เมนู

ความเป็นต่างกัน และความเป็นอันเดียวกัน
แห่งวิโมกข์เหล่านั้น ย่อมรู้วิโมกขจริยา ย่อม
ไม่หวั่นไหวเพราะทิฏฐิต่าง ๆ เพราะความเป็น
ผู้ฉลาดในญาณทั้งสอง ฉะนี้แล.

ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ๆ ชื่อว่าปัญญา เพราะ
อรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการออกไปและ
หลีกไปจากกิเลส ขันธ์และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง เป็นมรรคญาณ.

อรรถกถามรรคญาณนิทเทส


143] พึงทราบวินิจฉัยในมรรคญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิยา วุฏฺฐาติ - ออกจากมิจฉาทิฏฐิ คือ ออกจาก
มิจฉาทิฏฐิ 62 ด้วยสมุจเฉทโดยการละทิฏฐานุสัย คือ ทิฏฐิที่นอนเนื่อง
อยู่ในสันดาน.
บทว่า ตทนุวตฺตกกิเลเสหิ - จากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉา-
ทิฏฐินั้น ได้แก่ จากกิเลสหลาย ๆ อย่างที่เป็นไปตามมิจฉาทิฏฐิอันเกิด
ขึ้น ด้วยสามารถการประกอบกับมิจฉาทิฏฐิ และด้วยอุปนิสัยคือการ
นอนเนื่องในมิจฉาทิฏฐิ. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวถึงการละกิเลสอันตั้ง
อยู่ในที่เดียวกันกับมิจฉาทิฏฐินั้น. จริงอยู่ การตั้งอยู่ในที่เดียวกันมี 2

อย่าง. คือ ตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยเกิดร่วมกัน และตั้งอยู่ที่เดียวกัน
ด้วยการละ, ชื่อว่า ตเทกฏฺฐา เพราะอรรถว่า ตั้งอยู่ในจิตดวงเดียว
พร้อมกับทิฏฐินั้น, หรือบุคคลคนเดียวตลอดจนละได้. เพราะว่าเมื่อ
ละทิฏฐิได้กิเลสเหล่านี้ คือ โลภะ โมหะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนต-
ตัปปะ อันเกิดร่วมกันกับทิฏฐินั้น ในจิตอันเป็นอสังขาริกะ 2 ดวง
สัมปยุตด้วยทิฏฐิ, กิเลสเหล่านี้ คือ โลภะ โมหะ ถีนะ อุทธัจจะ
อหิริกะ อโนตตัปปะ อันเกิดร่วมกันกับทิฏฐินั้น ในจิตที่เป็นสสังขา-
ริกะ 2 ดวง ย่อมละได้ด้วยการตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยเกิดร่วมกัน.
เมื่อละกิเลสคือทิฏฐิได้ เมื่อบุคคลคนหนึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับทิฏฐิ
นั้น กิเลสเหล่านี้ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ วิจิกิจฉา ถีนะ
อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อันจะเป็นเหตุไปสู่อบาย ย่อมละได้
ด้วยสามารถการตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยเกิดร่วมกัน.
บทว่า ขนฺเธหิ ได้แก่ ด้วยขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามทิฏฐิ
นั้น, ด้วยอรูปขันธ์ 4 อันตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยเกิดร่วมกัน และด้วย
การ อยู่ในที่เดียวกันด้วยการละอันเป็นไปตามทิฏฐินั้น, หรือด้วย
ขันธ์ 5 พร้อมกับรูปอันมีทิฏฐินั้นเป็นสมุฏฐาน, ด้วยวิบากขันธ์ อัน
เกิดขึ้นในอนาคต เพราะกิเลสมีมิจฉาทิฏฐิเป็นต้นเป็นปัจจัย.
บทว่า พหิทฺธา จ สพพนิมิตฺเตหิ - จากสรรพนิมิตภายนอก
ได้แก่ จากสังขารนิมิตทั้งปวง อันเป็นภายนอกจากกองกิเลสตามที่กล่าว

แล้ว.
บทว่า มิจฺฉาสงฺกปฺปา วุฏฺฐาติ - ออกจากมิจฉาสังกัปปะ คือ
ออกจากมิจฉาสังกัปปะในจิต 5 ดวง คือ ในจิต 4 ดวง อันสัมปยุต
ด้วยทิฏฐิ และในจิตสหรคตด้วยวิจิกิจฉาอันจะพึงละได้ด้วยโสดาปัตติ-
มรรค และในอกุศลจิตที่เหลืออันเป็นเหตุไปสู่อบาย.
บทว่า มิจฺฉาวาจาย วุฏฺฐาติ - ออกจากมิจฉาวาจา ได้แก่
ออกจากมุสาวาทและจากปิสุณวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ อันเป็น
เหตุไปสู่อบาย.
บทว่า มิจฺฉากกมฺมนฺตา วุฏฺฐาติ - ออกจากมิจฉากัมมันตะ ได้
แก่ ออกจากปาณาติบาต อทินนาทาน และมิจฉาจาร.
บทว่า มิจฺฉาอาชีวา วุฏฺฐาติ - ออกจากมิจฉาอาชีวะ ได้แก่

โกหก หลอกลวง ทายลักษณะ เล่นกล ปรารถนาลาภโดยลาภ, อีก
อย่างหนึ่ง ออกจากกายกรรม วจีกรรม แม้ 7 อย่าง มีอาชีวะเป็นเหตุ.
พึงทราบการออกจากมิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ โดยนัย
กล่าวแล้วในการออกจากมิจฉาสังกัปปะ.
อนึ่ง บทว่า มิจฺฉาสติ ได้แก่ เพียงอกุศลจิตตุปบาทเท่านั้น
อันเกิดด้วยอาการตรงกันข้ามกับสติ.

พึงทราบวินิจฉัยในหมวด 3 แห่งมรรคเบื้องสูง ดังต่อไปนี้. องค์
ของมรรค 8 มีอาทิว่า ทสิสนฏฺเฐน สมฺมาทิฏฺฐิ ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ
เพราะอรรถว่าเห็น ย่อมได้เหมือนอย่างได้ในปฐมมรรคอันเกิดในปฐม-
ฌาน.
ในบทเหล่านั้นมีอธิบายดังนี้ สัมมาทิฏฐิในปฐมมรรค ย่อมละ
มิจฉาทิฏฐิ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ. แม้สัมมาสังกัปปะ
เป็นต้น ก็พึงทราบโดยอรรถ คือ การละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น. เมื่อ
เป็นอย่างนั้นเพราะละทิฏฐิ 62 ได้ในปฐมมรรคนั่นเอง จึงไม่มีทิฏฐิที่
ควรละด้วยมรรค 3 เบื้องสูง
ในทิฏฐิเหล่านั้นชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างไร ? เหมือน
ยาพิษมีอยู่ หรือ จงอย่ามี ยาวิเศษท่านก็คงเรียกว่า อคโท อยู่นั่นเอง
ฉันใด, มิจฉาทิฏฐิมิอยู่ หรือ จงอย่ามี นี้ก็ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิฉันนั้นนั่น
แล. นี้เป็นเพียงชื่อต่างกันเท่านั้น, แต่ความไม่มีกิจแห่งสัมมาทิฏฐิ
ย่อมถึงได้ใน 3 มรรคเบื้องสูง, องค์มรรคก็ไม่บริบูรณ์.
เพราะฉะนั้น พึงทำสัมมาทิฏฐิพร้อมด้วยกิจ. องค์มรรคจึงจะ
บริบูรณ์. พึงแสดงสัมมาทิฏฐิในที่นี้พร้อมด้วยกิจ โดยกำหนดตามมี
ตามได้. มานะอย่างหนึ่ง อันฆ่าด้วยมรรคที่ 3 เบื้องสูงยังมีอยู่, มานะ
นั้นตั้งอยู่ในฐานะของทิฏฐิ, ทิฏฐินี้ย่อมละมานะนั้นได้ เพราะเหตุ
นั้นจึงชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ.

จริงอยู่ สัมมาทิฏฐิย่อมละมิจฉาทิฏฐิได้ในโสดาปัตติมรรค. แต่
มานะฆ่าด้วยสกทาคามิมรรคมีอยู่แก่พระโสดาบัน. ทิฏฐินั้นย่อมละ
มานะนั้นได้ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ. ความดำริเกิดพร้อม
กับอกุศลจิต 7 ดวง มีอยู่แก่จิตดวงนั้น. ความวุ่นวายทางองค์ของวาจา
ย่อมมีอยู่ด้วยจิตเหล่านั้น, ความวุ่นวายทางองค์ของกายมีอยู่. การ
บริโภคปัจจัยมีอยู่, ความพยายามเกิดร่วมกันมีอยู่, ความเป็นผู้ไม่มีสติ
มีอยู่. ความที่จิตมีอารมณ์เดียวเกิดร่วมกันมีอยู่, เหล่านี้ชื่อว่า มิจฉา-
สังกัปปะ เป็นต้น.

พึงทราบว่า สัมมาสังกัปปะ เป็นต้น ในสกทามิมรรค ชื่อว่า
สัมมาสังกัปปะ เพราะละ มิจฉาสังกัปปะ เหล่านั้นเสียได้. องค์ 8
พร้อมด้วยกิจย่อมมีได้ในสกทาคามิมรรคด้วยอาการอย่างนี้. มานะที่ฆ่า
ได้ด้วยอนาคามิมรรคย่อมมีแก่พระสกทาคามี, มานะนั้นย่อมตั้งอยู่ใน
ฐานะแห่งทิฏฐิ. สังกัปปะเป็นต้นเกิดร่วมกันกับจิต 7 ดวง มีอยู่แก่
พระสกทาคามีนั้น.

พึงทราบความที่องค์ 8 พร้อมด้วยกิจมีอยู่ ในอนาคามิมรรค
ด้วยการละจิตเหล่านั้น. มานะที่ฆ่าด้วยอรหัตมรรค ย่อมมีอยู่แก่พระ-
อนาคามี, มานะนั้นตั้งอยู่ในฐานะแห่งทิฏฐิ. สังกัปปะเป็นต้น เกิด
ร่วมกันกับอกุศลจิต 5 ดวงเหล่านั้นย่อมมีแก่มานะนั้น. พึงทราบ

ความที่องค์ 8 พร้อมด้วยกิจในอรหัตมรรค ด้วยการละอกุศลจิตเหล่า
นั้น.
[144] บทว่า โอฬาริกา คือ เป็นส่วนหยาบ เพราะความ
เป็นปัจจัยแห่งการก้าวล่วง กายทวาร และวจีทวาร.
บทว่า กามราคสญฺโญชนา คือ สังโยชน์กล่าวคือความยินดี
ในเมถุน. เพราะกามราคะนั้นย่อมประกอบสัตว์ไว้ในกามภพ เพราะ
เหตุนั้นท่านจึงกล่าว สัญโญชนะ.
บทว่า ปฏิฆสญฺโญชนา ได้แก่ สังโยชน์ คือ พยาบาท เพราะ
พยาบาทนั้น ย่อมเบียดเบียนอารมณ์ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
ปฏิฆะ. สังโยชน์เหล่านั้นย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดาน ด้วยอรรถว่า
รุนแรง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อนุสยา.
[145] บทว่า อณุสหคตา ได้แก่ ส่วนละเอียดๆ. สหคต
ศัพท์ ในบทนี้ลงในความเป็นอย่างนั้น. จริงอยู่ กามราคะและพยาบาท
ของพระสกทาคามี มีเป็นด้วนน้อยด้วยเหตุ 2 ประการ คือ เพราะ
เกิดน้อย และเพราะครอบงำไว้ในที่นี้น้อย. กิเลสทั้งหลายย่อมไม่เกิด
ขึ้นบ่อยๆ เหมือนกิเลสของพาลปุถุชน, ย่อมเกิดเป็นบางครั้งบางคราว.
เมื่อเกิดย่อมไม่เกิดย่ำยี ซ่านไปปกปิดทำให้มืดมิดเหมือนของคนพาล.
แต่เกิดขึ้นอ่อน ๆ มีอาการเบาบางเพราะละได้ด้วยมรรค 2, ไม่สามารถ
ให้ถึงการก้าวล่วงไปได้. ละกิเลสเบาบาง ได้ด้วยอนาคามิมรรค.

[146]บทว่า รูปราคา ได้แก่ ความพอใจยินดีในรูปภพ,
บทว่า อรูปราคา ความพอใจยินดีใจในอรูปภพ. บทว่า มานา ได้แก่
มีลักษณะยกตน. บทว่า อุทฺธจฺจา - มีลักษณะไม่สงบ.
บทว่า อวิชฺชาย - มีลักษณะบอด. บทว่า ภวราคานุสยา ได้
แก่ นอนเนื่องอยู่ในภวราคะอันเป็นไปด้วยรูปราคะและอรูปราคะ.
[147]บัดนี้ พระสารีบุตรเมื่อจะพรรณนาถึงมรรคญาณ จึง
กล่าวบทมีอาทิว่า อชาตํ ฌาเปติ ดังนี้.
ในบทนั้น หลายบทว่า อชาตํ ฌาเปติ ชาเตน, ฌานํ เตน
ปวุจฺจติ -
ย่อมเผากิเลสที่ยังไม่เกิด ด้วยโลกุตรฌานที่เกิดแล้ว เพราะ
เหตุนั้นท่านจงกล่าวว่าเป็นฌาน ความว่า สมังคีบุคคลย่อมเผา คือ
ทำลาย ตัดกิเลสนั้น ๆ ที่ยังไม่เกิด ด้วยโลกุตระนั้น ๆ อันปรากฏ
ในสันดานของตน, ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวโลกุตระนั้นว่าเป็นฌาน.
บทว่า ฌานวิโมกเข กุสลตา - เพราะความเป็นผู้ฉลาดใน
ฌานและวิโมกข์ ความว่า สมังคีบุคคลย่อมไม่หวั่นไหวในทิฏฐิต่าง ๆ
ที่ละได้แล้วด้วยปฐมมรรค เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานมีวิตกเป็น
ต้น อันสัมปยุตด้วยอริยมรรคนั้น และในอริยมรรคอันได้แก่วิโมกข์
ด้วยความไม่ลุ่มหลง. ชื่อว่าฌานมี 2 อย่าง คือ อารัมมณูปนิชฌาน 1
ลักขณูปนิชฌาน 1. ฌานมีโลกิยปฐมฌานเป็นต้น ชื่อว่า ฌาน เพราะ
อรรถว่าเข้าไปเพ่งอารมณ์มีกสิณเป็นต้น. วิปัสสนาสังขาร ชื่อว่า ฌาน

เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งลักษณะอันเป็นสภาวสามัญ. โลกุตระ ชื่อว่า
ฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งลักษณะที่จริงแท้ในนิพพาน. แต่ในที่
นี้ท่านกล่าวถึงฌานทั่วไป แม้ด้วยโคตรภูว่า ฌาน เพราะอรรถว่าไม่
แตะต้องสภาพอันเป็นลักขณูปนิชฌาน แล้วเผากิเลสโดยไม่ทั่วไป. อนึ่ง
ในที่นี้สภาพแห่งวิโมกข์ เป็นสภาพน้อมไปด้วยดี ในอารมณ์ คือ นิพ-
พาน และสภาพอันพ้นด้วยดีจากกิเลสทั้งหลาย.
บทว่า สมาหิตฺวา ยถา เจ ปสฺสติ - ถ้าพระโยคาวจรตั้ง
ใจมั่นดีแล้ว ย่อมเห็นแจ้งฉันใด ความว่า พระโยคาวจรทำความตั้งจิต
มั่นก่อนด้วยสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาอัปปนาสมาธิ อุปจารสมาธิ
และขณิกสมาธิ แล้วเห็นแจ้งในภายหลัง. เจ ศัพท์ เป็นสมุจจยัตถะ
- มีอรรถว่ารวบรวม ย่อมรวบรวมวิปัสสนา.
บทว่า วิปสฺสมาโน ตถา เจ สมาทเย - ถ้าเมื่อเห็นแจ้ง
ก็พึงตั้งใจไว้ให้มั่นคงฉันนั้น ความว่า ชื่อว่าวิปัสสนานี้ เป็นวิปัสสนา
เศร้าหมอง ไม่มีความพอใจ, อนึ่ง ชื่อว่าสมถะเป็นสมถะที่ละเอียด
ความพอใจ, เพราะฉะนั้นพระโยคาวจรเมื่อเห็นแจ้ง พึงตั้งจิตอัน
เศร้าหมองด้วยวิปัสสนานั้น เพื่อความเยื่อใย. อธิบายว่า พระโยคา
เมื่อเห็นแจ้งเข้าสมาธิอีก แล้วพึงทำการตั้งใจเหมือนอย่างกระทำวิปัสส-
นา. เจ ศัพท์ในที่นี้ย่อมรวบรวมการตั้งมั่นไว้. เจ อักษรท่านทำด้วย
การเป็นไปตามคาถาประพันธ์, แต่ความก็คือ อักษรนั่นเอง.

บทว่า วิปสฺสนาจ สมโถ ตทา อหุ - สมถะและวิปัสสนา
ได้มีแล้วในขณะนั้น ความว่า เพราะเมื่อสมถะและวิปัสสนาเป็นธรรม
คู่กัน ความปรากฏแห่งอริยมรรคย่อมมี, ฉะนั้น การประกอบธรรม
ทั้ง 2 นั้น ในกาลใดย่อมมีเพราะสามารถยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น, ใน
กาลนั้นจะวิปัสสนาและสมถะได้มีแล้ว, สมถะและวิปัสสนา ชื่อว่าเกิดแล้ว.
อนึ่ง สมถะและวิปัสสนานั้นย่อมเป็นคู่ที่มีส่วนเสมอกันเป็นไปอยู่ ชื่อว่า
สมานภาคา เพราะอรรถว่าสมถะและวิปัสสนามีส่วนเสมอกัน ชื่อว่า
ยุคนัทธา เพราะดุจเทียมคู่กัน, อธิบายว่า มีธุระเสมอกัน มีกำลัง
เสมอกัน ด้วยอรรถว่าไม่ก้าวล่วงกันและกัน. ส่วนความพิสดารของ
บทนั้นจักมีแจ้งใน ยุคนัทธกถา.
หลายบทว่า ทุกฺขา สงฺขารา, สุโข นิโรโธติ ทสฺสนํ,
ทุภโต วุฏฺฐิตา ปญฺญา ผสฺเสติ อมตํ ปทํ -
ความเห็นว่าสังขาร
ทั้งหลายเป็นทุกข์ นิโรธเป็นสุข ชื่อว่าปัญญาที่ออกจากธรรมทั้งสอง
ย่อมถูกต้องอมตบท ความว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ นิโรธ คือ
นิพพานเป็นสุข เพราะเหตุนั้นการเห็นนิพพาน อริยมรรคญาณของผู้
ปฏิบัติ ชื่อว่าปัญญาออกจากธรรมทั้ง 2 นั้น. ปัญญานั้นนั่นแล ย่อม
ถูกต้อง คือ ย่อมได้อมตบท คือ นิพพาน ด้วยถูกต้องอารมณ์. นิพพาน
ชื่อว่า อมตํ เพราะเป็นเช่นกับอมตะด้วยอรรถว่าไม่เดือดร้อน. ชื่อว่า
อมตํ เพราะนิพพานนั้นไม่มีความตาย ความเสื่อม, ท่านกล่าวว่า ปทํ

เพราะอรรถว่าย่อมปฏิบัติด้วยปฏิปทาใหญ่ ด้วยความอุตสาหะใหญ่ตั้ง
แต่ส่วนเบื้องต้น.
บทว่า วิโมกฺขจริยํ ชานาติ - ย่อมรู้วิโมกขจริยา คือรู้ความ
เป็นไปแห่งวิโมกข์ ด้วยความไม่ลุ่มหลง, ย่อมรู้ด้วยการพิจารณา. พึง
ทราบวิโมกขจริยาอันมาแล้วในวิโมกขกถาข้างหน้าว่า อริยมรรค 4
เป็นทุภโตวุฏฐานวิโมกข์, วิโมกข์ 4 ออกแต่ทุภโต คือธรรม 4
วิโมกข์ 4 อนุโลม แต่ทุภโตวิโมกข์, วิโมกข์ 4 สงบจากทุภโต-
วุฏฐานวิโมกข์
ความพิสดารของวิโมกข์เหล่านั้นมาแล้วในวิโมกขกถา1
นั่นเอง.
บทว่า นานตฺเตกตฺถ โกวิโท - พระโยคาวจรผู้ฉลาดในความ
เป็นต่างกันและความเป็นอันเดียวกัน คือ เป็นผู้ฉลาดในความต่างและ
ความเป็นอันเดียวกันของวิโมกข์เหล่านั้น. พึงทราบความเป็นอันเดียว
กันแห่งวิโมกข์เหล่านั้น ด้วยสามารถแห่งวิโมกข์ คือ การออกจาก
ธรรมทั้ง 2 อย่าง, ความต่างกัน ด้วยสามารถอริยมรรค 4, หรือ
ความต่างกันด้วยปรารถนาแห่งอนุปัสนาของอริยมรรค แม้อย่างหนึ่ง ๆ,
ความเป็นอันเดียวกัน ด้วยความเป็นอริยมรรค.
1. ขุ. ปุ. 31/470 - 483.

บทว่า ทวินฺนํ ญาณานํ กุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในญาณ
ทั้ง 2 ได้แก่ ความเป็นผู้ฉลาดในญาณทั้ง 2 เหล่านี้ คือ ทัสนะและ
ภาวนา.
บทว่า ทสฺสนํ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค. เพราะว่า โสดาปัตติ-
มรรคนั้นท่านกล่าวว่า ทสฺสนํ - ทัสนะ เพราะเห็นนิพพานก่อน.
ส่วนโคตรภูญาณ ย่อมเห็นนิพพานก่อนกว่าก็จริง, ถึงดังนั้นท่านไม่
เรียกว่าทัสนะ - เห็น เพราะไม่มีการละกิเลสที่ควรทำ เหมือนอย่างว่า
บุรุษผู้มาสู่สำนักของพระราชาด้วยกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้เห็นพระ-
ราชาผู้ประทับบนคอช้างเสด็จมาตามถนนแต่ที่ไกลเทียว ถูกเขาถามว่า
ท่านเฝ้าพระราชาแล้วหรือ แม้เห็นแล้วก็กล่าวว่า ข้าพเจ้ายังมิได้เฝ้า
เพราะความที่กิจอันบุคคลพึงกระทำตนยังมิได้กระทำฉะนั้น. จริงอยู่
โคตรภูญาณนั้นตั้งอยู่ในที่อาวัชชนะ คือการนึกถึงมรรค.
บทว่า ภาวนา ได้แก่ มรรค 3 ที่เหลือ. เพราะมรรค 3 ที่
เหลือนั้นย่อมเกิดขึ้น ด้วยสามารถภาวนในธรรมที่เห็นแล้วด้วยปฐม-
มรรคนั่นเอง, ไม่เห็นอะไร ๆ ที่ไม่เคยเห็น, ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า
ทสฺสนํ. แต่ภายหลังท่านไม่กล่าวว่า ทวินฺนํ ญาณฺนํ - แห่งญาณ
2 อย่าง เพราะภาวนามรรคยังไม่เสร็จ แล้วกล่าวว่า ฌานวิโมกฺเข
กุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในฌานและวิโมกข์ หมายถึงผู้ได้โสดา-
ปัตติมรรค สกทาคามิมรรคและอนาคามิมรรค, แต่พึงทราบว่า ท่าน

กล่าวว่า ทวินฺนํ ญาณานํ กุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในญาณ 2
อย่าง เพราะภาวนามรรคของผู้ได้อรหัตมรรคเสร็จแล้ว.
จบ อรรถกถามรรคญาณนิทเทส

ผลญาณนิทเทส


[148] ปัญญาในการระงับปโยคะ เป็นผลญาณอย่างไร ?
ในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค ญาณชื่อสัมมาทิฏฐ เพราะอรรถ
ว่าเห็น ย่อมออกจากมิจฉาทิฏฐิ ย่อมออกจากเหล่ากิเลสอันเป็นไปตาม
มิจฉาทิฏฐินั้น จากขันธ์ทั้งหลายและจากสรรพนิมิตภายนอก สัมมา-
ทิฏฐิย่อมเกิดขึ้น เพราะเป็นคุณชาติระงับปโยคะที่ออกนั้น การระงับ
ปโยคะนั้นเป็นผลของมรรค ญาณชื่อว่าสัมมาสังกัปปะ เพราะอรรถ
ว่าดำริออก ย่อมออกจากมิจฉาสังกัปปะ . . . ชื่อว่าสัมมาวาจา เพราะ
อรรถว่ากำหนดเอา ย่อมออกจากมิจฉาวาจา ...ชื่อว่าสัมมากัมมันตะ
เพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน ย่อมออกจากมิจฉากัมมันตะ . . .ชื่อว่าสัม-
มาอาชีวะ เพราะอรรถว่าขาวผ่อง ย่อมออกจากมิจฉาอาชีวะ . . .ชื่อว่า
สัมมาวายามะ
เพราะอรรถว่าประคองไว้ ย่อมออกจากมิจฉาวายามะ. . .
ชื่อว่าสัมมาสติ เพราะอรรถว่าตั้งมั่น ย่อมออกจากมิจฉาสติ . . . ชื่อว่า
สัมมาสมาธิ เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมออกจากมิจฉาสมาธิ ออกจาก