เมนู

ปฏิสัมภิทากถา


อรรถกถาธรรมจักกัปปวัตตนวาระ


บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความซึ่งยังไม่เคยพรรณนามาก่อน แห่ง
ปฏิสัมภิทากถา อันมีธรรมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นเบื้องต้น อันพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงถึงประเภทแห่งปฏิสัมภิทามรรค สำเร็จลงด้วยอำนาจเเห่งมรรค
อันได้แก่วิราคะ ตรัสไว้แล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตร ดังต่อไปนี้. บทว่า พาราณสิยํ คือ
มีแม่น้ำชื่อว่า พาราณสา. กรุงพาราณสีเป็นนครอยู่ไม่ไกลแม่น้ำพาราณสา.
ใกล้กรุงพาราณสีนั้น. บทว่า อิสิปตเน มิคทาเย ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
คือ ชื่อว่าสวนมฤคทายวัน เพราะเป็นที่ให้อภัยแก่มฤคทั้งหลายอันได้ชื่ออย่าง
นั้น ด้วยสามารถแห่งการลง ๆ ขึ้น ๆ ของพวกฤๅษี. เพราะพวกฤษีสัพพัญญู.
เกิดขึ้นแล้ว ๆ ก็ลงไปในป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น อธิบายว่า นั่งประชุมกัน
เพื่อยังธรรมจักรให้เป็นไป แม้พวกฤๅษีปัจเจกพุทธะออกจากนิโรธสมาบัติ
เมื่อล่วงไป 7 วัน จากเงื้อมเขานันทมูลกะ ล้างหน้าที่สระอโนดาต เหาะมา
ทางอากาศก็ลงไปประชุมกัน ณ ที่นี้ ประชุมกันเพื่อเป็นสุข เพื่ออุโบสถ
ใหญ่ และเพื่ออุโบสถน้อย เมื่อจะกลับไปสู่เขาคันธมาทน์ ก็เหาะไปจากที่นั้น
เพราะเหตุนั้น ด้วยบทนี้ที่นั้นท่านจึงเรียกว่า อิสิปตนะ ด้วยเป็นที่ลง ๆ
ขึ้น ๆ ของพวกฤาษี. บาลีว่า อิสิปทนํ ดังนี้บ้าง.
บทว่า ปญฺจวคฺคิเย ภิกษุเบญจวัคคีย์ (มีพวก 5) คือ พวกของ
ภิกษุ 5 ดังที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า

พระมหาเถระ 5 เหล่านี้ คือ พระโกณฑัญญะ 1
พระภัททิยะ 1 พระวัปปะ 1 พระมหานาม 1 พระ-
อัสสชิ 1 ท่านเรียกว่า ภิกษุมีพวก 5

ชื่อว่า ปัญจวรรค ชื่อว่า ปัญจวัคคีย์ เพราะเนื่องในพวก 5 นั้น. บทว่า
ภิกฺขู อามนฺเตสิ ตรัสกะภิกษุทั้งหลาย ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
บำเพ็ญบารมีจำเดิม แต่ละสมอภินิหาร ณ บาทมูลของพระทศพล พระนามว่า
ทีปังกร จนบรรลุภพสุดท้ายโดยลำดับ ในภพสุดท้ายเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
ทรงถึงโพธิมณฑลโดยลำดับ ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ ณ โพธิมณฑล
นั้น ทรงกำจัดมารและพลมาร ทรงระลึกถึงปุพเพนิวาสญาณ ในปฐมยาม
ในมัชฌิมยามทรงยังทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ ในที่สุดปัจฉิมยามทรงยังหมื่นโลกธาตุ
ให้บันลือก้องกัมปนาท ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ล่วงไป 7 สัปดาห์ ณ
โพธิมณฑล ท้าวมหาพรหมทูลวิงวอนขอให้ทรงแสดงธรรม ทรงตรวจตรา
สัตว์โลกด้วยทิพยจักษุ เสด็จไปกรุงพารานสี เพื่อทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก
มีพระประสงค์จะให้ภิกษุเบญจวัคคีย์ยอมรับแล้ว ทรงยังธรรมจักรให้เป็นไป
จึงตรัสเรียก.
บทว่า เทฺว เม ภิกฺขเว อนฺตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุด
2 อย่างนี้ พระสุรเสียงที่เปล่งออกด้วยทรงเปล่งพระดำรัสนี้ ข้างบนถึง
ภวัคคพรหม ข้างล่างถึงอเวจี แล้วแผ่ไปตั้งอยู่ตลอดหมื่นโลกธาตุ ในสมัยนั้น
พระผู้มี 18 โกฏิมาประชุมกัน พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก พระจันทร์
เต็มดวงประกอบด้วยอาสาฬหนักษัตรขึ้นทางทิศตะวันออก ในสมัยนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร พระดำรัสมีอาทิว่า
เทฺว เม ภิกฺขเว อนฺตา ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพชิเตน บรรพชิต คือ ผู้ตัดวัตถุกาม
อันเกี่ยวข้องด้วยคฤหัสถ์ออกบวช. บทว่า น เสวิตพฺพา ไม่ควรเสพ คือ
ไม่ควรใช้สอย. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา อัน
บรรพชิตไม่ควรเสพ เพราะการปฏิบัติอย่างวิเศษเป็นเครื่องรองรับของบรรพชิต
ทั้งหลาย. บทว่า กาเมสุ กามสุขัลลิกานุโยโค การประกอบความพัวพัน
กามสุขในกามทั้งหลาย คือการประกอบกามสุขคือกิเลสในวัตถุกาม หรือการ
ประกอบอาศัยกามสุขคือกิเลส. บทว่า หีโน เป็นของเลวคือลามก. บทว่า
คมฺโม คือ เป็นของชาวบ้าน. บทว่า โปถุชฺชนิโก เป็นของปุถุชน คือ
ปุถุชนได้แก่อันธพาลปุถุชนประพฤติกันเนือง ๆ. บทว่า อนริโย คือไม่ใช่
ของพระอริยเจ้า. อีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ของมีอยู่ของพระอริยเจ้าผู้บริสุทธิ์ ผู้
สูงสุด. บทว่า อนตฺถสญฺหิโต ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ความว่า ไม่
อาศัยเหตุอันนำความสุขมาให้.
บทว่า อตฺตกิลมถานุโยโค การประกอบการทำตนให้ลำบาก
ความว่า ทำความทุกข์ให้แก่ตน. บทว่า ทุกฺโข คือนำความทุกข์มาให้
ด้วยการทรมานคนมีนอนบนที่ทำด้วยหนามเป็นต้น. ในบทนี้ท่านไม่กล่าวว่า
หีโน เพื่อรักษาจิตของผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้น เพราะผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้น
ถือว่าเป็นตบะอันสูงสุด ไม่กล่าวว่า โปถุชฺชนิโก เพราะเป็นธรรมดาของ
บรรพชิตทั้งหลาย และเพราะไม่ทั่วไปด้วยคฤหัสถ์ทั้งหลาย. อนึ่ง ในบทว่า
กามสุขลฺลิกานุโยโค นั้นท่านไม่กล่าวว่า ทุกฺโข เพราะพวกปฏิญาณ
ว่าเป็นบรรพชิตพวกใดพวกหนึ่ง มีวาทะว่านิพพานในปัจจุบันถือเอาว่า เพราะ
ตัวตนนี้เปี่ยมเพียบพร้อมบำเรอด้วยกามคุณ 5 ด้วยเหตุนี้ตัวตนนี้จึงเป็นอัน
บรรลุนิพพานในปัจจุบัน เพื่อรักษาจิตของผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้น และเพราะ

การสมาทานธรรมนั้นเป็นความสุขในปัจจุบัน ไม่ควรเสพกามสุขัลลิกานุโยค
เพราะเป็นความสุขเศร้าหมองด้วยตัณหาและทิฏฐิในปัจจุบัน เพราะมีทุกข์เป็น
ผลต่อไป และเพราะผู้ขวนขวายกามสุขัลลิกานุโยคนั้นพัวพันด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิ ไม่ควรเสพอัตตกิลมถานุโยค เพราะเป็นทุกข์เศร้าหมองด้วยทิฏฐิใน
ปัจจุบัน เพราะมีทุกข์เป็นผลต่อไป และเพราะผู้ขวนขวายในอัตตกิลมถานุโยค
นั้นผูกพันด้วยทิฏฐิ. บทว่า เอเต เต คือ เหล่านั้นนี้. บทว่า อนุปคมฺม
ไม่เกี่ยวข้อง คือ ไม่เข้าไปใกล้. บทว่า มชฺฌิมา สายกลาง ชื่อว่า มชฺฌิมา
เพราะเป็นทางสายกลางไม่มีสุขและทุกข์เศร้าหมอง ชื่อว่า ปฏิปทา เพราะ
เป็นเหตุถึงนิพพาน. บทว่า อภิสมฺพุทฺธา ตรัสรู้แล้ว คือ แทงตลอดแล้ว.
ในบทมีอาทิว่า จกฺขุกรณี ทำจักษุมีความดังต่อไปนี้. ชื่อว่า จกฺขุกรณี
เพราะทำปัญญาจักษุ. บทว่า ญาณกรณี ทำญาณเป็นไวพจน์ของบทว่า
จกฺขุกรณี นั้นนั่นแหละ. บทว่า อุปสมาย เพื่อความสงบ คือ เพื่อสงบ
กิเลส. บทว่า อภิญฺญาย เพื่อความรู้ยิ่ง คือ เพื่อประโยชน์แก่ความรู้ยิ่ง
สัจจะ 4. บทว่า สมฺโพธาย เพื่อความตรัสรู้ คือเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้
สัจจะ 4 เหล่านั้น. บทว่า นิพฺพานาย เพื่อนิพพาน คือ เพื่อทำให้แจ้งซึ่ง
นิพพาน.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า จกฺขุกรณี เพราะทำมรรคญาณ คือ ทัศนะ.
ชื่อว่า ญาณกรณี เพราะทำมรรคญาณคือภาวนา เพื่อสงบกิเลสทั้งปวง
เพื่อรู้ยิ่งธรรมทั้งปวง เพื่อตรัสรู้อรหัตผล เพื่อดับกิเลสและขันธ์. ท่านกล่าว
สัจจกถาไว้ในอภิญเญยยนิเทศแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงประกาศสัจจะอย่างนี้แล้ว ได้สดับลำดับ
การแทงตลอดของพระองค์ ของเบญจวัคคีย์เหล่านั้นผู้ยังมีมานะจัดในพระองค์

แล้วทรงยังการปฏิบัติให้หมดจดด้วยการถอนมานะจัด เมื่อทรงเห็นการแทง
ตลอดสัจจะ จึงทรงแสดงลำดับของการแทงตลอดของพระองค์ ด้วยบทมีอาทิว่า
อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจนฺติ เม ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่เคยฟัง
มาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ คือ ทรงแสดงลำดับปฏิเวธของพระองค์
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนนุสฺสุเตสุ ยังไม่เคยได้ฟัง ความว่า
ยังไม่เคยเป็นไปตามผู้อื่น. อรรถแห่งบทมีอาทิว่า จกฺขุํ จักมีแจ้ง ข้างหน้า.
การแทงตลอดความเห็นสัจจะ 4 คือ นี้ทุกขอริยสัจ 1 นี้ทุกขสมุทัย 1 นี้ทุกข-
นิโรธ 1 นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา 1 ย่อมเป็นไปในเสขภูมิ. การพิจารณา
สัจจะ 4 คือ กำหนดรู้แล้ว 1 ละแล้ว 1 ทำให้แจ้งแล้ว 1 เจริญแล้ว 1 ย่อม
เป็นไปในอเสกขภูมิ.
บทว่า ติปริวุฏฺฏํ มีวนรอบ 3 คือ เพราะมีวนรอบ 3 ด้วยสามารถ
แห่งวนรอบ 3 คือ สัจจญาณ (ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ) กิจจญาณ (ปรีชาหยั่งรู้
กิจอันควรทำ) กตญาณ (ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว). ในบทว่า ติปริวฏฺฏํ
นี้ การรู้ตามความเป็นจริงในสัจจะ 4 อย่างนี้ว่า นี้ทุกขอริยสัจ นี้ทุกขสมุทย-
อริยสัจ นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ชื่อว่า สัจจญาณ
ในสัจจญาณเหล่านั้น ญาณ คือ ความรู้กิจอันควรทำอย่างนี้ว่า ทุกข์ควร
กำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ ชื่อว่า
กิจจญาณ. ญาณคือความรู้ถึงความที่กิจนั้นได้ทำแล้วอย่างนี้ว่า ทุกข์กำหนดรู้
แล้ว สมุทัยละได้แล้ว นิโรธทำให้แจ้งแล้ว มรรคเจริญแล้ว ชื่อว่า กตญาณ.
บทว่า ทฺวาทสาการํ มีอาการ 12 คือ มีอาการ 12 ด้วยสามารถ
แห่งอาการละ 3 ๆ ในสัจจะละ 1 ๆ เหล่านั้น. บทว่า ญาณทสฺสนํ คือ
ทัศนะ ได้แก่ ญาณอันเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งสัจจะเหล่านั้นมีวนรอบ 3 มี

อาการ 12. บทว่า อตฺตมนา ชื่นชมยินดี คือ มีใจเป็นของตน. จริงอยู่
ผู้มีใจประกอบด้วยปีติโสมนัส ชื่อว่า มีใจเป็นของตน เพราะสัตว์ทั้งหลาย
ใคร่ความสุข เกลียดทุกข์ อธิบายว่า มีใจเป็นของตน มีใจถือเอาแล้ว
มีใจอิ่มเอิบแล้วด้วยปีติและโสมนัส. บทว่า อภินนฺทุํ พอใจ คือ หันหน้า
เข้าหาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วพอใจ. บทว่า เวยฺยากรณสฺมึ ไวยากรณภาษิต
พระสูตรที่ไม่มีคาถา ในพระสูตรชื่อว่า เวยฺยากรณํ เพราะทำให้แจ้งอรรถ
อย่างเดียว. บทว่า ภญฺญมาเน คือ ตรัสอยู่ ทำให้เป็นปัจจุบันใกล้ปัจจุบัน
คือ กำลังตรัส. บทว่า วิรชุํ ปราศจากธุลี คือ ปราศจากธุลีมีราคะเป็นต้น.
บทว่า วีตมลํ ปราศจากมลทินมีราคะเป็นต้น เพราะราคะเป็นต้น ชื่อว่า
ธุลี เพราะอรรถว่า ท่วมทับ ชื่อว่า มลทิน เพราะอรรถว่า ประทุษร้าย.
บทว่า ธมฺมจกฺขุํ ธรรมจักษุ ในที่บางแห่งได้แก่ญาณในปฐมมรรค ในที่
บางแห่งได้แก่ญาณมรรคญาณ 3 เป็นต้น ในที่บางแห่งได้แก่แม้มรรคญาณ 4
แต่ในที่นี้ ได้แก่ ญาณในปฐมมรรคเท่านั้น.
บทว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา อธิบายว่า
ธรรมจักษุ เกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะ ผู้เป็นไปแล้วด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนา.
บทว่า ธมฺมจกฺเก ได้แก่ ปฏิเวธญาณและเทศนาญาณ. จริงอยู่ เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าประทับอยู่เหนือโพธิบัลลังก์ แม้ปฏิเวธญาณมีอาการ 12 เป็นไปใน
สัจจะ 4 เมื่อประทับนั่ง ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แม้เทศนาญาณเป็นไป
แล้วด้วยสัจจเทศนามีอาการ 12 ชื่อว่า ธรรมจักร แม้ทั้งสองอย่างนั้นก็เป็น
ญาณของพระทศพล ธรรมจักรนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศด้วย
เทศนานี้ ชื่อว่า เป็นไปแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมจักรนี้นั้น

ตลอดเวลาที่พระอัญญาโกณฑัญญเถระยังไม่ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลพร้อมกับ
พรหม 18 โกฏิ แต่เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะตั้งอยู่แล้ว ธรรมจักรจึงชื่อว่า
ประกาศแล้ว. ท่านหมายถึงเรื่องนั้น จึงกล่าว ปวตฺติเต จ ภควตา ธมฺมจกฺเก
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว.
บทว่า ภุมฺมา เทวา คือเทวดาที่อยู่บนพื้นดิน. บทว่า สทฺทม-
นุสฺสาเวสุํ
ประกาศก้อง คือ ภุมมเทวดาให้สาธุการเป็นเสียงเดียวกันแล้ว
ประกาศก้องมีอาทิว่า เอตํ ภควตา. บทว่า อปฺปฏิวตฺติยํ อันใคร ๆ
ให้เป็นไปไม่ได้ คือ ไม่อาจคัดค้านได้ว่า นี้ไม่เป็นอย่างนั้น. อนึ่ง ในบทนี้
พึงทราบว่าเทวดาและพรหมทั้งหลายประชุมกัน เมื่อจบเทศนาได้ให้สาธุการ
เป็นเสียงเดียวกัน แต่ภุมมเทวดาเป็นต้นยังไม่มาประชุมครั้นได้ฟังเสียงเทวดา
และพรหมเหล่านั้น ๆ จึงได้ให้สาธุการ. อนึ่ง ภุมมเทวดาที่เกิดในภูเขาและ
ต้นไม้เป็นต้นเหล่านั้น แม้ภุมมเทวดาเหล่านั้นจะนับเนื่องในพวกเทวดาชั้น
จาตุมมหาราชิกา ท่านก็กล่าวทำให้แยกกันในบทนี้. บทว่า จาตุมมหาราชิกา
เพราะมีเทวดามหาราชา 4 ได้แก่ ท้าวธตรฏ วิรุฬหก วิรูปักษ์และกุเวร.
เทวดาเหล่านั้นสถิตอยู่ ณ ท่ามกลางภูเขาสิเนรุ เทวดาเหล่านั้นอยู่บนภูเขาก็มี
อยู่บนอากาศก็มี สืบต่อเทวดาเหล่านั้นไปก็ถึงจักรวาลบรรพต เทวดาแม้ทั้ง
หมดเหล่านี้ คือ ขิทฑาปโทสิกา มโนปโทสิกา สีตวลาหก อุณหวลาหก
จันทิมเทวบุตร สุริยเทวบุตร ก็เป็นเทวดาประดิษฐานอยู่ ณ เทวโลกชั้น
จาตุมมหาราชิกานั่นแหละ. ชื่อว่า ตาวตึสา เพราะมีชน 33 คนเกิดในเทว
โลกนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ชื่อว่า ตาวตึสา เป็นชื่อของเทวดาเหล่า
นั้น แม้เทวดาเหล่านั้นประดิษฐานบนภูเขาก็มีบนอากาศก็มี ความสืบเนื่องกันมา
แห่งเทวดาเหล่านั้นถึงจักรวาลบรรพต ชั้นยามาเป็นต้นก็อย่างนั้น. แม้ในเทวโลก

หนึ่ง เทวดาสืบต่อของเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่า ยังไม่ถึงจักรวาลบรรพตไม่มี.
ชื่อว่า ยามา เพราะไป ไปถึง ถึงพร้อมซึ่งสุขอันเป็นทิพย์. ชื่อว่า ตุสิตา
เพราะยินดีร่าเริง. ชื่อว่า นิมมานรตี เพราะนิรมิตยินดีสมบัติ ตามความ
ชอบใจในเวลาใคร่จะยินดีโดยส่วนพิเศษจากที่ตกแต่งไว้ตามปกติ. ชื่อว่า ปร-
นิมมิตวสวัตดี เพราะเมื่อผู้อื่นรู้วารจิตแล้วนิรมิตสมบัติให้ย่อมเป็นไปสู่อำนาจ.
ชื่อว่า พฺรหฺมกายิกา เพราะนับเนื่องในพรหมกาย. แม้พรหมกายิกาทั้งหมด
ท่านหมายถึงพรหมที่มีขันธ์ 5 ด้วย.
ท่านกล่าวว่า เตน มุหุตฺเตน โดยครู่เดียว ท่านกล่าวให้แปลก
กับคำว่า เตน ขเณน โดยขณะนั้น โดยขณะก็ได้แก่ครู่ ท่านอธิบายว่า
มิใช่โดยขณะทางปรมัตถ์. บทว่า ยาว พฺรหฺมโลกา ตลอดพรหมโลก คือ
ทำพรหมโลกให้มีที่สุด. บทว่า สทฺโท คือเสียงสาธุการ. บทว่า ทสสหสฺสี
คือ มีหมื่นจักรวาล. บทว่า สงฺกมฺปิ หวั่นไหว คือ สะเทือนสะท้านหวั่นไหว
ในรูปข้างบนด้วยดี. บทว่า สมฺปกมฺปิ หวั่นไหวด้วยดี คือ สะเทือนสะท้าน
หวั่นไหวขึ้นข้างบน ลงเบื้องล่างด้วยดี. บทว่า สมฺปเวธิ สั่นสะเทือน คือ
สั่นสะเทือนไปทั่ว 4 ทิศด้วยดี.
เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงหยั่งลงสู่พระครรภ์พระมารดา เพื่อความเป็น
พระสัมพุทธเจ้าและเมื่อประสูติจากพระครรภ์พระมารดานั้น มหาปฐพีได้หวั่น
ไหวด้วยเดชแห่งบุญ ในคราวตรัสรู้ได้หวั่นไหวด้วยเดชแห่งญาณคือการแทง
ตลอด ในคราวประกาศพระธรรมจักร แผ่นดินได้หวั่นไหวดุจให้สาธุการด้วย
เดชแห่งญาณคือ เทศนา ได้หวั่นไหวด้วยเทวตานุภาพในคราวทรงปลงอายุสัง-
ขารและในคราวมหาปรินิพพาน แผ่นดินดุจไม่อดกลั้นความตื่นเต้นได้ด้วยความ
กรุณาได้หวั่นไหวด้วยเทวตานุภาพ. บทว่า อปฺปมาโณ หาประมาณมิได้ คือ

มีประมาณเจริญ. ในบทว่า โอฬาโร อย่างยิ่งนี้ท่านกล่าวว่า มธุรํ อุฬารํ
มีรสอร่อยอย่างยิ่ง ในบทมีอาทิว่า อุฬารานิ อุฬารานิ ขาทนียานิ ขาทนฺติ
เคี้ยวของเคี้ยวมีรสอร่อยอย่างยิ่งอย่างยิ่ง. ท่านกล่าวว่า ปณีตํ อุฬารํ ประณีต
อย่างยิ่ง ในประโยคมีอาทิว่า อุฬาราย วตฺถโภคาย จิตฺตํ นมติ จิตย่อม
น้อมไปในผ้าและสมบัติอย่างยิ่ง. ท่านกล่าวว่า เสฏฺฐํ อุฬารํ ประเสริฐอย่างยิ่ง
ในประโยคมีอาทิว่า อุฬาราย ขลุ ภวํ วจฺฉายโน สมณํ โคตมํ ปสํสาย
ปสํสติ
ได้ยินว่า ท่านวัจฉายนะผู้เจริญ สรรเสริญพระสมณโคดมด้วยการ
สรรเสริญอย่างยิ่ง. แต่ในที่นี้ท่านกล่าวว่า วิปุโล อุฬาโร ไพบูลย์อย่างยิ่ง.
บทว่า โอภาโส แสงสว่างคือแสงสว่างเกิดด้วยอานุภาพแห่งเทศนาญาณและ
เทวตานุภาพ. บทว่า โลเก คือในหมื่นจักรวาลนั่นเอง.
บทว่า อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพ
ของเทวดาทั้งหลาย คืออานุภาพของเทวดาทั้งหลายเป็นดังนี้ รัศมีของผ้าที่นุ่ง
แผ่ไป 12 โยชน์ อานุภาพของสรีระ เครื่องประดับ และวิมานก็เหมือนอย่างนั้น
แสงสว่างก้าวล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย. บทว่า อุทานํ อุทาน คือ
พระดำรัสที่เปล่งออกมาสำเร็จด้วยโสมนัสญาณ. บทว่า อุทาเนสิ คือทรงเปล่ง.
บทว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ ท่านผู้เจริญโกณฑัญญะ ได้รู้
แล้วหนอ พระสุรเสียงที่เปล่งอุทานนี้ แผ่ไปตั้งอยู่ตลอดหมื่นโลกธาตุ. บทว่า
อญฺญาโกณฺฑญฺโญ ความว่า โกณฑัญญะรู้แล้วอย่างเลิศ.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า ทสฺสนฏฺเฐน เพราะอรรถว่าเห็น
ในนิเทศแห่งจักษุเป็นต้นดังต่อไปนี้. ญาณหนึ่งนั่นแหละชื่อว่า จักษุ เพราะ
ทำกิจด้วยความเห็น ดุจจักษุของสัตว์ที่พึงแนะนําตามที่ได้กล่าวแล้ว. ชื่อว่า
ญาณ เพราะทำกิจด้วยญาณ. ชื่อว่า ปัญญา เพราะทำกิจด้วยรู้โดยประการ

ต่าง ๆ. ชื่อว่า วิชชา เพราะทำการแทงตลอดโดยไม่มีส่วนเหลือ. ชื่อว่า
อาโลก เพราะทำกิจด้วยแสงสว่างในกาลทั้งปวง.
แม้ในบทมีอาทิว่า จกฺขุํ ธมฺโม จักษุเป็นธรรม มีความดังต่อไปนี้.
ญาณหนึ่งนั่นแหละท่านพรรณนาไว้โดย 5 ส่วน ด้วยความต่างกันแห่งกิจ.
บทว่า อารมฺมณา ด้วยอรรถว่าอุปถัมภ์. บทว่า โคจรา ด้วยอรรถว่า
เป็นอารมณ์. ในบทมีอาทิว่า ทสฺสนฏฺเฐน ท่านกล่าวถึงญาณกิจไว้ โดย
5 ส่วน.
โดยนัยนี้พึงทราบญาณ 60 คือ ธรรม 15 อรรถ 15 ทำในวาระ
หนึ่งๆ ใน 3 วาระ อย่างละ 5 เป็นนิรุตติ 30 ในนิรุตติ 30 ในปัณณรสกะ 2
ในธรรม 15 ในอรรถ 15. แม้ในอริยสัจที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
พึงทราบญาณ 240 อย่างนี้ คือ ธรรม 60 อรรถ 60 เป็นนิรุตติ
120 ในธรรม 60 ในอรรถ 60 ในนิรุตติ 120 ในธรรม 60 ในอรรถ 60
ด้วยอำนาจแห่งธรรมและอรรถอย่างละ 15 ในอริยสัจหนึ่ง ๆ ในอริยสัจ 4.
จบอรรถกถาธรรมจักรกัปปวัตตนวาระ

อรรถกถาสติปัฏฐานวาระเป็นต้น


พึงทราบอรรถและการนับในปฏิสัมภิทานิเทศ อันมีสติปัฏฐานสูตร
เป็นเบื้องต้น และมีอิทธิปาทสูตรเป็นเบื้องต้น.