เมนู

อรรถกถากรรมกถา


บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังมิได้พรรณนาไว้ แห่งกรรมกถา
อันพระสารีบุตรเถระแสดงถึงกรรมอันเป็นปัจจัย แห่งเหตุสัมบัตินั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในกรรมกถานั้น ดังต่อไปนี้. ในบทมีอาทิว่า อโหสิ
กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก
กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว ท่าน
ถือเอาวิบากอันให้ผลในภพอดีต แห่งกรรมที่ทำแล้วในภพอดีตนั่นเอง แล้ว
จึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก.
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ให้ผลในภพอดีต ด้วยความบกพร่องปัจจัยแห่ง
กรรมอดีต อันเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพนี้) และเป็น
อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให้ผลต่อเมื่อเกิดแล้วในภพหน้า) และวิบากอัน
ยังไม่ให้ผลแห่งกรรมอันดับรอบแล้วในอดีตนั่นเอง และอันเป็นทิฏฐธรรม-
เวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรม และอปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให้ผล
ในภพสืบ ๆ ไป) จึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรม
ได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว.
ท่านถือเอาวิบากอันให้ผลแห่งกรรมอดีต ด้วยความถึงพร้อมแห่งปัจจัย
ในภพปัจจุบัน แห่งวิบากอันยังไม่ให้ผล แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ อตฺถิ
กมฺมวิปาโก
กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมมีอยู่.
ท่านถือเอาวิบากอันยังไม่ให้ผลแห่งกรรมอดีต อันล่วงเลยกาลแห่ง
วิบากแล้ว เเละของผู้ปรินิพพานในภพปัจจุบันนั่นเอง แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ
กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก
กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่.

ท่านถือเอาวิบากอันควรให้ผล ด้วยความถึงพร้อมแห่งปัจจัยในภพ
อนาคต แห่งกรรมอดีตอันควรแก่วิบาก อันเป็นวิบากยังไม่ให้ผล แล้วจึงกล่าว
ว่า อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากกรรมจักมี.
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ควรให้ผล แห่งกรรมอดีตอันล่วงกาลแห่งวิบาก
แล้ว และดับรอบในภพอนาคตนั่นเอง แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ น
ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก
กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักไม่มี.
ท่านแสดงกรรมอดีตอย่างนี้ไว้ 6 อย่าง ด้วยอำนาจแห่งวิบาก และ
มิใช่วิบาก ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต.
ท่านถือเอาวิบากอันให้ผลในปัจจุบันนี้ แห่งกรรมอันเป็นทิฏฐธรรม-
เวทนียกรรมที่ทำแล้วในภพนี้ แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก
กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมมีอยู่.
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ให้ผลในภพนี้ ด้วยความบกพร่องแห่งปัจจัย
ของกรรมปัจจุบันนั้น และยังไม่ให้ผลในภพนี้ ของผู้ปรินิพพานในปัจจุบัน
แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ วิบากของ
กรรมไม่มีอยู่.
ท่านถือเอาวิบากอันควรให้ผลในภพอนาคตของกรรมปัจจุบัน อันเป็น
อุปปัชชเวทนียกรรม และอปราปริยเวทนียกรรม แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ
กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก
กรรมมีอยู่ วิบากกรรมจักมี.
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ควรให้ผลในภพอนาคต ด้วยความบกพร่อง
ปัจจัย แห่งกรรมปัจจุบันอันเป็นอุปปัชชเวทนียกรรม และไม่ควรให้ผลแก่ผู้
ควรปรินิพพานในภพอนาคต อันเป็นอปราปริยเวทนียกรรม แล้วจึงกล่าวว่า
อตฺถิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักไม่มี.

ท่านแสดงถึงปัจจุบันกรรมอย่างนี้ไว้ 4 อย่าง ด้วยอำนาจแห่งวิบาก
และมิใช่วิบากในปัจจุบันและอนาคต.
ท่านถือเอาวิบากอันควรให้ผลในภพอนาคต แห่งกรรมที่ควรทำใน
ภพอนาคต แล้วจึงกล่าวว่า ภวิสฺสติ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมจักมี
ผลแห่งกรรมจักมี.
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ควรให้ผล ด้วยบกพร่องปัจจัยแห่งกรรมอนาคต
นั้น และไม่ควรให้ผลของผู้ควรปรินิพพานในภพอนาคต แล้วจึงกล่าวว่า
ภวิสฺสติ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมจักมี ผลแห่งกรรมจักไม่มี.
ท่านแสดงกรรมอนาคตอย่างนี้ไว้ 2 อย่าง ด้วยอำนาจแห่งวิบากและ
มิใช่วิบากในอนาคต เป็นอันท่านทำกรรมทั้งหมดนั้น เป็นอันเดียวกันแล้ว
แสดงกรรม 12 อย่าง. ท่านตั้งอยู่ในฐานะนี้ แล้วนำกรรมจตุกะ 3 มากล่าว
เมื่อท่านกล่าวกรรมจตุกะนั้นแล้ว ความนี้จักปรากฏว่า เพราะกรรม 4 อย่าง
คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม 1 อุปปัชชเวทนียกรรม 1 อปราปริยเวทนีย-
กรรม 1 อโหสิกรรม 1.
ในกรรมเหล่านั้นชวนเจตนาครั้งแรก เป็นกุศลก็ดี เป็นอกุศลก็ดี
ในจิต 7 ดวง ในชวนวิถีจิต 1 ดวง ชื่อว่าทิฏฐธรรมเวทนียกรรม. ทิฏฐธรรม-
เวทนียกรรมนั้นย่อมให้ผลในอัตภาพนี้เท่านั้น แต่เมื่อไม่อาจให้ผลอย่างนั้น
ก็เป็นอโหสิกรรมด้วยสามารถติกะว่า กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้
มีแล้ว. วิบากแห่งกรรมจักไม่มี วิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่ดังนี้. ส่วนชวนเจตนา
ดวงที่ 7 ให้สำเร็จประโยชน์ ชื่อว่าอุปปัชชเวทนียกรรม.
อุปปัชชเวทนียกรรมนั้นย่อมให้ผลในอัตภาพเป็นลำดับไป เมื่อไม่
อาจให้ผลอย่างนั้นได้ ก็เป็นอโหสิกรรมตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. อนึ่ง

ชวนเจตนา 5 ดวง ในระหว่างกรรมทั้งสองนั้น ชื่อว่าอปราปริยเวทนียกรรม.
อปราปริยเวทนียกรรมนั้น ย่อมได้โอกาสเมื่อใดในอนาคต ย่อมให้ผลเมื่อนั้น
เมื่อยังมีการเวียนว่ายอยู่ในสงสาร ชื่อว่า อโหสิกรรม ก็จะไม่มี.
กรรม 4 อย่าง แม้อื่น เป็นครุกรรม พหุลกรรม อาสันนกรรม และ
กฏัตตาวาปนกรรม (กรรมสักว่าทำ). ในกรรมนั้นเป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล
ในกรรมหนักและไม่หนัก กรรมใดหนักมีฆ่ามารดาเป็นต้น หรือมหัคคตกรรม
(กรรมเกิดจากการได้ฌาน) กรรมนั้นแลให้ผลก่อน. อนึ่ง แม้ในกรรมหนา
และไม่หนา กรรมใดหนามีความเป็นผู้มีศีลก็ดี เป็นผู้ทุศีลก็ดี กรรมนั้นย่อม
ให้ผลก่อน. กรรมที่ระลึกถึงก็ดี กรรมที่ทำแล้วก็ดี ในเวลาใกล้ตาย ชื่อว่า
อาสันนกรรม. จริงอยู่ ผู้ใกล้จะตายอาจระลึกถึงหรือทำกรรมใด การได้
อาเสวนะบ่อย ๆ พ้นจากกรรม 3 เหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นด้วยกรรมนั้นนั่นเอง
ชื่อว่า กฏัตตาวาปนกรรม. ในเมื่อไม่มีกรรมเหล่านั้น กฏัตตาวาปนกรรม
นั้นย่อมฉุดคร่าปฏิสนธิ.
กรรม 4 อย่างอื่นอีก คือ ชนกกรรม (กรรมแต่งให้เกิด) อุปัต-
กัมภกกรรม (กรรมสนับสนุน) อุปปีฬกกรรม (กรรมบีบคั้น) อุปฆาตกกรรม
(กรรมตัดรอน). ในกรรม 4 อย่างนั้น กรรมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ชื่อว่า
ชนกกรรม. ชนกกรรมนั้นยังรูปวิบาก และอรูปวิบากให้เกิด แม้ในการเป็น
ไปในปฏิสนธิ.
ส่วนอุปัตถัมภกกรรมไม่สามารถให้วิบากเกิดได้ ย่อมสนับสนุนสุข
และทุกข์อันเกิดขึ้น ในวิบากที่เกิดแล้วด้วยปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ ย่อมให้เป็น
ไปตลอดกาลไกล.
อุปปีฬกกรรมย่อมบีบคั้น เบียดเบียนสุขและทุกข์อันเกิดในวิบาก
ที่เกิดแล้วด้วยปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ ย่อมไม่ให้เพื่อเป็นไปตลอดกาลไกลได้.

ส่วนอุปฆาตกกรรม ตัดรอนกรรมที่มีกำลังอ่อนอื่น ที่เป็นกุศลบ้าง
อกุศลบ้าง แล้วป้องกันวิบากของกรรมนั้น ทำโอกาสแก่วิบากของตน ก็เมื่อ
โอกาสอันกรรมนั้นทำแล้ว ท่านกล่าวว่า กรรมนั้นชื่อว่าเกิดวิบาก.
ด้วยประการฉะนี้ ระหว่างกรรม และระหว่างวิบากแห่งกรรม 12
เหล่านี้ ย่อมปรากฏแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย โดยความเป็นสิ่งที่แน่นอนแห่ง
กรรมวิบากญาณไม่ทั่วไปด้วยสาวกทั้งหลาย. นักวิปัสสนาพึงรู้ระหว่างกรรมและ
ระหว่างวิบากโดยเอกเทศ. เพราะฉะนั้น ท่านประกาศความพิเศษของกรรมนี้
โดยเห็นเพียงเป็นหัวข้อ. ท่านกล่าวปฐมวารด้วยอำนาจกรรมล้วน ๆ อย่างนี้
แล้วจำแนกกรรมนั้นนั่นแล ออกเป็น 2 ส่วน แล้วจึงกล่าวถึงวาระ 10 อื่นอีก
โดยปริยาย 10 ด้วยอำนาจแห่งคู่ของกรรมมีกุศลกรรม และอกุศลกรรมเป็นต้น.
ในกุศลกรรมและอกุศลกรรมนั้น ชื่อว่า กุสลํ เพราะอรรถว่าไม่มีโรค
ชื่อว่า อกฺสลํ เพราะอรรถว่าไม่มีโรคหามิได้ (มีโรค) ท่านกล่าวทุกะนี้ ด้วย
อำนาจแห่งชาติ.
อกุศลนั่นแล เป็นสาวัชชะ (มีโทษ) เพราะประกอบด้วยโทษ มีราคะ
เป็นต้น กุศลเป็นอนวัชชะ (ไม่มีโทษ) เพราะไม่มีโทษ มีราคะเป็นต้นนั้น.
อกุศลชื่อว่าเป็นกัณหธรรม (ธรรมดำ) เพราะไม่บริสุทธิ์ หรือเพราะเหตุเกิด
เป็นธรรมดำ. กุศลชื่อว่าสุกธรรม (ธรรมขาว) เพราะบริสุทธิ์ หรือเพราะ
เหตุเกิดเป็นธรรมขาว กุศลชื่อว่า สุขุทรยะ (กรรมมีสุขเป็นกำไร) เพราะ
เจริญด้วยความสุข อกุศลชื่อว่า ทุกขุทรยะ (กรรมมีทุกข์เป็นกำไร) เพราะ
เจริญด้วยทุกข์. กุศลมีสุขเป็นวิบาก เพราะมีผลเป็นสุข. อกุศลมีทุกข์เป็น
วิบาก เพราะมีผลเป็นทุกข์. พึงทราบอาการต่างกันแห่งกรรมเหล่านั้น ด้วย
ประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถากรรมกถา

มหาวรรค วิปัลลาสกถา


นิทานบริบูรณ์


ว่าด้วยวิปลาส 4


[525] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส
นี้มี 4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสำคัญผิด
(แปรปรวน) ความคิดผิด ความเห็นผิด ในสภาพที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสภาพ
ที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน ในสภาพที่ไม่งามว่างาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส 4 ประการนี้แล.
[526] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฏฐิ
ไม่วิปลาสนี้มี 4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความ
สำคัญไม่ผิด ความคิดไม่ผิด ความเห็นไม่ผิด ในสภาพที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง
ในสภาพที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่ามิใช่ตัวตน ในสภาพ
ที่ไม่งามว่าไม่งาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฏฐิ
ไม่วิปลาส 4 ประการนี้แล.
สัตว์ทั้งหลายมีความสำคัญในสภาพที่ไม่เที่ยงว่า
เที่ยง มีความสำคัญในสภาพที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข มี
ความสำคัญในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน มีความ
สำคัญในสภาพที่ไม่งามว่างาม ถูกความเห็นผิดนำไป
มีจิตกวัดแกว่ง มีสัญญาผิด สัตว์เหล่านั้นติดอยู่ในบ่วง
ของมาร เป็นสัตว์ไม่มีความปลอดโปร่งจากกิเลส ต้อง