เมนู

เป็นทุกขานุปัสสนา โดยความเป็นของมีความตายเป็นธรรมดา เป็นอนิจจานุ-
ปัสสนา โดยความเป็นของมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดาเป็นทุกขานุปัสสนา โดย
ความเป็นของมีความคร่ำครวญเป็นธรรมดาเป็นทุกขานุปัสสนา โดยความเป็น
ของมีความคับแค้นเป็นธรรมดา เป็นทุกขานุปัสสนา โดยความเป็นของมี
ความเศร้าหมองเป็นธรรมดา เป็นทุกขานุปัสสนา.
ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ 40 นี้ ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
ด้วยอาการ 40 นี้.
ภิกษุผู้ได้อนุโลมขันติด้วยอาการ 40 นี้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยามด้วย
อาการ 40 นี้ มีอนิจจานุปัสสนาเท่าไร มีทุกขานุปัสสนาเท่าไร มีอนัตตานุ-
ปัสสนาเท่าไร ?
ท่านกล่าวว่า มีอนิจจานุปัสสนา 50 มีทุกขานุปัสสนา 125
มีอนัตตานุปัสสนา 25 ฉะนี้แล.
จบวิปัสสนากถา

อรรถกถาวิปัสสนากถา


บัดนี้ จะพรรณนาตามความที่ยังไม่พรรณนาแห่งวิปัสสนากถาอันมีพระ
สูตรเป็นเบื้องต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงประเภทแห่งวิปัสสนาใน
ลำดับแห่งสติปัฏฐานกถาปฏิสังยุตด้วยวิปัสสนาตรัสแล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้นก่อนดังต่อไปนี้ บทว่า โส เพราะ
เป็นสรรพนาม จึงเป็นอันสงเคราะห์ภิกษุแม้ทั้งหมดที่มีอยู่. บทว่า วต

เป็นนิบาตลงในอรรถเอกังสะ. (ทำบทให้เต็ม). บทว่า กญฺจิ สงฺขารํ สัง-
ขารไร ๆ คือสังขารแม้มีประมาณน้อย. ในบทว่า อนุโลมิกาย ขนฺติยา ด้วย
อนุโลมขันตินี้มีความดังนี้. ชื่อว่า อนุโลมิกะ เพราะวิปัสสนานั่นแหละย่อม
อนุโลมโลกุตรมรรค ชื่อว่าอนุโลมิกา เพราะเพ่งถึงขันตินั่นแหละ ชื่อว่า
ขนฺติ เพราะสังขารทั้งปวงย่อมพอใจย่อมชอบใจแก่ภิกษุนั้นโดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยเป็นอนัตตา. ขันตินั้นมี 3 อย่าง คือ อย่าง
อ่อน 1 อย่างกลาง 1 อย่างกล้า 1 ขันติมีการพิจารณาเป็นกลาปะ (กลุ่มก้อน)
เป็นเบื้องต้น มีอุทยัพพยญาณเป็นที่สุด เป็นอนุโลมขันติอย่างอ่อน ขันติมี
การพิจารณาถึงความดับเป็นเบื้องต้น มีสังขารอุเบกขาญาณเป็นที่สุดชื่อว่า
อนุโลมขันติอย่างกลาง ขันติเป็นอนุโลมญาณ (ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแก่
กำหนดรู้อริยสัจ) ชื่อว่าอนุโลมขันติอย่างกล้า. บทว่า สมนฺนาคโต ประกอบ
แล้วคือเข้าถึงแล้ว. บทว่า เนตํ ฐานํ วิชฺชติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้คือ
ไม่เป็นฐานะไม่เป็นเหตุที่จะมีได้ตามที่กล่าวแล้ว. ในบทนี้ว่า สมฺมตฺตนิยามํ
สัมมัตตนิยาม (ความชอบและความแน่นอน) นี้มีความดังนี้. ชื่อว่า สมฺมตฺ-
โต
เพราะเป็นสภาวะชอบโดยความหวังอย่างนี้ว่า จักนำประโยชน์เกื้อกูล
และความสุขมาให้แก่เราโดยความเจริญอย่างนั้น และโดยปรากฏความเป็นไป
อันไม่วิปริต ในสิ่งไม่งามเป็นต้นว่าเป็นของงาม ชื่อว่านิยาโม เพราะเป็นความ
แน่นอนด้วยการให้ผลในลำดับและด้วยการบรรลุพระอรหัต ความว่าการตั้งใจ
แน่วแน่. ชื่อว่า สมฺมตฺตนิยาโม เพราะความชอบและความแน่นอน. นั้น
คืออะไร คือโลกุตรมรรค แต่โดยพิเศษก็คือโสดาปัตติมรรค. ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า นิยโต สมฺโพธิปรายโน มีการตรัสรู้ในเบื้องหน้า
แน่นอน เพราะแน่นอนด้วยมรรคนิยาม สู่สัมมัตตนิยามนั้น. บทว่า โอกฺก-

มิสฺสติ จักย่างลงคือจักเข้าไป อธิบายว่าข้อนั้นมิใช่ฐานะ อนึ่ง พึงทราบว่า
ท่านไม่ยึดถือฐานะนั้นเพราะความที่โคตรภูเป็นที่ตั้งแห่งอาวัชชนะของมรรค
แล้วกล่าวถึงการก้าวลงสู่สัมมัตตนิยามในลำดับแห่งอนุโลมขันติ.
อีกอย่างหนึ่ง ในมหาวิปัสสนา 18 โคตรภูเป็นวิวัฏฏนานุปัสสนา
(การพิจารณาถึงนิพพาน) ถึงเหตุนั้น จึงเป็นอันสงเคราะห์เข้าในอนุโลมิกขันติ
นั่นแหละ แม้ใน 4 สูตรก็พึงทราบความโดยนัยนี้แหละด้วยบทเหล่านั้น ท่าน
กล่าว 4 สูตรไว้ในฉักกนิบาตว่าธรรม 6 อย่าง ด้วยสามารถอนุโลมิกขันติ
สัมมัตตนิยามและอริยผล 4 เป็นความจริง สูตร 4 สูตร ย่อมมีด้วยปักษ์ทั้ง
สองคือกัณหปักษ์และศุกลปักษ์.
พระโยคาวจรผู้เริ่มวิปัสสนาด้วยการพิจารณากลาปะกำหนดนามรูป
และปัจจัยแห่งนามรูปในบททีอาทิว่า ปญฺจกฺขนฺเธ อนิจฺจโต พิจารณาเห็น
เบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่เที่ยงในสุตตันตนิเทศอันมีคำถามเป็นเบื้องต้น
ว่า กตีหากาเรหิ ด้วยอาการเท่าไรแล้วเห็นว่าขันธ์หนึ่ง ๆ ในขันธ์ 5 ไม่เที่ยง
โดยความเป็นของไม่เที่ยงเพราะปรากฏแล้วและเพราะมีเบื้องต้นและที่สุด.
โดยความเป็นทุกข์ เพราะมีเกิดดับ และบีบคั้นและเพราะเป็นที่ตั้งแห่ง
ทุกข์.
โดยความเป็นโรค เพราะยังชีวิตให้เป็นไปด้วยปัจจัยและเพราะเป็นเหตุ
แห่งโรค.
โดยเป็นดังหัวฝี เพราะประกอบด้วยความทุกข์และความเสียดแทง
เพราะอสุจิคือกิเลสไหลออก และเพราะบวมแก่จัดและแตกด้วยเกิดแก่และดับ.

โดยความเป็นดังลูกศร เพราะให้เกิดความบีบคั้น เพราะเสียดแทง
ภายใน และเพราะนำออกได้ยาก.
โดยความลำบาก เพราะน่าติเตียน เพราะนำความไม่เจริญมาให้ และ
ความชั่วร้าย.
โดยความป่วยไข้ เพราะให้เกิดความไม่มีเสรี และเพราะเป็นที่ตั้งแห่ง
ความอาพาธ.
โดยความเป็นอย่างอื่น เพราะไม่มีอำนาจและเพราะไม่เชื่อฟัง.
โดยความเป็นของชำรุดด้วยพยาธิชราและมรณะ.
โดยความเป็นเสนียด เพราะนำความพินาศไม่น้อยมาให้.
โดยความเป็นอุบาทว์ เพราะนำความพินาศมากมายอันไม่รู้แล้วมาให้
และเพราะเป็นวัตถุแห่งอันตรายทั้งปวง.
โดยความเป็นภัย เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งภัยทั้งปวง และเพราะเป็น
ปฏิปักษ์แห่งความหายใจเข้าเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือสงบยากโดยความเป็นอุปสรรค
เพราะถูกความพินาศไม่น้อยติดตาม เพราะเกี่ยวข้องด้วยโทสะ และเพราะอด
กลั้นไม่ได้ดุจอุปสรรค.
โดยความหวั่นไหว เพราะหวั่นไหวด้วยพยาธิชราและมรณะและโลก-
ธรรมมีลาภเป็นต้น.
โดยความผุพัง เพราะเข้าถึงความผุพังด้วยความพยายามและด้วยหน้าที่.
โดยความไม่ยั่งยืน เพราะสิ่งที่ตั้งอยู่ตกไป และเพราะความไม่มีความ
มั่นคง.
โดยความเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน เพราะต้านทานไม่ได้และเพราะ
ไม่ได้รับความปลอดโปร่ง.

โดยความเป็นของไม่มีอะไรลับลี้ เพราะไม่ควรเพื่อติดและเพราะแม้
สิ่งที่ติดก็ไม่ทำการป้องกันได้.
โดยความไม่เป็นที่พึ่ง เพราะไม่มีสิ่งที่อาศัยอันจะเป็นสาระในความกลัว
ได้.
โดยความเป็นของว่าง เพราะว่างจากความยั่งยืนความสุขและอาหาร
อร่อยตามที่กำหนดไว้.
โดยความเป็นของเปล่า เพราะเป็นของว่างนั่นเอง หรือเพราะเป็นของ
น้อย เพราะของแม้น้อยท่านก็กล่าวว่าเป็นของเปล่าในโลก.
โดยความเป็นของสูญ เพราะปราศจากเจ้าของที่อยู่อาศัยผู้รู้ผู้กระทำ
ผู้ตั้งใจ
โดยความเป็นอนัตตา เพราะตนเองไม่เป็นเจ้าของเป็นต้น.
โดยความเป็นโทษ เพราะเป็นทุกข์ประจำและความที่ทุกข์เป็นโทษ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อาทีนโว เพราะฟุ้งไปคือเป็นไปแห่งโทษ
ทั้งหลาย บทนี้เป็นชื่อของมนุษย์ขัดสน. อนึ่ง แม้ขันธ์ 5 ก็เป็นความขัดสน
เหมือนกัน เพราะเหตุนั้น ชื่อว่าโดยความเป็นโทษ เพราะเป็นเช่นกับโทษ
นั่นเอง.
โดยมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะตามปกติก็แปรปรวน
โดยสองส่วน คือ โดยชราและมรณะ.
โดยความไม่มีสาระ เพราะไม่มีกำลังและเพราะทำลายความสุขดุจกระพี้.
โดยความเป็นเหตุแห่งความลำบาก เพราะเป็นเหตุแห่งความชั่วร้าย.
โดยความเป็นดังฆาตกร เพราะทำลายความวิสาสะดุจข้าศึก ปากพูดว่า
เป็นมิตร.

โดยปราศจากความเจริญ เพราะหมดความเจริญ และความสมบูรณ์.
โดยเป็นของมีอาสวะ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ.
โดยเป็นของอันปัจจัยปรุงแต่ง เพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่ง.
โดยความเป็นเหยื่อของมาร เพราะเป็นเหยื่อของมัจจุมารและกิเลสมาร.
โดยความเป็นของมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา เพราะมี
ชาติ ชรา พยาธิ และมรณะเป็นปกติ.
โดยเป็นของมีความโศก ความคร่ำครวญ ความดับแค้นเป็นธรรมดา
เพราะมีความโศก ความคร่ำครวญ และความคับแค้นเป็นเหตุ.
โดยความเป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา เพราะความที่ตัณหา
ทิฏฐิทุจริตและสังกิเลสเป็นวิสยธรรมดา.
อนึ่ง ในบทเหล่านั้นทั้งหมดพึงเห็นปาฐะที่เหลือว่า ปสฺสติ ดังนี้.
บทว่า ปญฺจกฺขนฺเธ ขันธ์ 5 แม้เมื่อกล่าวโดยส่วนรวมก็พึงทราบว่า ท่าน
กล่าวพรรณนาอรรถด้วยขันธ์หนึ่ง ๆ เพราะมาต่างหากกันในกลาปสัมมสนนิเทศ
เพราะในที่สุดคำนวณอนุปัสสนา ด้วยสามารถขันธ์ทั้งหลายต่างหากกัน และ
เพราะมีความเป็นไปแม้ในส่วนอวัยวะ แห่งคำที่เป็นไปในส่วนรวมกัน. อีก
อย่างหนึ่ง พึงทราบว่าท่านกล่าวว่า ปญฺจกฺขนฺเธ ด้วยการกล่าวย่อมสัมมสนะ
อันเป็นไปต่างหากกันร่วมเป็นอันเดียวกัน. อีกอย่างหนึ่ง การพิจารณาขันธ์ 5
เป็นอันเดียวกัน เพราะปรากฏคำในอรรถกถาว่า ด้วยการประหารครั้งเดียว
ขันธ์ 5 ก็ออกไปดังนี้ ย่อมควรทีเดียว.
บทว่า ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ นิโรโธ นิจฺจํ นิพฺพานนฺติ ปสฺสนฺโต
เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเที่ยว คือ เมื่อพิจารณา
เห็นว่า นิพพานเที่ยงด้วยอำนาจแห่งญาณอันเป็นทางสงบ ในกาลแห่งวิปัสสนา
ตามที่กล่าวแล้วในอาทีนวญาณนิเทศ. บทว่า สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติ

ย่อมหยั่งลงสู่สัมมัตตนิยาม คือ ย่อมหยั่งลงในขณะแห่งมรรค ก็ชื่อว่าหยั่งลง
ในขณะแห่งผลด้วย ในปริยายแห่งการหยั่งลงในนิยามทั้งหมดก็มีนัยนี้เหมือน
กัน. บทว่า อาโรคยํ คือความไม่มีโรค. บทว่า วิสลฺลํ คือปราศจากลูกศร
ในบทเช่นนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อนาพาธํ คือปราศจากอาพาธ หรือ
เป็นปฏิปักษ์ต่ออาพาธ. ในบทเช่นนี้ก็นัยนี้ บทว่า อปรปจฺจยํ คือปราศจาก
ปัจจัยอื่น อาจารย์บางพวกกล่าวประกอบกันว่า อุปสฺสคฺคโตติ จ อนุปสฺ-
สคฺคนฺติ จ
เห็นขันธ์ 5 โดยมีอุปสรรคและนิพพานไม่มีอุปสรรค. บทว่า
ปรมสุญฺญํ สูญอย่างยิ่ง ชื่อว่าสูญอย่างยิ่ง เพราะสูญจากสังขารทั้งหมด และ
เพราะสูญอย่างสูงสุด. บทว่า ปรมตฺถํ มีประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะเป็น
ของเลิศกว่าสังขตะและอสังขตะ เป็นนปุงสกลิงค์เพราะลิงควิปลาส. ท่านไม่
กล่าวปริยายโดยอนุโลมในสองบทนี้ เพราะนิพพานเป็นของสูญและเพราะเป็น
อนัตตา. บทว่า อนาสวํ คือปราศจากอาสวะ. บทว่า นิรามิสํ คือปราศจาก
อามิส. บทว่า อชาตํ คือไม่เกิดเพราะปราศจากความเกิด. บทว่า อมตํ
คือปราศจากความตายเพราะไม่ดับ. จริงอยู่ แม้ความตายท่านก็กล่าวว่า มตํ
เพราะเป็นนปุงสกลิงค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำการสงเคราะห์เป็นอันเดียวกันในอนุปัสสนา
3 ด้วยสงเคราะห์ตามสภาวธรรมในอนุปัสสนา 40 อันแตกต่างกันโดยอาการ
ดังกล่าวแล้วตามลำดับนี้ ด้วยประการฉะนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า อนิจฺจโตติ
อนิจฺจานุปสฺสนา
การพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็น
อนิจจานุปัสสนา พึงประกอบในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาตามสมควร
ในอนุปัสสนาเหล่านั้น แต่ในที่สุดท่านแสดงอนุปัสสนาเหล่านั้น ด้วยการ
คำนวณต่างกัน.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจวีสติ 25 คือ อนัตตานุปัสสนา 25
ในขันธ์ 5 ทำขันธ์หนึ่ง ๆ อย่างละ 5 คือ ปรโต (โดยเป็นอย่างอื่น) 1
ริตฺตโต (โดยเป็นของว่าง) 1 ตุจฺฉโต (โดยเป็นของเปล่า) 1 สุญฺญโต
(โดยเป็นของสูญ) 1 อนตฺตโต (โดยเป็นอนัตตา) 1.
บทว่า ปญฺญาส 50 คือ อนิจจานุปัสสนา 50 ในขันธ์ 5 ทำขันธ์
หนึ่ง ๆ อย่างละ 10 คือ อนิจฺจโต (โดยเป็นของไม่เที่ยง) 1 ปโลกโต
(โดยการทำลาย) 1 จลโต (โดยความหวั่นไหว) 1. ปภงฺคุโต (โดยความ
ผุพัง) 1 อทฺธุวโต (โดยความไม่ยั่งยืน) 1 วิปริณามธมฺมโต (โดยความ
แปรปรวนเป็นธรรมดา) 1 อสารกโต (โดยความไม่มีสาระ) 1 วิภวโต
(โดยปราศจากความเจริญ) 1 สงฺขโต (โดยปัจจัยปรุงแต่ง) 1 มรณธมฺมโต
(โดยมีความตายเป็นธรรมดา) 1.
บทว่า สตํ ปญฺจวีสติ 125 คือ ทุกขานุปัสสนา 125 ในขันธ์ 5
ทำขันธ์หนึ่ง ๆ อย่างละ 25 มีอาทิว่า ทุกฺขโต โรคโต. บทว่า ยานิ ทุกฺเข
ปวุจฺจเร
พึงทราบการเชื่อม ความว่า อนุปัสสนาที่ท่านกล่าวด้วยสามารถ
การคำนวณขันธปัญจกอันเป็นทุกข์ 125 อย่าง. อนึ่ง ในบทว่า ยานิ นี้
พึงเห็นว่าเป็นลิงควิปลาส.
จบอรรถกถาวิปัสสนากถา

ปัญญาวรรค มาติกากถา


ว่าด้วยเนกขัมมะ


[737] บุคคลผู้ไม่มีความหิว ย่อมหลุดพ้น เพราะเหตุนั้น ความ
หลุดพ้น เป็นวิโมกข์ วิชชาวิมุตติ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ปัสสัทธิ
ญาณทัสนะ สุทธิ เนกขัมมะ นิสสรณะ ปวิเวก โวสสัคคะ จริยา ฌานวิโมกข์
ภาวนาธิษฐานชีวิต.
คำว่า นิจฺฉาโต ความว่า บุคคลผู้ไม่มีความหิว ย่อมหลุดพ้นจาก
กามฉันทะ ด้วยเนกขัมมะ ผู้ไม่มีความหิว ย่อมหลุดพ้นจากพยาบาทด้วยความ
ไม่พยาบาท ฯลฯ ผู้ไม่มีความหิว ย่อมหลุดพ้น จากนิวรณ์ด้วยปฐมฌาน ฯลฯ
ผู้ไม่มีความหิว ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงด้วยอรหัตมรรค.
คำว่า วิโมกฺโข ความว่า เนกขัมมะชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า
เป็นเครื่องพ้นจากกามฉันทะ ความไม่พยาบาทชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า
เป็นเครื่องพ้นจากพยาบาท ฯลฯ ปฐมฌานชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า เป็น
เครื่องพ้นจากนิวรณ์ ฯลฯ อรหัตมรรคชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า เป็น
เครื่องพ้นจากกิเลสทั้งปวง.
คำว่า วิชฺชาวิมุตฺติ ความว่า เนกขัมมะชื่อว่า วิชชา เพราะอรรถว่า
มีอยู่ ชื่อว่าวิมุตติ เพราะอรรถว่า หลุดพ้นจากกามฉันทะ ชื่อว่าวิชชาวิมุตติ
เพราะอรรถว่า มีอยู่หลุดพ้น หลุดพ้นมีอยู่ ความไม่พยาบาทชื่อว่าวิชชา
เพราะอรรถว่า มีอยู่ ชื่อว่าวิมุตติ เพราะอรรถว่า หลุดพ้นจากพยาบาท
ชื่อว่าวิชชาวิมุตติ เพราะอรรถว่า มีอยู่หลุดพ้น หลุดพ้นมีอยู่ ฯลฯ อรหัตมรรค