถว่า
รวมไว้ ด้วยอรรถว่าเต็มรอบ ภิกษุกำหนดถือเอาด้วยสติ ย่อมชนะอกุศล-
ธรรมอันลามกได้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อบรม.
คำว่า สุสมารทฺธา ความว่า ธรรม 4 อย่างภิกษุปรารภดีแล้ว คือ
ปรารภดีด้วยอรรถว่าธรรมทั้งหลายที่เกิดในอานาปานสตินั้นไม่ล่วงเกินกัน 1
ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน 1 ด้วยอรรถว่านำไปซึ่ง
ความเพียรอันสมควรแก่ความที่ธรรมทั้งหลายไม่ล่วงเกินกัน และความที่อินทรีย์
ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน 1 เพราะเพิกถอนกิเลสทั้งหลายซึ่งเป็นข้าศึกแก่
ธรรมนั้น 1.
คำว่า สุสมํ ความว่า ความเสมอก็มี ความเสมอดีก็มี ความเสมอ
เป็นไฉน ? กุศลทั้งหลายอันไม่มีโทษ เกิดในธรรมนั้นเป็นฝักใฝ่แห่งความ
ตรัสรู้ นี้เป็นความเสมอ ความเสมอดีเป็นไฉน ? ความดับอารมณ์แห่งธรรม
เหล่านั้นเป็นนิพพาน นี้เป็นความเสมอดี ก็ความเสมอและความเสมอดีนี้ดังนี้
ภิกษุนั้นรู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา
ความเพียร ภิกษุนั้นปรารภแล้ว ไม่ย่อหย่อน สติตั้งมั่น ไม่หลงลืม กายสงบ
ปรารภแล้ว จิตเป็นสมาธิมีอารมณ์เดียว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปรารภ
แล้วเสมอดี.

คำว่า อนุปุพฺพํ ปริจิตา ความว่า ภิกษุนั้นอบรมอานาปานสติ
ข้างต้น ๆ ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว อบรมอานาปานสติข้างหลัง ๆ ตามลำดับ
อบรมอานาปานสติข้างต้น ๆ ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว ก็อบรมอานา-
ปานสติข้างหลัง ๆ ตามลำดับ อบรมอานาปานสติข้างต้น ๆ ด้วยสามารถ
ลมหายใจเข้าสั้น ก็อบรมอานาปานสติข้างหลัง ๆ ตามลำดับ อบรมอานาปานสติ
ข้างต้น ๆ ด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น ก็อบรมอานาปานสติข้างหลัง ๆ
ตามลำดับ ฯลฯ อบรมอานาปานสติข้างต้น ๆ ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณา
เห็นความสละคืนหายใจเข้า ก็อบรมอานาปานสติข้างหลัง ๆ ตามลำดับ อบรม
อานาปานสติข้างต้น ๆ ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจ
ออก ก็อบรมอานาปานสติข้างหลัง ๆ ตามลำดับ อานาปานสติมีวัตถุ 16 แม้
ทั้งปวงอาศัยกันภิกษุนั้นอบรมแล้ว และอบรมตามลำดับแล้ว เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่าอบรมแล้วตามลำดับ.
คำว่า ยถา ความว่า อรรถแห่งยถาศัพท์มี 10 คือ ความฝึกตน 1
ความสงบตน 1 ความยังตนให้ปรินิพพาน 1 ความรู้ยิ่ง 1 ความกำหนดรู้ 1
ความละ 1 ความเจริญ 1 ความทำให้แจ้ง 1 ความตรัสรู้สัจจะ 1 ความยังตน
ให้ประดิษฐานอยู่ในนิโรธ 1.
คำว่า พุทฺโธ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดเป็นสยัมภูไม่มี
อาจารย์ ตรัสรู้สัจจะทั้งหลายเองในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้สดับมาแต่กาลก่อน
ทรงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้นและทรงถึงความเป็นผู้มีความ
ชำนาญในพลธรรมทั้งหลาย.
คำว่า พุทฺโธ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าพุทธะ
เพราะอรรถว่ากระไร ?

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าพุทธะ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้สัจจะ
ทั้งหลาย เพราะอรรถว่า ทรงสอนให้หมู่สัตว์ตรัสรู้ เพราะความเป็นพระ-
สัพพัญญู เพราะความที่พระองค์ทรงเห็นธรรมทั้งปวง เพราะความที่พระองค์
มีเนยยบทไม่เป็นอย่างอื่น เพราะความเป็นผู้มีพระสติไพบูลย์ เพราะนับว่า
พระองค์สิ้นอาสวะ เพราะนับว่าพระองค์ไม่มีอุปกิเลส เพราะอรรถว่า ทรง
ปราศจากราคะโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่า ทรงปราศจากโทสะโดยส่วนเดียว
เพราะอรรถว่า ทรงปราศจากโมหะโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่า พระองค์
ไม่มีกิเลสโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่า พระองค์เสด็จไปแล้วสู่หนทางที่ไปแห่ง
บุคคลผู้เดียว เพราะอรรถว่า ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณพระองค์เดียว
เพราะทรงกำจัดเสียซึ่งความไม่มีปัญญา เพราะทรงได้ซึ่งพระปัญญาเครื่องตรัสรู้.
พระนามว่า พุทฺโธ นี้ พระมารดา พระบิดา พี่ชายน้องชาย พี่หญิง
น้องหญิง มิตร อำมาตย์ ญาติสายโลหิต สมณะ พราหมณ์ เทวดา มิได้
แต่งตั้งให้เลย พระนามว่า พุทฺโธ นี้ เป็นวิโมกขันติกนาม พระนามที่เกิด
ในที่สุดแห่งอรหัตผล แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้แล้ว พระนามว่า พุทฺโธ นี้
เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เกิดขึ้นพร้อมกับการทรงได้สัพพัญญุตญาณ ณ ควงไม้
โพธิพฤกษ์.
คำว่า ทรงแสดงแล้ว ความว่า ความฝึกตน มียถาศัพท์เป็นอรรถ
เหมือนบุคคลเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ฝึกตนแล้ว พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงแล้ว ฉะนั้น ความสงบตน . . . ความยังตนให้ปรินิพพาน ฯลฯ
ความยังตนให้ประดิษฐานอยู่ในนิโรธ มียถาศัพท์เป็นอรรถ เหมือนบุคคล
เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ยังตนให้ประดิษฐานอยู่ในนิโรธแล้ว
พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงแล้ว ฉะนั้น.

คำว่า โลโก ได้แก่ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก วิปัตติภวโลก
วิปัตติสัมภวโลก สัมปัตติภวโลก สัมปัตติสัมภวโลก โลก 1 คือ สัตว์ทั้งปวง
ตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร ฯลฯ โลก 18 คือธาตุ 18.
คำว่า ย่อมให้สว่างไสว ความว่า ภิกษุนั้น ย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสว
แจ่มใส เพราะเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งความฝึกตน ความสงบตน ความยังตน
ให้ปรินิพพาน ฯลฯ ความยังตนให้ประดิษฐานอยู่ในนิโรธ ซึ่งมียถาศัพท์
เป็นอรรถทุกประการ.
คำว่า เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ความว่า กิเลส
เหมือนหมอก อริยญาณเหมือนดวงจันทร์ ภิกษุเหมือนจันทเทพบุตร ภิกษุ
พ้นจากกิเลสทั้งปวง แล้วย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสวเปล่งปลั่ง และไพโรจน์
เหมือนดวงจันทร์พ้นจากหมอก พ้นจากควันและธุลีในแผ่นดิน พ้นจากฝ่ามือ
ราหู ยังโอกาสโลกให้สว่างไสวเปล่งปลั่ง และไพโรจน์ ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ญาณในโวทาน 13
ประการนี้.
จบภาณวาร

[387] ญาณในความทำสติ 32 เป็นไฉน ?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ภิกษุนั้นเป็นผู้มีสติหายใจเข้า
เป็นผู้มีสติหายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจเข้าสั้น
ก็รู้ว่า หายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ว่า หายใจออกยาว เมื่อหายใจ
ออกสั้น ก็รู้ว่าหายใจออกสั้น ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวง

หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า
จักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขารหายใจออก
ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งปีติหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งปีติหายใจออก
ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งสุขหายใจออก
ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตสังขาร
หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักระงับจิตสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักระงับ
จิตสังขารหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จัก
รู้แจ้งจิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า
จักทำจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตไว้หายใจเข้า ย่อมศึกษา
ว่า จักตั้งจิตไว้หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า
จักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จัก
พิจารณาเห็นความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความ
คลายกำหนัดหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความดับหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความดับหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็น
ความสละคืนหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า ก็พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก.
[388] คำว่า อิธ ความว่า ในทิฏฐินี้ ในความอดทนนี้ ในความ
ชอบใจนี้ ในเขตนี้ ในธรรมนี้ ในวินัยนี้ ในธรรมวินัยนี้ ในปาพจน์นี้
ในพรหมจรรย์นี้ ในสัตถุศาสน์นี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ในธรรมวินัยนี้.
คำว่า ภิกฺขุ ความว่า ภิกษุเป็นกัลยาณปุถุชนก็ตาม เป็นพระเสขะ
ก็ตาม เป็นพระอรหันต์ผู้มีธรรมไม่กำเริมก็ตาม.
คำว่า อรญฺญํ ความว่า สถานที่ทุกแห่งนอกเสาเขื่อนไป สถานที่
นั้นป่า.

คำว่า รุกฺขมูลํ ความว่า อาสนะของภิกษุซึ่งจัดไว้ที่โคนไม้นั้น คือ
เตียง ตั่ง ฟูก เสื่อ ท่อนหนัง เครื่องลาดทำด้วยหญ้า เครื่องลาดทำด้วยใบไม้
หรือเครื่องลาดทำด้วยฟาง ภิกษุ เดิน ยืน นั่ง หรือนอนที่อาสนะนั้น.
คำว่า สุญฺญํ ความว่า เป็นสถานที่ไม่เกลื่อนกล่นด้วยใคร ๆ เป็น
คฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม.
คำว่า อาคารํ คือ วิหาร โรงมีหลังคาครึ่งหนึ่ง ปราสาท เรือนโล้น
ถ้ำ.
คำว่า นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา ความว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้นั่ง
คู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง คือ กายเป็นกายอันภิกษุนั้นตั้งวางไว้ตรง.
ศัพท์ว่า ปริ ในคำว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา มีความกำหนด
ถือเอาเป็นอรรถ ศัพท์ว่า มุขํ มีความนำออกเป็นอรรถ ศัพท์ว่า สติ มี
ความเข้าไปตั้งไว้เป็นอรรถ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า.
[389] คำว่า เป็นผู้มีสติหายใจเข้า ความว่า ภิกษุอมรมสติโดย
อาการ 32 คือ ภิกษุเป็นผู้ตั้งสติมั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่
ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว ชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วย
ญาณนั้น เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน
ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว...เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์
เดียว ไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถลมหายใจเข้าสั้น ...เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้
ความที่มีจิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น ชื่อว่า
เป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความ
ที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความ
สละคืนหายใจเข้า ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่

ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า ...เป็น
ผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความ
เป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น
ด้วยญาณนั้น.
[390] ภิกษุเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออก
ยาว ก็รู้ว่า หายใจออกยาว อย่างไร ?
ภิกษุเมื่อหายใจเข้ายาว ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจออก
ยาว ย่อมหายใจออกในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจเข้าและหายใจออกยาว ย่อม
หายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว ฉันทะย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้เมื่อ
หายใจเข้าหายใจออกยาว หายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างในขณะนั้นนับยาว
เมื่อหายใจเข้ายาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ ย่อมหายใจเข้าในขณะที่
นับยาว เมื่อหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ ย่อมหายใจออก
ในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจเข้าหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ
ย่อมหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว ความปราโมทย์ย่อมเกิด
ขึ้นแก่ภิกษุเมื่อหายใจเข้าหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ
หายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจเข้ายาวละเอียดกว่า
นั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจ
ออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อมหายใจออกในขณะที่
นับยาว เมื่อหายใจเข้าหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์
ย่อมหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว จิตของภิกษุผู้เมื่อหายใจ
เข้าหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ หายใจเข้าบ้าง
หายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว ย่อมหลีกออกจากการหายใจเข้าใจออก

ยาว อุเบกขาย่อมตั้งอยู่ กาย คือ ลมหายใจเข้าลมหายใจเข้ายาวด้วยอาการ
9 อย่างนี้ ย่อมปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ กายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติ
ปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย ภิกษุพิจารณาเห็นกายนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น
เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณาเห็น
กายในกาย.
[391] คำว่า อนุปสฺสติ ความว่า ภิกษุพิจารณากายนั้นอย่างไร ?
พิจารณาโดยความไม่เที่ยง ไม่พิจารณาโดยความเที่ยง พิจารณาโดย
ความเป็นทุกข์ ไม่พิจารณาโดยความเป็นสุข พิจารณาโดยความเป็นอนัตตา
ไม่พิจารณาโดยความเป็นอัตตา ย่อมเบื่อหน่าย ไม่ยินดี ย่อมคลายกำหนัด
ไม่กำหนัด ย่อมให้ราคะดับไป ไม่ให้เกิด ย่อมสละคืน ไม่ยึดถือ เมื่อ
พิจารณาโดยความไม่เที่ยง ย่อมละนิจจสัญญาได้ เมื่อพิจารณาโดยความเป็น
ทุกข์ ย่อมละสุขสัญญาได้ เมื่อพิจารณาโดยความเป็นอนัตตา ย่อมละอัตต-
สัญญาได้ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมละความยินดีได้ เมื่อคลายกำหนัด ย่อมละ
ราคะได้ เมื่อให้ราคะดับ ย่อมละสมุทัยได้ เมื่อสละคืน ย่อมละความยึดถือได้
ภิกษุพิจารณากายนั้น อย่างนี้.
[392] ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 คือ ภาวนาด้วยอรรถว่า
ธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน 1 ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลาย
มีกิจเป็นอันเดียวกัน 1 ด้วยอรรถว่านำไป ซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ความ
ที่ธรมทั้งหลายไม่ล่วงเกินกันและความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน 1
ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ 1 เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วย
สามารถลมหายใจเข้าลมหายใจออกยาว เวทนาจึงปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไป

ตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป สัญญาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่
ปรากฏถึงความดับไป วิตกย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึง
ความดับไป.
[393] เวทนาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึง
ความดับ อย่างไร ?
ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างไร ? ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา
ย่อมปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยเกิดว่า เพราะอวิชชาเกิดเวทนาจึงเกิด
เพราะตัณหาเกิดเวทนาจึงเกิด เพราะกรรมเกิดเวทนาจึงเกิด เพราะผัสสะเกิด
เวทนาจึงเกิด แม้เมื่อเห็นลักษณะแห่งความเกิด ความเกิดแห่งเวทนาก็ย่อม
ปรากฏ ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างไร ? เมื่อมนสิการโดย
ความไม่เที่ยง ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความสิ้นไปย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดย
ความเป็นทุกข์ ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความเป็นภัยย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการ
โดยความเป็นอนัตตา ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความว่างเปล่าย่อมปรากฏ ความ
เข้าไปตั้งอยู่แห่งเวทนาย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความดับไปแห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างไร ? ความดับไปแห่งเวทนา
ย่อมปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยดับว่า เพราะอวิชชาดับเวทนาจึงดับ
เพราะตัณหาดับเวทนาจึงดับ เพราะกรรมดับเวทนาจึงดับ เพราะผัสสะดับ
เวทนาจึงดับ แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะความแปรปรวน ความดับไปเเห่ง
เวทนาก็ย่อมปรากฏ ความดับไปแห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างนี้ เวทนาย่อม
ปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป อย่างนี้.

[394] สัญญาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึง
ความดับ อย่างไร ?
ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาย่อมปรากฏอย่างไร ? ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา
ย่อมปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยเกิดว่า เพราะอวิชชาเกิดสัญญาจึงเกิด
... ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งสัญญาย่อมปรากฏอย่างไร ? เมื่อมนสิการโดย
ความไม่เที่ยง ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความสิ้นไปย่อมปรากฏ. . . ความเข้าไป
ตั้งอยู่แห่งสัญญาย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความดับไปแห่งสัญญาย่อมปรากฏอย่างไร ? ความดับไปแห่งสัญญา
ย่อมปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยดับว่า เพราะอวิชชาดับสัญญาจึงดับ. . .
ความดับไปแห่งสัญญาย่อมปรากฏอย่างนี้ สัญญาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏ
เข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป อย่างนี้.
[395] วิตกย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความ
ดับไป อย่างไร ?
ความเกิดขึ้นแห่งวิตกย่อมปรากฏอย่างไร ? ความเกิดขึ้นแห่งวิตกย่อม
ปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยเกิดว่า เพราะอวิชชาเกิดวิตกจึงเกิด เพราะ
ตัณหาเกิดวิตกจึงเกิด เพราะกรรมเกิดวิตกจึงเกิด แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะ
ความเกิด ความเกิดขึ้นแห่งวิตกก็ย่อมปรากฏ ความเกิดขึ้นแห่งวิตกย่อมปรากฏ
อย่างนี้.
ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งวิตกย่อมปรากฏอย่างไร ? เมื่อมนสิการโดยความ
ไม่เที่ยง ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความสิ้นไปย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดยความ

เป็นทุกข์ ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความเป็นภัยย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดยความ
เป็นอนัตตา ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความว่างเปล่าย่อมปรากฏ ความเข้าไปตั้ง
อยู่แห่งวิตกย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความดับไปแห่งวิตกย่อมปรากฏอย่างไร ? ความดับไปแห่งวิตกย่อม
ปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยดับว่า เพราะอวิชชาดับวิตกจึงดับ เพราะ
ตัณหาดับวิตกจึงดับ เพราะกรรมดับวิตกจึงดับ เพราะสัญญาดับวิตกจึงดับ
แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะความแปรปรวน ความดับไปแห่งวิตกก็ย่อมปรากฏ
ความดับไปแห่งวิตกย่อมปรากฏอย่างนี้ วิตกย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไป
ตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป อย่างนี้.
[396] บุคคลรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถ
ลมหายใจเข้าลมหายใจออกยาว ย่อมให้อินทรีย์ทั้งหลายประชุมลง รู้จักโคจร
และแทงตลอดธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์ ฯลฯ ย่อมให้ธรรมทั้งหลาย
ประชุมกัน รู้จักโคจรและแทงตลอดธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์.
คำว่า ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง ความว่า บุคคล
ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลงอย่างไร ?
บุคคลย่อมยังสัทธินทรีย์ให้ประชุมลงด้วยความน้อมใจเชื่อ ยังวิริยิน-
ทรีย์ให้ประชุมลงด้วยความประคองไว้ ยังสตินทรีย์ให้ประชุมลงด้วยความเข้า
ไปตั้งไว้ ยังสมาธินทรีย์ให้ประชุมลงด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ยังปัญญินทรีย์ให้
ประชุมลงด้วยความเห็น บุคคลนี้ยังอินทรีย์เหล่านี้ให้ประชุมลงในอารมณ์นี้
เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง.

คำว่า รู้จักโคจร ความว่า รู้จักอารมณ์แห่งบุคคลนั้นว่าเป็นโคจร
แห่งบุคคลนั้น รู้จักโคจรแห่งบุคคลนั้นว่าเป็นอารมณ์แห่งบุคคลนั้น บุคคล
ความรู้ ปัญญา.
คำว่า สงบ ความว่า อารมณ์ปรากฏเป็นความสงบ จิตไม่ฟุ้งซ่าน
เป็นความสงบ จิตตั้งมั่นเป็นความสงบ จิตผ่องแผ้วเป็นความสงบ.
คำว่า ประโยชน์ ความว่า ธรรมอันไม่มีโทษเป็นประโยชน์ ธรรม
อันไม่มีกิเลสเป็นประโยชน์ ธรรมอันมีความผ่องแผ้วเป็นประโยชน์ ธรรมอัน
ประเสริฐเป็นประโยชน์.
คำว่า แทงตลอด ความว่า แทงตลอดความที่อารมณ์ปรากฏ แทง
ตลอดความที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน แทงตลอดความที่จิตตั้งมั่น แทงตลอดความที่จิต
ผ่องแผ้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบ
เป็นประโยชน์.
[397] คำว่า ย่อมให้พละทั้งหลายประชุมลง ความว่า ย่อมให้
พละทั้งหลายประชุมลงอย่างไร ?
บุคคลย่อมยังสัทธาพละให้ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหวไปในความ
ไม่มีศรัทธา ยังวิริยพละให้ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหวไปในความประมาท
ยังสมาธิพละให้ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหวไปในอุทธัจจะ ยังปัญญาพละให้
ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหวไปในอวิชชา บุคคลนี้ย่อมยังพละเหล่านี้ให้
ประชุมลงในอารมณ์นี้ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมยังพละทั้งหลาย
ให้ประชุมลง.
คำว่า รู้จักโคจร ฯลฯ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอด
ธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.

[398] คำว่า ย่อมยังโพชฌงค์ทั้งหลายให้ประชุม ความว่า
บุคคลย่อมยังโพชฌงค์ทั้งหลายให้ประชุมลงได้อย่างไร ?
บุคคลย่อมยังสติสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความเข้าไปตั้งไว้ ยัง
ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความเลือกเฟ้น ยังวิริยสัมโพขฌงค์ให้
ประชุมลงด้วยความประคองไว้ ยังปีติสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความแผ่
ซ่านไป ยังปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความสงบ ยังสมาธิสัมโพชฌงค์
ให้ประชุมลงด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ยังอุเบกขาสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความ
วางเฉย บุคคลนี้ย่อมยังโพชฌงค์ทั้งหลายให้ประชุมลงในอารมณ์ เพราะเหตุ
ดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมยังโพชฌงค์ทั้งหลายให้ประชุมลง.
คำว่า รู้โคจร ฯลฯ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอด
ธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[399] คำว่า ย่อมยังมรรคให้ประชุมลง ความว่า บุคคลย่อม
ยังมรรคให้ประชุมลงอย่างไร ?
บุคคลย่อมยังสัมมาทิฏฐิให้ประชุมลงด้วยความเห็น ยังสัมมาสังกัปปะให้
ประชุมลงด้วยความยกขึ้นสู่อารมณ์ ยังสัมมาวาจาให้ประชุมลงด้วยความกำหนด
ยังสัมมากันมันตะให้ประชุมลงด้วยความที่เกิดขึ้นดี ยังสัมมาอาชีวะให้ประชุม
ลงด้วยความผ่องแผ้ว ยังสัมมาวายามะให้ประชุมลงด้วยความประคองไว้ ยัง
สัมมาสติให้ประชุมลงด้วยความเข้าไปตั้งไว้ ยังสัมมาสมาธิให้ประชุมลงด้วย
ความไม่ฟุ้งซ่าน บุคคลนี้ย่อมยังมรรคนี้ให้ประชุมลงในอารมณ์นี้ เพราะเหตุ
ดังนี้นั้นท่านจึงกล่าวว่า ย่อมยังมรรคให้ประชุมลง.

คำว่า รู้จักโคจร ฯลฯ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอด
ธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[400] คำว่า ย่อมยังธรรมทั้งหลายให้ประชุมลง ความว่า
บุคคลย่อมยังธรรมทั้งหลายให้ประชุมลง อย่างไร ?
บุคคลย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลงด้วยความเป็นใหญ่ ยังพละ
ทั้งหลายให้ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหว ยังโพชฌงค์ทั้งหลายให้ประชุมลง
ด้วยความเป็นธรรมเครื่องนำออก ยังมรรคให้ประชุมลงด้วยความเป็นเหตุ ยัง
สติปัฏฐานให้ประชุมลงด้วยความเข้าไปตั้งไว้ ยังสัมมัปปธานให้ประชุมลงด้วย
ความเริ่มตั้ง ยังอิทธิบาทให้ประชุมลงด้วยความให้สำเร็จ ยังสัจจะให้ประชุมลง
ด้วยความถ่องแท้ ยังสมถะให้ประชุมลงด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ยังวิปัสสนาให้
ประชุมลงด้วยความพิจารณาเห็น ยังสมถะและวิปัสสนาให้ประชุมลงด้วยความ
มีกิจเป็นอันเดียวกัน ยังธรรมเป็นคู่กันให้ประชุมลงด้วยความไม่ล่วงเกินกัน
ยังสีลวิสุทธิให้ประชุมลงด้วยความสำรวม ยังจิตวิสุทธิให้ประชุมลงด้วยความ
ไม่ฟุ้งซ่าน ยังทิฏฐิวิสุทธิให้ประชุมลงด้วยความเห็น ยังวิโมกข์ให้ประชุมลงด้วย
ควานหลุดพ้น ยังวิชชาให้ประชุมลงด้วยความแทงตลอด ยังวิมุตติให้ประชุม
ลงด้วยความสละรอบ ยังญาณในความสิ้นไปให้ประชุมลงด้วยความตัดขาด ยัง
ญาณในความไม่เกิดขึ้นให้ประชุมลงด้วยความเห็นเฉพาะ ยังฉันทะให้ประชุม
ลงด้วยความเป็นมูลเหตุ ยังมนสิการให้ประชุมลงด้วยความเป็นสมุฏฐาน ยัง
ผัสสะให้ประชุมลงด้วยความประสบ ยังเวทนาให้ประชุมลงด้วยความรู้สึก ยัง
สมาธิให้ประชุมลงด้วยความเป็นประธาน ยังสติให้ประชุมลงด้วยความเป็นใหญ่
ยังสติสัมปชัญญะให้ประชุมลงด้วยความเป็นธรรมที่ยิ่งกว่านั้น ยังวิมุตติให้ประชุม

ลงด้วยความเป็นสาระ ยังนิพพานอันหยั่งลงในอมตะให้ประชุมลงด้วยความ
เป็นที่สุด บุคคลนี้ย่อมยังธรรมเหล่านั้นให้ประชุมลงในอารมณ์นี้ เพราะเหตุ
ดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมยังธรรมทั้งหลายให้ประชุมลง.
คำว่า รู้จักโคจร ความว่า รู้จักอารมณ์แห่งธรรมนั้นว่าเป็นโคจร
แห่งธรรมนั้น รู้จักโคจรแห่งธรรมนั้นว่าเป็นอารมณ์แห่งธรรมนั้นบุคคล
ความรู้ปัญญา.
คำว่า สงบ ความว่า อารมณ์ปรากฏเป็นความสงบ จิตไม่ฟุ้งซ่าน
เป็นความสงบ จิตตั้งมั่นเป็นความสงบ จิตผ่องแผ้วเป็นความสงบ.
คำว่า ประโยชน์ ความว่า ธรรมอันไม่มีโทษเป็นประโยชน์ ธรรม
อันไม่มีกิเลสเป็นประโยชน์ ธรรมอันมีความผ่องแผ้วเป็นประโยชน์ ธรรมอัน
ประเสริฐเป็นประโยชน์.
คำว่า แทงตลอด ความว่า แทงตลอดความที่อารมณ์ปรากฏ แทงตลอด
ความที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน แทงตลอดความที่จิตตั้งมั่น แทงตลอดความที่จิตผ่องแผ้ว
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์.
[401] บุคคลเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ว่า หายใจเข้าสิ้น เมื่อหายใจออก
สั้นก็รู้ว่า หายใจออกสั้น อย่างไร.
บุคคลเมื่อหายใจเข้าสั้น ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับได้นิดหน่อย
เมื่อหายใจออกสั้น ย่อมหายใจออกในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจเข้า
หายใจออกสั้น ย่อมหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างในขณะที่นับได้นิดหน่อย
ฉันทะย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้เมื่อหายใจเข้าหายใจออกสั้น หายใจเข้าบ้าง หายใจ
ออกบ้างในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจเข้าสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถ
ฉันทะ ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจออกสั้นละเอียด

กว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ ย่อมหายใจออกในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจ
เข้าหายใจออกสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ ย่อมหายใจเข้าบ้าง หายใจ
ออกบ้างในขณะนับได้นิดหน่อย ความปราโมทย์ย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้หายใจเข้า
หายใจออกละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ หายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้าง
ในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจเข้าสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความ
ปราโมทย์ ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจออกสั้นละเอียด
กว่านั้น ด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อมหายใจออกในขณะที่นับได้นิดหน่อย
เมื่อหายใจเข้าหายใจออกสั้นละเอียดกว่านั้น ด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อม
หายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างในขณะที่นับได้นิดหน่อย จิตของภิกษุผู้เมื่อ
หายใจเข้าหายใจออกสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์หายใจเข้าบ้าง
หายใจออกบ้างในขณะที่นับได้นิดหน่อย ย่อมหลีกไปจากลมอัสสาสปัสสาสะสั้น
อุเบกขาย่อมตั้งอยู่ กาย คือ ลมหายใจเข้าหายใจออกสั้นด้วยอาการ 9 เหล่านี้
ปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ กายปรากฏ มิใช่สติ สติปรากฏด้วยเป็นตัว
สติด้วย บุคคลพิจารณากายนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น
ท่านจึงกล่าวว่าสติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณากายในกาย.
[402] คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า บุคคลย่อมพิจารณากายนั้น
อย่างไร ฯลฯ พิจารณากายนั้นอย่างนี้.
ภาวนาในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพเมื่อรู้
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
สั้น เวทนาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ฯลฯ บุคคลรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน
ด้วยสามารถลมหายใจเข้าลมหายใจออกสั้น ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง

ฯลฯ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และย่อมแทงตลอดธรรมอันมีความสงบ
เป็นประโยชน์.
[403] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจออกอย่างไร ?
กาย ในคำว่า กาโย มี 2 คือ นามกาย 1 รูปกาย 1 นามกาย
เป็นไฉน ? เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นนามด้วย เป็นนาม
กายด้วย และท่านกล่าวจิตสังขารว่า นี้เป็นนามกาย รูปกายเป็นไฉน ?
มหาภูตรูป 4 รูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 ลมอัสสาสปัสสาสะ นิมิต และท่าน
กล่าวว่ากายสังขารที่เนื่องกัน นี้เป็นรูปกาย.
[404] กายเหล่านั้น ย่อมปรากฏ อย่างไร ?
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจ
เข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น กายเหล่านั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว สติ
ย่อมตั้งมั่น กายเหล่านั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิต
มีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าสั้น. . . เมื่อรู้ความที่จิต
มีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น. . . เมื่อคำนึงถึงกาย
เหล่านั้นย่อมปรากฏเมื่อรู้. . . เมื่อเห็น. . . เมื่อพิจารณา. . . เมื่ออธิษฐานจิต. . .
เมื่อน้อมใจเชื่อด้วยศรัทธา. . . เมื่อประคองความเพียร. . . เมื่อตั้งสติไว้มั่น . . .
เมื่อตั้งจิตมั่น. . . เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง. . . เมื่อกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
. . . เมื่อละธรรมที่ควรละ. . . เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญ. . . เมื่อทำให้แจ้งธรรม
ที่ควรทำให้แจ้ง กายเหล่านั้นย่อมปรากฏ กายเหล่านั้นย่อมปรากฏอย่างนี้ กาย

คือ ความเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุ-
ปัสสนาญาณ กายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วยเป็นตัวสติด้วย บุคคล
ย่อมพิจารณากายนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึง
กล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณาเห็นกายในกาย.
[405] คำว่า ย่อมพิจารณา ฯลฯ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าความเป็น
ผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก จิตวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า
ไม่ฟุ้งซ่าน ทิฏฐิวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าเห็นความระวังในสีลวิสุทธินั้นเป็นอธิสีล-
สิกขา ความไม่ฟุ้งซ่านในจิตวิสุทธินั้นเป็นอธิจิตสิกขา ความเห็นในทิฏฐิวิสุทธิ
นั้นเป็นอธิปัญญาสิกขา บุคคลคำนึงถึงสิกขา 3 ประการนี้ศึกษาอยู่ รู้ศึกษา
เห็นศึกษา พิจารณาศึกษา อธิษฐานศึกษา น้อมใจเชื่อด้วยศรัทธาศึกษา
ประคองความเพียรศึกษา ดำรงสติไว้มั่นศึกษา ตั้งจิตมั่นศึกษา รู้ชัดด้วย
ปัญญาศึกษา รู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งศึกษา กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ศึกษา
และธรรมที่ควรละศึกษา เจริญธรรมที่ควรเจริญศึกษา ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควร
ทำให้แจ้งศึกษา เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความ
เป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้าหายใจออก เวทนาย่อมเกิดปรากฏ ฯลฯ
บุคคลเมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้ง
กองลมทั้งปวงหายใจเข้าหายใจออก ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง ฯลฯ
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[406] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษา
ว่าจักระงับกายสังขารหายใจออก อย่างไร ?
กายสังขารเป็นไฉน ? ลมหายใจเข้ายาว เป็นไปทางกาย ธรรมเหล่านี้
เนื่องด้วยกาย เป็นกายสังขาร ลมหายใจออกยาว เป็นไปทางกาย ธรรมเหล่านี้

เนื่องด้วยกาย เป็นกายสังขาร บุคคลระงับ คือ ดับ สงบกายสังขารเหล่านั้น
ศึกษาอยู่ ลมหายใจเข้าสั้น ลมหายใจออกสั้น ลมที่บุคคลรู้แจ้งกองลมทั้งปวง
หายใจเข้า เป็นไปทางกาย ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกาย เป็นกายสังขาร บุคคล
ระงับ คือ ดับ สงบกายสังขารเหล่านั้น ศึกษาอยู่ ความอ่อนไป ความน้อมไป
ความเอนไป ความโอนไป ความหวั่นไหว ความดิ้นรน ความโยก ความโคลง
แห่งกาย มีอยู่ เพราะกายสังขารเห็นปานใด บุคคลศึกษาอยู่ว่า จักระงับกาย
สังขารหายใจเข้า ศึกษาว่า จักระงับกายสังขารหายใจออก ความไม่อ่อนไป
ความไม่น้อมไป ความไม่เอนไป ความไม่โอนไป ความไม่หวั่นไหว ความ
ไม่ดิ้นรน ความไม่โยก ความไม่โคลง แห่งกาย มีอยู่เพราะกายสังขารเห็น
ปานใด บุคคลศึกษาอยู่ว่า จักระงับ กายสังขารที่ละเอียดสุขุมหายใจเข้า ศึกษา
อยู่ว่า จักระงับกายสังขารที่ละเอียดสุขุมหายใจออก ได้ทราบมาดังนี้ว่า บุคคล
ศึกษาอยู่ว่า จักระงับกายสังขารหายใจเข้า ศึกษาอยู่ว่า จักระงับกายสังขาร
หายใจออก เมื่อเป็นอย่างนี้ ความได้ลมก็ไม่ปรากฏ ลมอัสสาสปัสสาสะก็ไม่
ปรากฏ อานาปานสติก็ไม่ปรากฏ อานาปานสติสมาธิก็ไม่ปรากฏ และบัณฑิต
ทั้งหลายแม้จะเข้าแม้จะออกสมาบัตินั้นก็หามิได้ ได้ทราบมาดังนี้ว่า บุคคลศึกษา
อยู่ว่า จักระงับกายสังขารหายใจเข้า ศึกษาอยู่ว่า จักระงับกายสังขารหายใจออก
เมื่อเป็นอย่างนี้ ความได้ลมก็ปรากฏ ลมอัสสาสปัสสาสะก็ปรากฏ อานาปาน-
สติก็ปรากฏ อานาปานสติสมาธิก็ปรากฏ และบัณฑิตทั้งหลายย่อมเข้าและย่อม
ออกสมาบัตินั้น ข้อนั้นเหมือนอะไร เหมือนเมื่อบุคคลตีกังสดาลเสียงดังย่อม
เป็นไปก่อนตามที่หมาย นึก ทรงจำด้วยดีซึ่งนิมิตแห่งเสียงดัง เมื่อเสียงดัง
ค่อยลง ต่อมาเสียงค่อยก็เป็นไปภายหลังตามที่หมาย นึก ทรงจำด้วยดีซึ่งนิมิต
แห่งเสียงค่อย และเมื่อเสียงค่อยดับลง ต่อมาจิตย่อมเป็นไปในภายหลัง แม้

เพราะนิมิตแห่งเสียงค่อยเป็นอารมณ์ ข้อนี้ก็เหมือนกันฉะนั้น ลมหายใจเข้า
และลมหายใจออกที่หยาบ ย่อมเป็นไปก่อนตามที่หมาย นึกทรงจำด้วยดีซึ่ง
นิมิตแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่หยาบ เมื่อลมหายใจเข้าและลม
หายใจออกที่หยาบเบาลง ต่อมาลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่ละเอียด ย่อม
เป็นไปในภายหลังตามที่หมาย นึก ทรงจำด้วยดีซึ่งนิมิตแห่งลมหายใจเข้าและ
ลมหายใจออกที่ละเอียด และเมื่อลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่ละเอียดเบาลง
อีก ต่อมาจิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านในภายหลัง แม้เพราะความที่นิมิตแห่ง
ลมหายใจเข้าลมหายใจออกที่ละเอียดเป็นอารมณ์ เมื่อเป็นอย่างนี้ ความได้ลม
ก็ปรากฏ ลมอัสสาสปัสสาสก็ปรากฏ อานาปานสติก็ปรากฏ อานาปานสติ
สมาธิก็ปรากฏ และบัณฑิตทั้งหลายย่อมเข้าและออกสมาบัตินั้น ๆ กายคือความ
ที่บุคคลระงับกายสังขารหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ
กายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณา
กายนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐาน-
ภาวนา คือ การพิจารณาเห็นกายในกาย.
[407] คำว่า พิจารณา ความว่า บุคคลย่อมพิจารณากายนั้น
อย่างไร ? ฯลฯ ย่อมพิจารณากายนั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนาด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ
สีลวิสุทธิด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้ระงับกายสังขารระวังลมหายใจเข้าลมหายใจ
ออก จิตวิสุทธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ทิฏฐิวิสุทธิด้วยอรรถว่าเห็น ความ
ระวังในศีลวิสุทธินั้น เป็นอธิศีลสิขา ความไม่ฟุ้งซ่านในจิตวิสุทธินั้น เป็น
อธิจิตสิกขา ความเห็นในทิฏฐิวิสุทธินั้น เป็นอธิปัญญาสิกขา บุคคลเมื่อ

คำนึงถึงสิกขา 3 ประการนี้ศึกษาอยู่ ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง
ศึกษาอยู่ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็น
ผู้ระงับกายสังขารหายใจเข้าหายใจออก เวทนาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ฯลฯ เมื่อรู้
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับกายสังขาร
หายใจเข้าหายใจออก ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ปะชุมลง ฯลฯ เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์อนุปัสสนาญาณ
[ญาณในการพิจารณา] 8 อุปัฏฐานานุสติ [อนุสติที่ปรากฏ] 8 และ
สุตันติกวัตถุ [เรื่องอันมีมาในพระสูตร] ในการพิจารณากายในกาย 4.
จบภาณวาร

[408] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งปีติหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า
จักรู้แจ้งปีติหายใจออกอย่างไร ?
ปีติเป็นไฉน ? เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วย
สามารถลมหายใจเข้ายาว ปีติและปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น ฯลฯ เมื่อรู้ความที่
จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว ปีติและ ปราโมทย์
ย่อมเกิดขึ้น ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถ
ลมหายใจเข้าสั้น ด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้ง
กายทั้งปวงหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจออก ด้วย
สามารถความเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับ
กายสังขารหายใจออก ปีติและปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น ปีติและปราโมทย์ คือ
ความเบิกบาน ความบันเทิง ความหรรษา ความรื่นเริงแห่งจิต ความปลื้มจิต
ความดีใจ ปีตินี้ย่อมปรากฏ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วย

สามารถลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น ปีตินั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วย
ญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจ
ออกยาว สติย่อมตั้งมั่น ปีตินั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อรู้
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าสั้น ด้วย
สามารถลมหายใจออกสั้น ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้า
ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจออก ด้วยสามารถความเป็นผู้
ระงับกายสังขารหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจออก
สติย่อมตั้งมั่น ปีติย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อคำนึงถึง ปีตินั้น
ย่อมปรากฏ เมื่อรู้...เมื่อเห็น เมื่อพิจารณา เมื่ออธิษฐานจิต เมื่อน้อมใจ
ไปด้วยศรัทธา เมื่อประคองความเพียร เมื่อเข้าไปตั้งสติไว้ เมื่อจิตตั้งมั่น
เมื่อรู้ชัดด้วยปัญญา เมื่อรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ธรรมที่ควร
กำหนดรู้ เมื่อละธรรมที่ควรรู้ เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญ เมื่อทำให้แจ้ง
ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ปีตินั้น ย่อมปรากฏ เวทนาด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้ง
ปีติหายใจเข้าหายใจออกอย่างนี้นั้นปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ เวทนา
ปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาเวทนา
นั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐาน
ภาวนา คือ การพิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลาย.
คำว่า พิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาความนั้นอย่างไร ? ฯลฯ
ย่อมพิจารณาเวทนานั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนาด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ
สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าความรู้แจ้งปีติระวังลมหายใจออก ฯลฯ

เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งปีติ
หายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้รู้ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็น
ประโยชน์
[409] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า
จักรู้แจ้งสุขหายใจออก อย่างไร ?
สุข ในคำว่า สุขํ มี 2 คือ กายิกสุข 1 เจตสิกสุข 1.
กายิกสุขเป็นไฉน ? ความสำราญทางกาย ความสุขที่ได้เสวยทางกาย
สุขเวทนาซึ่งเป็นความสำราญเกิดในกายสัมผัสเป็นกายิกสุข.
เจตสิกสุขเป็นไฉน ? ความสุขทางจิต ความสุขที่ได้เสวยเป็นความ
สำราญเกิดแต่เจโตสัมผัส สุขเวทนาซึ่งเป็นความสำราญเกิดแต่เจโตสัมผัสนี้
เป็นเจตสิกสุข.
สุขเหล่านั้นย่อมปรากฏอย่างไร ? เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่
ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น สุขเหล่านั้น ย่อมปรากฏ
ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วย
สามารถลมหายใจออกยาว สติย่อมคงมั่น สุขเหล่านั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น
ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เมื่อทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง สุขเหล่านั้นย่อม
ปรากฏ สุขเหล่านั้น ย่อมปรากฏอย่างนั้น.
เวทนา ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งสุขหายใจเข้าหายใจออก ปรากฏ
สติเป็นอนุปัสสนาญาณ เวทนาปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติ
ด้วย บุคคลย่อมพิจารณาเวทนานั้น ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้

นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณาเวทนาในเวทนา
ทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาเวทนาอย่างไร ? ย่อม
พิจารณาโดยความไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมพิจารณาเวทนานั้น อย่างนี้
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนาด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ
สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่ารู้แจ้งสุขระงับ ลมหายใจออกลมหายใจเข้า ฯลฯ เมื่อรู้
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้ แจ้งสุขหายใจ
เข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นอรรถ.
[410] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจเข้า ย่อม
ศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจออก อย่างไร ?
จิตสังขารเป็นไฉน ? สัญญาและเวทนาด้วยสามารถลมหายใจเข้า
ยาว เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตสังขาร สัญญาและเวทนา
ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิต.
สังขาร ฯลฯ สัญญาและเวทนาด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งสุขหายใจเข้า
ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งสุขาหายใจออก เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้ เนื่องด้วย
จิต เป็นจิตสังขาร นี้เป็นจิตสังขาร.
จิตสังขารเหล่านั้นย่อมปรากฏอย่างไร ?
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้า
ยาว สติย่อมตั้งมั่น จิตสังขารเหล่านี้ ย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว สติ
ย่อมตั้งมั่น จิตสังขารเหล่านั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เมื่อ

ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง จิตสังขารเหล่านั้น ย่อมปรากฏ จิตสังขาร
เหล่านั้น ย่อมปรากฏอย่างนี้.
เวทนา ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตสังขารหายใจเข้าหายใจออก
ปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ เวทนาปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย
เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาเวทนานั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะ
เหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือ พิจารณาเวทนาในเวทนา
ทั้งหลาย.
คำว่า พิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาเวทนานั้นอย่างไร ? ย่อม
พิจารณาโดยความไม่เที่ยง ฯลฯ
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ
สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่ารู้แจ้งจิต สังขารระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก ฯลฯ
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิต-
สังขารหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุม
ลง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็น
ประโยชน์.
[411] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักระงับจิตสังขารหายใจเข้า ย่อม
ศึกษาว่า จักระงับจิตสังขารหายใจออก อย่างไร ?
จิตสังขารเป็นไฉน ? สัญญาและเวทนา ด้วยสามารถลมหายใจเข้า
ยาว เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิตเป็นจิตสังขาร บุคคลระงับ คือ
ดับสงบจิตสังขารเหล่านั้นศึกษาอยู่ สัญญาและเวทนา ด้วยสามารถลมหายใจออก
ยาว เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตสังขาร บุคคลระงับ
คือ ดับ สงบจิตสังขารเหล่านั้นศึกษาอยู่ สัญญาและเวทนาด้วยสามารถความ

เป็นผู้รู้แจ้งจิตสังขารหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตสังขาร
หายใจออก เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตสังขาร บุคคล
ระงับ คือ ดับ สงบจิตสังขารเหล่านั้น ศึกษาอยู่ เวทนา ด้วยสามารถความ
เป็นผู้ระงับจิตสังขารหายใจเข้าหายใจออก ปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ
เวทนาปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลพิจารณาเวทนา
นั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา
คือ การพิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาเวทนานั้นอย่างไร ฯลฯ
ย่อมพิจารณาเวทนานั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่
เสพสีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าความเป็นผู้ระงับจิตสังขาร ระวังลมหายใจเข้า
ลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถ.
ความเป็นผู้ระงับจิตสังขารหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลรู้อยู่ ย่อมยัง
อินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอด
ธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์ อนุปัสสนาญาณ (ญาณในการพิจารณา) 8
อุปัฏฐานานุสติ (อนุสติที่ปรากฏ) 8 สุตตันติกวัตถุ (เรื่องอันมีมาในพระสูตร)
ในการพิจารณาเวทนาในเวทนา 4.
จบภาณวาร

[412] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า
จักรู้แจ้งจิตหายใจออกอย่างไร ?

จิตนั้นเป็นไฉน ? วิญญาณจิต ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว จิต
คือ มนะ มานัส หทัย ปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์
มโนวิญญาณธาตุอันสมควรแก่จิตนั้น วิญญาณจิต ด้วยสามารถลมหายใจออก
ยาว ฯลฯ ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับจิตสังขารหายใจเข้า จิต คือ มนะ...
มโนวิญญาณธาตุอันสมควรแก่จิตนั้น นี้เป็นจิต.
จิตปรากฏอย่างไร ? บุคคลเมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน
ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมัน จิตนั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วย
ญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจ
ออกยาว สติย่อมตั้งมั่น จิตนั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ
เมื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง จิตนั้นย่อมปรากฏ จิตนั้นย่อมปรากฏ
อย่างนี้ วิญญาณจิต ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้ง จิตหายใจเข้าหายใจออก
ปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ จิตปรากฏไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นต้น
สติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาจิตนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้
นั้น ท่านจึงกล่าวว่าสติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณาจิตในจิต.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างไร ฯลฯ
ย่อมพิจารณาจิตอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่
เสพสีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าความรู้แจ้งจิตระวังลมหายเข้าลมหายใจออก ฯลฯ
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิต
หายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[413] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักให้จิตเบิกบานหายใจเข้า ย่อมศึกษา
ว่า จักให้จิตเบิกบานหายใจออกอย่างไร ?

ก็ความเบิกบานแห่งจิตเป็นไฉน ? เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่
ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว ความเบิกบานแห่งจิตย่อมเกิดขึ้น ความ
เบิกบาน ความบันเทิง ความหรรษา ความร่าเริงแห่งจิต ความปลื้มจิต
ความดีใจ ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลม
หายใจออกยาว ความเบิกบานแห่งจิตย่อมเกิดขึ้น ความเบิกบาน ความบันเทิง
ความหรรษา ความร่าเริงแห่งจิต ความปลื้มจิต ความดีใจ ฯลฯ เมื่อรู้
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจ
เข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจออก ความเบิกบานแห่งจิตย่อม
เกิดขึ้น ความเบิกบาน ความบันเทิง ความหรรษา ความร่าเริงแห่งจิต
ความปลื้มจิต ความดีใจ นี้เป็นความเบิกบานแห่งจิต วิญญาณจิต ด้วย
สามารถความเป็นผู้ยังจิตให้เบิกบานหายใจเขาหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุ-
ปัสสนาญาณ จิตปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคล
ย่อมพิจารณาจิตนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าว
ว่า สติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณาจิตในจิต.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างไร ? ฯลฯ
ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่
เสพสีลวิสุทธิ ด้วยสามารถความเป็นผู้ยังจิตให้เบิกบาน ระวังลมหายใจเข้า
ลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถ
ความเป็นผู้ยังจิตให้เบิกบานหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ย่อมยัง
อินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอด
ธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.

[414 ] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า
จักตั้งจิตมั่นหายใจออกอย่างไร ?
ก็สมาธินทรีย์เป็นไฉน ? ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วย
สามารถลมหายใจเข้ายาว เป็นสมาธิ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน
ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว เป็นสมาธิ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน
ด้วยสามารถความเป็นผู้ตั้งจิตมั่นหายใจออก เป็นสมาธิ ความตั้งอยู่ ความ
ตั้งอยู่ดี ความตั้งมั่น ความไม่กวัดแกว่ง ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ความมีใจ
ไม่กวัดแกว่ง ความสงบ สมาธินทรีย์ สมาธิพละ สัมมาสมาธิ วิญญาณจิต
ด้วยความสามารถความเป็นผู้ตั้งจิตมั่นหายใจเข้าหายใจออกนี้ ปรากฏ สติเป็น
อนุปัสสนาญาณ จิตปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคล
ย่อมพิจารณาจิตนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึง
กล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณาจิตในจิต.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างไร ? ฯลฯ
ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่
เสพสีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าความเป็นผู้ตั้งจิตมั่นระวังลมหายใจเข้าลมหายใจ
ออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็น
ผู้ตั้งจิตมั่นหายใจเข้า ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[415] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า
จักเปลื้องจิตหายใจเข้าอย่างไร ?

บุคคลย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตจากราคะหายใจเข้า จักเปลื้องจิต
จากราคะหายใจออก จักเปลื้องจิตจากโทสะหายใจเข้า จักเปลื้องจิตจากโทสะ
หายใจออก จักเปลื้องจิตจากโมหะหายใจเข้า จักเปลื้องจิตจากโมหะหายใจออก
ฯลฯ จักเปลื้องจิตจากมานะ จักเปลื้องจิตจากทิฏฐิ จักเปลื้องจิตจากวิจิกิจฉา
จักเปลื้องจิตจากถิ่นมิทธะ จักเปลื้องจิตจากอุทธัจจะ จักเปลื้องจิตจากความไม่
ละอายบาป จักเปลื้องจิตจากความไม่สะดุ้งกลัวบาปหายใจเข้า จักเปลื้องจิต
จากความไม่สะดุ้งกลัวบาปหายใจออก วิญญาณจิต ด้วยสามารถความเป็นผู้
เปลื้องจิตหายใจเข้าหายใจออก ปรากฏ ฯลฯ
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างไร ฯลฯ
ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที
เสพสีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าความเป็นผู้เปลื้องจิตระวังลมหายใจเข้าลมหายใจ
ออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่มีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้
เปลื้องจิตหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้
ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบ
เป็นอรรถ อนุปัสสนาญาณ 4 อุปัฏฐานานุสติ 8 สุตตันติกวัตถุในการ
พิจารณาจิตในจิต 4.
[416] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่เที่ยงหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่เที่ยงหายใจออกอย่างไร ?
คำว่า อนิจฺจํ ความว่า อะไรไม่เที่ยง เบญจขันธ์ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง
เพราะอรรถว่ากระไร ไม่เที่ยงเพราะอรรถว่าเกิดขึ้นและเสื่อมไป.

บุคคลเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแห่งเบญจขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะเท่าไร
เมื่อเห็นความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะเท่าไร เมื่อเห็นความ
เกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะเท่าไร ?
บุคคลเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแห่งเบญจขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะ 25 ฯลฯ
เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะ 50 นี้
บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่เที่ยงในรูปหายใจออก ย่อมศึกษาว่า
จักพิจารณาความไม่เที่ยงในรูปหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่
เที่ยงในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชรา
และมรณะ หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่เที่ยงในชราและ
มรณะหายใจออก ธรรมทั้งหลายด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความไม่เที่ยง
หายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ ธรรมปรากฏ ไม่ใช่สติ
สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลพิจารณาธรรมเหล่านั้นด้วยสตินั้น ด้วย
ญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือ การ
พิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างไร ?
ฯลฯ ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ
สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าความเป็นผู้พิจารณาความไม่เที่ยง ระวังลมหายใจเข้า
หายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถ
ความเป็นผู้พิจารณาความไม่เที่ยงหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้
ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทง
ตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.

[417] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคลายกำหนัดหายใจออก อย่างไร ?
บุคคลเห็นโทษในรูปแล้ว เป็นผู้เกิดฉันทะในความคลายกำหนัดในรูป
น้อมใจไปด้วยศรัทธา และมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคล้าย
กำหนัดในรูปหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคลายกำหนัด ในรูป
หายใจออก บุคคลเห็นโทษในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ใน
จักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ เป็นผู้เกิดฉันทะในความคลายกำหนัด ในชรา
และมรณะ และมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคลายกำหนัดใน
ชราและมรณะหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคลายกำหนัดในชรา
และมรณะหายใจออกธรรมทั้งหลายด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความคลาย
กำหนัดหายใจเข้าหายใจออก ปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ ธรรมปรากฏ
ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้น
ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา
คือ การพิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างไร ?
ฯลฯ ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้น อย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ
สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าความเป็นผู้พิจารณาความคลายกำหนัด ระวังลมหายใจเข้า
ลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถ
ความเป็นผู้พิจารณาความคลายกำหนดหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้
ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทง
ตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.

[418] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับหายใจเข้า ย่อม
ศึกษาว่า จักพิจารณาความดับหายใจออก อย่างไร ?
บุคคลเห็นโทษในรูปแล้ว เป็นผู้เกิดฉันทะในความดับในรูป น้อมใจ
ไปด้วยศรัทธา และมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในรูป
หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในรูปหายใจออก เห็นโทษใน
เวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในภิกษุ ฯลฯ โนชรา และมรณะ
แล้ว เป็นผู้เกิดฉันทะในความคับในชราและมรณะ น้อมใจไปด้วยศรัทธา
และมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในชราและมรณะหายใจ
เข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในชราและมรณะหายใจออก.
[419] โทษในอวิชชาย่อมมีด้วยอาการเท่าไร อวิชชาย่อมดับด้วย
อาการเท่าไร ? โทษในอวิชชาย่อมมีด้วยอาการ 5 อวิชชาย่อมดับด้วยอาการ 8.
โทษในอวิชชาย่อมมีด้วยอาการ 5 เป็นไฉน ? โทษในอวิชชาย่อมมี
ด้วยอรรถว่าไม่เที่ยง 1 ด้วยอรรถว่าเป็นทุกข์ 1 ด้วยอรรถว่าเป็นอนัตตา 1
ด้วยอรรถว่าเป็นเหตุให้เดือดร้อน 1 ด้วยอรรถว่าแปรปรวน 1 โทษใน
อวิชชาย่อมมีด้วยอาการ 5 เหล่านี้.
อวิชชาย่อมดับไปด้วยอาการ 8 เป็นไฉน? อวิชชาย่อมดับด้วยนิทาน
ดับ 1 ด้วยสมุทัยดับ 1 ด้วยชาติดับ 1 ด้วยอาหารดับ 1 ด้วยเหตุดับ 1
ด้วยปัจจัยดับ 1 ด้วยวิญญาณเกิดขึ้น 1 ด้วยนิโรธปรากฏ 1 อวิชชาย่อมดับ
ด้วยอาการ 8 เหล่านี้.
บุคคลเห็นโทษในอวิชชาด้วยอาการ 5 เหล่านี้แล้ว เป็นผู้เกิดฉันทะ
ในความดับแห่งอวิชชาด้วยอาการ 8 เหล่านี้ น้อมใจไปด้วยศรัทธา และมีจิต

ตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับแห่งอวิชชาหายใจเข้า ย่อมศึกษา
ว่า จักพิจารณาความดับแห่งอวิชชาหายใจออก.
[420] โทษในสังขารย่อมมีด้วยอาการเท่าไร สังขารย่อมดับด้วย
อาการเท่าไร ฯลฯ โทษในวิญญาณย่อมมีด้วยอาการเท่าไร วิญญาณย่อมดับ
ด้วยอาการเท่าไร โทษในนามรูปย่อมมีด้วยอาการเท่าไร นามรูปย่อมดับด้วย
อาการเท่าไร โทษในสฬายตนะย่อมมีด้วยอาการเท่าไร สฬายตนะย่อมดับด้วย
อาการเท่าไร โทษในสัมผัสย่อมมีด้วยอาการเท่าไร ผัสสะย่อมดับด้วยอาการ
เท่าไร โทษในเวทนาย่อมมีด้วยอาการเท่าไร เวทนาย่อมดับด้วยอาการเท่าไร
โทษในตัณหาย่อมมีด้วยอาการเท่าไร ตัณหาย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษใน
อุปาทานย่อมมีด้วยอาการเท่าไร อุปาทานย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษใน
ภพย่อมมีด้วยอาการเท่าไร ภพย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในชาติย่อมมี
ด้วยอาการเท่าไร ชาติย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในชราและมรณะย่อมมี
ด้วยอาการเท่าไร ชราและมรณะย่อมดับ ด้วยอาการเท่าไร ? โทษในชราและ
มรณะย่อมมีด้วยอาการ 5 ชราและมรณะย่อมดับด้วยอาการ 8.
โทษในชราและมรณะย่อมมีด้วยอาการ 5 เป็นไฉน ? โทษในชรา
และมรณะย่อมมีด้วยอรรถว่าไม่เที่ยง 1 ด้วยอรรถว่าเป็นทุกข์ 1 ด้วยอรรถว่า
เป็นอนัตตา 1 ด้วยอรรถว่าเป็นเหตุให้เดือดร้อน 1 ด้วยอรรถว่าแปรปรวน 1
โทษในชราและมรณะย่อมมีด้วยอาการ 5 เหล่านี้.
ชราและมรณะย่อมดับด้วยอาการ 8 เป็นไฉน ? ชราและมรณะย่อม
ดับด้วยนิทานดับ 1 ด้วยสมุทัย 1 ด้วยชาติดับ 1 ด้วยภพดับ 1 ด้วยเหตุดับ 1
ด้วยปัจจัยดับ 1 ด้วยญาณเกิด 1 ด้วยนิโรธเกิดขึ้น 1 ชรามรณะย่อมดับ
ด้วยอาการ 8 เหล่านี้.

บุคคลเห็นโทษด้วยชราและมรณะในอาการ 5 เหล่านี้แล้ว เป็นผู้เกิด
ฉันทะในความดับแห่งชราและมรณะด้วยอาการ 8 เหล่านี้ น้อมใจไปด้วย
ศรัทธา และมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในชราและมรณะ
หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในชราและมรณะหายใจออก
ธรรมทั้งหลายด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความดับหายใจเข้าหายใจออก
ปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ ธรรมทั้งหลายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏ
ด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้น ด้วยสตินั้น ด้วยญาณ
นั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณา
ธรรมในธรรมทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างไร ?
ฯลฯ ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ
สีลวิสุทธิ ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความดับ ระวังลมหายใจเข้า
ลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความ
เป็นผู้พิจารณาความดับหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์
ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอัน
มีความสงบเป็นประโยชน์.
[421] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนหายใจออก อย่างไร ?
ความสละคืนมี 2 อย่าง คือ ความสละคืนด้วยการบริจาค 1 ความ
สละคืนด้วยความแล่นไป 1 จิต (คิด) สละรูป เพราะฉะนั้นจึงเป็นความสละ
คืนด้วยการบริจาค จิตแล่นไปในนิพพานอันเป็นที่ดับรูป เพราะฉะนั้นจึงเป็น

ความสละคืนด้วยการแล่นไป บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืน
ในรูปหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนในรูปหายใจออก จิต
(คิด) สละเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ
เพราะฉะนั้น จึงเป็นความสละคืนด้วยการบริจาค จิตแล่นไปในนิพพานอันเป็น
ที่ดับชราและมรณะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นความสละคืนด้วยการแล่นไป บุคคล
ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนในชราและมรณะ หายใจเข้า ย่อม
ศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนในชราและมรณะหายใจออกธรรมทั้งหลาย
ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความสละคืนหายใจเข้าหายใจออก ปรากฏ
สติเป็นอนุปัสสนาญาณ ธรรมทั้งหลายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย
เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น
เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือ การพิจารณาธรรม
ในธรรมทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณา ธรรมเหล่านั้นอย่างไร ?
ย่อมพิจารณาโดยความไม่เที่ยง ไม่พิจารณาโดยความเที่ยง ฯลฯ ย่อมสละคืน
ไม่ถือมั่น เมื่อพิจารณาโดยความไม่เที่ยง ย่อมละนิจจสัญญาได้ ฯลฯ เมื่อ
สละคืน ย่อมสละความถือมั่นได้ ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี 4 คือ ภาวนา ด้วยอรรถว่า ธรรม
ทั้งหลายอันเกิดในภาวนานั้น ไม่ล่วงเกินกันฯลฯ ภาวนาด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ
สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าความเป็นผู้พิจารณา ความสละคืนระวังลมหายใจเข้าลม
หายใจออก จิตวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่านทิฏฐิวิสุทธิ ด้วยอรรถว่าเห็นความ
สำรวมในสีลวิสุทธินั้น เป็นอธิสีลสิกขา ความไม่ฟุ้งซ่านในจิตวิสุทธินั้น เป็น
อธิจิตสิกขา ความเห็นในทิฏฐิวิสุทธินั้น เป็นอธิปัญญาสิกขา บุคคลเมื่อคำนึง

ถึงสิกขา 3ประการนี้ศึกษาอยู่ เมื่อรู้ ศึกษาอยู่ ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์
เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความสละคืนหายใจเข้า
หายใจออก เวทนาปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป ฯลฯ
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณา
ความสละคืนหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลาย
ให้ประชุมลงย่อมรู้จักโคจร และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์
ย่อมยังพละทั้งหลายให้ประชุมลง ย่อมยังธรรมทั้งหลายให้ประชุมลง ย่อม
ยังมรรคให้ประชุมลง ย่อมยังธรรมทั้งหลายให้ประชุมลง ย่อมรู้จักโคจร และ
แทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
คำว่า ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง ความว่า ย่อมยัง
อินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลงอย่างไร ?
ย่อมยังสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่าน้อมใจเชื่อให้ประชุมลง ฯลฯ เพราะเหตุ
นั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์ อนุปัสสนา
ญาณ 8 อุปัฏฐานานุสติ 8 สุตตันติกวัตถุ ในการพิจารณาธรรมในธรรม
ทั้งหลาย 4 ญาณในความเป็นผู้ทำสติ 32 นี้.
[422] ญาณด้วยสามารถแห่งสมาธิ 24 เป็นไฉน ?
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว
เป็นสมาธิ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว
เป็นสมาธิ ฯลฯ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็น
ผู้เปลื้องจิตหายใจเข้าหายใจออก เป็นสมาธิ ญาณด้วยสามารถของสมาธิ 24
เหล่านี้.
ญาณด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา 72 เป็นไฉน ?

วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาลมหายใจเข้ายาว โดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาลมหายใจเข้ายาว โดยความเป็นทุกข์
วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาลมหายใจเข้ายาว โดยความเป็นอนัตตา
วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาลมหายใจออกยาว โดยความเป็นของไม่เที่ยง
วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาลมหายใจออกยาว โดยความเป็นทุกข์ วิปัสสนา
ด้วยอรรถว่าพิจารณาลมหายใจออกยาว โดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ วิปัสสนา
ด้วยอรรถว่าความเป็นผู้เปลื้องจิตพิจารณาลมหายใจเข้าหายใจออก โดยความ
เป็นของไม่เที่ยง วิปัสสนาด้วยอรรถว่าความ เป็นผู้เปลื้องจิตพิจารณาลมหายใจเช้า
หายใจออก โดยความเป็นทุกข์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้เปลื้องจิต
พิจารณาลมหายใจเข้าหายใจออก โดยความเป็นอนัตตา ญาณด้วยสามารถ
แห่งวิปัสสนา 72 เหล่านี้.
นิพพิทาญาณ 8 เป็นไฉน ? ญาณชื่อว่านิพพิทาญาณ เพราะอรรถ
ว่าเป็นเครื่องให้บุคคลผู้พิจารณาหายใจเข้า โดยความเป็นของไม่เที่ยง รู้เห็น
ตามความเป็นจริง เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องให้บุคคลผู้พิจารณาลมหายใจออก
โดยความเป็นของไม่เที่ยง รู้เห็นตามความเป็นจริง ฯลฯ ญาณชื่อว่านิพพิทา-
ญาณ เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องให้บุคคลพิจารณาความสละคืนลมหายใจเข้า
รู้เห็นตามความเป็นจริง เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องให้บุคคลผู้พิจารณาความ
สละคืนลมหายใจออก รู้เห็นตามความเป็นจริง นิพพิทาญาณ 8 เหล่านี้.
นิพพิทานุโลมญาณ 8 เป็นไฉน ? ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาลม
หายใจเข้า โดยความเป็นของไม่เที่ยง ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เป็น
นิพพิทานุโลมญาณ ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาลมหายใจออก โดยความเป็น
ของไม่เที่ยง ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เป็นนิพพิทานุโลมญาณ ฯลฯ
ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาสละคืนลมหายใจเข้าปรากฏ โดยความ

เป็นของน่ากลัว เป็นนิพพิทานุโลมญาณ ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาความ
สละคืนลมหายใจออกปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เป็นนิพพิทานุโลมญาณ
นิพพิทานุโลมญาณ 8 เหล่านี้.
นิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ 8 เป็นไฉน ? ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณา
ลมหายใจเข้าโดยความเป็นของไม่เที่ยง พิจารณาหาทางวางเฉยอยู่ เป็น
นิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาลมหายใจออกโดยความ
เป็นของไม่เที่ยง พิจารณาหาทางวางเฉยอยู่ เป็นนิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ ฯลฯ
นิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ 8 เหล่านี้.
ญาณในวิมุตติสุข 21 เป็นไฉน ? ญาณในวิมุตติสุขย่อมเกิดขึ้นเพราะ
ละเพราะตัดขาดซึ่งสักกายทิฏฐิด้วยโสดาปัตติมรรค. . . เพราะละ เพราะตัดขาด
ซึ่งวิจิกิจฉาด้วยโสดาปัตติมรรค. . . เพราะละ เพราะตัดขาดซึ่งสีลัพพตปรามาส
ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัยด้วยโสดาปัตติมรรค. . . เพราะละ เพราะตัดขาดซึ่ง
กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบ ๆ
ด้วยสกทาคามิมรรค . . . เพราะละ เพราะตัดขาดซึ่งกามราคสังโยชน์ ปฏิฆ-
สังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียด ๆ ด้วยอนาคามิมรรค
ญาณในวิมุตติสุขย่อมเกิดขึ้นเพราะละ เพราะตัดขาดซึ่งรูปราคะ อรูปราคะ มานะ
อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย และอวิชชานุสัย ด้วยอรหัตมรรค
ญาณในวิมุตติสุข 21 เหล่านี้ เมื่อบุคคลเจริญสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ
อันมีวัตถุ 16 ญาณ 200 เหล่านี้ อันสัมปยุตด้วยสมาธิ ย่อมเกิดขึ้น.
จบอานาปานกถา

อานาปานสติกถา ในมหาวรรค


1. อรรถกถาคณนวาร


บัดนี้ ถึงลำดับที่จะพรรณนาความที่ยังไม่เคยพรรณนา แห่งอานา-
ปานสติกถาที่ท่านกล่าวไว้ในลำดับแห่งทิฏฐิกถา.
จริงอยู่ อานาปานสติกถานี้ เป็นสมาธิภาวนาอันทำได้ง่ายเพื่อตรัสรู้
ตามความเป็นจริง แห่งโทษของทิฏฐิที่กล่าวไว้ดีแล้ว ในทิฏฐิกถา แห่งจิต
บริสุทธิ์ด้วยดี ด้วยการชำระมลทินแห่งมิจฉาทิฏฐิ. อนึ่ง ในสมาธิภาวนาทั้งปวง
อานาปานสติกถานี้ ท่านกล่าวไว้ในลำดับแห่งทิฏฐิกถาว่าเป็นสมาธิภาวนาและ
เป็นประธาน เพราะตรัสรู้ตามความเป็นจริง แห่งจิตตั้งมั่นแล้วด้วยสมาธินี้ ณ
โพธิมูล ของพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งปวง.
พึงทราบวินิจฉัยในอานาปานสติกถานั้นดังต่อไปนี้. บทว่า โสฬส-
วตฺถุกํ อนาปานสฺสติสมาธึ ภาวยโต สมธิกานิ เทฺว ญาณสตานิ
อุปฺปชฺชนฺติ
เมื่อพระโยคาวจรเจริญสมาธิอันปฏิสังยุตด้วยอานาปานสติ มี
วัตถุ 16 ญาณ 200 อันเนื่องมาแต่สมาธิย่อมเกิดขึ้น เป็นการยกขึ้นแสดง
จำนวนญาณ. บทมีอาทิว่า อฏฺฐ ปริปนฺเถ ญาณานิ ญาณในธรรมอัน
เป็นอันตราย 8 เป็นการชี้แจงจำนวนญาณ. บทต้นว่า กตมานิ อฏฺฐ ปริปนฺเถ
ญาณานิ
ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย 8 เป็นไฉน. บทสุดท้ายว่า อิมานิ
เอกวีสติ วิมุตฺติสุเข ญาณานิ
ญาณในวิมุตติสุข 21 เหล่านี้ เป็นการชี้แจง
ความพิสดารของญาณทั้งปวง. พึงทราบการกำหนดบาลีก่อนอย่างนี้ว่า บทมี