เมนู

อรรถกถาเมตตากถา


บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งเมตตากถา
อันมีพระสูตรเป็นเบื้องต้น ดำเนินตามโพชฌงคกถาอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้ในลำดับแห่งโพชฌงคกถา.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้นดังต่อไปนี้. บทว่า อาเสวิตาย อัน
บุคคลเสพแล้ว คือ เสพแล้วโดยเอื้อเฟื้อ. บทว่า ภาวิตาย คือ เจริญแล้ว.
บทว่า พหุลีกตาย ทำให้มากแล้ว คือ ทำแล้วบ่อย ๆ. บทว่า ยานีกตาย
ทำให้เป็นดังยาน คือ ทำเช่นกับยานที่เทียมแล้ว. บทว่า วตฺถุกตาย ทำให้
เป็นที่ตั้ง คือ ทำดุจวัตถุเพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้ง. บทว่า อนุฏฺฐิตาย ตั้งไว้
เนือง ๆ คือ ปรากฏแล้ว. บทว่า ปริจิตาย อบรมแล้ว คือ สะสมดำรงไว้
โดยรอบ. บทว่า สุสมารทฺธาย ปรารภดีแล้ว คือ ปรารภแล้วด้วยดี ทำ
ด้วยดีแล้ว. บทว่า อานสํสา คือ คุณ. บทว่า ปาฏิกงฺขา หวัง คือ
พึงหวัง พึงปรารถนา.
บทว่า สุขํ สุปติ หลับเป็นสุข คือ หลับเป็นสุขไม่หลับเหมือนตน
ส่วนมาก กรนกลิ้งเกลือกไปมาหลับเป็นทุกข์ แม้ก้าวลงสู่ความหลับก็เป็น
เหมือนเข้าสมาบัติ. บทว่า สุขํ ปฏิพุชฺฌติ ตื่นเป็นสุข คือ ตื่นเป็นสุข
ไม่ผิดปกติ เหมือนดอกปทุมแย้ม ไม่ตื่นเหมือนคนอื่นที่ทอดถอนบิดกาย
พลิกไปมาตื่นเป็นทุกข์. บทว่า น ปาปกํ สุปินํ ปสฺสติ ไม่ฝันลามก คือ
เมื่อฝันย่อมเห็นฝันอันเจริญ เหมือนไหว้พระเจดีย์ เหมือนทำการบูชา และ
เหมือนฟังธรรม ไม่เห็นความฝันลามกเหมือนคนอื่นฝันเห็นเหมือนถูกโจร

ล้อมตน เหมือนถูกสัตว์ร้ายเบียดเบียนและเหมือนตกลงไปในเหว. บทว่า
มนุสฺสานํ ปิโย โหติ เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย คือ เป็นที่รัก เป็นที่
ชอบใจของมนุษย์ทั้งหลาย ดุจแก้วมุกดาหารสวมไว้ที่อกและดุจดอกไม้ประดับ
ไว้บนศีรษะ. บทว่า อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
คือ เป็นที่รักแม้ของอมนุษย์เหมือนเป็นที่รักของมนุษย์. บทว่า เทวตา
รกฺขนฺติ
เทวดาย่อมรักษา คือ เทวดาย่อมรักษาดุจมารดาบิดารักษาบุตรฉะนั้น.
บทว่า นาสฺส อคฺคิ วา วิสํ วา สตฺถํ วา กมติ ไฟ ยาพิษ
ศัสตรา ย่อมไม่กล้ำกลายเขา คือ ไฟ ยาพิษ หรือศัสตรา ย่อมไม่ก้าวเข้าไป
ในกายของผู้อยู่ด้วยเมตตา อธิบายว่า ไม่ยังกายของเขาให้กำเริบ. บทว่า
ตุวฏํ จิตฺตํ สมาธิยติ จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็ว คือ จิตของผู้อยู่ด้วยเมตตาย่อม
ตั้งมั่นได้เร็ว ไม่มีความชักช้า. บทว่า มุขวณฺโธ วิปฺปสีทติ สีหน้าผ่องใส
คือ หน้าของเขามีสีผ่องใส ดุจตาลสุกพ้นจากขั้ว. บทว่า อสมฺมูฬฺโห กาลํ
กโรติ
ไม่หลงใหลกระทำกาละ คือ ผู้อยู่ด้วยเมตตาไม่หลงตาย ไม่หลงทำ
กาละดุจคนก้าวลงสู่ความหลับ. บทว่า อุตฺตรึ อปฺปฏิวิชฺฌนฺโต เมื่อยัง
ไม่แทงตลอดธรรมอันยิ่ง คือเมื่อยังไม่สามารถบรรลุพระอรหัตอันยิ่งกว่าเมตตา
สมาบัติได้เคลื่อนจากโลกนี้ดุจหลับแล้วตื่น. บทว่า พฺรหฺมโลกูปโค โหติ
คือ ย่อมเข้าถึงพรหมโลก.
พึงทราบวินิจฉัยในเมตตานิเทศ ดังต่อไปนี้. บทว่า อโนธิโส
ผรณา
คือ แผ่ไปโดยไม่เจาะจง เขตแดนชื่อว่า โอธิ ไม่มีเขตแดนชื่อว่า อโนธิ
โดยไม่มีเขตแดนนั้น ความว่าโดยไม่เจาะจง ท่านอธิบายว่า แผ่ไปโดยไม่มี
ที่กำหนด. บทว่า โอธิโส โดยเจาะจง คือ โดยมีกำหนด. บทว่า ทิสา
ผรณา
คือ แผ่ไปในทิศทั้งหลาย. บทว่า สพฺเพ ทั้งหมด คือ กำหนดโดย

ไม่มีเหลือ. อรรถแห่งบทว่า สตฺตา ท่านกล่าวไว้แล้วในอรรถกถามาติกา
แห่งญาณกถา. โวหารนี้ย่อมเป็นไปแม้ในผู้ที่ปราศจากราคะแล้ว ด้วยรุฬหิศัพท์
ดุจโวหารว่า พัดใบตาลย่อมเป็นไปในพัดวิชนี แม้ทำด้วยไม้ไผ่. บทว่า อเวรา
ไม่มีเวร คือ ปราศจากเวร. บทว่า อพฺยาปชฺฌา ไม่เบียดเบียน คือ เว้นจาก
ความพยาบาท. บทว่า อนีฆา คือ ไม่มีทุกข์. บทว่า สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ
รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด คือ มีความสุขยังอัตภาพให้เป็นไปได้. พึงทราบความ
สัมพันธ์ของคำในบทนี้อย่างนี้ว่า แสดงความไม่มีเวร อาศัยสันดานของตนและ
คนอื่น อาศัยสันดานของคนอื่น และคนนอกนี้ในบทว่า อเวรา แสดงความ
ไม่มีพยาบาทอันไม่มีเวรนั้นเป็นมูล เพราะความไม่มีเวร ในบทมีอาทิว่า
อพฺยาปชฺฌา แสดงความไม่มีทุกข์อันไม่มีความพยาบาทนั้นเป็นมูล เพราะ
ไม่มีความพยาบาทในบทว่า อนีฆา แสดงการบริหารอัตภาพด้วยความสุข
เพราะไม่มีทุกข์ ในบทว่า สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ แผ่เมตตาด้วยอำนาจ
แห่งคำอันปรากฏแล้วในคำทั้งหลาย 4 มีอาทิว่า อเวรา โหนฺตุ จงอย่าได้
มีเวรเลยเหล่านี้.
ในบทมีอาทิว่า ปาณา มีความดังต่อไปนี้. ชื่อว่า ปาณา เพราะมี
ชีวิต ความว่า เพราะยังเป็นไปอาศัยลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่. ชื่อว่า
ภูตา เพราะยังเป็นอยู่ ความว่า เพราะยังเกิดอยู่. ชื่อว่า ปุคฺคลา เพราะ
ไปในนรกซึ่งท่านเรียกว่า ปุํ นั้น. สรีระหรือขันธปัญจกท่านเรียกว่าอัตภาพ
หมายถึงอัตภาพ เพราะปรากฏเพียงบัญญัติ ชื่อว่า อตฺตภาวปริยาปนฺนา
ผู้นับเนื่องด้วยอัตภาพ เพราะนับเนืองกำหนดหยั่งลงในอัตภาพนั้น. ท่านยกคำ
ที่เหลือด้วยอำนาจแห่งรุฬหิศัพท์ (ศัพท์ที่ขยายความ) แล้วพึงทราบว่า คำ
ทั้งหมดนั้นเป็นไวพจน์ของสัตว์ทั้งปวง เหมือนคำว่า สตฺตา ฉะนั้น.

คำแม้อื่นเป็นไวพจน์ของสัตว์ทั้งปวงมีอาทิว่า สพฺเพ ชนฺตู สพฺเพ
ชีวา
สัตว์เกิดทั้งปวง สัตว์มีชีวิตทั้งปวงก็มีอยู่โดยแท้ แต่ท่านถือเอาคำ 5
เหล่านี้ ด้วยเป็นคำปรากฏอยู่แล้วจึงกล่าวว่า เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะ
จงด้วยอาการ 5. อนึ่ง มิใช่โดยเพียงคำพูดอย่างเดียวเท่านั้น แห่งบทมีอาทิว่า
สตฺตา ปาณา ที่แท้แล้วสัตว์เหล่าใดพึงปรารถนาความต่างกันแม้โดยอรรถ
การแผ่ไปโดยไม่เจาะจงของสัตว์เหล่านั้นย่อมผิด เพราะฉะนั้นไม่ถือเอาอรรถ
อย่างนั้นแล้วแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจงด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งในอาการ 5
เหล่านี้.
อนึ่ง ในการแผ่ไปโดยเจาะจง พึงทราบความดังนี้. บทว่า อิตฺถิโย
ปุริสา
ท่านกล่าวถึงเพศ. บทว่า อริยา อนริยา ท่านกล่าวถึงอริยะและปุถุชน.
บทว่า เทวา มนุสฺสา วินิปาติกา ท่านกล่าวถึงการเกิด. แม้ในการแผ่ไป
ในทิศ ไม่ทำการจำแนกทิศแล้วแผ่ไปโดยไม่เจาะจง เพราะแผ่ไปโดยนัยมี
อาทิว่า สพฺเพ สตฺตา ในทิศทั้งปวง แผ่ไปโดยเจาะจงเพราะแผ่ไปโดย
นัยมีอาทิว่า สพฺพา อิตฺถิโย ในทิศทั้งปวง.
อนึ่ง เพราะการแผ่เมตตาแม้ 3 อย่างนี้ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งจิต
ยังไม่ถึงอัปปนา ฉะนั้นพึงถือเอาอัปปนาในวาระ 3 ในการแผ่โดยไม่เจาะจง
ท่านกล่าวถึงการแผ่ 4 อย่างเหล่านั้นด้วยรวบรวมประโยชน์นั่นเอง คือ อย่าง
หนึ่งว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงอย่าได้มีเวรกันเลย อย่างหนึ่งว่า จงอย่าได้
เบียดเบียนกันเลย อย่างหนึ่งว่า จงอย่ามีทุกข์เลย อย่างหนึ่งว่า จงมีความสุข
รักษาตนเถิด เพราะเมตตามีลักษณะรวบรวมประโยชน์ ด้วยอำนาจแห่ง
อัปปนาอย่างละ 4 ๆ ในอาการ 5 มีอาทิว่า สตฺตา รวมเป็นอัปปนา 20
ในการแผ่โดยเจาะจงด้วยอำนาจแห่งอัปปนาอย่างละ 4 ๆ ในอาการ 7 มีอาทิว่า

สพฺพา อิตฺถิโย รวมเป็นอัปปนา 28. อนึ่ง ในการแผ่ไปในทิศ อัปปนา
480 คือ อัปปนา 200 ทำอย่างละ 20 แห่งทิศหนึ่ง ๆ โดยนัยมีอาทิว่า
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในทิศตะวันออก อัปปนา 280 ทำอย่างละ 28 แห่งทิศ
หนึ่ง ๆ โดยนัยมีอาทิว่า หญิงทั้งหลายทั้งปวงในทิศตะวันออก อัปปนาทั้งหมด
ที่ท่านกล่าวไว้ในที่นี้รวมเป็นอัปปนา 528 ด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง พึงทราบว่า
ท่านกล่าวแม้การแผ่กรุณามุทิตาอุเบกขา เหมือนท่านกล่าวการแผ่เมตตาโดย
3 อย่างฉะนั้น.

อรรถกถาอินทริยวาร


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงอาการประมวลมาซึ่งเมต-
ตาและการอบรมอินทรีย์เป็นต้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า สพฺเพสํ สตฺตานํ
ปีฬนํ วชฺเชตฺวา
เว้นความบีบคั้นสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปีฬนํ การบีบคั้น คือ บีบคั้นสรีระข้างใน.
บทว่า อุปฆาตํ การฆ่า คือ การฆ่าสรีระข้างนอก. บทว่า สนฺตาปํ การทำให้
เดือดร้อน คือ ทำใจให้เดือดร้อนด้วยประการต่าง ๆ. บทว่า ปริยาทานํ
ความย่ำยี คือ ความสิ้นชีวิตเป็นต้นโดยปกติ. บทว่า วิเหสํ เบียดเบียน
คือ เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น. บทว่า วชฺเชตฺวา เว้น คือ นำอย่างหนึ่ง ๆ ใน
การเบียดเบียนเป็นต้นออกไปจากจิตของตนเอง. ท่านกล่าวบท 5 มีการ
เบียดเบียนเป็นต้นเหล่านี้ ด้วยเว้นสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการรวบรวมเมตตา.
บทว่า อปีฬนาย ด้วยไม่บีบคั้นเป็นต้น ท่านกล่าวด้วยการรวบรวมเมตตา.