เมนู

แห่งกามฉันทะด้วยเนกขัมมะ ครอบงำความเป็นไปแห่งพยาบาทด้วยความไม่
พยาบาท ครอบงำความเป็นไปแห่งถีนมิทธะด้วยอาโลกสัญญา ครอบงำความ
เป็นไปแห่งอุทธัจจะด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ครอบงำความเป็นไปแห่งวิจิกิจฉา
ด้วยการกำหนดธรรม ครอบงำความเป็นไปแห่งอวิชชาด้วยญาณ ครอบงำ
ความเป็นไปแห่งอรติด้วยความปราโมทย์ ครอบงำความเป็นไปแห่งนิวรณ์ด้วย
ปฐมฌาน ฯลฯ ครอบงำกิเลสทั้งปวงด้วยอรหัตมรรค.
อีกประการหนึ่ง เมื่อสัมปชานบุคคลปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส-
นิพพานธาตุ ความเป็นไปแห่งจักษุนี้ย่อมหมดสิ้นไป และความเป็นไปแห่ง
จักษุอื่นก็ไม่เกิดขึ้น ความเป็นไปแห่งหู ฯลฯ ความเป็นไปแห่งจมูก ความ
เป็นไปแห่งลิ้น ความเป็นไปแห่งกาย ความเป็นไปแห่งใจนี้ย่อมหมดสิ้นไป
และความเป็นไปแห่งใจอื่นก็ไม่เกิดขึ้น นี้ความครอบงำความเป็นไปแห่ง
สัมปชานบุคคลสูญมีประโยชน์อย่างยิ่งกว่าความสูญทั้งปวง ฉะนี้แล.
จบสุญญกถา
จบยุคนัทธวรรคที่ 2

อรรถกถาสุญญกถา


บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพิจารณาแห่งสุญญกถา
อันมีพระสูตรเป็นเบื้องต้น มีโลกุตรสุญญตาเป็นที่สุด อันพระอานนทเถระ
กล่าวแล้วในลำดับแห่งพลกถาอันมีโลกุตรพละเป็นที่สุด.

พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรดังต่อไปนี้ก่อน. บทว่า อถ เป็นนิบาต
ลงในความถือมั่นในถ้อยคำ. ด้วยบทนั้นท่านทำการถือมั่นถ้อยคำมีอาทิว่า
อายสฺมา. บทว่า โข เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งบทบูรณ์ (ทำบทให้เต็ม).
บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ พระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ เพราะฉะนั้นพึงเห็น
อรรถในบทนี้อย่างนี้ว่า ยตฺถ ภควา ตตฺถ อุปสงฺกมิ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับ ณ ที่ใด เข้าไปเฝ้าแล้ว ณ ที่นั้น. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นอรรถใน
บทนี้อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พึงเข้าไปเฝ้า
ด้วยเหตุใด เข้าไปเฝ้าแล้วด้วยเหตุนั้น. อนึ่ง พึงเห็นอรรถในบทนี้อย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเทวดาและมนุษย์พึงเข้าไปเฝ้าด้วยเหตุอะไร ด้วยประสงค์
บรรลุคุณวิเศษมีประการต่าง ๆ ดุจต้นไม้ใหญ่ซึ่งผลิตผลอยู่เป็นนิจ อันหมู่นก
ทั้งหลายพึงเข้าไปด้วยประสงค์กินผลไม้มีรสอร่อยฉะนั้น เข้าไปหาแล้วด้วยเหตุ
นั้น. อนึ่ง บทว่า อุปสงฺกมิ ท่านอธิบายว่า เข้าไปแล้ว. บทว่า อุปสงฺกมิตฺวา
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว เป็นบทแสดงถึงที่สุดแห่งการเข้าเฝ้า. อีกอย่างหนึ่ง ท่าน
อธิบายว่า ไปแล้วอย่างนี้ คือ ไปยังที่ระหว่างอาสนะจากที่นั้น กล่าวคือใกล้
พระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า อภิวาเทตฺวา คือ ถวายบังคมด้วยเบญจางค-
ประดิษฐ์.
บัดนี้ พระอานนทเถระประสงค์จะทูลถามข้อความที่ตนมาอุปัฏฐาก
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นบุคคลเลิศในโลก จึงยกมือขึ้นถวายบังคมเหนือศีรษะ
แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. บทว่า เอกมนฺตํ แสดงถึงเป็นภาวนปุงสกดุจใน
ประโยคมีอาทิว่า ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เดินไม่สม่ำเสมอ เพราะฉะนั้น
พึงเห็นอรรถในบทนี้ อย่างนี้ว่า พระอานนท์นั่งโดยอาการที่นั่ง ณ ที่สมควร

ส่วนหนึ่ง บทนี้เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถสัตตมีวิภัตติ. บทว่า นิสีทิ คือ
สำเร็จการนั่ง. จริงอยู่ เทวดาและมนุษย์ผู้ฉลาด ครั้นเข้าไปหาท่านผู้ที่เคารพ
ย่อมนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง เพราะเป็นผู้ฉลาดในอาสนะ พระเถระนี้ก็
เป็นรูปหนึ่งของบรรดาผู้ฉลาดเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงนั่ง ณ ที่สมควร
ส่วนหนึ่ง ก็นั่งอย่างไรเล่าจึงชื่อว่า นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. คือ เว้นโทษ
ของการนั่ง 6 ประการ คือ ไกลเกินไป 1 ใกล้เกินไป 1 เหนือลม 1
ที่ไม่มีระหว่าง 1 ตรงหน้าเกินไป 1 หลังเกินไป 1. เพราะนั่งไกลเกินไป
หากประสงค์จะพูดก็ต้องพูดด้วยเสียงดัง. นั่งใกล้เกินไปย่อมเบียดเสียด. นั่ง
เหนือลมก็จะรบกวนด้วยกลิ่นตัว. นั่งไม่มีระหว่างประกาศความไม่เคารพ. นั่ง
ตรงหน้าเกินไป หากประสงค์จะเห็นตาต่อตาก็จะจ้องกัน. นั่งหลังเกินไป หาก
ประสงค์จะเห็นก็ต้องเหยียดคอมองดู. เพราะฉะนั้น พระอานนทเถระนี้จึงนั่ง
เว้นโทษของการนั่ง 6 ประการเหล่านี้ ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เอกมนฺตํ
นิสีทิ
นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. บทว่า เอตทโวจ คือได้ทูลถามพระผู้มี-
พระภาคเจ้า.
บทว่า สุญฺโญ โลโก สุญฺโญ โลโกติ ภนฺเต วุจฺจติ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า โลกสูญ โลกสูญ ดังนี้ ความว่า ภิกษุผู้
ปฏิบัติในศาสนานี้ย่อมกล่าวว่า โลกสูญ โลกสูญ ดังนี้ เพราะคำเช่นนั้น
พูดกันมากในที่นั้น ๆ เพื่อสงเคราะห์ภิกษุทั้งหมดเหล่านั้นจึงพูดซ้ำ ๆ เมื่อ
กล่าวอย่างนี้แล้ว ก็เป็นอันรวมคำเหล่านั้นทั้งหมด. บทว่า กิตฺตาวตา คือ
ด้วยประมาณเท่าไร. ศัพท์ว่า นุ หนอ เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งความ
สงสัย. บทว่า สุญฺญํ อตฺเตน วา อตฺตนิเยน วา สูญจากตนหรือสิ่งที่
เนื่องด้วยตน คือ สูญจากตนที่โลกกำหนดไว้อย่างนี้ว่า ผู้ทำ ผู้เสวย ผู้มีอำนาจ

เอง และจากบริขารอันเป็นของตน เพราะความไม่มีตนนั่นแหละ จักษุ
เป็นต้นทั้งหมด เป็นธรรมชาติของโลก จักษุเป็นต้นนั่นแหละ ชื่อว่า โลก
เพราะอรรถว่าสลายไป. อนึ่ง เพราะตนไม่มีในโลกนี้ และสิ่งที่เนื่องด้วยตน
ก็ไม่มีในโลกนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สุญฺโญ โลโก โลกสูญ-
แม้โลกุตรธรรมก็สูญเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งเนื่องด้วยตน แต่ท่านกล่าวถึง
โลกิยธรรมเท่านั้นโดยสมควรแก่คำถาม.
อนึ่ง บทว่า สุญฺโญ ท่านไม่กล่าวว่า ธรรมไม่มี ท่านกล่าวถึง
ความไม่มีตนและสาระอันเนื่องด้วยตนในธรรมนั้น. อนึ่ง เมื่อชาวโลกพูดว่า
เรือนสูญ หม้อสูญ ก็มิใช่กล่าวถึงความไม่มีเรือนและหม้อ กล่าวถึงความ
ไม่มีสิ่งอื่นในเรือนและในหม้อนั้น. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสความนี้ไว้ว่า
ก็สิ่งใดแลไม่มีในสิ่งนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาสิ่งนั้นว่าสูญด้วยเหตุนั้น แต่สิ่งใด
มีเหลืออยู่ในสิ่งนั้น สิ่งนั้นมีอยู่ ภิกษุย่อมรู้ว่าสิ่งนี้มีอยู่ดังนี้. ในญายคันถะ
(คัมภีร์เพื่อความรู้) และในสัททคันถะ (คัมภีร์ศัพท์) ก็มีความอย่างนี้เหมือนกัน.
ในพระสูตรนี้ ท่านกล่าวถึงอนัตตลักขณสูตรเหล่านั้นด้วยประการดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในสุตตันตนิเทศดังต่อไปนี้. ท่านยกบทมาติกา 25
บท มีอาทิว่า สุญฺญํ สุญฺญํ ขึ้นด้วยเชื่อมคำว่าสูญ แล้วชี้แจงบทมาติกา
เหล่านั้น.
พึงทราบความในมาติกานั้น ดังต่อไปนี้. ชื่อว่า สุญฺญํ สุญฺญํ
เพราะสูญคือว่างเปล่า ไม่แปลกไปจากบทอื่น. อนึ่ง ในบทนี้เพราะไม่ชี้แจงว่า
อสุกํ โน้น ท่านไม่เพ่งถึงความเป็นของสูญ แล้วจึงทำให้เป็นคำนปุงสกลิงค์.
แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนี้. ชื่อว่า สังขารสูญ เพราะสังขารนั่นแหละสูญจาก
สังขารที่เหลือ. ชื่อว่า วิปริณามสูญ เพราะสูญผิดรูป เปลี่ยนแปลง

แปรปรวนไปด้วยชราและความดับ สูญเพราะวิปริณามธรรมนั้น. ชื่อว่า
อัคคสูญ เพราะอัคคบทนั้นเป็นเลิศจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน หรือสูญ
จากสังขารทั้งปวง. ชื่อว่า ลักษณสูญ เพราะลักษณะนั่นแหละสูญจากลักษณะ
ที่เหลือ. ชื่อว่า วิกขัมภนสูญ เพราะสูญเพราะการข่มมีเนกขัมมะเป็นต้น.
แม้ในสุญญะ 4 มีตทังคสูญ (สูญเพราะองค์นั้น ๆ) เป็นต้น มีนัยนี้เหมือนกัน.
ชื่อว่า อัชฌัตตสูญ (ภายในสูญ) เพราะภายในนั้นสูญจากตนและสิ่งที่เนือง
ด้วยตนเป็นต้น. ชื่อว่า พหิทธาสูญ (ภายนอกสูญ) เพราะภายนอกนั้นสูญ
จากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นต้น. ชื่อว่า ทุภโตสูญ (ทั้งภายในและภาย
นอกสูญ) เพราะทั้งสองนั้นสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นต้น. ชื่อว่า
สภาคสูญ (ส่วนที่เสมอกันสูญ) เพราะสภาคะมีส่วนเสมอกัน สภาคะนั้น
สูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นต้น ความว่า สูญเหมือนกัน. ชื่อว่า
วิสภาคสูญ (ส่วนที่ไม่เสมอกันสูญ) เพราะวิสภาคะปราศจากส่วนเสมอกัน
วิสภาคะนั้นสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน ความว่า สูญไม่เหมือนกัน. ใน
บางคัมภีร์เขียนไว้ว่า สภาคสุญฺญํ วิสภาคสุญฺญํ อยู่ในลำดับ นิสฺสรณ-
สุญฺญํ
(สูญเพราะสลัดออก). ชื่อว่า เอสนาสูญ (ความแสวงหาสูญ) เพราะ
การแสวงหาเนกขัมมะเป็นต้น สูญจากกามฉันทะเป็นต้น. แม้ในสุญญะ 3 มี
ปริคฺคหสุญฺญา (ความกำหนดสูญ) เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ชื่อว่า
เอกัตตสูญ (ความเป็นอย่างเดียวสูญ) เพราะความเป็นอย่างเดียวนั้นสูญจาก
ความเป็นต่างกัน เพราะตั้งอยู่ในอารมณ์เดียวกัน เพราะไม่มีความฟุ้งซ่านใน
อารมณ์ต่าง ๆ กัน. ชื่อว่า นานัตตสูญ (ความเป็นต่าง ๆ สูญ) เพราะความ
เป็นต่าง ๆ นั้นสูญจากความเป็นอันเดียวกัน เพราะตรงกันข้ามกันความเป็น
อย่างเดียวกันนั้น. ชื่อว่า ขันติสูญ เพราะความอดทนในเนกขัมมะเป็นต้น

สูญจากกามฉันทะเป็นต้น อธิษฐานสูญ และความมั่นคงสูญ มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า สมฺปชานสฺส ผู้มีสัมปชัญญะ คือ พระอรหันต์ผู้ปรินิพพานประกอบ
ด้วยสัมปชัญญะ. บทว่า ปวตฺตปริยาทานํ การครอบงำความเป็นไป คือ
อนุปาทาปรินิพพาน (ปรินิพพานเพราะไม่เกิดอีก). บทว่า สพฺพสุญฺญตานํ
คือ กว่าความสูญทั้งปวง. บทว่า ปรมตฺถสุญฺญํ คือ ความสูญอันเป็น
ประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะไม่มีสังขารทั้งปวง.
พึงทราบวินิจฉัยในมาติกานิเทศ ดังต่อไปนี้. บทว่า นิจฺเจน วา
จากความเที่ยง คือสูญจากความเที่ยง เพราะไม่มีความเที่ยงไร ๆ อันก้าวล่วง
ความดับแล้วเป็นไปอยู่ได้. บทว่า ธุเวน วา จากความยั่งยืน คือสูญจาก
ความยั่งยืนเพราะไม่มีความมั่นคงไร ๆ ที่เป็นไปเนื่องด้วยปัจจัย แม้ในกาลที่
มีอยู่. บทว่า สสฺสเตน วา จากความมั่นคง คือสูญจากความมั่นคง เพราะ
ไม่มีอะไร ๆ ที่มีอยู่ในกาลทั้งปวงซึ่งตัดขาดไปแล้ว. บทว่า อวิปริณาม-
ธมฺเมน วา
จากความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา คือสูญจากความไม่แปรปรวน
เป็นธรรมดา เพราะไม่มีอะไร ๆ ซึ่งปกติจะไม่แปรปรวนไปด้วยความดับ
เมื่อกล่าวถึงความสูญจากตนโดยพระสูตรแล้ว เพื่อแสดงความสูญจากความเป็น
ของเที่ยง และความสูญจากความสุข ท่านจึงกล่าวบทมีอาทิว่า นิจฺเจน ไว้
ในที่นี้. เมื่อกล่าวถึงความสูญจากความเป็นของเที่ยง เพราะความเป็นของ
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์โดยถูกบีบคั้น เป็นอันท่านกล่าวถึงแม้ความสูญจากความสุข
ด้วย. อนึ่ง พึงทราบว่าท่านย่อวิสัย 6 มีรูปเป็นต้น วิญญาณ 6 มีจักษุวิญญาณ
เป็นต้น ผัสสะ 6 มีจักษุสัมผัสเป็นต้น และเวทนา 6 มีจักษุสัมผัสสชาเวทนา
เป็นต้นไว้ในที่นี้.

พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า ปุญฺญาภิสงฺขาโร ดังต่อไปนี้. ชื่อว่า
บุญ เพราะกลั่นกรองการกระทำของตน ยังอัธยาศัยของบุคคลนั้นให้เต็ม และ
ยังความเจริญน่าบูชาให้เกิด. ชื่อว่า อภิสังขาร เพราะปรุงแต่งวิบากและ
กฏัตตารูป. การปรุงแต่งชื่อว่าปุญญาภิสังขาร การปรุงแต่งบาปโดยตรงกันข้าม
กับบุญชื่อว่าอปุญญาภิสังขาร. ชื่อว่า อเนญชาภิสังขาร เพราะปรุงแต่งความ
ไม่หวั่นไหว.
ปุญญาภิสังขารมีเจตนา 13 คือ กามาวจรกุศลเจตนา 8 เป็นไปด้วย
อำนาจแห่งทาน ศีล ภาวนาเป็นต้น และรูปาวจรกุศลเจตนา 5 เป็นไปด้วย
อำนาจแห่งภาวนา. อปุญญาภิสังขารมีอกุศลเจตนา 12 เป็นไปด้วยอำนาจแห่ง
ปาณาติบาตเป็นต้น. อเนญชาภิสังขารมีอรูปาวจรเจตนา 4 เป็นไปด้วยอำนาจ
แห่งภาวนาเท่านั้น เพราะเหตุนั้น สังขาร 3 มีเจตนา 29.
ในกายสังขารเป็นต้นมีความดังนี้. ชื่อว่า กายสังขาร เพราะเป็น
ไปทางกาย หรือปรุงแต่งกาย. แม้ในวจีสังขารและจิตตสังขาร ก็มีนัยนี้เหมือน
กัน. ท่านกล่าวติกะนี้เพื่อให้เห็นความเป็นไปทางทวารแห่งปุญญาภิสังขาร
เป็นต้น ในขณะประมวลกรรมไว้. เจตนา 21 คือ กามาวจรกุศลเจตนา 8
อกุศลเจตนา 12 อภิญญาเจตนา 1 ยังกายวิญญัติ (ให้รู้ทางกาย) ให้ตั้งขึ้น
แล้วเป็นไปทางกายทวาร ชื่อว่า กายสังขาร. เจตนาเหล่านั้นนั่นแหละยังวจี-
วิญญัติ (ให้รู้ทางวาจา) ให้ตั้งขึ้น แล้วเป็นไปทางวจีทวาร ชื่อว่า วจีสังขาร.
ส่วนเจตนา 29 แม้ทั้งหมดเป็นไปในมโนทวาร ชื่อว่า จิตตสังขาร.
ในบทมีอาทิว่า อตีตา สงฺขารา สังสารส่วนอดีต มีความดังต่อไปนี้.
สังขตธรรมแม้ทั้งหมด ถึงคราวของตนดับไป ชื่อว่าสังขารส่วนอดีต. สังขต-
ธรรมยังไม่ถึงคราวของตน ชื่อว่าสังขารส่วนอนาคต. สังขตธรรมถึงคราว
ของตน ชื่อว่าสังขารส่วนปัจจุบัน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงถึงสังขารส่วนปัจจุบัน ในการสูญ
เพราะความแปรปรวนแล้ว จึงทรงแสดงปัจจุบันธรรมก่อนว่า ความแปรปรวน
ของสังขารส่วนปัจจุบันนั้น ๆ สามารถกล่าวได้ง่าย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ชาตํ รูปํ รูปเกิดแล้ว คือรูปส่วนปัจจุบัน.
พึงทราบความในบทนี้ว่า สภาเวน สุญฺญํ สูญไปจากสภาพ ดังต่อไปนี้.
ความเป็นเองชื่อว่าสภาพ อธิบายว่า เกิดเอง หรือความเป็นของตน ชื่อว่า
สภาพ อธิบายว่า ความเกิดของตนเอง. ชื่อว่า สูญจากสภาพ เพราะความเป็นเอง
เว้นปัจจัย เพราะความเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัย หรือความเป็นของตนไม่มีใน
สภาพนี้ ท่านอธิบายว่า สูญจากความเป็นเอง หรือจากความเป็นตน. อีก
อย่างหนึ่ง ความเป็นของตนชื่อว่าสภาพ เพราะว่าธรรมหนึ่ง ๆ ในรูปธรรม
และอรูปธรรมไม่น้อย มีปฐวีธาตุเป็นต้น ชื่อว่าตนประสงค์ผู้อื่นด้วย. อนึ่ง
บทว่า ภาโว นี้ เป็นคำกล่าวโดยธรรมปริยาย. อนึ่ง ธรรมคือความเป็นอื่น
ไม่มีแก่ธรรมหนึ่ง เพราะฉะนั้น ชื่อว่าสูญจากความเป็นอื่นของตน ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวความที่ธรรมนั้นเป็นสภาพอย่างเดียวกัน.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สภาเวน สุญฺญํ สูญไปจากสภาพ คือสูญ
ไปจากสภาพอันเป็นความสูญ. ท่านอธิบายไว้อย่างไร ท่านอธิบายไว้ว่า สูญ
เพราะความเป็นสภาพ สูญ สูญ มิใช่สูญเพราะความเป็นสภาพสูญโดยปริยาย
อย่างอื่น.
หากอาจารย์บางพวกพึงกล่าวว่า ความเป็นตนชื่อว่าสภาพ สูญจาก
สภาพนั้น อธิบายไว้อย่างไร. ธรรมชื่อว่า ภาวะ ภาวะนั้นเติมบท เข้าไป
ประสงค์เอาผู้อื่น รูปเป็นสภาวะ. เพราะธรรมไม่มีแก่ใคร ๆ ท่านจึงกล่าวความ
ไม่มีแห่งรูปว่า รูปเกิดแล้วสูญไปจากสภาพ ดังนี้. เมื่อเป็นอย่างนั้น ย่อมผิด

ด้วยคำว่า ชาตํ รูปํ รูปเกิดแล้ว. เพราะรูปปราศจากความเกิด จะชื่อว่า
รูปเกิดแล้วไม่ได้. นิพพานต่างหากปราศจากความเกิด นิพพานนั้นจึงไม่ชื่อว่า
เกิดแล้ว. อนึ่ง ชาติ ชรา และมรณะ ปราศจากความเกิดก็ไม่ชื่อว่า เกิดแล้ว.
ด้วยเหตุนั้นแหละ ในบทนี้ท่านจึงไม่ยกขึ้นอย่างนี้ ว่าชาติเกิดแล้ว สูญไป
จากสภาพ ชรามรณะเกิดแล้ว สูญไปจากสภาพ แล้วจึงชี้แจงทำภพนั่นแหละ
ให้เป็นที่สุด.
ผิว่า คำว่า ชาตํ เกิดแล้วพึงควรแม้แก่ผู้ปราศจากความเกิด ก็ควร
กล่าวได้ว่า ชาตา ชาติ ชาติ ชรามรณํ ชาติเกิดแล้ว ชราและมรณะเกิดแล้ว
เพราะเมื่อชาติชราและมรณะปราศจากความเกิด ท่านก็ไม่กล่าวคำว่า ชาติ
ฉะนั้น คำว่า สูญ คือไม่มีจากสภาพ จึงผิดด้วยคำว่า ชาตํ เพราะปราศจากความ
เกิดของความไม่มี. อนึ่ง เมื่อไม่มี คำว่า สุญฺญํ ก็ผิดด้วยคำของชาวโลกที่กล่าว
แล้วในหนหลัง ด้วยพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า และด้วยคำในญายคันถะ
และสัทธาคันถะ และผิดด้วยข้อยุติไม่น้อย เพราะฉะนั้น พึงทิ้งคำนั้นเสีย
เหมือนทิ้งขยะ. ในบทนี้เป็นอันยุติว่า ธรรม ธรรมทั้งหลายมีอยู่ในขณะของตน
ด้วยประมาณพระพุทธพจน์มิใช่น้อย และด้วยยุติไม่น้อย มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สิ่งใดที่บัณฑิตทั้งหลายในโลกสมมติว่ามีอยู่ แม้เราก็กล่าวว่า สิ่งนั้น
มีอยู่. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่บัณฑิตทั้งหลายในโลกสมมติว่าไม่มี แม้
เราก็กล่าวว่า สิ่งนั้นไม่มี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่บัณฑิตทั้งหลาย
ในโลกสมมติว่ามี เราก็กล่าวว่าสิ่งนั้นมี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง
เป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตทั้งหลายในโลกสมมติว่ามี
แม้เราก็กล่าวว่า สิ่งนั้นว่ามี.*

* สํ. ขนฺธ. 17/239

บทว่า วิคตํ รูปํ รูปหายไป คือ รูปส่วนอดีตดับ เพราะเกิดแล้ว
ถึงความดับ. บทว่า วิปริณตญฺเจว สุญฺญญฺจ รูปแปรปรวนไปและหายไป
คือรูปถึงความผิดรูป ความแปรปรวนด้วยชราและความดับ และสูญจากความ
แปรปรวนนั้น เพราะปรากฏความแปรปรวนแห่งรูปที่กำลังเป็นไปอยู่ เพราะ
ไม่มีความแปรปรวนแห่งรูปส่วนอดีต.
แม้ในบทว่า ชาตา เวทนา เวทนาเกิดแล้วเป็นต้น ก็มีนัยนี้
เหมือนกัน. อนึ่ง ชาติ ชรา และมรณะไม่ควรในที่นี้ โดยไม่ได้ด้วยภาวะ
ของตน เพราะยังไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น ท่านจึงละนัยทั้งสองอาทิว่า ชาติ
เกิดแล้ว ชราและมรณะเกิดแล้ว แล้วทำนัยมีภพเป็นต้นนั้นแหละให้เป็นที่สุด
ตั้งไว้.
บทว่า อคฺคํ คือเป็นผู้อยู่ในความเลิศ. บทว่า เสฏฺฐํ คือน่าสรรเสริญ
อย่างยิ่ง. บทว่า วิสิฏฺฐํ คือวิเศษยิ่ง. ปาฐะว่า วิเสฏฺฐํ บ้าง. แม้โดยอาการ
3 อย่างนั้น คือ อคฺคํ เสฏฺฐํ วิสิฏฺฐํ ได้แก่ นิพพานอันประเสริฐ ชื่อว่า
บท เพราะความปฏิบัติด้วยปฏิปทาชอบ. บทว่า ยทิทํ ตัดบทเป็น ยํ อิทํ.
บัดนี้ พระอานนทเถระชี้แจงถึงนิพพานอันควรกล่าวไว้ เพราะความสงบสังขาร
ทั้งปวงย่อมมีได้เพราะอาศัยนิพพาน ความสละอุปธิทั้งหลายอันได้แก่ ขันธูปธิ
กิเลสูปธิ อภิสังขารูปธิ กามคุณูปธิ ย่อมมีได้ ความสิ้นตัณหา ความสำรอก
กิเลสและความดับย่อมมีได้ ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า สพฺพสงฺขารสมโถ
สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ
ความสงบสังขาร
ทั้งปวง ความสละอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกกิเลส ความดับ.
บทว่า นิพฺพานํ คือ ออกไปจากลักษณะอันเป็นสภาพ.

พึงทราบวินิจฉัยในลักษณะทั้งหลายดังต่อไปนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาลลักษณะ พาลนิมิต พาลปทาน (เรื่องราว
ของคนพาล) ของคนพาลมี 3 อย่าง. 3 อย่างเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
คนพาลในโลกนี้มีความคิดชั่ว พูดชั่วและทำกรรมชั่ว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
3 อย่างเหล่านี้แลเป็นพาลลักษณะ พาลนิมิต พาลปทานของตนพาล.
พาลลักษณะ 3 อย่าง ของคนพาล บัณฑิตทั้งหลายเรียกว่า พาล
เพราะลักษณะของตน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตลักษณะ
บัณฑิตนิมิต บัณฑิตปทาน (เรื่องราวของบัณฑิต) ของบัณฑิตมี 3 อย่าง
เหล่านี้. 3 อย่างเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตในโลกนี้คิดดี พูดดี
และทำกรรมดี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 3 อย่างเหล่านี้แลเป็นบัณฑิตลักษณะ
บัณฑิตนิมิต และบัณฑิตปทานของบัณฑิต. บัณฑิตลักษณะ 3 อย่าง
ของบัณฑิต บัณฑิตทั้งหลาย เรียกว่า บัณฑิต เพราะลักษณะของตน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะ
ของสังขตธรรม 3 เหล่านี้. 3 อย่างเป็นไฉน. ความเกิดปรากฏ 1 ความเสื่อม
ปรากฏ 1 เมื่อตั้งอยู่ความแปรไปปรากฏ 1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 3 อย่าง
เหล่านี้แหละเป็นสังขตลักษณะของสังขตธรรม.
ด้วยบทนี้ท่านแสดงถึงความไม่มีลักษณะ 2 ที่เหลือในขณะเกิด
ลักษณะ 2 ที่เหลือในขณะตั้งอยู่ ลักษณะ 2 ที่เหลือในขณะดับ. อนึ่ง ใน
บทนี้ท่านกล่าวถึงลักษณะมีความเกิดเป็นต้นแห่งชาติ และชรามรณะโดยไป-
ยาลมุข (ละข้อความ). ลักษณะนั้นละชาติชราและมรณะเสีย เพราะความสูญ
จากความแปรปรวนจึงพลาดไปด้วยคำแห่งนัยอันมีภพเป็นที่สุดและด้วยลัทธิที่

ไม่พูดถึงความเกิดเป็นต้นแห่งความเกิดเป็นต้น แต่เพราะตกไปในกระแสแห่ง
ลักษณะพึงทราบว่าท่านเขียนทำให้ตกไปในกระแส. อนึ่ง ท่านกล่าวว่าใน
อภิธรรมมิได้ยกขึ้นว่า องค์แห่งฌานแม้ได้ในสังคหวารแห่งมโนธาตุและมโน-
วิญญาณธาตุอันเป็นอเหตุกวิบาก ก็ตกไปในกระแสแห่งวิญญาณ 5 ฉันใด
แม้ในที่นี้ก็พึงทราบความที่ลักษณะตกไปในกระแสฉันนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ความเกิดเป็นต้นแห่งสังขารทั้งหลายอันมีชาติ ชรา
และมรณะ พึงทราบว่าท่านกล่าวทำสังขารเหล่านั้นดุจในบทว่า เห็นชาติชรา
และมรณะโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง.
บทว่า เนกฺขมฺเมน กามจฺฉนฺโท วิกฺขมฺภิโต เจว สุญฺโญ จ
กามฉันทะอันเนกขัมมะข่มแล้วและสูญไป คือ กามฉันทะอันเนกขัมมะข่มแล้ว
และสูญไปเพราะเนกขัมมะ กล่าวคืออันเนกขัมมะนั้นแหละข่ม เพราะไม่มี
เนกขัมมะในกามฉันทะนั้น. แม้ในบทที่เหลือก็พึงทำการประกอบอย่างนั้น.
อนึ่ง แม้ในตทังคปหานะและสมุจเฉทปหานะท่านก็กล่าวถึงการข่มด้วยอรรถว่า
ทำให้ไกลด้วยบทนี้ว่า ละด้วยตทังคะและสมุจเฉทะเป็นอันทำให้ไกลแล้วนั่นเอง.
บทว่า เนกฺขมฺเมน กามฉนฺโท ตทงฺคสุญฺโญ กามฉันทะเป็น
ตทังคสูญ (สูญเพราะองค์นั้น ๆ) เพราะเนกขัมมะ คือ กามฉันทะละได้ด้วย
เนกขัมมะ. สูญไปด้วยองค์ คือ เนกขัมมะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง กามฉันทะ
อย่างใดอย่างหนึ่งสูญไปด้วยองค์นั้นอันเป็นเนกขัมมะ เพราะไม่มีเนกขัมมะใน
กามฉันทะนั้น. แม้ในบทที่เหลือก็พึงทราบการประกอบอย่างนั้น. อนึ่ง ใน
บทนี้ท่านชี้แจงความสูญเพราะองค์นั้น ๆ ด้วยอุปจารฌานและอัปปนาฌานและ
ด้วยวิปัสสนาเพียงความไม่มีองค์นั้น ๆ ในกามฉันทะนั้น ๆ แต่ท่านชี้แจง
วิปัสสนาทำวิวัฏฏานุปัสสนา (การเห็นนิพพาน) ให้เป็นที่สุด เพราะไม่มีคำ
แสดงถึงการละ ท่านมิได้ชี้แจงถึงมรรค 4.

ในบทมีอาทิว่า เนกฺขมฺเมน กามฉนฺโท สมุจฺฉินฺโน เจว สุญฺโญ
จ กามฉันทะอันเนกขัมมะตัดแล้วและสูญไป พึงทราบอรรถ ในบทนี้โดยนัย
ดังกล่าวแล้วในวิกขัมภนะ (การข่ม) นั้นแล. ท่านกล่าวถึงสมุจเฉทะ (การตัด)
โดยปริยายนี้ว่านิวรณ์ทั้งหลาย แม้ละแล้วด้วยตทังคะ และวิกขัมภนะ ก็ชื่อว่า
ตัดขาดแล้ว เพราะไม่มีความปรากฏขึ้น พึงทราบว่าท่านกล่าวด้วยสามารถให้
สำเร็จในการตัดกามฉันทะนั้น ๆ หรือด้วยสามารถเนกขัมมะอันสัมยุตด้วยมรรค
เป็นต้น.
อนึ่ง ในปฏิปัสสัทธิสูญ (สูญเพราะระงับ) และนิสสรณสูญ (สูญ
เพราะสลัดออก) พึงทราบอรรถตามนัยดังกล่าวแล้วในบทนี้นั้นแหละ. ส่วนใน
ตทังคปหานะ วิกขัมภนปหานะ และสมุจเฉทปหานะท่านกล่าวถือเอาเพียงความ
สลัดออก เพราะเพียงระงับในบทนี้. ในสุญญะ 5 เหล่านี้ เนกขัมมะเป็นต้น
ท่านกล่าวโดยชื่อว่า วิกขัมภนสูญ ตทังคสูญ สมุจเฉทสูญ ปฏิปัสสัทธิสูญ
และนิสสรณสูญ. บทว่า อชฺฌตฺตํ คือมีในภายใน. บทว่า พหิทฺธา คือ
มีในภายนอก. บทว่า ทุภโต สุญฺญํ คือ สูญทั้งภายในและภายนอกทั้งสอง.
คำว่า โต ย่อมมีแม้ในปัจจัตตะ (ปฐมาวิภัตติ) เป็นต้น.
อายตนะภายใน 6 เป็นต้น เป็นส่วนเสมอกันโดยความเป็นอายตนะ
ภายใน 6 เป็นต้น เป็นส่วนไม่เสมอกันด้วยอายตนะทั้งหลายอื่น. อนึ่ง ใน
บทมีอาทิว่า วิญฺญาณกายา ด้วยหมวดวิญญาณในที่นี้ท่านกล่าวถึงวิญญาณ
เป็นต้นด้วยคำว่า กายะ. ใน เนกฺขมฺเมสนา (การแสวงหาเนกขัมมะ)
เป็นต้น พึงทราบความดังต่อไปนี้. ชื่อว่า เอสนา เพราะอันวิญญูชนทั้งหลาย
ผู้มีความต้องการเนกขัมมะนั้นย่อมแสวงหาเนกขัมมะนั่นแหละ.
อีกอย่างหนึ่ง แม้การแสวงหาเนกขัมมะเป็นต้น ในส่วนเบื้องต้นก็
สูญไปจากกามฉันทะเป็นต้น. ท่านอธิบายว่า แม้เนกขัมมะเป็นต้น ก็ไม่ต้อง

พูดถึง. ใน ปริคฺคห (ความกำหนด) เป็นต้นพึงทราบความดังต่อไปนี้.
ท่านกล่าวว่า ชื่อว่า ปริคฺคห เพราะวิญญูชนแสวงหาเนกขัมมะเป็นต้นในส่วน
เบื้องต้น กำหนดเอาในส่วนเบื้องปลาย ชื่อว่า ปฏิลาภ (ความได้) เพราะ
วิญญูชนกำหนดเนกขัมมะย่อมได้ด้วยการบรรลุ และชื่อว่า ปฏิเวธ (การ
แทงตลอด) เพราะวิญญูชนได้เนกขัมมะแล้วย่อมแทงตลอดด้วยญาณ.
พระอานนทเถระถามถึงความเป็นอย่างเดียวสูญและความเป็นต่าง ๆ
สูญ คราวเดียวกันแล้วแก้ความเป็นอย่างเดียวสูญ ไม่แก้ความเป็นต่าง ๆ สูญ
แล้วทำการสรุปคราวเดียวกัน. หากถามว่า เพราะเหตุไรจึงไม่แก้. ตอบว่า
พึงทราบว่า ไม่แก้ เพราะท่านเพ่งถึงการประกอบในบทนี้โดยปริยายดังกล่าว
แล้ว. อนึ่ง ในบทนี้พึงทราบการประกอบดังนี้ เนกขัมมะเป็นอย่างเดียว
กามฉันทะเป็นความต่าง กามฉันทะเป็นความต่าง สูญไปจากความเป็น
อย่างเดียว คือ เนกขัมมะ. แม้ในบทที่เหลือพึงทราบการประกอบอย่างนี้.
ในบทมีอาทิว่า ขนฺติ พึงทราบความดังต่อไปนี้. เนกขัมมะเป็นต้น
ท่านกล่าวว่า ขันติ เพราะอดทนชอบใจ กล่าวว่า อธิฏฐาน เพราะเข้าไป
ตั้งไว้ซึ่งความชอบใจ และกล่าวว่า ปริโยคาหนะ (ความมั่นคง) เพราะ
เมื่อเข้าไปตั้งแล้วเสพตามความชอบใจ. ปรมัตถสุญญนิเทศมีอาทิว่า สมฺปชาโน
(รู้ตัว) ท่านพรรณนาไว้แล้วในปรินิพพานญาณนิเทศนั่นแหละ.
อนึ่ง ในสุญญะทั้งหมดเหล่านี้ สังขารสุญญะ (สังขารสูญ) วิปริณาม-
สุญญะ (ความแปรปรวนสูญ) และลักขณสุญญะ (ลักษณสูญ) ท่านกล่าว
เพื่อให้เห็นความไม่ปนกันและกันของธรรมทั้งหลายตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว.
อนึ่ง ท่านกล่าวถึงความสูญไปจากธรรมฝ่ายกุศลแห่งธรรมฝ่ายอกุศล
ในฐานะใด เพื่อให้เห็นโทษในอกุศลด้วยฐานะนั้น. ท่านกล่าวถึงความสูญไป
จากธรรมฝ่ายอกุศลแห่งธรรมฝ่ายกุศลด้วยฐานะใด เพื่อให้เห็นอานิสงส์ในกุศล
ด้วยฐานะนั้น. ท่านกล่าวถึงความสูญไปจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนในฐานะใด

เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายฐานะนั้นในสังขารทั้งปวง. พึงทราบว่าท่านกล่าวถึง
อัคคสูญและปรมัตถสูญ เพื่อให้เกิดอุตสาหะในนิพพาน.
ในความสูญเหล่านั้น ความสูญ 2 อย่าง คือ อัคคสูญและปรมัตถสูญ
โดยอรรถได้แก่นิพพานนั่นเอง ท่านกล่าวทำเป็น 2 อย่างด้วยอำนาจแห่งความ
เลิศและมีประโยชน์อย่างยิ่ง และด้วยอำนาจแห่งสอุปาทิเสส และอนุปาทิเสส.
ความสูญ 2 อย่างเหล่านั้น มีส่วนเสมอกันเพราะสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วย
ตนและสูญจากสังขาร. ความสูญ 6 อย่างเหล่านี้ คือ สูญสูญ 1 ภายในสูญ 1
ภายนอกสูญ 1 ทั้งภายในและภายนอกสูญ 1 ส่วนเสมอกันสูญ 1 ส่วนไม่-
เสมอกันสูญ 1 เป็นอันสูญสูญทั้งหมด. อนึ่ง ท่านกล่าวความสูญ 6 อย่างโดย
ประเภทมิภายในสูญเป็นต้น. อนึ่ง ความสูญ 6 อย่างเหล่านั้นชื่อว่ามีส่วน
เสมอกัน เพราะสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นต้น. ความสูญ 17 อย่าง
คือ สังขารสูญ 1 วิปริณามธรรมสูญ 1 ลักษณสูญ 1 วิกขัมภนสูญ 1
ตทังคสูญ 1 สมุจเฉทสูญ 1 ปฏิปัสสัทธิสูญ 1 นิสสรณสูญ 1 เอสนาสูญ 1
ปริคคหสูญ 1 ปฏิลาภสูญ 1 ปฏิเวธสูญ 1 เอกัตตสูญ 1 นานัตตสูญ 1
ขันติสูญ 1 อธิษฐานสูญ 1 ปริโยคาหสูญ 1 ท่านกล่าวไว้ต่างหากกันด้วย
อำนาจแห่งความไม่มี เพราะสูญจากธรรมนั้น ๆ อันไม่มีในตน.
อนึ่ง สังขารสูญ วิปริณามธรรมสูญ ลักษณสูญมีส่วนเสมอกัน ด้วย
การไม่ปนกับความสูญนอกนั้น. ความสูญ 5 มีวิกขัมภนสูญเป็นต้น ชื่อว่า
มีส่วนเสมอกัน เพราะความสูญไปด้วยธรรมฝ่ายกุศล. ความสูญ 4 มีเอสนาสูญ
เป็นต้น และความสูญ 3 มีขันติสูญเป็นต้น ชื่อว่ามีส่วนเสมอกัน เพราะ
สูญไปจากธรรมฝ่ายอกุศล. เอกัตตสูญและนานัตตสูญ มีส่วนเสมอกันด้วย
ตรงกันข้ามของกันและกัน.
ท่านผู้รู้อรรถแห่งความสูญ ย่อมพรรณนาไว้ใน
ศาสนานี้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงโดยย่อเป็นความสูญ
3 ส่วน 2 ส่วน และ 1 ส่วน.

อย่างไร. ธรรมทั้งปวงที่เป็นโลกิยธรรม ชื่อว่า สูญจากความยั่งยืน ความงาม
ความสุขและตัวตนเพราะปราศจากความยั่งยืน ความงามความสุขและตัวตน.
ธรรมอันเป็นมรรคและผล ชื่อว่า สูญจากความยั่งยืนความสุขและตัวตน เพราะ
ปราศจากความยั่งยืนความสุขและตัวตน. ความเป็นสภาพไม่เที่ยงนั่นแหละสูญ
ไปจากความสุข. ความไม่มีอาสวะ สูญไปจากความงาม. นิพพานธรรมชื่อว่า
สูญจากตัวตนเพราะไม่มีตัวตน. สังขตธรรมแม้ทั้งหมดทั้งที่เป็นโลกิยะและโล-
กุตระ ชื่อว่า สูญจากสัตว์ เพราะไม่มีสัตว์ไร ๆ. นิพพานธรรมอันเป็นอสังขตะ
ชื่อว่า สูญจากสังขารเพราะไม่มีแม้สังขารทั้งหลายเหล่านั้น. ส่วนธรรมทั้งหมด
ทั้งที่เป็นสังขตธรรมและอสังขตธรรม ชื่อว่า สูญจากตัวตนเพราะไม่มีบุคคล
กล่าวคือ ตัวตน ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาสุญญกถา
แห่งอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ชื่อว่า สัทธัมมปกาสินี
และ
จบการพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนา
แห่งมัชฌิมวรรค


รวมกถาที่มีในวรรคนี้ คือ


1. ยุคนัทธกถา 2. สัจจกถา 3. โพชฌงคกถา 4. เมตตากถา
5. วิราคกถา 6. ปฏิสัมภิทากถา 7. ธรรมจักกกถา 8. โลกุตตรกถา
9. พลกถา 10. สุญญกถา และอรรถกถา นิกายอันประเสริฐนี้ท่านตั้งไว้แล้ว
เป็นวรมรรคอันประเสริฐที่ 2 ไม่มีวรรคอื่นเสมอ ฉะนี้แล.