เมนู

อรรถกถาวิราคกถา


บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนา แห่งวิราคกถา
อันมีกล่าว คือ วิราคะ เป็นเบื้องต้นอันพระสาริบุตรเถระกล่าวไว้แล้ว ในลำดับ
แห่งเมตตากถาอันเป็นที่สุดแห่งการประกอบมรรค.
พึงทราบวินิจฉัยในวิราคกถานั้นก่อน. พระสารีบุตรเถระประสงค์จะ
ชี้แจงอรรถแห่งบทพระสูตรทั้งสองที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า เมื่อ
หน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจิตย่อมพ้น จึงตั้งอุเทศว่า วิราโค
มคฺโค วิมุตฺติ ผลํ
วิราคะเป็นมรรค วิมุตติเป็นผล.
พระสารีบุตรเถระประสงค์ชี้แจงอรรถแห่งคำในวิราคกถานั้นก่อน
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า กถํ วิราโค มคฺโค วิราคะเป็นมรรคอย่างไร. ใน
บทเหล่านั้น บทว่า วิรชฺชติ ย่อมคลาย คือ ปราศจากความกำหนัด. บทที่
เหลือมีอรรถดังกล่าวแล้วในมรรคญาณนิเทศ. บทว่า วิราโค ความว่า เพราะ
สัมมาทิฏฐิ ย่อมคลายความกำหนัด ฉะนั้น จึงชื่อว่า วิราคะ.
อนึ่ง วิราคะ (มรรค) นั้น เพราะมีวิราคะ (นิพพาน) เป็นอารมณ์
ฯลฯ ประดิษฐานอยู่ในวิราคะ ฉะนั้น พึงทราบความสัมพันธ์ของคำทั้งหลาย
5 มีอาทิว่า วิราคารมฺมโณ (มีวิราคะ คือนิพพาน เป็นอารมณ์) อย่างนี้ว่า
วิราโค วิราคะ (มรรค). ในบทเหล่านั้น บทว่า วิราคารมฺมโณ คือ มี
นิพพานเป็นอารมณ์. บทว่า วิราคโคจโร มีวิราคะเป็นโคจร คือ มีนิพพาน
เป็นวิสัย. บทว่า วิราเค สมุปาคโต เข้ามาประชุมในวิราคะ คือ เกิดพร้อม
กันในนิพพาน. บทว่า วิราเค ฐิโต ตั้งอยู่ในวิราคะ คือ ตั้งอยู่ในนิพพาน

ด้วยอำนาจแห่งความเป็นไป. บทว่า วิราเค ปติฏฐิโต ประดิษฐานใน
วิราคะ คือ ประดิษฐานในนิพพานด้วยอำนาจแห่งการไม่กลับ. บทว่า นิพฺ-
พานญฺจ วิราโค
นิพพานเป็นวิราคะ คือ นิพพาน ชื่อว่า เป็นวิราคะเพราะ
มีวิราคะเป็นเหตุ. บทว่า นิพฺพานารมฺมณตา ชาตา ธรรมทั้งปวงเกิดเพราะ
สัมมาทิฏฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์ คือ ธรรมทั้งปวงเกิดในสัมมาทิฏฐิมีนิพพาน
เป็นอารมณ์ หรือ ด้วยความที่สัมมาทิฏฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์. ธรรมทั้งหลาย
มีผัสสะเป็นต้น ทั้งปวงอันสัมปยุตด้วยมรรคเหล่านั้น ชื่อว่า วิราคะ เพราะ
อรรถว่าคลายความกำหนัด เพราะเหตุนั้นจึง ชื่อว่า วิราคะ. บทว่า สห-
ชาตานิ
เป็นสหชาติ คือ องค์แห่งมรรค 7 มีสัมมาสังกัปปะเป็นต้น เกิดร่วม
กับสัมมาทิฏฐิ. บทว่า วิราคํ คจฺฉนฺตีติ วิราโค มคฺโค องค์ 7 ที่เกิด
ร่วมกันย่อมถึงความเป็นวิราคะ เพราะเหตุนั้น วิราคะจึงเป็นมรรค ความว่า
องค์ 7 ที่เกิดร่วมกันย่อมถึงวิราคะทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ เพราะเหตุนั้นจึง
ชื่อว่า วิราคะ เพราะมีวิราคะ (นิพพาน) เป็นอารมณ์ ชื่อว่า มรรค เพราะ
อรรถว่าแสวงหา องค์แห่งมรรคแม้องค์หนึ่ง ๆ ย่อมได้ ชื่อว่า มรรค
เมื่อท่านกล่าวถึงความที่องค์หนึ่ง ๆ เป็นมรรค เป็นอันกล่าวถึงความที่แม้
สัมมาทิฏฐิ ก็เป็นมรรคด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแหละท่านจึงถือเอาองค์
แห่งมรรค 8 แล้วกล่าวว่า เอเตน มคฺเคน ด้วยมรรคนี้. บทว่า พุทฺธา จ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านสงเคราะห์เอาแม้พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย. จริงอยู่
แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ก็ชื่อว่า พุทธะเหมือนกัน เพราะพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้า 2 เหล่านั้น คือ พระ
ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า. บทว่า อคตํ
ไม่เคยไป คือ ไม่เคยไปในสงสารอันไม่รู้เบื้องต้นที่สุด. บทว่า ทิสํ ชื่อว่า
ทิส เพราะเห็น อ้างถึง ติดต่อ ด้วยการปฏิบัติทั้งสิ้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
ทิส เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงเห็น ทรงอ้างถึง ทรงกล่าวว่า ปรมึ

สุขํ เป็นสุขอย่างยิ่ง. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ทิส เพราะเป็นเหตุเห็น สละ
ทอดทิ้งทุกข์ทั้งปวง นิพพานอันเป็นทิสนั้น.
บทว่า อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค มรรคมีองค์ 8 ท่านกล่าวไว้อย่างไร.
ท่านกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายและพระสาวกทั้งหลาย ย่อมถึงนิพพาน
ด้วยประชุมธรรมมีองค์ 8 นั้น ด้วยเหตุนั้น ประชุมธรรมมีองค์ 8 นั้น จึง
ชื่อว่า มรรค เพราะอรรถเป็นเครื่องไป. บทว่า ปุถุสมณพฺราหฺมณานํ
ปรปฺปวาทานํ
สมณพราหมณ์เป็นอันมากผู้ถือลัทธิอื่น คือ สมณะและพรา-
หมณ์ต่างถือลัทธิอื่นจากศาสนานี้. บทว่า อคฺโค เลิศ คือ มรรคมีองค์ 8
ประเสริฐกว่ามรรคที่เหลือเหล่านั้น. บทว่า เสฏฺโฐ ประเสริฐ คือ น่าสรร-
เสริญอย่างยิ่งกว่ามรรคที่เหลือ. บทว่า วิโมกฺโข เป็นประธาน คือ ดีใน
การเป็นประธาน ความว่า ความดีนี้แหละในเพราะเป็นประธานของมรรคที่
เหลือ. บทว่า อุตฺตโม สูงสุด คือ ข้ามมรรคที่เหลือไปได้อย่างวิเศษ.
บทว่า ปวโร ประเสริฐ คือ แยกออกจากมรรคที่เหลือโดยประการต่าง ๆ.
บทว่า อิติ เป็นนิบาตลงในอรรถว่าเหตุ. เพราะฉะนั้นอธิบายว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่าอัฏฐังคิกมรรคประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย สมดังที่พระองค์
ตรัสไว้ว่า
อัฏฐังคิกมรรคประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย บท
ทั้ง 4 ประเสริฐกว่าสัจจะทั้งหลาย วิราคะประเสริฐ
กว่าธรรมทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าประเสริฐกว่า
สัตว์ 2 เท่าทั้งหลาย.

ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสมรรคนั้นแล้วตรัสว่า อัฏฐัง-
คิกมรรคประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย ดังนี้. แม้ในวาระที่เหลือ พึงทราบความ
โดยนัยนี้ และโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง.

วิราคะ อันได้แก่ความเห็นในบทมีอาทิว่า ทสฺสนวิราโค ชื่อว่า
วิราคะเพราะความเห็น. พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงพละก่อนกว่าอินทรีย์ในที่นี้
เพราะพละประเสริฐกว่าอรรถแห่งความเป็นอินทรีย์. บทมีคำอาทิว่า อธิปเต-
ยฺยฏฺเฐน อินฺทฺริยานิ
เป็นอินทรีย์ เพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ เป็นการชี้แจง
อรรถของอินทรีย์เป็นต้น มิใช่ชี้แจงอรรถของวิราคะ. บทว่า ตถฏฺเฐน สจฺจา
เป็นสัจจะ เพราะอรรถว่าเป็นของแท้ คือ พึงทราบว่าเป็นสัจจญาณ. บทว่า สีล
วิสุทฺธิ
ความบริสุทธิ์แห่งศีล คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ.
บทว่า จิตฺตวิสุทฺธิ ความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ สัมมาสมาธิ. บทว่า ทิฏฐิวิสุทฺธิ
คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ. บทว่า วิชฺชาวิมุตฺตฏฺเฐน เพราะอรรถว่า
พ้นวิเศษ คือ เพราะอรรถพ้นจากกิเลสอันทำลายด้วยมรรคนั้นๆ. บทว่า วิชฺชา
ความรู้แจ้ง คือ สัมมาทิฏฐิ. บทว่า วิมุตฺติ ความพ้นวิเศษ คือ สมุจ-
เฉทวิมุตติ. บทว่า อยโตคธํ นิพฺพานํ ปริโยสานฏฺเฐน มคฺโค นิพพาน
อันหยั่งลงในอมตะเป็นมรรค เพราะอรรถว่าเป็นที่สุด ชื่อว่า มรรค เพราะ
แสวงหาด้วยการพิจารณามรรคผล. ธรรมที่ท่านกล่าวในวิราคนิเทศนี้แม้ทั้ง
หมด ก็ในขณะแห่งมรรคนั่นเอง ในวิมุตตินิเทศ ในขณะแห่งผล เพราะ
ฉะนั้น แม้มนสิการถึงฉันทะก็สัมปยุตด้วยมรรคผล. พึงทราบอรรถ แม้ใน
วิมุตตินิเทศโดยนัยดังกล่าวแล้วในวิราคนิเทศนั่นแล. อนึ่ง ผลในนิเทศนี้
ชื่อว่า วิมุตติ เพราะพ้นด้วยความสงบ. นิพพาน ชื่อว่า วิมุตติ เพราะพ้น
ด้วยการนำออกไป. คำมีอาทิว่า สหชาตานิ สตฺตงฺคานิ องค์ 7 เป็น
สหชาติ ย่อมไม่ได้ในที่นี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงไม่ได้กล่าวไว้ เพราะพ้นเป็นผล
เองท่านจึงกล่าวเพียงเท่านี้ว่า ปริจฺจาคฏฺเฐน วิมุตฺติ ชื่อว่า วิมุตติ เพราะ
อรรถว่าสละ. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาวิราคกถา

ยุคนัทธวรรค ปฏิสัมภิทากถา


ว่าด้วยปฏิสัมภิทา 4


[598] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
แขวงเมืองพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุเบญจวัคคีย์
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุด 2 ประการนี้ บรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนสุด
2 ประการเป็นไฉน ? คือ การประกอบความพัวพันกามสุขในกามทั้งหลาย
อันเป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 การประกอบการทำตนให้ลำบาก เป็นทุกข์ ไม่ใช่
ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มัชฌิมา-
ปฏิปทาอันไม่เกี่ยวข้องส่วนสุดทั้ง 2 ประการนี้นั้น ตถาคตตรัสรู้แล้ว ทำจักษุ
ทำญาณ (เห็นประจักษ์รู้ชัด) ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มัชฌิมาปฏิปทาที่ตถาคต
ตรัสรู้แล้ว ทำจักษุ ทำญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความ
ตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน ? อริยมรรคมีองค์ 8 นี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ
...สัมมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทานี้นั้นแล ตถาคตตรัสรู้
แล้ว ทำจักษุ ทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความ
ตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.
[599] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจนี้แล คือ แม้ความเกิด
ก็เป็นทุกข์ แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความป่วยไข้ก็เป็นทุกข์ แม้ความตาย