เมนู

อรรถกถาปาฏิหาริยกถา


บัดนี้ จะพรรณนาตามความที่ยังไม่เคยพิจารณา แห่งปาฏิหาริยกถาอันมี
พระสูตรเป็นเบื้องต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์มีการพร่ำสอน
ประโยชน์แก่โลกเป็นที่สุด ในลำดับแห่งจริยากถาอันมีความพระพฤติเป็นประ-
โยชน์แก่โลกเป็นที่สุดครบแล้ว.
ในพระสูตรนั้นพึงทราบความดังต่อไปนี้ก่อน บทว่า ปาฏิหาริยานิ
คือปาฏิหาริย์ด้วยการนำสิ่งเป็นข้าศึกออกไปคือนำกิเลสออกไป. บทว่าอิทฺธิปา-
ฏิหาริยํ
อิทธิปาฏิหาริย์ชื่อว่า อิทธิ ด้วยความสำเร็จ ชื่อว่าปาฏิหาริยะ ด้วย
การนำออกไป อิทธินั่นแหละเป็นปาฏิหาริยะจึงชื่อว่าอิทธิปาฏิหาริย์ ส่วนใน
ปาฏิหาริย์นอกนี้ชื่อว่า อาเทศนา ด้วยการดักใจ ชื่อว่า อนุศาสนี ด้วย
การพร่ำสอน บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. บทว่า อิธ คือในโลกนี้.
บทว่า เอกจฺโจ คือบุรุษคนหนึ่ง อิทธิปาฏิหาริยนิเทศมีอรรถดังกล่าวไว้แล้ว
ในหนหลัง. บทว่า นิมิตฺเตน อาทิสติ ย่อมทายใจตามนิมิตคือย่อมกล่าว
ด้วยนิมิตที่มาแล้วด้วยนิมิตที่ไปแล้วหรือด้วยนิมิตแห่งจิต.
บทว่า เอวมฺปิ เต มโน ใจของท่านเป็นอย่างนี้ คือใจของท่านเป็น
อย่างนี้มีโสมนัส มีโทมนัสหรือสัมปยุตด้วยกามวิตกเป็นต้น อปิศัพท์ เป็น
สัมบิณฑนัตถะ (มีความรวมกัน). บทว่า อิตฺถมฺปิ เต มโน ใจของท่าน
เป็นประการนี้ คือ แสดงประการต่าง ๆ ในจิตแม้อย่างหนึ่ง ๆ จากจิตมีโสมนัส
เป็นต้น. บทว่า อิติปิ เต จิตฺตํ จิตของท่านเป็นดังนี้ คือ จิตของท่านแม้
เป็นดังนี้ ความว่า จิตคิดถึงประโยชน์ ๆ เป็นไป. บทว่า พหุญฺเจปิ อาทิสติ

แม้ภิกษุนั้นทายใจเป็นอันมาก คือ กล่าวแม้มากว่าจิตนี้ จิตนี้อื่นจากจิตได้มีแล้ว
ย่อมมี จักมี. บทว่า ตเถว ตํ โหติ โน อญฺญถา การทายใจนั้นก็เป็นอย่าง
นั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือการทายใจก็เป็นเหมือนที่กล่าวทั้งหมด ไม่เป็นอย่างอื่น
บทว่า น เหว โข นิมิตฺเตน อาทิสติ ภิกษุไม่ทายใจตามนิมิตเลยคือแม้รู้
นิมิตอยู่ก็ไม่กล่าวตามนิมิตอย่างเดียว. บทว่า อปิจ เป็นบทแสดงปริยายอื่น
อีก. บทว่า มนุสฺสานํ คือแห่งมนุษย์ผู้ยังจิตให้เกิด. บทว่า อมนุสฺสานํ
คือยักษ์ปีศาจเป็นต้นที่ได้ฟังแล้วหรือยังไม่ได้ฟัง. บทว่า เทวตานํ คือเทวดา
ชั้นจาตุมมหาราชิกาเป็นต้น. บทว่า สทฺทํ สุตฺวา ฟังเสียงแล้วคือฟังเสียง
ของผู้รู้จิตของคนอื่นแล้วกล่าว. บทว่า ปน เป็นนิบาต ลงในความริเริ่มอีก.
บทว่า วิตกฺกยโต ของผู้วิตกคือของผู้ตรึกด้วยวิตกตามธรรมดา. บทว่า
วิจารยโต ของผู้ครองด้วยวิจารสัมปยุตด้วยวิตกนั่นเอง. บทว่า วิตกฺก-
วิจารสทฺทํ สุตฺวา
ฟังเสียงวิตกวิจารคือฟังเสียงละเมอของคนหลับคน
ประมาทบ่นพึมพำอันเกิดขึ้นด้วยกำลังของวิตก ย่อมทายมีอาทิว่าใจของท่าน
เป็นดังนี้ด้วยอำนาจแห่งเสียงที่เกิดขึ้นแก่ผู้วิตก.
บทว่า อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธึ สมาธิอันไม่มีวิตกไม่มีวิจารท่าน
กล่าวแสดงความสามารถในการรู้จิตอันสงบปราศจากวิตกวิจารและความกำเริบ
แต่ไม่ต้องกล่าวในความรู้จิตที่เหลือ. บทว่า เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติ
กำหนดใจด้วยใจย่อมรู้ เป็นการได้เจโตปริยญาณ. บทว่า โภโต คือผู้เจริญ.
บทว่า มโนสงฺขารา ปณิหิตา ตั้งมโนสังขารไว้ คือ ตั้งจิตสังขารไว้.
บทว่า อมุนฺนาม วิตกฺกํ วิตกฺเกสฺสติ จักตรึกถึงวิตกชื่อโน้น คือย่อม
รู้ว่าจักตรึกจักประพฤติวิตกมีกุศลวิตกเป็นต้น อนึ่ง เมื่อรู้ย่อมรู้ด้วยการเข้าถึง
ย่อมรู้โดยส่วนเบื้องต้น ตรวจดูจิตในภายในสมาบัติแล้วรู้ ย่อมรู้ว่าภิกษุนั้นเริ่ม
กสิณภาวนายังปฐมฌานทุติยฌานเป็นต้นหรือยังสมาบัติ 8 ให้เกิดด้วยอาการใด

การบริกรรมกสิณนั้นแหละชื่อว่าย่อมรู้ด้วยการเข้าถึง เมื่อเริ่มปฐมวิปัสสนาย่อมรู้
ย่อมรู้ว่าภิกษุนั้นเริ่มวิปัสสนา ยังโสดาปัตติมรรคให้เกิด ฯลฯ หรือยังอรหัต-
มรรคให้เกิดด้วยอาการใด ชื่อว่าย่อมรู้โดยส่วนเบื้องต้น ย่อมรู้ว่ามโนสังขาร
ตั้งอยู่แก่จิตนี้ ภิกษุจักตรึกถึงจิตชื่อนี้ในลำดับแห่งจิตชื่อนี้ หรือเมื่อภิกษุ
ออกจากจิตนี้ สมาธิอันเป็นส่วนแห่งความเสื่อมจักมีจักให้สมาธิอันเป็นส่วนแห่ง
ความตั้งอยู่ อันเป็นส่วนแห่งความวิเศษอันเป็นส่วนแห่งความทำลาย หรือ
อภิญญาด้วยอาการใดชื่อว่าตรวจดูจิตในภายในสมาบัติแล้วรู้. บทว่า พหุญฺเจปิ
อาทิสติ
ถึงแม้ภิกษุนั้นทายใจไว้เป็นอันมาก คือถึงแม้กล่าวไว้เป็นอันมาก
ด้วย ประเภท 16 มี สราคะเป็นต้นเพราะทำเจโตปริยญาณให้เป็นอารมณ์แห่ง
จิตและเจตสิก พึงทราบว่ามิใช่ด้วยสามารถอย่างอื่น. บทว่า ตเถว ตํ โหติ
การทายใจนั้นก็เป็นอย่างนั้น คือการรู้โดยเจโตปริยญาณก็เป็นอย่างนั้นโดย
ส่วนเดียวไม่มีโดยประการอื่น. บทว่า เอวํ วิตกฺเกถ จงตรึกอย่างนี้คือจงตรึก
ยังเนกขัมมวิตกเป็นต้นให้เป็นไปอย่างนี้. บทว่า มา เอวํ วิตกฺกยิตฺถ จง
อย่าตรึกอย่างนี้ คือจงอย่าตรึกให้กามวิตกเป็นต้นเป็นไปอย่างนี้. บทว่า เอวํ
มนสิ กโรถ
จงทำไว้ในใจอย่างนี้คือจงทำไว้ในใจซึ่งอนิจจสัญญาหรือในทุกข-
สัญญาเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง. บทว่า มาเอวํ มนสากริตฺถ จงอย่าทำในใจ
อย่างนี้คือจงอย่าทำในใจโดยนัยมีอาทิว่าเที่ยงเป็นต้นอย่างนี้. บทว่าอิทํ ปชหถ
จงละธรรมนี้คือจงละกามคุณ 5 และราคะเป็นต้นนี้. บทว่า อิทํ อุปสมฺปชฺช
วิหรถ
จงเข้าถึงธรรมนี้อยู่เถิด คือ จงบรรลุให้สำเร็จโลกุตรธรรมอันมี
ประเภทเป็นมรรค 4 ผล 4 นี้อยู่เถิด.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะแสดงปริยายอื่นในอิทธิปาฏิหาริย์โดย
วิเศษจึงกล่าวคำมีอาทิว่า เนกฺขมฺมํ อิชฺฌตีติ อิทฺธิ ชื่อว่าอิทธิเพราะเนก-

ขัมมะย่อมสำเร็จในบทเหล่านั้น. บทว่า กามฉนฺทํ ปฏิหรติ เนกขัมมะย่อม
กำจัดกามฉันทะได้ คือเนกขัมมะเป็นกำลังเฉพาะย่อมนำออกคือละกามฉันทะอัน
เป็นปฏิปักษ์ของตน เพราะเหตุนั้น เนกขัมมะนั่นแหละ จึงชื่อว่าปาฏิหาริยะ. บท
ว่า เย เตน เนกฺขมฺเมน สมนฺนาคตา ชนเหล่าใดประกอบด้วยเนกขัมมะนั้น
คือ บุคคลเหล่าใดประกอบด้วยเนกขัมมะนั้นนำกามฉันทะออกไปอย่างนี้ด้วย
การได้เฉพาะ. บทว่า วิสุทฺธจิตฺตา คือมีจิตบริสุทธิ์เพราะไม่มีกามฉันทะ.
บทว่า อนาวิลสงฺกปฺปา มีความดำริไม่ขุ่นมัว คือมีความดำริในเนกขัมมะไม่
ขุ่นมัวด้วยการดำริถึงกาม. บทว่า อิติ อาเทสนาปาฏิหาริยํ เพราะเหตุนั้น
เนกขัมมะจึงเป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ คือ เนกขัมมะเป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์อย่าง
นี้ด้วยจิตเป็นอื่นเป็นกุศล ด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอื่นหรือด้วยพระพุทธสาวก
ทั้งหลาย.
อีกอย่างหนึ่ง พึงประกอบทำอาเทสนศัพท์ให้เป็นปาฐะที่เหลือ
เพราะเหตุนั้น การทายใจอย่างนี้ชื่อว่าอาเทศนาปาฏิหาริยะ. บทว่า เอวํ อาเส-
วิตพฺพํ
พึงเสพอย่างนี้ คือพึงเสพด้วยประการนี้แต่ต้นใน 3 บทที่เหลือก็มีนัยนี้
เหมือนกัน. บทว่า ตทนุธมฺมตา สติ อุปฏฺฐาเปตพฺพา พึงตั้งสติเป็นธรรมดา
ตามสมควรคือพึงตั้งสติอันช่วยเนกขัมมะนั้นให้ยิ่งยวดใน บทว่า อิติ อนุสาส-
นีปฏิหาริยํ
เพราะเหตุนั้น เนกขัมมะจึงเป็นอนุศาสนีปาฏิหาริยะนี้พึงทำการ
ประกอบดุจด้วยการประกอบอาเทศนาปาฏิหาริยะ แม้ในพยาบาทเป็นต้นก็มี
นัยนี้เหมือนกัน แต่ปาฐะท่านย่อฌานเป็นต้นแล้วเขียนแสดงอรหัตมรรคไว้ใน
ที่สุด พึงทราบว่าท่านกล่าวบทมีอาทิว่า เอวํ อาเสวิตพฺโพ พึงเสพอย่างนี้
ด้วยเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งมรรคเพราะเป็นไปในขณะจิตดวงเดียว จริงอยู่พึง
ทราบว่า เมื่อยังมรรคให้เกิดด้วยวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินีกล่าวคือโลกิยะ

มรรคอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งมรรค เมื่อทำอาเสวนะเป็นต้นแล้วแม้มรรค
เกิดขึ้นด้วยวิปัสสนานั้นก็เป็นอันชื่อว่าเสพแล้ว เจริญแล้วทำให้มากแล้ว. ฝ่าย
อาจารย์ผู้เป็นสัพพัตถิกวาท (มีวาทะทุกอย่างมีประโยชน์) กล่าวว่ามรรคหนึ่งๆ
มี 16 ขณะ แต่การตั้งสติเป็นธรรมดาตามสมควรแก่มรรคนั้น ย่อมพยายามใน
ส่วนเบื้องต้นเท่านั้น. เพื่อแสดงความที่ บทว่า อิทฺธิปาฏิหาริยํ เป็นกัมมธารย-
สมาสท่านจึงกล่าวบทมีอาทิว่า เนกฺขมฺมํ อิชฺฌตีติ อิทฺธิ อีกครั้ง เมื่อ
ท่านกล่าวความที่อิทธิปาฏิหาริยะเป็นสมาสใน 3 ปาฏิหาริย์ ดังกล่าวแล้วใน
พระสูตรก็เป็นอันกล่าวถึงแม้ปาฏิหาริยะสองที่เหลือด้วย เพราะเหตุนั้น พึงทราบ
ว่าท่านกล่าวอรรถแห่งสมาสของอิทธิปาฏิหาริย์อันเป็นบทต้นในปริยายนี้แล.
จบอรรถกถาปาฏิหาริยกถา

ปัญญาวรรค สมสีสกถา


ว่าด้วยธรมสงบและธรรมส่วนสำคัญ


[723] ปัญญาในความไม่ปรากฏแห่งธรรมทั้งปวง ในสัมมาสมุจ-
เฉทและในนิโรธ เป็นญาณในความว่าสมธรรมและสีสธรรม
คำว่า ธรรมทั้งปวง คือขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 กุศลธรรม
อกุศลธรรม อัพยากตธรรม กามาวจรธรรม รูปาวจรธรรม อรูปาวจรธรรม
โลกุตรธรรม.
คำว่า สัมมาสมุจเฉท ความว่า เนกขัมมะเป็นเครื่องตัดกามฉันทะ
ได้ขาดดี อัพยาบาทเป็นเครื่องตัดพยาบาทได้ขาดดี อาโลกสัญญาเป็นเครื่อง