เมนู

อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค


ชื่อว่าสัทธัมมปกาสินี ในขุททกนิกาย


ภาคที่ 2


ทิฏฐิกถาในมหาวรรค


1. อรรถกถาอัสสาทสทิฏฐินิเทศ


บัดนี้ ถึงคราวที่จะพรรณนาความตามลำดับแห่งทิฏฐิกถา อันท่าน
กล่าวแล้วในลำดับแห่งญาณกถา. จริงอยู่ ทิฏฐิกถานี้ชำระมลทินคือมิจฉาทิฏฐิ
ของผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ ซึ่งสะสมญาณที่ทำไว้แล้ว ด้วยญาณกถาเป็นอันทำไว้
ด้วยดี. อนึ่ง สัมมาทิฏฐิท่านกล่าวไว้ในลำดับแห่งญาณกถาว่า เป็นความ
บริสุทธิ์ด้วยดี. ในทิฏฐิกถานั้นมีอยู่ 4 ปริเฉท คือ คำถามมีอาทิว่า ทิฏฐิ
คืออะไร 1. การตอบคำถามที่ถามมีอาทิว่า คำว่า ทิฏฐิ คืออะไร คือการ
ลูบคลำด้วยความถือผิด 1 แสดงถึงความพิสดารของการตอบ ที่ตอบมีอาทิว่า
ทิฏฐิ คือการลูบคลำด้วยความถือผิด เป็นอย่างไร 1 การเปรียบเทียบกับ
ทิฏฐิสูตรมีอาทิว่า ทิฏฐิเหล่านั้นทั้งหมดเป็นอัสสาททิฏฐิ (ความเห็นด้วยความ
พอใจ) 1. ใน 4 ปริเฉทนั้น พึงทราบวินิจฉัยในปุจฉาปริเฉทก่อน. ถามว่า
ทิฏฐิเป็นอย่างไร เป็นธรรมปุจฉา (ถามธรรมดา) เป็นสภาวปุจฉา (ถาม
ตามสภาพ).

ถามว่า ที่ตั้งแห่งทิฏฐิเท่าไร เป็นเหตุปุจฉา (ถามตามเหตุ) เป็น
ปัจจยปุจฉา (ถามตามปัจจัย). อธิบายว่า เหตุแห่งทิฏฐิทั้งหลายมีเท่าไร.
ถามว่า ความกลุ้มรุมแห่งทิฏฐิเท่าไร เป็นสมุทาจารปุจฉา (ถามตาม
ความปรากฏ) เป็นวิการปุจฉา (ถามทำให้แปลกไป). จริงอยู่ ทิฏฐิทั้งหลาย
นั่นแล ชื่อว่า ทิฏฐิปริยุฏฐานะ (ความกลุ้มรุมแห่งทิฏฐิ) เพราะตั้งขึ้น
หุ้มห่อจิตด้วยอำนาจแห่งความปรากฏ.
ถามว่า ทิฏฐิเท่าไร เป็นสังขยาปุจฉา (ถามตามจำนวน) เป็น
คณนาปุจฉา (ถามตามคำนวณ) แห่งทิฏฐิทั้งหลาย.
ถามว่า ความถือผิดแห่งทิฏฐิเท่าไร เป็นทิฏฐิปเภทปุจฉา (ถาม
ตามประเภทของทิฏฐิ) ด้วยประเภทแห่งวัตถุ ด้วยความต่างกันแห่งอารมณ์.
เพราะว่า ทิฏฐิทั้งหลายนั่นแล ย่อมยึดถือ ย่อมลูบคลำวัตถุนั้น ๆ อารมณ์นั้นๆ
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทิฏฐิปรามาส (ลูบคลำทิฏฐิ).
ถามว่า ความถอนที่ตั้งแห่งทิฏฐิเป็นไฉน เป็นปฏิปักขปุจฉา
(คำถามเป็นปฏิปักษ์กัน ) เป็นปหานูปายปุจฉา (คำถามหาอุบายที่จะละ) แห่ง
ทิฏฐิทั้งหลาย จริงอยู่เหตุแห่งทิฏฐิเหล่านั้นมีขันธ์เป็นต้น เป็นเหตุแห่งทิฏฐิ จึง
เป็นไปไม่ได้ด้วยการถอนทิฏฐิ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าเป็นอันต้องถอนเหตุ
เหล่านั้น ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ทิฏฐิฐานสมุคฆาตะ (ถอนที่ตั้งแห่งทิฏฐิ)
เพราะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเป็นเหตุเบียดเบียนอย่างร้ายกาจ.
บัดนี้พึงทราบคำตอบ 6 ข้อ มีอาทิว่า ทิฏฐิเป็นอย่างไร ของคำถาม
ทั้ง 6 ข้อเหล่านั้น. ในคำถามเหล่านั้น พึงทราบคำถามที่ควรตอบว่า ทิฏฐิ
เป็นอย่างไร ดังต่อไปนี้.
คำตอบว่า ทิฏฐิ คือการลูบคลำด้วยความเห็นผิด. ก็ทิฏฐินั้นชื่อว่า
อภินิเวสะ เพราะยึดถือ ตั้งมั่น ถือมั่น ด้วยอำนาจแห่งความเที่ยงเป็นต้น

ในวัตถุอันไม่เที่ยงเป็นต้น ชื่อว่า ปรามาสะ เพราะก้าวล่วงอาการไม่เที่ยง
เป็นต้น แล้วลูบคลำยึดถือต่อไป เป็นไปด้วยอำนาจแห่งความเป็นของเที่ยง
เป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปรามาสะ เพราะลูบคลำยึดถือสิ่งอื่น มีอาทิ
ว่าเป็นของเที่ยง ว่าเป็นของจริงอย่างสูงสุด. ความยึดถือและการลบคลำนั้น
ชื่อว่า อภินิเวสปรามาสะ. พระสารีบุตรเถระย่อมตอบสภาวะของทิฏฐิโดย
กิจว่า ทิฏฐิมีประการอย่างนี้ ดังนี้.
บทว่า ตีณิ สตํ คือ 300* เป็นความคลาดเคลื่อนของวจนะ. ถามว่า
การถอนที่ตั้งแห่งทิฏฐิเป็นไฉน เป็นการยกคำถามขึ้นแล้ว ตอบว่า โสดา-
ปัตติมรรคเป็นเครื่องถอนที่ตั้งแห่งทิฏฐิ.
บัดนี้ พึงทราบการแสดงโดยพิสดารของบทมีอาทิว่า กถํ อภินิเวส-
ปรามาโส
การลูบคลำด้วยการถือผิดเป็นอย่างไร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า รูปํ เป็นทุติยาวิภัตติ. เชื่อมความว่า การ
ลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูป. อนึ่ง ในบทว่า รูปํ นี้ ได้แก่ รูปูปาทานขันธ์
และกสิณรูป. ทิฏฐิคือการลูบคลำด้วยความถือผิดว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น
นั่นเป็นตัวตนของเรา พึงประกอบเฉพาะอย่าง.
บทว่า เอตํ เป็นสามัญวจนะ. ด้วยบทนั้นท่านทำให้เป็นนปุงสกวจนะ
และเอกวจนะว่า นั่นเวทนาของเรา นั่นสังขารของเรา. แต่บทว่า เอโส
ท่านเพ่งถึงสิ่งที่ควรกล่าวถึง จึงทำให้เป็นปุลลิงควจนะ.

พระสูตรเป็น ตึสสตํ (130) แต่อรรถกถาใช้คำว่า ตีณิสตํ (300) เป็นวจนะวิปลาส นับ
จำนวนดังนี้คือ ขันธ์ 5, อายตนะ 12, วิญญาณ 6, จักขุสัมผัสสชาเวทนา 6, สัญญา 6
สัญเจตนา 6, ตัณหา 6, วิตก 6, วิจาร 6, ธาตุ 6, กสิณ 10, โกฏฐาส 32, อายตนะ 12,
ธาตุ 18, อินทรีย์ 15, ธาตุ 23, ปฏิจจะ 12, รวม 193 นับที่ตั้งแห่งทิฏฐิ 8 ความกลุ้มรุม
ทิฏฐิ 18 ทิฏฐิ 16, ทิฏฐิอีก 3 (คือนั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา) และทิฏฐิ
62 รวมทั้งหมด 300 พอดี.

บทว่า เอตํ มม (นั่นของเรา) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะตัณหา
เป็นมูล.
บทว่า เอโสหมสฺมิ (เราเป็นนั่น) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะ
มานะเป็นมูล.
บทว่า เอโส เม อตฺตา (นั่นเป็นตัวตนของเรา) มีความสำคัญ
เพราะทิฏฐินั่นเอง.
ส่วนอาจารย์บางพวกพรรณนาความแห่งคำทั้ง 3 เหล่านี้ว่า ความดำริ
ด้วยมมังการ (ความถือว่าเป็นของเรา) ว่านั่นเป็นของเรา ความดำริด้วย
อหังการ (ความถือว่าเป็นเรา) ว่าเราเป็นนั่น และการถือมั่นตัวตนอันดำริ
ด้วยอหังการ มมังการว่า นั่นเป็นตัวตนของเรา. อนึ่ง การยกย่องด้วยมานะ
อาศัยตัณหาเป็นมูลตามลำดับ อันมานะยกย่องแล้วอาศัยตัณหาเป็นมูล และ
การยึดถือตัวตน. การไม่เห็นลักษณะที่เป็นทุกข์แห่งสังขารทั้งหลาย การไม่
เห็นลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลาย และการยึดถือตัวตนอันเป็น
เหตุไม่เห็นพระไตรลักษณ์แห่งสังขารทั้งหลาย การยึดถือตัวตนของผู้ที่ถึงความ
วิปลาสในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ในความไม่งามว่าเป็นความงาม ในความ
เป็นของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง และผู้ถึงความวิปลาส 4 อย่าง. ความดำริ
ด้วยอาการแห่งปุพเพนิวาสญาณ ความดำริ เพื่อจะได้ในอนาคตแห่งทิพยจักษุ
ญาณ และการยึดถือตัวตนของผู้อาศัยความดำริในธรรมทั้งหลายอันเป็น
อิทัปปัจจยตา (สิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้) และปฏิจจสมุปบาททั้งส่วนเบื้องต้น
และส่วนเบื้องปลาย คำนึงถึงอดีตด้วยความพอใจ หวังอนาคตด้วยความพอใจ
หมกมุ่นอยู่ในปัจจุบัน ชื่อว่ายึดถือตัวตน. ทิฏฐิมีความไม่รู้เป็นเหตุในส่วน
เบื้องต้น ในส่วนเบื้องปลาย และการยึดถือตัวตนมีความไม่รู้เป็นเหตุ ในธรรม

ทั้งหลายอันเป็นอิทัปปัจจยตา และปฏิจจสมุปบาทในส่วนเบื้องต้นและส่วน
เบื้องปลาย.
อนึ่ง ทิฏฐิทั้งหลายในทิฏฐิกถานี้ มีขันธ์ 5 เป็นวัตถุ เป็นที่หนึ่ง.
แต่นั้นท่านกล่าวถึงทิฏฐิทั้งหลาย มีอายตนะภายใน 6 ภายนอก 6 วิญญาณ
กายสัมผัส กายเวทนา กายสัญญา กายเจตนา กายตัณหา กายวิตกวิจารธาตุ
กสิณ 10 อาการ 32 เป็นวัตถุ.
อนึ่ง ในอาการ 32 พึงทราบว่า ไม่ควรยึดถือไว้แผนกหนึ่ง ทำการ
ยึดถือดุจยึดถือไว้แผนกหนึ่ง โดยยึดถือสรีระทั้งสิ้น แต่นั้นก็ประกอบด้วย
อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 19 ประกอบอินทรีย์อันเป็นโลกุตระโดย
ส่วนเดียว 3 เพราะทิฏฐิทั้งหลายย่อมไม่มีโลกุตระเป็นวัตถุ. อนึ่ง ในธรรม
ทั้งหลายที่เจือด้วยโลกิยะและโลกุตระแม้ทั้งปวง พึงถือเอาโลกิยะอย่างเดียว
ยกเว้นโลกุตระ และไม่ควรถือรูปอันเนื่องด้วยอนินทรีย์เท่านั้น แต่นั้นก็
ประกอบด้วยธาตุ 3 ภพ 9 อย่าง ฌาน พรหมวิหารสมาบัติ และองค์แห่ง
ปฏิจจสมุปบาท. การบริหารในการถือเอาชาติ ชรา และมรณะไว้ต่างหาก
มีนัยดังได้กล่าวแล้ว. บททั้งหลายมีรูปเป็นต้นเท่านี้ทั้งหมด อันมีชราและ
มรณะเป็นที่สุด มีอยู่ 198 บท.
พึงทราบวินิจฉัยในที่ตั้งแห่งทิฏฐิทั้งหลาย ดังต่อไปนี้ บทว่า ขนฺธาปิ
ทิฏฺฐิฏฺฐานํ
แม้ขันธ์ทั้งหลายก็เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิ ความว่า อุปาทานขันธ์ 5
ชื่อว่าเป็นเหตุแห่งทิฏฐิทั้งหลาย เพราะสักกายทิฏฐิแม้มีวัตถุ 20 อย่าง ก็เป็น
วัตถุแห่งขันธ์ 5 และเพราะเหตุพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง เมื่อพิจารณาอยู่เสมอ ๆ ย่อมพิจารณา
เห็นตนเสมอ ๆ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าทั้งหมด ย่อมพิจารณาเห็น

เสมอ ๆ ในอุปาทานขันธ์ 5 นั่นแล หรือขันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งแห่งขันธ์ 5
เท่านั้น.
บทว่า อวิชฺชาปิ ทิฏฺฐิฏฺฐานํ (แม้อวิชชาก็เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิ)
ความว่า อวิชชาเป็นเหตุแห่งทิฏฐิทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นความเกิดขึ้น
แห่งทิฏฐิของคนบอดทั้งหลาย และเพราะบาลีว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทิฏฐิว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมปรากฏในท่านผู้ที่มิได้ตรัสรู้เองโดยชอบ
ดังนี้ ทิฏฐินี้ย่อมปรากฏ เพราะอาศัยอะไร พระเจ้าข้า. ดูก่อนกัจจานะ ธาตุ
นี้ใหญ่นักแล คือ อวิชชาธาตุ ดูก่อนกัจจานะ สัญญาเลว ทิฏฐิเลว ย่อม
เกิดขึ้นเพราะอาศัยธาตุเลว.
บทว่า ผสฺโสปิ ทิฏฺฐิฏฺฐานํ (แม้ผัสสะก็เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ความว่า
ผัสสะเป็นเหตุแห่งทิฏฐิทั้งหลาย เพราะความกระทบด้วยผัสสะนั้นเป็นความ
เกิดขึ้นแห่งทิฏฐิ และเพราะบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์
เหล่าใด ดำริส่วนเบื้องต้น มีความเห็นตามส่วนเบื้องต้น ย่อมกล่าวถึงบทที่
พอใจหลาย ๆ อย่าง ปรารภส่วนเบื้องต้น แม้ข้อนั้นก็เป็นปัจจัยแห่งผัสสะ.
บทว่า สญฺญาปิ ทิฏฺฐิฏฺฐานํ (แม้สัญญาก็เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ความว่า
สัญญาเป็นเหตุแห่งทิฏฐิทั้งหลาย เพราะความที่สัญญาเป็นเหตุถือเอาตามสภาพ
ที่ไม่เป็นจริง โดยถือเอาเพียงอาการ เพราะคำอันสภิยปริพาชกทูลพระผู้มี
พระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระปัญญาเสมอ
ด้วยแผ่นดิน พระองค์ทรงกำจัดทิฏฐิ 3 และ 60 ที่
อาศัยคัมภีร์อันเป็นวาทะเป็นประธานของสมณะผู้ถือ
ลัทธิอื่นที่อาศัยอักขระคือความหมายรู้กัน [ว่าหญิงว่า

ชาย) และสัญญาอันวิปริต ทรงก้าวล่วงความมืดคือ
โอฆะได้แล้ว.

และเพราะบาลีว่า ธรรมเป็นส่วนแห่งความเนิ่นช้ามีสัญญาเป็นเหตุ ดังนี้.
บทว่า วิตกฺโกปิ ทิฏฺฐิฏฺฐานํ (แม้วิตกก็เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ความว่า
วิตกเป็นเหตุแห่งทิฏฐิทั้งหลาย เพราะความเกิดแห่งทิฏฐิด้วยวิตกถึงอาการและ
เพราะบาลีว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
สัจจะมากหลายต่าง ๆ กัน เว้นจากสัญญาว่า
เที่ยงเสียหาใช่มีในโลกไม่. ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมา
กำหนดความคาดคะเนทิฏฐิทั้งหลายแล้ว จึงกล่าว
ทิฏฐิอันเป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ.

บทว่า อโยนิโสมนสิกาโรปิ ทิฏฺฐิฏฺฐานํ (แม้อโยนิโสมนสิการ
ก็เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ความว่า อโยนิโสมนสิการเป็นเหตุแห่งทิฏฐิทั้งหลาย
เพราะอโยนิโสมนสิการเป็นเหตุทั่วไปแห่งอกุศลทั้งหลาย และเพราะบาลีว่า
เมื่อพระโยคาวจรนั้นกระทำไว้ในใจ โดยอุบายไม่แยบคาย ทิฏฐิ 6 อย่าง
อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเกิดขึ้น.
บทว่า ปาปมิตฺโตปิ ทิฏฺฐิฏฺฐานํ (แม้มิตรชั่วก็เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิ)
ความว่า มิตรชั่วเป็นเหตุแห่งทิฏฐิทั้งหลาย เพราะมิตรชั่ว เป็นความเกิดแห่ง
ทิฏฐิ ด้วยการคล้อยตามไปกับความเห็น และเพราะบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราไม่พิจารณาเห็นองค์อื่นในภายนอกแม้องค์เดียวที่จะเป็นไปเพื่อความฉิบหาย
อันใหญ่อย่างนั้นเหมือนความมีมิตรชั่วนี้เลย.
บทว่า ปรโต โฆโสปิ ทิฏฐิฏฺฐานํ (แม้เสียงแต่ที่อื่นก็เป็นที่ตั้ง
แห่งทิฏฐิ) ความว่า เสียงทำให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่ที่อื่นกถาประกอบด้วย

มิจฉาทิฏฐิ เป็นเหตุแห่งทิฏฐิทั้งหลาย เพราะความเกิดแห่งทิฏฐิด้วยการฟัง
ธรรมที่กล่าวไม่ดีและเพราะบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุ 2 อย่าง ปัจจัย
2 อย่าง เหล่านี้คือเสียงแต่ที่อื่น และอโยนิโสมนสิการย่อมเป็นไปเพื่อให้เกิด
มิจฉาทิฏฐิ.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะไขความแห่งบทว่า ทิฏฺฐิฏฺฐานํ ที่
ตั้งแห่งทิฏฐิ จึงกล่าวคำมีอาทิว่าขันธ์ทั้งหลายเป็นเหตุ เป็นปัจจัยดังนี้. อธิบายว่า
ขันธ์ทั้งหลายเท่านั้นเป็นเหตุเกิดและเป็นปัจจัยอุปถัมภ์เพราะอาศัยทิฏฐิทั้งหลาย.
บทว่า สมุฏฺฐานตฺเถน (เพราะอรรถว่าตั้งขึ้น) ความว่า ชื่อว่า
สมุฏฐาน เพราะเป็นเหตุตั้งขึ้น คือ เกิดขึ้น. อธิบายว่า เป็นเหตุ เพราะ
อรรถว่าตั้งขึ้นนั้น คือเพราะความเป็นเหตุแห่งทิฏฐิ.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะแสดงถึงประเภทของทิฏฐิโดย
ประเภทแห่งกิจ จึงกล่าวคำเป็นอาทิว่า กตมานิ อฏฺฐารส ทิฏฺฐิปริยุฏฺ-
ฐานานิ
ความกลุ้มรุมแห่งทิฏฐิ 18 เป็นไฉน.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ยา ทิฏฺฐิ เป็นบทต้นเหตุอันทั่วไปแก่บท
ทั้งหลาย 18 บทซึ่งจะกล่าวในบัดนี้. พึงทำการเชื่อมด้วยบททั้งปวงว่า ทิฏฐิ
คือ ทิฏฐิคตะ ทิฏฐิรกชัฏ เป็นต้น. ชื่อว่าทิฏฐิ เพราะอรรถว่าไม่เห็นตามความ
เป็นจริง. การเห็นไปในทิฏฐิทั้งหลายนั้นนั่นแล ชื่อว่าทิฏฐิคตะ เพราะหยั่งลง
ภายในทิฏฐิ 62. ท่านกล่าวความแห่งทิฏฐิคตะนั่นแล้วแม้ในหนหลัง แม้เพราะ
ที่สุดสองอย่างไปโดยส่วนเดียวก็เป็นทิฏฐิคตะ.
ทิฏฐินั้นชื่อว่า ทิฏฐิรกชัฏ เพราะอรรถว่าก้าวไปได้ยาก ดุจรกด้วย
หญ้า ป่าและภูเขา. ชื่อว่าทิฏฐิกันดาร เพราะอรรถว่า มีความรังเกียจ และ
มีภัยเฉพาะหน้า ดุจกันดารเพราะโจร เพราะสัตว์ร้าย เพราะไม่มีน้ำ เพราะ

หาภิกษาได้ยาก. ในธรรมสังคณีมาแล้วโดยลิงค์ว่า ทิฏฐิกนฺตาโร (กันดาร
ด้วยทิฏฐิ) ชื่อว่าทิฏฐิเป็นเสี้ยนหนาม เพราะอรรถว่าเสียดแทงและตรงข้าม
กับสัมมาทิฏฐิ.
จริงอยู่ การเห็นผิดย่อมเจาะทะลุและตรงข้ามกับการเห็นชอบซึ่ง
เกิดขึ้น. ในธรรมสังคิณีมาแล้วว่า เป็นข้าศึกของทิฏฐิ. ชื่อว่า ทิฏฐิวิบัติ
เพราะเป็นทิฏฐิปรวนแปรผิดรูปโดยที่บางครั้งถือเอาสัสสตทิฏฐิ บางครั้งถือเอา
อุจเฉททิฏฐิ.
จริงอยู่ เจ้าทิฏฐิไม่สามารถตั้งอยู่ในทิฏฐิเดียวได้ บางครั้งระลึกถึง
สัสสตทิฏฐิ บางครั้งระลึกถึงอุจเฉททิฏฐิ. ชื่อว่าทิฏฐิเป็นสังโยชน์ เพราะทิฏฐิ
นั่นแลประกอบในสิ่งไม่เป็นประโยชน์.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นลูกศร เพราะทิฏฐินั่นแล ชื่อว่าเป็นลูกศร เพราะ
อรรถว่า เจาะเข้าไปในภายใน และเพราะอรรถว่า นำออกได้ยาก.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นความคับแคบ เพราะทิฏฐินั่นแล ชื่อว่าคับแคบ เพราะ
ทำการบีบคั้น.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นเครื่องกังวล เพราะทิฏฐินั่นแล ชื่อว่าเป็นเครื่องกังวล
เพราะปิดกั้นความพ้น.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นเครื่องผูกพัน เพราะทิฏฐินั่นแล ชื่อว่าเป็นเครื่องผูกพัน
เพราะแก้ได้ยาก.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นเหว เพราะทิฏฐินั่นแล ชื่อว่าเป็นเหว เพราะขึ้น
ได้ยาก.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นอนุสัย เพราะทิฏฐินั่นแล ชื่อว่าเป็นอนุสัย เพราะไป
ด้วยเรี่ยวแรง.

ชื่อว่าทิฏฐิเป็นเหตุให้เดือดร้อน เพราะทิฏฐินั่นแล ทำตนให้เดือด-
ร้อน.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นเหตุให้เร่าร้อน เพราะทิฏฐินั่นแล ตามเผาผลาญตน.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นเครื่องร้อยรัด เพราะทิฏฐินั่นแล ร้อยรัดกายด้วย
กิเลส.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นเครื่องยึดมั่น เพราะทิฏฐินั่นแล ยึดถือไว้อย่างมั่น.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นเหตุให้ถือผิด เพราะถือผิดด้วยการยึดว่า เป็นจริง
เป็นต้น.
ชื่อว่าทิฏฐิเป็นเหตุให้ลูบคลำ เพราะทิฏฐินั่นแล ย่อมลูบคลำว่านี้
เป็นอื่น หรือลูบคลำจากอื่น.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะชี้ถึงทิฏฐิ 16 ด้วยอำนาจแห่งหมู่
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ทิฏฐิ 16 เป็นไฉน.
พึงทราบวินิจฉัยในทิฏฐิ 16 นั้นดังต่อไปนี้. ทิฏฐิในความพอใจ คือ
สุขและโสมนัส ชื่อว่า อัสสาททิฏฐิ ทิฏฐิอันไปตามตนชื่อว่า อัตตานุทิฏฐิ-
ทิฏฐิอันวิปริต เพราะเป็นไปว่าไม่มี ชื่อว่ามิจฉาทิฏฐิ. ทิฏฐิในกายอันมีอยู่
หรือทิฏฐิอันมีอยู่ในกาย ชื่อว่าสักกายทิฏฐิ. อนึ่ง ในบทว่า กาโย นี้ คือ
ขันธปัญจก. ทิฏฐิชื่อว่า สกฺกายวตฺถุกา เพราะมีสักกายะคือขันธบัญจก
เป็นวัตถุคือเป็นที่ตั้ง. ทิฏฐิอันเป็นไปแล้วว่าเที่ยง ชื่อว่าสัสสตทิฏฐิ. ทิฏฐิ
อันเป็นไปแล้วว่าสูญ ชื่อว่า อุจเฉททิฏฐิ. ชื่อว่าอันตคาหิกทิฏฐิ เพราะถือ
เอาที่สุดมีสัสสตทิฏฐิเป็นต้น หรือเพราะมีการถือเอาที่สุด. ทิฏฐิอันไปตามที่สุด
เบื้องต้นคืออดีต ชื่อว่าปุพพันตานุทิฏฐิ. ทิฏฐิอันไปตามที่สุดเบื้องปลายคือ
อนาคต ชื่อว่าอปรันตานุทิฏฐิ. ชื่อว่าสังโยชนิกาทิฏฐิ เพราะประกอบในสิ่ง

ไม่มีประโยชน์. ทิฏฐิอันผูกพัน สืบต่อให้เกิดขึ้นด้วยมานะอันเกิดขึ้นว่าเป็นเรา
ด้วยการถือตัว อันเป็นมูลแห่งทิฏฐิ ชื่อว่าทิฏฐิผูกพันด้วยมานะว่าเป็นเรา.
อนึ่ง ทิฏฐิอันผูกพันด้วยมานะอันเกิดขึ้นว่า ของเราด้วยการถือว่าเป็นของเรา
ชื่อว่าทิฏฐิผูกพันด้วยมานะว่า ของเรา. การพูด การกล่าวของตน ชื่อว่า
อัตตวาทะ. ทิฏฐิอันสัมปยุตเกี่ยวข้องด้วยอัตตวาทะนั้นชื่อว่าทิกฐิอันสัมปยุตด้วย
อัตตวาทะ. การพูดการกล่าวว่าโลกของตน ชื่อว่า โลกวาทะ. ทิฏฐิอันสัมปยุต
ด้วยโลกวาทะนั้น ชื่อว่าทิฏฐิอันสัมปยุตด้วยโลกวาทะ ความเที่ยงท่านกล่าวว่า
ภพ. ทิฏฐิอันเกิดขึ้นด้วยความเที่ยง ชื่อว่าภวทิฏฐิ. ความสูญท่านกล่าวว่า
วิภวะ. ทิฏฐิอันเกิดขึ้นด้วยความสูญ ชื่อว่าวิภวทิฏฐิ.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงความถือผิดด้วยทิฏฐิ
300 จึงถามว่า การถือผิดด้วยทิฏฐิ 300 เป็นไฉน. ไม่แก้ความถือผิด
เหล่านั้น ประสงค์จะแก้โดยแก้ความถือผิดไว้แผนกหนึ่ง จึงถามถึงอาการ
ถือผิดแห่งทิฏฐิ 16 อย่างโดยนัยมีอาทิว่า อัสสาททิฏฐิมีความถือผิดด้วย
อาการเท่าไร แล้วแก้การนับอาการถือผิดแห่งทิฏฐิ 16 อย่างเท่านั้นมีอาทิ
ว่า อัสสาททิฏฐิมีความถือผิดด้วยอาการ 35 ต่อไป เมื่อจะแก้การนับเหล่านั้น
อีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อัสสาททิฏฐิมีความถือผิดด้วยอาการ 35 เป็นไฉน.
ในบทเหล่านั้น บทว่า รูปํ ปฏิจฺจ คืออาศัยรูปขันธ์. บทว่า
อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ (สุข โสมนัสเกิดขึ้น) ความว่า สุข โสมนัส
สัมปยุตด้วยราคะ อาศัยเรือน ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยรูปสมบัติว่า กายของ
เรานี้ เป็นเช่นนี้ดังนี้. สุขและโสมนัสโดยอรรถได้กล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
บทว่า รูปสฺส อสฺสาโท (อัสสาทะแห่งรูป) คือ ความยินดีอาศัยรูป.
ชื่อว่า อัสสาทะ เพราะยินดีเสวยสุขนั้นด้วยอำนาจแห่งตัณหา.

บทว่า อภินิเวสปรามาโส ทิฏฺฐิ (ทิฏฐิคือการลูบคลำด้วยความ
ถือผิด) ความว่า ความยินดีนั้นเป็นการลูบคลำด้วยความถือผิดว่า เที่ยงก็ดี
จักสูญก็ดี ย่อมทำคนเที่ยงหรือสูญให้มีความสุขก็ดี. เพราะฉะนั้น บทว่า
ยา จ ทิฏฺฐิ โย จ อสฺสาโท (ทิฏฐิและอัสสาทะ) คือทิฏฐินั้นเว้นอัสสาทะ
จะมีไม่ได้ แม้อัสสาทะจะมีและไม่มีทิฏฐิ เพราะเหตุนั้น ทั้งสองอย่างจึงทำ
รวมกัน.
บทว่า อสฺสาททิฏฺฐิ ท่านอธิบายว่า ได้แก่ ทิฏฐิที่เป็นไปในความ
ยินดี.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระครั้นเทียบเคียงด้วยสูตรต่าง ๆ แล้วประสงค์
ติเตียนมิจฉาทิฏฐิและผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อัสสาททิฏฐิเป็น
มิจฉาทิฏฐิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐิวิปตฺติ ได้แก่ วิบัติด้วยทิฏฐิ คือ
มิจฉาทิฏฐิอันยังสัมมาทิฏฐิให้พินาศ. บทว่า ทิฏฺฐิวิปนฺโน บุคคลผู้มีทิฏฐิ-
วิบัติ อธิบายว่า ชื่อว่า ทิฏฺฐิวิปนฺโน เพราะมีสัมมาทิฏฐิวิบัติคือพินาศ
หรือวิบัติพินาศด้วยทิฏฐิ. บุคคลผู้มีทิฏฐิวิบัตินั้นไม่ควรเสพด้วยการเข้าไปหา
ไม่ควรคบด้วยจิต ไม่ควรนั่งใกล้ด้วยการเข้าไปหาแล้วนั่งลง.
บทว่า ตํ กิสฺส เหตุ (ข้อนั้น เพราะเหตุไร) เป็นการณปุจฉา (ถาม
ถึงเหตุ) ของบุคคลนั้นว่า เพราะเหตุไร จึงไม่ควรทำการเสพเป็นต้นนั้น.
ตอบถึงเหตุว่า เพราะบุคคลนั้นมีทิฏฐิลามก ฉะนั้นจึงไม่ควรทำการเสพ
เป็นต้นนั้น.
บทว่า ทิฏฺฐิ โย ราโค (ทิฏฐิราคะใด) ความว่า ราคะเกิดขึ้นด้วย
ทิฏฐิปรารภทิฏฐิว่า ทิฏฐิของเราดี ดังนี้. บทว่า ทิฏฺฐิราครโต (เป็นผู้ยินดี

ในทิฏฐิราคะ) ความว่า เป็นผู้ยินดีด้วยทิฏฐิราคะนั้นดุจผ้าย้อมด้วยสี. บทว่า
น มหปฺผลํ (เป็นทานไม่มีผลมาก) คือ ด้วยผลอันเป็นวิบาก. บทว่า
มหานสํสํ
(เป็นทานไม่มีอานิสงส์มาก) คือ ด้วยผลอันหลั่งไหลหรือผลลัพธ์.
บทว่า ปุริสปุคฺคลสฺส คือแห่งบุรุษบุคคล. เพราะโดยโวหารของชาวโลก
สรีระท่านเรียกว่า ปุํ. ชื่อ ปุริส เพราะนอนคือเป็นไปในสรีระนั้น. นรก
ท่านเรียกว่า ปุํ. ชื่อ ปุคฺคล เพราะไปสู่นรกนั้น. จริงอยู่ โดยมากสัตว์ทั้งหลาย
จุติจากสุคติแล้ว ย่อมเกิดในทุคติทั้งนั้น.
บทว่า ตํ กิสฺส เหตุ คือความที่ไม่มีผลมากนั้น เป็นเพราะเหตุไร.
บทว่า ทิฏฺฐิ หิสฺส ปาปิกา ความว่า เพราะบุคคลนั้นมีทิฏฐิลามก ฉะนั้น
จึงไม่มีผลมาก. บทว่า เทฺวว คติโย มีคติเป็น 2 คือ มีคติเป็น 2 ในคติ 5
เป็นนรกเพราะทิฏฐิวิบัติ เป็นกำเนิดดิรัจฉานเพราะทิฏฐิสมบัติ.
บทว่า ยญฺเจว กายกมฺมํ คือ กายกรรมมีดำรงเพศของตนประกอบ
ข้อปฏิบัติ อภิวาท บำรุง และทำอัญชลีเป็นต้น.
บทว่า ยญฺจ วจีกมฺมํ คือ วจีกรรมมีการเล่าเรียน ท่อง แสดง
ชักชวนในลัทธิของตนเป็นต้น.
บทว่า ยญฺจ มโนกมฺมํ คือ มโนกรรมประกอบด้วยความคิด คำนึง
ถึงโลกนี้โลกหน้า และสิ่งที่ทำแล้ว และยังไม่ได้ทำ. กายกรรม วจีกรรม
มโนกรรม ในหญ้า ขอนไม้ ข้าวเปลือก พืชทั้งหลาย และในการมอบให้รับ
บริโภคทานของสัตว์ผู้มีทิฏฐิ. บทว่า ยถาทิฏฺฐิ (ตามทิฏฐิ) คือ สมควรแก่ทิฏฐิ
นั้น. บทว่า สมตฺตํ คือ ให้บริบูรณ์. บทว่า สมาทินฺนํ (สมาทาน) คือ
ถือเอา.

แต่ในอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า กายกรรมนั้นมี 3 อย่าง คือ กายกรรม
ตั้งไว้ตามทิฏฐิ 1 กายกรรมเกิดร่วมกับทิฏฐิ 1 กายกรรมอนุโลมตามทิฏฐิ 1.
ในกายกรรม 3 อย่างนั้น กายกรรมกล่าวคือ ปาณาติบาต อทินนาทาน และ
มิจฉาจารของผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามไม่มี
บาป อันมีกายกรรมนั้นเป็นเหตุ บาปไม่มาถึง นี้ชื่อว่า กายกรรมตั้งอยู่ตาม
ทิฏฐิ. กายกรรมเกิดร่วมกันด้วยความเห็นตามทิฏฐินี้ว่า ผู้ฆ่าสัตว์ ผู้ลักทรัพย์
ผู้ประพฤติผิดในกามไม่มีบาป อันมีกายกรรมนั้นเป็นเหตุ บาปไม่มาถึง นี้ชื่อว่า
กายกรรมเกิดร่วมกันกับทิฏฐิ. กายกรรมนั้นนั่นแลผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ
สมาทานแล้ว ถือเอาแล้ว ลูบคลำแล้วให้บริบูรณ์ ชื่อว่า กายกรรมอนุโลม
ตามทิฏฐิ. แม้ในวจีกรรม มโนกรรม ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. อนึ่ง ในวจีกรรม
มโนกรรมนี้พึงประกอบว่า ผู้พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
มีความโลภ มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิดไม่มีบาป อันมีวจีกรรม มโนกรรม
นั้นเป็นเหตุ บาปไม่มาถึง ดังนี้. อนึ่ง นัยที่กล่าวด้วยการดำรงเพศ การ
เล่าเรียน และความคิดของชาวโลกเป็นต้น เป็นนัยที่ดีในข้อนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในเจตนาเป็นต้นดังต่อไปนี้. ความคิดอันเกิดร่วมกับ
ทิฏฐิ ชื่อว่า เจตนา. ความต้องการอันเกิดร่วมกับทิฏฐิ ชื่อว่า ความปรารถนา.
การตั้งจิตด้วยอำนาจแห่งความปรารถนาด้วยความตั้งใจ ชื่อว่า ความตั้งใจ.
ธรรมทั้งหลาย อันเนื่องด้วยสังขารขันธ์มีผัสสะเป็นต้น สัมปยุตด้วยเจตนา
เป็นต้นเหล่านั้น ชื่อว่า สังขาร.
ด้วยบทมีอาทิว่า อนิฏฺฐาย (เพื่อผลไม่น่าปรารถนา) ท่านกล่าวถึง
ทุกข์ทั้งนั้น. เพราะทุกข์อันสัตว์ทั้งหลายผู้ใคร่ความสุข ชื่อว่า ไม่ปรารถนาเพราะ
ไม่แสวงหา ชื่อว่า ไม่น่าใคร่ เพราะไม่เป็นที่รัก ชื่อว่า ไม่น่าพอใจ เพราะ

ไม่ทำให้เจริญใจ และเพราะไม่สบอารมณ์ ชื่อว่า ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล
เพราะไม่เจริญต่อไป ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะบีบคั้น.
บทว่า ตํ กิสฺส เหตุ ความว่า การเป็นไปอย่างนั้นเพราะเหตุไร.
แสดงถึงเหตุนั้นว่า เพราะบุคคลนั้นมีทิฏฐิลามก. อธิบายว่า เพราะทิฏฐิของ
บุคคลนั้นเลวทราม ลามก ฉะนั้นจึงเป็นไปอย่างนั้น.
บทว่า อลฺลาย ปฐวิยา นิกฺขิตฺตํ (ฝังลงในแผ่นดินเปียก) คือ
ปลุกลงไปในแผ่นดินที่ชุ่มด้วยน้ำ. บทว่า ปฐวีรสํ อาโปรสํ (รสแผ่นดิน
รสน้ำ) ความว่า ในที่นั้นๆ สมบูรณ์ด้วยแผ่นดินและน้ำ. เพราะในที่ที่ฝังพืช
แผ่นดินทั้งหมดและน้ำทั้งหมด ไม่ยังพืชและผลให้ผลิตได้. ส่วนพื้นที่ของ
แผ่นดินและน้ำเหล่านั้นเท่านั้นที่สัมผัสพืช ย่อมให้พืชผลผลิตได้. เพราะฉะนั้น
พื้นที่นั้นจึงเป็นปัจจัยเพื่อเลี้ยงพืช พึงทราบว่าเป็นรสแผ่นดิน เป็นรสน้ำ.
เพราะรสศัพท์มีความสมบูรณ์ เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวว่า ชื่อว่ารส ท่านกล่าว
ด้วยความสมบูรณ์ด้วยกิจ อนึ่ง เมื่อชาวโลกกล่าวว่า คนธรรพ์มีเสียงดี ย่อม
รู้ความว่า คนธรรพ์สมบูรณ์ดีแล้ว.
บทว่า อุปาทิยติ คือ ถือเอา. เพราะพืชได้พื้นที่ที่เป็นปัจจัย ย่อม
ผลิตได้. บทว่า สพฺพนฺตํ คือรสทั้งปวงนั้น. บทว่า ติตฺตกตฺตาย (เพื่อ
ความเป็นของมีรสขม) ความว่า รสแผ่นดิน และรสน้ำนั้น แม้ไม่มีรสขม
อาศัยพืชที่ขม ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นของขมแห่งต้นสะเดาเป็นต้น และผล
เท่านั้น. บทว่า กฏุกตฺตาย (มีรสปร่า) นี้เป็นไวพจน์ของบทก่อนนั่นเอง.
พึงทราบว่ารสขมในที่นี้ชื่อว่า รสปร่า เพราะไม่เป็นที่ชอบใจดุจในอาคตสถานว่า
มะม่วงนี้เมื่อก่อนได้รับความนิยมมีสีกลิ่นและ
รส เพราะเหตุไร มะม่วงจึงมีรสปร่าไป.

บทว่า อสารตาย เพื่อความไม่เป็นสาระ คือ ไม่มีรสหวาน. ปาฐะว่า
อสาทุตฺตาย บ้าง ความว่า มีรสไม่อร่อย. เพราะบทว่า สาทุ แปลว่า
อร่อย. บทว่า พีชํ หิสฺส ได้แก่พืชของสะเดาเป็นต้นนั้น. บทว่า เอวเมวํ
ตัดบทเป็น เอวํ เอวํ. เพราะสุขเวทนาเป็นความยินดีอย่างยิ่ง. ฉะนั้นท่าน
จึงแสดงถึงโทษแห่งมิจฉาทิฏฐิ ด้วยอำนาจแห่งทุกขเวทนา. พระสารีบุตรเถระ
เพื่อแสดงถึงโทษแห่งทิฏฐิโดยประเภท 18 อย่าง จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อัสสาท-
ทิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ. บทนั้นมีความดังได้กล่าวไว้แล้ว.
บทว่า อิเมหิ อฏฺฐารสหิ อากาเรหิ ปริยฏฐิตจิตฺตสฺส สํโย-
โค
(ความเกี่ยวข้องแห่งจิตอันทิฏฐิกลุ้มรุมด้วยอาการ 18 อย่างเหล่านี้) ท่าน
แสดงถึงความผูกพันในสงสารด้วยทิฏฐินั่นเอง.
ก็เพราะสังโยชน์แม้เป็นทิฏฐิก็มี แม้ไม่เป็นทิฏฐิก็มี ฉะนั้น พระสารี-
บุตรเถระเมื่อจะแสดงประเภทนั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อตฺถิ สญโญชนานิ
เจว
สังโยชน์มีอยู่ดังนี้.
ในบทนั้น เพราะกามราคสังโยชน์มีที่มาว่า อนุนยสญฺโญชนํ คือ
สังโยชน์ที่มีนัยตามกัน. ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อนุนยสญฺโญชนํ พึงทราบว่า
อนุนยสังโยชน์นี้ ท่านกล่าวหมายถึงความโลภที่เป็นไป ยังไม่ถึงความเป็น
กามราคสังโยชน์. ในวาระแม้เป็นมูลเหตุ มีขันธ์และอายตนะที่เหลือเป็นต้น
ก็พึงทราบความโดยนัยนี้เหมือนกัน.
อนึ่ง เพราะอัสสาทะมีเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงทำเทศนา มีเวทนา
เป็นที่สุด ไม่ถือเอาสัญญาเป็นต้น.
บทว่า อิเมหิ ปญฺจตฺตึสาย อากาเรหิ (ด้วยอาการ 35 เหล่านี้)
คือ ด้วยอาการ 35 ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ คือ อัสสาทะอันเกิดขึ้นเพราะ
อาศัยวัตถุ 35 เหล่านี้ คือ เบญจขันธ์ 5 และอายตนะภายในเป็นต้น 6 หมวด.
จบอรรถกถาอัสสาททิฏฐินิเทศ

อรรถกถาอัตตานุทิฏฐินิเทศ


(แสดงถึงอัตตานุทิฏฐิ)


พึงทราบวินิจฉัยในอัตตานุทิฏฐิ ดังต่อไปนี้. บทว่า อสฺสุตวา
ปุถุชฺชโน
. (ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ) คือ ผู้ควรรู้ไม่ได้สดับ เพราะไม่มีการศึกษา
เล่าเรียนและการบรรลุ. ผู้ที่ชื่อว่าไม่มีการศึกษา ทำการปฏิเสธอัตตานุทิฏฐิ
เพราะปราศจากการเล่าเรียน การสอบถามและการวินิจฉัย ในขันธ์ ธาตุ
อายตนะ สัจจะ ปัจจยาการและสติปัฏฐานเป็นต้น. และผู้ที่ชื่อว่าไม่บรรลุ เพราะ
ไม่บรรลุข้อปฏิบัติที่ควรบรรลุ. ชื่อว่าเป็นไญยบุคคลผู้ไม่ได้สดับ เพราะไม่มี
การศึกษาและการบรรลุ.
จริงอยู่ บทว่า สุตํ (สดับแล้ว) คือ มีการศึกษาพุทธวจนะ และบรรลุ
ด้วยการกล่าวถึงเหตุ เพราะมีสุตะเป็นผล ชื่อว่า สุตวา ผู้สดับเพราะมีสุตะ
นั้น ผู้ไม่มีสุตะ ชื่อว่าผู้ไม่ได้สดับ. บุคคลผู้ไม่ได้สดับนี้นั้น
เป็นปุถุชนด้วยเหตุยังกิเลสหนาให้เกิดเป็นต้น
ชนนี้เป็นผู้ชื่อว่า มีกิเลสหนาเพราะเป็นผู้ยังกิเลสหนา
ให้เกิดขึ้นหยั่งลงถึงภายใน.

จริงอยู่ ชนนั้นเป็นปุถุชนด้วยเหตุยังกิเลสเป็นต้น อันหนามีประการ
ต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ชื่อว่าปุถุชน เพราะยังกิเลสหนา
ให้เกิดขึ้น, เพราะกำจัดสักกายทิฏฐิอันหนาไม่ได้, เพราะเห็นแก่หน้าของศาสดา
ทั้งหลายเป็นอันมาก, เพราะร้อยรัดไว้ด้วยคติต่าง ๆ เป็นอันมาก เพราะปรุง
แต่งอภิสังขารต่าง ๆ มาก, เพราะถูกห้วงคือกิเลสต่าง ๆ มากพัดพาไป เพราะ