เมนู

อรรถกถาโลกุตตรกถา


บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งโลกุตรกถา
อันพระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ในลำดับแห่งธรรมจักรกถาอันเป็นไปในโลกุตร-
ธรรม. ความแห่งบทโลกุตระในโลกุตรกถานั้นจักมีแจ้งในนิเทศวาร. โพธิ-
ปักขิยธรรม 37 มีอาทิว่า จตฺตาโร สติปฏฺฐานา สัมปยุตด้วยมรรคและ
ผลตามที่ประกอบ ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า โพธิปกฺขิยธรรม เพราะเป็นไป
ในฝ่ายแห่งอริยะอันได้ชื่ออย่างนี้ว่า โพธิ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้. บทว่า
ปกฺเข ภวตฺตา เพราะเป็นไปในฝ่าย คือ เพราะตั้งอยู่ในความเป็นอุปการะ.
ชื่ออุปฏฺฐานํ เพราะก้าวลง คือ แล่นไปในอารมณ์เหล่านั้น แล้วปรากฏ สติ
นั่นแหละปรากฏชื่อว่าสติปัฏฐาน ประเภทของสติปัฏฐานนั้น 4 อย่าง เป็นไป
ด้วยอำนาจการถืออาการไม่งาม เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน และด้วย
อำนาจการยังกิจให้สำเร็จด้วยการละความงาม สุข ความเที่ยงและความสำคัญ
ว่าตัวตนในกาย เวทนาจิต และธรรม เพราะฉะนั้นจึงท่านจึงเรียกว่าสติปัฏฐาน 4.
ชื่อว่า ปธานํ เพราะเป็นเหตุตั้งไว้. การตั้งไว้งามชื่อว่า สัมมัป-
ปธาน
. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สมฺมปฺปธานํ เพราะเป็นเหตุตั้งไว้ชอบ หรือ
เพราะการตั้งไว้งามนั้นชื่อว่า ปธาน เพราะปราศจากความประพฤติผิด คือ กิเลส
เพราะนำความประเสริฐมาให้ ด้วยอรรถว่าให้สำเร็จประโยชน์สุข หรือเพราะ
ทำความเป็นประธาน สัมมัปปธานนี้เป็นชื่อของความเพียร. สัมมัปธานนี้นั้น
มีหน้าที่ละอกุศลที่เกิดแล้ว ไม่ให้อกุศลเกิดขึ้นให้สำเร็จกิจในการเกิดขึ้นแห่ง
กุศลที่ยังไม่เกิด ให้สำเร็จกิจในการตั้งอยู่แห่งกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะเหตุนั้น
สัมมัปปธานจึงมี 4 อย่างด้วยประการฉะนี้ ท่านจึงกล่าวว่า สัมมัปปธาน 4.

ชื่อว่า อิทธิบาท เพราะความสำเร็จโดยปริยายนี้ว่า สัตว์ทั้งหลาย
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยความสำเร็จนี้ เป็นผู้เจริญถึงชั้นอุกฤษฏ์ ชื่อว่า ย่อมสำเร็จ
เพราะอรรถว่า สำเร็จโดยปริยายแห่งความสำเร็จ เป็นธรรมให้ถึงความสำเร็จ
ด้วยอรรถว่า เป็นเบื้องต้นอันสัมปยุตเข้าด้วยกันแห่งความสำเร็จนั้น และเพราะ
อรรถว่า เป็นเหตุแห่งส่วนเบื้องต้นอันเป็นผล เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
อิทธิบาท 4.
ชื่อว่า อินทรีย์ เพราะอรรถว่าเป็นใหญ่กล่าวคือครอบงำ เพราะ
ครอบงำความไม่มีศรัทธา ความเกียจคร้าน ความประมาท ความฟุ้งซ่าน
และความหลง. ชื่อว่า พละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว เพราะไม่ถูกความ
ไม่มีศรัทธาเป็นต้นครอบงำ. แม้อินทรีย์และพละทั้งสองอย่างนั้นก็มี 5 อย่าง
เดียวกัน คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า
อินทรีย์ 5 พละ 5. อนึ่ง ธรรมทั้งหลาย 7 มีสติเป็นต้น ชื่อว่า โพชฌงค์
เพราะเป็นองค์แห่งสัตว์ผู้ตรัสรู้ และธรรมทั้งหลาย 8 มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น
เป็นองค์แห่งมรรค เพราะอรรถว่า นำออกไป ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8.
โพธิปักขิยธรรม 37 ประการเหล่านี้ เมื่อวิปัสสนาอันเป็นโลกิยะ
ในส่วนเบื้องต้นยังเป็นไปอยู่ ชื่อว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะกำหนด
ถือเอากายโดยอาการ 14 อย่าง ชื่อว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานเพราะกำหนด
ถือเอาเวทนาโดยอาการ 9 อย่าง ชื่อว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะ
กำหนดถือเอาจิตโดยอาการ 6 อย่าง ชื่อว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะ
กำหนดถือเอาธรรมโดยอาการ 5 อย่างด้วยประการดังนี้.

ในกาลพยายามเพื่อเห็นอกุศลอันเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้อื่น ซึ่งยังไม่เคยเกิด
ในอัตภาพนี้แล้วไม่ให้อกุศลนั้นเกิดด้วยคิดว่า เราจักไม่ปฏิบัติเหมือนอย่างที่
อกุศลนั้นเกิดแก่ผู้ปฏิบัติ อกุศลนั้นจักไม่เกิดแก่เราอย่างนี้ เป็นสัมมัปปธาน
ข้อที่ 1 ในกาลพยายามเพื่อเห็นอกุศลที่เกิด เพราะความประพฤติของตนแล้วละ
อกุศลนั้น เป็นสัมมัปปธานข้อที่ 2 เมื่อพยายามเพื่อให้ฌานหรือวิปัสสนา
อันยังไม่เคยเกิดในอัตภาพนี้ให้เกิดขึ้น เป็นสัมมัปปธานข้อที่ 3 เมื่อพยายาม
ให้ฌานหรือวิปัสสนาเกิดขึ้นบ่อย ๆ โดยประการที่ไม่ให้เสื่อม เป็นสัมมัปปธาน
ข้อที่ 4.
ในกาลทำฉันทะให้เป็นธุระแล้วให้กุศลเกิดขึ้นเป็นฉันทิทธิบาท ใน
กาลทำวิริยะ จิตตะ วิมังสา ให้เป็นธุระแล้วให้กุศลเกิดขึ้นเป็นวิมังสิทธิบาท
ในกาลเว้นพูดเท็จเป็นสัมมาวาจา ในกาลเว้นการงานผิด อาชีพผิด เป็น
สัมมาอาชีวะ โพธิปักขิยธรรมทั้งหลายย่อมได้ในจิตต่าง ๆ อย่างนี้ด้วยประการ
ฉะนี้. แต่ในขณะแห่งมรรค 4 โพธิปักขิยธรรมทั้งหลายย่อมได้ในจิตดวง
เดียวกัน ในขณะแห่งผลย่อมได้โพธิปักขิยธรรมที่เหลือ เว้นสัมมัปปธาน 4.
อนึ่ง เมื่อโลกุตรธรรมเหล่านั้นได้ในจิตดวงเดียวอย่างนี้ สติมีนิพพานเป็น
อารมณ์อย่างเดียวเท่านั้น ท่านกล่าวว่า สติปัฏฐาน 4 ด้วยสามารถสำเร็จกิจ
ในการละความสำคัญว่างามในกายเป็นต้น วิริยะอย่างเดียวเท่านั้น ท่านกล่าวว่า
สัมมัปปธาน 4 ด้วยสามารถสำเร็จกิจมีไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ละอกุศลที่เกิด
เป็นต้น. ในโพธิปักขิยธรรมที่เหลือไม่มีการลดการเพิ่ม.
อีกอย่างหนึ่ง ในโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น พึงทราบคาถาดังต่อไปนี้.
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น มี 6 หมวด ดังนี้คือ

ธรรมทั้งหลาย 9 ข้อ เป็นธรรมมีอยู่โดยหมวด
เดียว ธรรม 1 ข้อ มีโดย 2 หมวด อนึ่ง ธรรมเดียว
มีโดย 4 หมวด และโดย 5 หมวด โดย 8 หมวด
และโดย 9 หมวด.

บทว่า นว เอกวิธา ธรรมทั้งหลาย 9 ข้อมีอยู่โดยหมวดเดียว คือ
ธรรม 9 ข้อเหล่านี้ คือ ฉันทะ 1 จิตตะ 1 ปีติ 1 ปัสสัทธิ 1 อุเบกขา 1
สังกัปปะ 1 วาจา 1 กัมมันตะ 1 อาชีวะ 1 มีอยู่โดยหมวดเดียวเท่านั้น
ด้วยสามารถฉันทิทธิบาทเป็นต้น ไม่ผนวกส่วนอื่น. บทว่า เอโก เทฺวธา
ธรรม 1 ข้อมีโดย 2 หมวด คือ ศรัทธาตั้งอยู่โดย 2 หมวด ด้วยสามารถแห่ง
อินทรีย์และพละ. บทว่า อถ จตุปญฺจธา อนึ่ง ธรรมเดียวมีโดย 4 หมวด
และโดย 5 หมวด คือ ธรรมอื่นธรรมเดียวมีโดย 4 หมวด ธรรมอื่นตั้งอยู่
โดย 5 หมวด.
ในธรรมเหล่านั้น สมาธิข้อเดียวตั้งอยู่โดย 4 หมวด คือ อินทรีย์ 1
พละ 1 โพชฌงค์ 1 องค์มรรค 1. ปัญญาตั้งอยู่โดย 5 หมวด โดยหมวด
แห่งธรรม 4 เหล่านั้นและโดยส่วนหนึ่งของอิทธิบาท. บทว่า อฏฺฐธา นวธา
เจว
โดย 8 และ 9 หมวด คือ ธรรมอย่างเดียวอีกข้อหนึ่ง ตั้งอยู่โดย
8 หมวด ธรรมเดียวข้อหนึ่งตั้งอยู่โดย 9 หมวด อธิบายว่า สติตั้งอยู่ 8 หมวด
คือ สติปัฏฐาน 4 อินทรีย์ 1 พละ 1 โพชฌงค์ 1 องค์มรรค 1. วิริยะตั้งอยู่
9 หมวด คือ สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 1 อินทรีย์ 1 พละ 1 โพชฌงค์ 1
องค์มรรค 1 ด้วยประการฉะนี้. พึงทราบความในคาถาต่อไปนี้.
โพธิปักขิยธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ที่ไม่ประสม
กันก็มี 14 เท่านั้น โดยหมวดก็มีอยู่ 7 หมวด โดย
ประเภทมี 37 เมื่ออริยมรรคเกิดขึ้นโพธิปักขิยธรรม

เหล่านั้นก็เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดทีเดียว ด้วยการทำ
กิจของตน ๆ ให้สำเร็จ และด้วยดำเนินไปตามรูป
ของตน.

พระสารีบุตรเถระครั้นแสดงโพธิปักขิยธรรม 37 สัมปยุตด้วยมรรค
และผลอย่างนี้แล้ว จึงย่อโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้นลงในมรรคและผลอีก แล้ว
กล่าวว่า อริยมรรค 4 และสามัญผล 4 ความเป็นสมถะชื่อว่า สามัญญะ.
สามัญญะนี้เป็นชื่อของอริยมรรค 4 ผลแห่งสามัญญะทั้งหลายชื่อว่าสามัญผล
ส่วนนิพพานไม่ปนกันเลย โลกุตรธรรมทั้งหลาย 46 ด้วยสามารถแห่งโพธิ-
ปักขิยธรรม 37 มรรค 4 ผล และนิพพาน 1 โดยพิสดาร จากนั้นโดยย่อ
โลกุตรธรรม 9 ด้วยสามารถแห่งมรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 แม้จากนั้น
โดยย่อพึงทราบว่า โลกุตรธรรม 3 ด้วยสามารถมรรค 1 ผล 1 นิพพาน 1.
อนึ่ง เมื่อกล่าวถึงความที่มรรคผลมีสติปฏิฐานเป็นต้นเป็นโลกุตระก็เป็นอัน
ท่านกล่าวถึงความที่แม้ผัสสะเป็นต้นอันสัมปยุตด้วยมรรคผลนั้น ก็เป็นโลกุตระ
เหมือนกัน. ท่านกล่าวถึงสติปัฏฐานเป็นต้นด้วยเป็นธรรมเป็นประธาน. อนึ่ง
ในโลกุตรธรรมนิเทศในอภิธรรม ท่านกล่าวถึงความที่ผัสสะเป็นต้นอันสัมป-
ยุตด้วยมรรคและผลเป็นโลกุตรธรรม.
บทว่า โลกํ ตรนฺติ ข้ามพ้นโลก คือ ก้าวล่วงโลก. ในบทนี้
คำเป็นปัจจุบันกาลเช่นนี้ทั้งหมดท่านกล่าวหมายถึงอริยมรรค 4 เพราะโสดา-
ปัตติมรรค ข้ามอบายโลกได้ สกทาคามิมรรคข้ามกามาวจรโลกเป็นเอกเทศได้
อนาคามิมรรคข้ามกามาวจรโลกได้ อรหัตมรรคข้ามรูปาวจรโลกและอรูปาวจร-
โลกได้. บทว่า โลกา อุตฺตรนฺติ ข้ามไปจากโลก คือ ออกไปจากโลก. บทว่า
โลกโตติ จ โลกมฺหาติ จ คำว่า จากโลกและแต่โลก คือ ท่านแสดงถึง

ความวิเศษของปัญจมีวิภัตติ. บทว่า โลกํ สมติกฺกมนฺติ ล่วงพ้นโลกมี
ความดังได้กล่าวไว้แล้วครั้งแรก. ในบทนั้นท่านกล่าวไม่เพ่งถึงความของ
อุปสรรค. ในบทนี้ท่านกล่าวพร้อมด้วยความของอุปสรรค. บทว่า โลกํ
สมติกฺกนฺตา
ล่วงพ้นโลกแล้ว คือ ก้าวล่วงโลกตามที่กล่าวแล้วโดยชอบ.
คำที่เป็นอดีตกาลเช่นนี้ทั้งหมด ในบทนี้ ท่านกล่าวหมายถึงนิพพานเป็นผล.
เพราะโสดาปัตติผลเป็นต้นก้าวล่วงโลก ตามที่กล่าวแล้วตั้งอยู่ นิพพานก้าวล่วง
โลกทั้งหมดทุกเมื่อ. บทว่า โลเกน อติเรก คือยิ่งไปกว่าโลก. บทนี้ท่าน
กล่าวหมายถึงโลกุตรธรรมแม้ทั้งหมด. บทว่า นิสฺสรนฺติ คือพรากไป.
บทว่า นิสฺสฏา คือออกไป. คำ 18 มีอาทิว่า โลเก น ติฏฺฐติ ไม่ตั้งอยู่
ในโลก ย่อมควรแม้ในโลกุตรธรรมทั้งหมด. บทว่า น ติฏฺฐนฺติ ท่าน
กล่าวเพราะไม่นับเนืองในโลก. บทว่า โลเก น ลิมฺปติ ไม่ติดในโลก คือ
แม้เป็นไปในสันดานก็ไม่ติดในโลกนั้น. บทว่า โลเกน น ลิมฺปติ ไม่ติด
ด้วยโลก ความว่า ไม่ติดด้วยจิตไร ๆ ของผู้ยังไม่แทงตลอด ด้วยจิตเป็น
อกุศลและไม่สามารถของผู้แทงตลอดแล้ว. บทว่า อสํลิตฺตา อนุปลิตฺตา
ไม่ติด ไม่ฉาบ พึงทราบด้วยอุปสรรค. บทว่า วิปฺปมุตฺตา พ้นแล้ว คือ
ความไม่ติดนั่นเอง แปลกที่พยัญชนะต่างกัน เพราะผู้ใดไม่ติดในสิ่งใดด้วย
สิ่งใด ผู้นั้นเป็นผู้พ้นในสิ่งนั้นด้วยสิ่งนั้น. บท 3 บทมีอาทิว่า โลกา วิปฺป-
มุตฺตา
พ้นไปจากโลก ท่านกล่าวโดยเป็นปัญจมีวิภัตติ. บทว่า วิสญฺญุตฺตา
ไม่เกี่ยวข้องเป็นความยอดเยี่ยมของความพ้นไป เพราะผู้ใดพ้นในสิ่งใดด้วย
สิ่งใด จากสิ่งใด ผู้นั้นเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง ในสิ่งนั้น ด้วยสิ่งนั้น จากสิ่งนั้น.
บทว่า โลกา สุชฺฌนฺติ หมดจดจากโลก คือ ล้างมลทินของโลกแล้ว
หมดจดจากโลก. บทว่า วิสุชฺฌนฺติ สะอาด แปลกกันที่อุปสรรค. บทว่า

วุฏฺฐหนฺติ ออก คือ ลุกขึ้น. บทว่า วิวชฺชนฺติ คือไม่กลับ . บทว่า น
สชฺชนฺติ ไม่ข้อง คือ ไม่เกี่ยวข้อง. บทว่า น คยฺหนฺติ ไม่ยึด คือ ไม่ถือ.
บทว่า น พชฺฌนฺติ ไม่พัวพัน คือ ไม่ผูกพัน. บทว่า สมุจฺฉินฺทนฺติ
ตัด คือ ทำไม่ให้เป็นไปได้. อนึ่งท่านกล่าวคำมีอาทิว่า เพราะหมดจดจากโลก
เหมือนบทว่า โลกํ สมุจฺฉินฺนตฺตา เพราะตัดขาดจากโลก. บทว่า ปฏิปฺ-
ปสฺสมฺเภนฺติ
ให้โลกระงับอยู่ คือ ให้โลกดับ. บท 4 มีอาทิว่า อปจฺจคา
ย่อมควรในโลกุตระแม้ทั้งปวง. บทว่า อปจฺจคา ไม่กลับมา. คือ ไม่มีทาง.
บทว่า อคติ ไม่เป็นคติ คือ ไม่เป็นที่พึ่ง. บทว่า อวิสยา ไม่เป็นวิสัย
คือ เป็นที่อาศัย. บทว่า อสาธารณา ไม่เป็นสาธารณะ คือ ไม่เสมอ.
บทว่า วมนฺติ คือ คายออก. บทว่า น ปจฺจาคมนฺติ ไม่เวียนมา ท่าน
กล่าวโดยนัยตรงข้ามกับคำที่กล่าวแล้ว ความว่า ไม่กินของที่ตายแล้วอีก.
ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึงความที่ของที่คายแล้วเป็นอันคายไปแล้ว. แม้ในหมวด 3
แห่งทุกะในลำดับก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า วิสิเนนฺติ ไม่ผูก คือ กระจัดกระจายไป พ้นไป ความว่า
ไม่ผูกพัน. บทว่า น อุสฺสิเนนฺติ ผูก คือ ไม่กระจัดกระจาย ไม่พ้น.
บทว่า วิสิเนนฺติ ปาฐะทำให้เสียงสั้นว่า น อุสฺสิเนนฺติ ดี. บทว่า วิธูเปนฺติ
กำจัด คือ ให้ดับ. บทว่า น สุธูเปนฺติ ไม่อบโลกให้งาม คือ ไม่รุ่งเรือง.
บทว่า โลกํ สมติกฺกมฺม อภิภุยฺย ติฏฺฐนฺติ ล่วงโลกครอบงำโลกตั้งอยู่
คือ โลกุตรธรรมแม้ทั้งหมดก้าวล่วงและครอบงำโลกตั้งอยู่ด้วยดี เพราะเหตุ
นั้นจึงชื่อว่า โลกุตระ เป็นอันท่านกล่าวถึงความที่โลกุตระทั้งหลายเหนือ
โลกและยิ่งกว่าโลกโดยประการดังกล่าวนี้แม้ทั้งหมด.
จบอรรถกถาโลกุตตรกถา

ยุคนัทธวรรค


พลกถา


ว่าด้วยพลธรรม


[621] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พละ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็นไฉน ?
คือ สัทธาพละ วิริยพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พละ 5 ประการนี้แล.
อีกอย่างหนึ่ง พละ 68 ประการ คือ สัทธาพละ วิริยพละ สติพละ
สมาธิพละ ปัญญาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ ปฏิสังขานพละ ภาวนาพละ
อนวัชชพละ สังคาหพละ ขันติพละ ปัญญัตติพละ นิชฌัตติพละ อิสริยพละ
อธิษฐานพละ สมถพละ วิปัสสนาพละ เสกขพละ 10 อเสกขพละ 1.
ขีณาสวพละ 10 อิทธิพละ 10 ตถาคตพละ 10.
[622] สัทธาพละเป็นไฉน ? ชื่อว่าสัทธาพละ เพราะอรรถว่า ไม่
หวั่นไหวในความไม่ศรัทธา เพราะความว่าอุปถัมภ์สหชาตธรรม เพราะ
ความว่าครอบงำกิเลสทั้งหลาย เพราะความว่าเป็นความสะอาดในเบื้องต้นแห่ง
ปฏิเวธ เพราะความว่าเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิต เพราะความว่าเป็นที่ผ่องแผ้วแห่งจิต
เพราะความว่าเป็นเครื่องบรรลุคุณวิเศษ เพราะความว่าแทงตลอดธรรมที่ยิ่ง
เพราะความว่าตรัสรู้สัจจะ เพราะความว่าให้การกบุคคลตั้งอยู่เฉพาะในนิโรธ
นี้เป็นสัทธาพละ.