เมนู

อรรถกถาวิเวกกถา


บัดนี้ จะพรรณนาตามความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งวิเวกกถา อันมี
พระสูตรเป็นเบื้องต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอาการละ ในลำดับ
แห่งอภิสมยกถามีการละเป็นที่สุดตรัสไว้แล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้นก่อน บทว่า เย เกจิ อย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นบทรวมยอดไม่มีเหลือ. บทว่า พลกรณียา ทำด้วยกำลัง คือพึงทำด้วย
กำลังขาและแขน. บทว่า กมฺมนฺตา การงาน คือ การงานมีวิ่ง กระโดด
ไถและหว่านเป็นต้น. บทว่า กยีรนฺติ ต้องทำ คือ อันผู้มีกำลังต้องทำ. บทว่า
สีลํ นิสฺสาย อาศัยศีล คือทำจตุปาริสุทธิศีลให้เป็นที่อาศัย. บทว่า ภาเวติ
ย่อมเจริญ ในที่นี้ท่านประสงค์เอามรรคภาวนา อันเป็นโลกิยะและโลกุตระ
เพราะผู้มีศีลขาดแล้วไม่มีมรรคภาวนา.
บทว่า วิเวกนิสฺสิตํ อาศัยวิเวก คืออาศัยตทังควิเวก สมุจเฉทวิเวก
นิสสรณวิเวก. บทว่า วิเวโก คือความสงัด. จริงอยู่ พระโยคาวจรประกอบ
ด้วยอริยมรรคภาวนา ย่อมเจริญอริยมรรคภาวนา อาศัยตทังควิเวกโดยกิจ
ในขณะแห่งวิปัสสนา อาศัยนิสสรณวิเวกโดยอัธยาศัย อาศัยสมุจเฉทวิเวกโดยกิจ
ในขณะมรรค อาศัยนิสสรณวิเวกโดยอารมณ์ ในการอาศัยวิราคะเป็นต้น
ก็มีนัยนี้. จริงอยู่ วิเวกนั่นแหละ ชื่อว่าวิราคะ ด้วยอรรถว่าคลายกำหนัด
ชื่อว่า นิโรธ ด้วยอรรถว่าดับ ชื่อว่า โวสสัคคะ ด้วยอรรถว่าสละ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าวิเวก เพราะสงัดจากกิเลสทั้งหลาย ชื่อว่าวิราคะ
เพราะคลายจากกิเลสทั้งหลาย ชื่อว่านิโรธ เพราะดับกิเลสทั้งหลาย ชื่อว่า

โวสสัคคะ เพราะสละกิเลสทั้งหลาย เพราะปล่อยจิตไปในนิพพาน. อนึ่ง
โวสสัคคะมี 2 อย่าง คือ ปริจจาคโวสสัคคะ (ปล่อยด้วยการสละ) และ
ปักขันทนโวสสัคคะ. ปล่อยด้วยการแล่นไป. ในโวสสัคคะ 2 อย่างนั้น การ
ละกิเลสด้วยตทังคะในขณะแห่งวิปัสสนา ด้วยสมุจเฉทในขณะแห่งมรรค ชื่อว่า
ปริจจาคโวสัคคะ. การแล่นไปสู่นิพพานด้วยความน้อมไปสู่นิพพานนั้นใน
ขณะแห่งวิปัสสนา ด้วยการทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ในขณะแห่งมรรค ชื่อว่า
ปักขันทนโวสสัคคะ. แม้ทั้งสองนั้นก็สมควรในนัยแห่งการพรรณนาความ
อันเจือด้วยโลกิยะ โลกุตระนี้. เป็นความจริงอย่างนั้น ในสัมมาทิฏฐิเป็นต้น
ธรรมนี้อย่างหนึ่ง ๆ ย่อมสละกิเลสโดยประการตามที่กล่าวแล้ว และย่อมแล่น
ไปสู่นิพพาน. บทว่า โวสฺสคฺคปริณามึ น้อมไปในความสละ ท่านอธิบายว่า
น้อมไป โน้มไป อบรม บ่มให้แก่กล้า เพื่อความสละด้วยคำทั้งสิ้นนี้. ภิกษุผู้
ขวนขวายอริยมรรคภาวนานี้ย่อมเจริญอริยมรรคนั้นโดยประการที่ธรรมหนึ่ง ๆ
ในสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ย่อมอบรมและบ่มให้แก่กล้าเพื่อปล่อยให้สละกิเลส และ
เพื่อปล่อยให้แล่นไปสู่นิพพาน.
ในบทว่า พีชคามภูตคามา พืชคามและภูตคามนี้ มีอธิบายว่า
พืช 5 อย่าง คือ พืชจากราก 1 พืชจากต้น 1 พืชจากยอด 1 พืชจากข้อ 1
พืชจากพืช 1 รวมพืชชื่อว่าพีชคาม ชื่อว่าภูตคามจำเดิมแต่ความปรากฏแห่ง
หน่อเขียวสมบูรณ์แล้ว. อธิบายว่า รวมรากหน่อสีเขียวของภูตคามที่เกิดแล้ว
อาจารย์บางคนกล่าวว่า เมื่อเทวดาหวงแหน ย่อมเป็นตั้งแต่เวลามีหน่อสีเขียว
เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าภูตคาม เพราะเป็นบ้านของภูตคือเทวดาเหล่านั้น. บทว่า
วุฑฺฒึ ความเจริญ คือเจริญด้วยหน่อเป็นต้น. บทว่า วิรุฬฺหึ งอกงาม คือ
งอกงามด้วยลำต้นเป็นต้น. บทว่า เวปุลฺลํ ไพบูลย์ คือไพบูลย์ด้วยดอกเป็นต้น

อนึ่ง ในทางธรรม บทว่า วุฑฺฒึ คือเจริญด้วยความประพฤติธรรมที่ยังไม่
เคยประพฤติ. บทว่า วิรุฬฺหึ คืองอกงามด้วยการทำกิจให้สำเร็จ. บทว่า
เวปุลฺลํ คือความไพบูลย์ด้วยสำเร็จกิจแล้ว. ปาฐะว่า วิปุลฺลตฺตํ คือความ
เป็นผู้ไพบูลย์บ้าง.
อีกอย่างหนึ่ง บท 3 เหล่านั้นประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา.

อรรถกถามัคคังคนิเทศ


พึงทราบวินิจฉัยในสุตตันตนิเทศ ดังต่อไปนี้. บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิยา
เป็นฉัฏฐีวิภัตติ แห่งสัมมาทิฏฐิอันเป็นไปอยู่ จากการประกอบตามสมควร
และจากอารมณ์ ในฌาน วิปัสสนา มรรค ผล และนิพพาน และในจิต
อันสัมปยุตด้วยโลกิยวิรัติ คือแห่งสัมมาทิฏฐิเป็นอันเดียวกัน โดยเป็นสามัญ-
ลักษณะ. บทว่า วิกฺขมฺภนวิเวโก วิกขัมภนวิเวก คือความสงัดด้วยการ
ข่มไว้ ด้วยการทำให้ไกล แห่งอะไร แห่งนิวรณ์ทั้งหลาย. บทมีอาทิว่า
ปฐมชฺฌานํ ภาวยโต เจริญปฐมฌาน ท่านกล่าวถึงปฐมฌานด้วยการข่มไว้
เมื่อท่านกล่าวถึงปฐมฌานนั้น ก็เป็นอันกล่าวถึงแม้ฌานที่เหลือด้วยเหมือนกัน.
ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิวิเวก เพราะมีสัมมาทิฏฐิแม้ในฌานทั้งหลาย.
บทว่า ตทงฺควิเวโก คือความสงัดด้วยวิปัสสนาญาณนั้น ๆ. บทว่า
ทิฏฺฐิคตานํ ทิฏฐิทั้งหลาย ท่านกล่าวว่า ทิฏฐิวิเวก เพราะทิฏฐิวิเวกทำได้ยาก
และเพราะเป็นประธาน เมื่อท่านกล่าวถึงทิฏฐิวิเวกก็เป็นอันกล่าวแม้วิเวกมี
นิจจสัญญาเป็นต้น. บทว่า นิพฺเพธภาคิยํ สมาธึ สมาธิอันเป็นส่วนแห่ง