อรรถกถาสังขารุเปกขาญาณนิทเทส
120 - 135] พึงทราบวินิจฉัยในสังขารุเปกขาญาณนิทเทส
ดังต่อไปนี้ ทว่า อุปฺปาทา เป็นต้น มีอรรถดังได้กล่าวไว้แล้วนั่นแล.
บททั้งหลายว่า ทุกฺขนฺติ ภยนฺติ สามิสนฺติ สงฺขารา - ความ
เกิดขึ้นเป็นทุกข์ ความเกิดขึ้นเป็นภัย ความเกิดขึ้นมีอามิส ความ
เกิดขึ้นเป็นสังขาร เป็นคำแสดงเหตุของญาณ คือ ความหลุดพ้นจาก
อุปฺปาทา เป็นต้น.
อนึ่ง พระสารีบุตร ครั้นแสดงถึงสังขารุเปกขาญาณ โดยลักษณะ
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อแสดงโดยอรรถ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า อุปฺปาโท
สงฺขารา, เต สงฺขาเร อชฺฌุเปกฺขตีติ สงฺขารุเปกขา - ความเกิดขึ้น
เป็นสังขาร, ญาณวางเฉยสังขารเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า
สังขารุเปกขาญาณ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สงฺขาเร อชฺฌุเปกฺขติ - ญาณวางเฉย
ในสังขาร ความว่า เมื่อพระโยคาวจรนั้นเริ่มเจริญวิปัสสนา ละความ
ขวนขวายในการค้นหาลักษณะ เพราะเห็นพระไตรลักษณ์ด้วยวิปัสสนา
ญาณแล้ว เห็นภพ 3 ดุจไฟติดทั่วแล้ว มีความเป็นกลางในการถือ
สังขารวิปัสสนาญาณนั้น ย่อมเห็นสังขารเหล่านั้นโดยพิเศษ และเห็น
คือ มองดูญาณที่เว้นแล้วด้วยการถือเอา เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า
สังขารุเปกขาญาณ. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวว่า ผู้ชนะโดยพิเศษ ชื่อว่า
ย่อมชนะยิ่งในโลก ผู้เว้นอาหาร ขออยู่ด้วย ก็ชื่อว่า เข้าไปอาศัย.
ญาณที่เห็นแจ้งสังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นอีก เห็นแจ้ง
แม้สังขารุเปกขา ซึ่งตั้งอยู่ในความเป็นกลาง โดยความเป็นของไม่เที่ยง
เป็นต้นในการยึดถือ ท่านจึงกล่าวบทมีอาทิว่า เย จ สงฺขารา, ยา จ
อุเปกฺขา - ทั้งสังขารและอุเบกขาเป็นสังขาร เพราะเกิดพร้อมกันด้วย
สังขารุเบกขา อันตั้งอยู่โดยอาการเป็นกลาง ในการยึดถือสังขารุเปกขา
แม้นั้น.
บัดนี้ พระสารีบุตรเพื่อจะแสดงประเภทของการน้อมจิตไปใน
สังขารุเปกขา จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กตีหากาเรหิ - ด้วยอาการเท่าไร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สงฺขารุเปกฺขาย เป็นสัตตมีวิภัตติ แปลว่า
ในสังขารุเบกขา. บทว่า จิตฺตสฺส อภินีหาโร - การน้อมไปแห่งจิต
ได้แก่ การทำจิตอื่นจากนั้นให้มุ่งไปสู่ความวางเฉยของสังขาร แล้ว
นำไปอย่างหนักหน่วง. อภิ ศัพท์ ในบทนี้ มีความว่ามุ่งหน้า. นี
ศัพท์ มีความว่าอย่างยิ่ง พระสารีบุตรประสงค์จะแก้คำถามที่ถามว่า
กตีหากาเรหิ - ด้วยอาการเท่าไร ตอบว่า อฏฺฐหากาเรหิ - ด้วยอาการ
8 อย่าง แล้วจึงแสดงอาการ 8 เหล่านั้น ด้วยแก้คำถามข้อที่ 2
จึงไม่แสดงอาการเหล่านั้น ได้ตั้งคำถามมีอาทิว่า ปุถุชฺชนสฺส กตี-
หากาเรหิ - การน้อมจิตไปในสังขารุเบกขาของปุถุชน ด้วยอาการเท่าไร
ในบทว่า ปุถุชฺชนสฺส นี้มีคาถาดังต่อไปนี้ ์
ทุเว ปุถุชฺชนา วุตฺตา พุทฺเธนาทิจฺจพนฺธุนา
อนฺโธ ปุถุชฺชโน เอโก กลฺยาเณโก ปุถุชฺชโน.
พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ตรัส
ถึงปุถุชนไว้ 2 จำพวก พวกหนึ่งเป็นอันธปุถุชน
พวกหนึ่งเป็นกัลยาณปุถุชน.
ในปุถุชน 2 จำพวกนั้น ปุถุชนที่ไม่มีการเรียน การสอบถาม
การฟัง การจำและการพิจารณาเป็นต้น ในขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นต้น
เป็น อันธปุถุชน ปุถุชนที่มีการเรียนเป็นต้นเหล่านั้น เป็นกัลยาณ-
ปุถุชน. แม้ปุถุชน 2 จำพวกนี้ก็มีคาถาว่า
ปุถูนํ ชนนาทีหิ การเณหิ ปุถุชฺชโน
ปุถุชฺชนนฺโตคธตฺตา ปุถุวายํ ชโน อิติ.
ชื่อว่า ปุถุชนด้วยเหตุยังกิเลสหนาให้เกิด
ขึ้น เพราะความเป็นผู้มีกิเลสหนาหยั่งลงถึงภายใน
จึงชื่อว่า เป็นปุถุชน.
ชื่อว่า ปุถุชนด้วยเหตุยังกิเลสเป็นต้นมีประการต่าง ๆ อันหนา
ให้เกิด. ดังที่ท่านกล่าวว่า
ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่ายังกิเลสอัน
หนาให้เกิด เพราะอรรถว่าไม่จำกัดสักกายทิฏฐิ
อันหนาออกไป, เพราะอรรถว่าเลือกหน้าศาสดา
มาก เพราะอรรถว่าคติทั้งปวงร้อยไว้มาก เพราะ
อรรถว่าย่อมตกแต่งด้วยอภิสังขารต่าง ๆ มาก เพราะ
อรรถว่าย่อมลอยไปด้วยโอฆะต่าง ๆ มาก เพราะ
อรรถว่าย่อมเดือดร้อน เพราะกิเลสเป็นเหตุให้
เดือดร้อนต่าง ๆ มาก, เพราะอรรถว่าถูกเผาด้วย
อันตรายต่าง ๆ มาก, เพราะอรรถว่าเป็นผู้กำหนัด
ยินดี ขอบใจ หลงใหล ซบ ติดใจ เกาะเกี่ยว
พัวพัน ในกามคุณ 5, เพราะอรรถว่าถูกร้อยรัด
ปกคลุม ปิดบัง หุ้มห่อ ปกปิด คดโกงมาก ด้วย
นิวรณ์ 51ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปุถุชน เพราะชนมีกิเลสหนาเหลือที่จะ
นับ หันหลังให้อริยธรรม ประพฤติธรรมต่ำ, อีกอย่างหนึ่ง เพราะ
คนกิเลสหนาจัดอยู่ต่างหาก ไม่สังสรรค์กับพระอริยเจ้าผู้ประกอบด้วย
คุณ มีความเป็นผู้มีศีลและสุตะเป็นต้น. ในปุถุชน 2 จำพวกนั้น ในที่นี้
ท่านประสงค์เอากัลยาณปุถุชน, เพราะชนนอกนั้นไม่มีการเจริญภาวนา
เลย.
ในบทว่า เสกฺขสฺส นี้ ได้แก่ พระเสกขะ 7 จำพวก คือ
ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิ-
1. ขุ. มหา. 29/430.
ผล อนาคามิมรรค อนาคามิผลและอรหัตมรรค ชื่อว่า เสกขะ
เพราะท่านเหล่านั้นยังสิกขา 3. ในพระเสกขะเหล่านั้นในที่นี้
ท่านประสงค์เอาพระเสกขะ 3 จำพวก ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล สก-
ทาคามิผลและอนาคามิผล เพราะท่านผู้ตั้งอยู่ในมรรค ไม่น้อมจิตไป
ในสังขารุเบกขา.
ในบทว่า วีตราคสฺส นี้ ชื่อว่า วีตราโค เพราะมีราคะ
ปราศจากไปแล้ว โดยปราศจากไป ด้วยสมุจเฉทปหาน. บทนี้เป็น
ชื่อของพระอรหัต. แม้ใน 3 บทนั้น ท่านก็ทำให้เป็นเอกวฺจนะ โดย
ถือเอาชาติ.
บทว่า สงฺขรุเปกฺขํ อภินนฺทติ - พระเสกขะย่อมยินดีสังขา-
รุเบกขา ความว่า พระเสกขะ ครั้นได้สัญญาในธรรมเป็นเครื่องอยู่
เป็นผาสุก ในธรรมเป็นเครื่องอยู่ คือ อุเบกขานั้นแล้ว เป็นผู้มุ่งไป
สู่สังขารุเบกขาด้วยความปรารถนาในผาสุวิหารธรรม ย่อมยินดี อธิบาย
ว่า ยังตัณหาอันมีปีติให้เกิดขึ้น.
บทว่า วิปสฺสติ - ย่อมเห็นแจ้ง คือ พระเสกขะย่อมเห็นหลาย ๆ
อย่าง ด้วยลักษณะมีความไม่เที่ยงเป็นต้นเพื่อได้โสดาปัตติมรรค, พระ-
เสกขะย่อมเห็นเพื่อได้มรรคชั้นสูง, พระเสกขะผู้ปราศจากราคะย่อมเห็น
เพื่ออยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม.
บทว่า ปฏิสงฺขาย ได้แก่ เข้าไปพิจารณาด้วยสามารถลักษณะ
มีความไม่เที่ยงเป็นต้น, อนึ่ง เพราะพระอริยะทั้งหลายมีพระโสดาบัน
เป็นต้นเข้าผลสมาบัติของตน ๆ ถ้าไม่เห็นแจ้งวิปัสสนาญาณ 9 มีอุท-
ยัพพยญาณ เป็นต้น ก็ไม่สามารถจะเข้าสมาบัติได้ ฉะนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า ปฏิสงฺขาย วา ผลสมาปตฺตึ สมาปชฺชนติ - พระอริยะ
ทั้งหลายพิจารณาแล้วเข้าผลสมาบัติ ดังนี้.
เพื่อแสดงความเป็นไปแห่งผลสมาบัติ จึงมีปัญหากรรมของ
พระเสกขะเหล่านี้ดังต่อไปนี้
ผลสมาบัติ คือ อะไร, ใครเข้าสมาบัติ
นั้น, ใครไม่เข้าสมาบัติ, เพราะเหตุไรจึงต้องเข้า
สมาบัติ, การเข้าสมาบัตินั้นเป็นอย่างไร, การตั้ง
อยู่เป็นอย่างไร, การออกเป็นอย่างไร, อะไรเป็น
ลำดับของผล และผลเป็นลำดับของอะไร ?
พึงทราบวินิจฉัยในปัญหากรรมนั้นดังต่อไปนี้ว่า อะไรเป็นผล
สมาบัติ ? แก้ว่า อัปปนาในนิโรธของอริยผล1. ใครเข้าสมาบัตินั้น
ใครไม่เข้าสมาบัตินั้น, แก้ว่า ปุถุชนแม้ทั้งหมดเข้าสมาบัติไม่ได้.
เพราะเหตุไร ? เพราะยังไม่บรรลุ. ส่วนพระอริยะทั้งหมดเข้าสมาบัติได้.
1. วิสุทธิมรรคบาลี หน้า 357
เพราะเหตุไร ? เพราะบรรลุแล้ว. ส่วนพระอริยะชั้นสูง ไม่เข้าสมาบัติ
ชั้นต่ำ เพราะสงบแล้วด้วยความเข้าถึงความเป็นบุคคลอื่น. และพระ-
อริยะชั้นต่ำ ก็ไม่เข้าสมาบัติชั้นสูง เพราะยังไม่บรรลุ. แต่ท่านทั้งหมด
ก็เข้าสมาบัติอันเป็นผลของตน ๆ นั่นเอง เพราะเหตุนั้น คำนี้จึงเป็น
ข้อสันนิษฐานไว้ในที่นี้.
แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า แม้พระโสดาบันพระสกทาคามีก็
ไม่เข้าสมาบัติ. พระอริยะ 2 ชั้นสูงย่อมเข้าสมาบัติ. นี้เป็นเหตุของ
พระอริยะเหล่านั้น. เพราะพระอริยะเหล่านั้นเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ใน
สมาธิ. นั้นไม่ใช่เหตุของปุถุชน เพราะเข้าโลกิยสมาธิที่ตนได้แล้ว.
ก็ในที่นี้ เพราะคิดถึงเหตุ และมิใช่เหตุเป็นอย่างไร. ในการแก้ปัญหา
เหล่านี้ว่า สังขารุเบกขา 10 ย่อมเกิดขึ้นด้วยวิปัสสนาเป็นไฉน*.
โคตรภูธรรม 10 ย่อมเกิดด้วยวิปัสสนาเป็นไฉน ท่านกล่าวไว้ต่างหาก
กันในบาลีนี้แล้วมิใช่หรือว่า เพื่อประโยชน์การเข้าโสดาปัตติผล เพื่อ
ประโยชน์การเข้าสกทาคามิผล. เพราะฉะนั้น พระอริยะแม้ทั้งหมดก็ย่อม
เข้าสมาบัติอันเป็นผลของตน ๆ เพราะเหตุนั้น จึงควรตกลงไว้ในที่นี้.
เพราะเหตุไรจึงต้องเข้าสมาบัติ ? แก้ว่า เพื่ออยู่เป็นสุขใน
ทิฏฐธรรม. เหมือนอย่างพระราชาทั้งหลายย่อมเสวยสุขในราชสมบัติ.
ทวยเทพย่อมเสวยทิพยสุข ฉันใด, พระอริยะทั้งหลายก็ฉันนั้น ทำข้อ
1. ขุ. ป. 31/134.
กำหนดไว้ในกาลใกล้ว่า เราจักเสวยโลกุตรสุข ดังนี้ แล้วเข้าผลสมาบัติ
ในขณะที่ตนปรารถนา ๆ.
การเข้าสมาบัตินั้นเป็นอย่างไร ? ตั้งไว้เป็นอย่างไร. ออก
เป็นอย่างไร ? แก้ว่า การเข้าสมาบัตินั้นย่อมมีได้ด้วยอาการ 2 อย่าง
คือ ไม่ใสใจถึงอารมณ์อื่น นอกจากนิพพาน 1 ใส่ใจนิพพาน 1.
ดังที่ท่านกล่าวว่า
ดูก่อนอาวุโส ปัจจัย 2 อย่าง คือ การ
ไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวง ด้วยสมาบัติอันเป็นเจโต-
วิมุตติ หานิมิตมิได้ 1 การใส่ใจด้วยธาตุอันหา
นิมิตมิได้ 11.
นี้เป็นลำดับของการเข้าสมาบัติในที่นี้, จริงอยู่พระอริยสาวกผู้มีความ
ต้องการด้วยผลสมาบัติไปในที่ลับหลีกเร้นอยู่ พึงพิจารณาสังขารทั้งหลาย
ด้วยอนุปัสนาญาณ มีอุทยัพพยานุปัสนาญาณเป็นต้น. จิตของพระ-
อริยสาวกนั้นผู้พิจารณาตามลำดับที่เป็นไปแล้ว ย่อมเอิบอิ่มในนิโรธ
ด้วยสามารถผลสมาบัติในลำดับแห่งโคตรภูญาณ อันมีสังขารเป็น
อารมณ์.
อนึ่ง เพราะจิตน้อมไปในผลสมาบัติ ผลนั่นแลย่อมเกิดแม้แก่
พระเสกขะในผลสมาบัตินี้ มิใช่มรรคเกิด.
1. ม. มู. 12/503.
อนึ่ง ผู้ใดกล่าวว่าพระโสดาบันเริ่มตั้งวิปัสสนา ด้วยคิดว่าเรา
จักเข้าผลสมาบัติ ดังนี้ แล้วจะเป็นพระสกทาคามี, และพระสกทาคามี
ก็จะเป็นพระอนาคามี ดังนี้. ผู้นั้นควรกล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ พระ-
อนาคามีก็จักเป็นพระอรหันต์. พระอรหันต์ก็จักเป็นพระปัจเจกพุทธะ
และพระปัจเจกพุทธะก็จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. เพราะฉะนั้น ข้อนั้น
จึงไม่มีอะไร. และก็ไม่ควรถือเอาโดยบาลีว่า ปฏิกฺขิตฺตํ - ถูกห้ามเสีย
แล้วบ้าง. แต่ควรถือข้อนี้ไว้. ผลเท่านั้นย่อมเกิดแม้แก่พระเสกขะ มิใช่
มรรคเกิด.
อนึ่ง หากว่า ผลของมรรคนั้นมีอยู่ เป็นอันว่า พระเสกขะ
นั้นได้บรรลุมรรคอันมีในปฐมฌาน ญาณอันมีในปฐมฌานนั่นแล ย่อม
เกิด, หากว่า มรรคมีในฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้น
ญาณก็มีในฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้นเหมือนกัน เพราะ
เหตุนั้น การเข้าสมาบัตินั้น ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้แล.
สมาบัตินั้นตั้งอยู่ด้วยอาการ 3 เพราะบาลีว่า
ดูก่อนอาวุโส ปัจจัย 3 อย่าง คือ การ
ไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวง เพื่อความตั้งมั่นแห่งเจโต-
วิมุตติ อันหานิมิตมิได้ 1, การใส่ใจธาตุอันหา
นิมิตมิได้ 1 การปรุงแต่งในกาลก่อน 11.
1. ม. มู. 12/503.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ จ อภิสงฺขาโร - การปรุงแต่ง
ในกาลก่อน คือ กำหนดกาลก่อนจากเข้าสมาบัติ การตั้งอยู่ของสมาบัติ
นั้น ย่อมมีได้ ตราบเท่าที่กาลนั้นยังไม่มาถึง เพราะกำหนดไว้ว่า
เราจักออกในเวลาโน้น ดังนี้. ที่ตั้งของสมาบัติ ย่อมมีได้อย่างนี้.
สมาบัตินั้นออกด้วยอาการ 2 เพราะบาลีว่า
ดูก่อนอาวุโส ปัจจัย 2 อย่างแล คือ การ
ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวง ด้วยการออกจากเจโตวิมุตติ
อันไม่มีนิมิต 1 การไม่ใส่ใจธาตุอันหานิมิตมิได้ 11.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพนิมิตฺตานํ ได้แก่ รูปนิมิต
เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต และวิญญาณนิมิต. อนึ่ง แม้
จะไม่ใส่ใจนิมิตทั้งหมดเหล่านั้น โดยเป็นอันเดียวก็จริง ถึงดังนั้นท่าน
ก็กล่าวบทว่า สพฺพนิมิตฺตานํ นี้ ด้วยสามารถสงเคราะห์เข้าด้วยกัน
ทั้งหมด. เพราะฉะนั้น. เมื่อพระโยคาวจรใส่ใจถึงอารมณ์อันมีแก่ภวังค์
ก็เป็นอันออกจากผลสมาบัติ. เพราะเหตุนั้น พึงทราบการออกแห่ง
สมาบัตินั้นอย่างนี้.
อะไรเป็นลำดับของผล, และ ผลเป็นลำดับของอะไร ? แก้ว่า
ผลนั่นแล หรือภวังค์ เป็นลำดับของผล. แต่ผลมีอยู่ในลำดับมรรค,
มรรคมีอยู่ในลำดับผล, ผลมีอยู่ในลำดับโคตรภู คือ อนุโลมญาณ
1. ม. มู. 12/503.
ผลมีอยู่ในลำดับของเนวสัญญานาสัญญายตนะ. ผลมีอยู่ในลำดับของ
มรรค ในวิถีแห่งมรรคนั้น, ผลหลัง ๆ มีอยู่ในลำดับของผลก่อน ๆ.
ผลก่อนๆ ในผลสมาบัติมีอยู่ในลำดับโคตรภู คือ อนุโลมญาณ.
อนึ่ง ในบทว่า โคตรภู นี้ พึงทราบว่าเป็นอนุโลมญาณ-
ดังที่ท่านกล่าวไว้ในปัฏฐานว่า อนุโลมญาณ ของพระอรหันต์ เป็น
ปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ด้วยอำนาจอนันตรปัจจัย1. อนุโลมญาณ
ของพระเสกขะเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ด้วยอำนาจอนันตร-
ปัจจัย2. การออกจากนิโรธย่อมมีด้วยผลใด ผลนั้นย่อมมีในลำดับของ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ. ในบทนั้น ผลทั้งหมดที่เหลือเว้นผลอัน
เกิดขึ้นในมรรควิถี ชื่อว่า เป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งผลสมาบัติ.
ผลนี้เป็นไปแล้วด้วยการเกิดขึ้นในมรรควิถีก็ดี ในผลสมาบัติก็ดี ด้วย
ประการฉะนี้. ท่านกล่าวเป็นคาถาไว้ว่า
ปฏิปฺปสฺสทฺธทรถํ อมตารมฺมณํ สุภํ
วนฺตโลกามิสํ สนฺตํ สามญฺญผลมุตฺตมํ.
สามัญผลสูงสุดระงับความกระวนกระวาย
มีอมตะเป็นอารมณ์งาม คายโลกามิสสงบ ดังนี้.
นี้ เป็นผลสมาปัตติกถาในนิทเทสนี้.
1. อภิ. ปฏฺฐาน. 40/509.
2. อภิ. ปฏฺฐาน. 40/513.
บทว่า ตทชฺฌุเปฺขิตฺวา - วางเฉยสังขารุเบกขานั้น ได้แก่
วางเฉยสังขารุเบกขานั้น ด้วยวิปัสสนาญาณเช่นนั้นอย่างหนึ่ง. ในบท
มีอาทิว่า สุญฺญตวิหาเรน วา - ด้วยสุญญฺตวิหารสมาบัติ มีความดังต่อ
ไปนี้ การอยู่ด้วยวิปัสสนา 3 ของพระอรหันต์ผู้ประสงค์จะอยู่ด้วย
วิปัสสนาวิหารเว้นผลสมาบัติ เห็นความยึดมั่นตนโดยความน่ากลัว จึง
น้อมไปใน สุญญตวิหาร เห็นความเสื่อมในสังขารุเบกขา ชื่อว่า
สุญญตวิหาร.
การอยู่ด้วยวิปัสสนา 3 ของท่านผู้เห็นสังขารนิมิต โดยความ
น่ากลัวแล้วน้อมไปใน อนิมิตตวิหาร เห็นความเสื่อมในสังขารุเบกขา
ชื่อว่า อนิมิตตวิหาร. การอยู่ด้วยวิปัสสนา 3 ของท่านผู้เห็นความ
ตั้งมั่นในตัณหา โดยความน่ากลัวแล้วน้อมไปใน อัปปณิหิตวิหาร เห็น
ความเสื่อมในสังขารุเบกขา ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหาร. ดังที่ท่านกล่าวไว้
ข้างหน้าว่า
พระโยคาวจร เมื่อเห็นความยึดมั่นสังขาร
นิมิต โดยความน่ากลัวถูกต้องแล้ว ๆ ย่อมเห็น
ความเสื่อม เพราะมีจิตน้อมไปในสุญญตนิพพาน
ชื่อว่า สุญญตวิหาร. เมื่อเห็นนิมิต โดยความ
น่ากลัวถูกต้องแล้ว ๆ ย่อมเห็นความเสื่อม เพราะ
มีจิตน้อมไปในอนิมิตตนิพพาน ชื่อว่า อนิมิตต-
วิหาร. เมื่อเห็นปณิธิ โดยความน่ากลัว ย่อม
เห็นความเสื่อมถูกต้องแล้ว ๆ ย่อมเห็นความเสื่อม
เพราะมีจิตน้อมไปในอัปปณิหิตนิพพาน ชื่อว่า
อัปปณิหิตวิหาร1.
จิตของพระอรหันต์นั่นแล ย่อมเป็นไปในอำนาจโดยอาการทั้งปวง โดย
ความมีฉฬังคุเบกขา และโดยมีวิหารธรรมมีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่า
ไม่เป็นปฏิกูลเป็นต้น, จากนั้นท่านอธิบายว่า วิปัสสนาวิหารย่อมสำเร็จ
แก่พระอรหันต์เท่านั้น.ในบทนี้ว่า วีตราโค สงฺขารุเปกฺขํ วิปสฺสติ -
ผู้ปราศจากราคะย่อมเห็นแจ้งสังขารุเบกขา มีความว่า วิปัสสนายังไม่
ถึงภัย 3 อย่าง และอธิมุตติ 3 อย่าง พึงทราบว่า เป็นวิปัสสนาสิ้น
เชิง. เมื่อเป็นอย่างนั้นย่อมมีความวิเศษทั้งก่อนและหลัง.
บัดนี้ พระสารีบุตรประสงค์จะแสดงประเภทของความเป็นอัน
เดียวกันและความต่างกันแห่งสังขารุเบกขา ด้วยสามารถบุคคล 2 - 3
ประเภท จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กถํ ปุถุชฺชนสฺส จ เสกฺขสฺส.
ในบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺตสฺส อภินีหาโร เอกตฺตํ โหติ -
ความน้อมไปแห่งจิตเป็นอย่างเดียวกัน คือ เป็นอันเดียวกัน. พึงทราบ
ว่า เป็น ภาววจนะ ลงใน สกัตถะ. ท่านกล่าวว่า อิทปฺปจฺจยตา
ก็เหมือน อิทปฺปจฺจยา. เอกตฺตํ ก็คือ เอโก นั่นเอง.
1. ขุ. ปะ. 31/202.
บทว่า อภินิหาโร เป็นปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งฉัฏฐิ
วิภัตติ. คือ อภินิหารสฺส - แห่งความน้อมไป. พึงทราบว่า ท่านทำ
เป็นวิภัตติวิปลาส ดุจในบทว่า โส เทโส สมฺมชฺชิตฺวา - กวาดที่
พื้นที่นั้น.
บทว่า จิตฺตํ กิลิสฺสติ - จิตเศร้าหมอง ได้แก่ จิตเศร้าหมอง
ด้วยกิเลส คือ โลภะได้ในบทว่า วิปสฺสนานิกํ เป็นข้าศึกแห่งวิปัสสนา
อธิบายว่า ทำให้เดือดร้อนทำให้ลำบาก.
บทว่า ภาวนาย ปริปนฺโถ โหติ - มีอันตรายแห่งภาวนา ได้แก่
กำจัดวิปัสสนาภาวนาที่ได้แล้ว.
บทว่า ปฏิเวธสฺส อนฺตราโย โหติ - มีอันตรายแห่งปฏิเวธ
ได้แก่ เป็นอันตรายแก่การได้สัจปฏิเวธที่ควรได้ด้วยวิปัสสนาภาวนา.
บทว่า อายตึ ปฏิสนฺธิยา ปจฺจโย โหติ - มีปัจจัยแห่งปฏิสนธิ
ต่อไป ความว่า เมื่อกรรมนั้นให้สุคติปฏิสนธิ เพราะกรรมสัมปยุต
ด้วยสังขารุเบกขามีกำลัง กิเลส คือโลภะ กล่าวคือ ความยินดีมีปัจจัย
แห่งสุคติปฏิสนธิ เป็นกามาวจรในอนาคต เพราะกรรมมีกิเลสเป็น
สหาย ย่อมยังวิบากให้เกิด. ฉะนั้น กรรมจึงเป็นชนกปัจจัย. กิเลส
เป็นอุปถัมภกปัจจัย.
อนึ่ง บทว่า อุตฺตริปฏิเวธสฺส - แห่งปฏิเวธในมรรคชั้นสูง
ได้แก่ สัจปฏิเวธด้วยอำนาจสกทาคามิมรรคเป็นต้นของพระเสกขะ.
บทว่า อายตึ ปฏิสนฺธิยา ปจฺจโย โหติ พึงทราบว่า กิเลส
คือ ความพอใจเป็นปัจจัยแห่งทุคติปฏิสนธิเป็นกามาวจร อันกรรม คือ
สังขารุเบกขาให้แก่ฌานในพระเสกขะทั้งหลาย ที่เป็นพระโสดาบันและ
พระสกทาคามียังไม่บรรลุ. ไม่เป็นปัจจัยแก่ผู้ได้ฌานและแก่พระอนา-
คามี ตั้งแต่ปฏิสนธิในพรหมโลก, กิเลสนี้แหละเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิ
อันโคตรภูที่เป็นอนุโลมให้.
บทว่า อนิจฺจโต ชื่อว่าโดยความไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ามีแล้ว
ไม่มี เพราะมีความไม่เที่ยงเป็นที่สุด เพราะความมีเบื้องต้นและความมี
ที่สุด.
บทว่า ทุกฺขโต ชื่อว่าโดยความเป็นทุกข์ เพราะอรรถว่า
บีบคั้นบ่อย ๆ เพราะบีบคั้นด้วยความเกิดและความเสื่อม และเพราะ
เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์.
บทว่า อนตฺตโต ชื่อว่าโดยความเป็นอนัตตา เพราะอรรถว่า
ไม่เป็นไปในอำนาจ เพราะอาศัยปัจจัยเป็นไป และเพราะไม่มีสามี-
เจ้าของไม่มีนิวาสี - ผู้อาศัยอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีการก - ผู้ทำและเวทกะ
- ผู้เสวย.
บทว่า อนุปสฺสนฏฺเฐน - โดยสภาพแห่งการพิจารณา ได้แก่
โดยสภาพแห่งการ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นตาม ๆ กัน.
บทว่า อภินีหาโร นานตฺตํ โหติ พึงทราบว่า การน้อมจิต
ไปต่างกัน หรือ ความต่างกันแห่งการน้อมจิต.
บทว่า กุสลา ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่าไม่มีโรค เพราะ
อรรถว่าไม่มีโทษ และเพราะอรรถว่าเป็นความฉลาด.
บทว่า อพฺยากตา คือ พยากรณ์ไม่ได้ว่าเป็นกุศล หรือ
อกุศล.
บทว่า กิญฺจิกาเล สุวิทิตา - ปรากฏดีในกาลนิดหน่อย ได้แก่
ปรากฏด้วยดีในกาลแห่งวิปัสสนา.
บทว่า กิญฺจิกาเล น สุวิทิตา - ไม่ปรากฏดีในกาลนิดหน่อย
คือ ไม่ปรากฏด้วยดีในกาลแห่งความพอใจ.
บทว่า อจฺจนฺตํ สุวิทิตา - ปรากฏดีโดยส่วนเดียว ได้แก่
ปรากฏดีโดยส่วนเดียว เพราะละความพอใจได้แล้ว.
ในบทนี้ว่า วิทิตฏฺเฐน จ อวิทิตฏฺเฐน จ - โดยสภาพที่ปรากฏ
และโดยสภาพที่ไม่ปรากฏ มีความว่า พระเสกขะที่เป็นปุถุชนมีสภาพ
ปรากฏดีแล้วก็ดี พระเสกขะปราศจากราคะ มีสภาพปรากฏดีโดยส่วน
เดียวก็ดี ชื่อว่า เป็นผู้ปรากฏแล้ว, แม้ทั้งสองมีสภาพปรากฏไม่ดี ก็
ชื่อว่า มีสภาพปรากฏไม่ดีนั่นแล.
บทว่า อติตฺตตฺตา - เพราะยังไม่เสร็จกิจ ได้แก่ เพราะยังไม่
เสร็จกิจที่ควรทำแห่งวิปัสสนา คือยังไม่ประณีต. ชื่อว่า ติตฺตตฺตา
เพราะตรงข้ามกับ บทว่า อติตฺตตฺตา นั้น.
บทว่า ติณฺณํ สญฺโญชนานํ ปหานาย - เพื่อละสังโยชน์ 3
ได้แก่ เพื่อละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส. พระโพธิสัตว์
แม้มีภพสุดท้ายก็ยังสงเคราะห์เข้าในบทนี้เหมือนกัน. แต่สัตว์ผู้ยังไม่มี
ภพสุดท้ายยังวิปัสสนาให้ถึงสังขารุเบกขาตั้งอยู่.
บทว่า โสตาปตฺติมคฺคํ ปฏิลาภตฺถาย - เพื่อต้องการได้โสดา-
ปัตติมรรค อาจารย์ทั้งหลายไม่กล่าวย่อไว้. กล่าวย่อไว้ดีกว่า.
บทว่า เสกฺโข ติณฺณํ สญฺโญชนานํ ปหีนตฺตา ท่านกล่าว
โดยความเสมอกันแห่งพระโสดาบัน พระสกทาคามีและพระอนาคามี
จริงอยู่ สังโยชน์เหล่านั้น มีพระสกทาคามีและพระอนาคามี ก็ละ
ได้แล้ว.
บทว่า อุตฺตริปฏิลาภตฺถาย - คือ เพื่อต้องการได้มรรคชั้นสูง ๆ.
บทว่า ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถาย - เพื่อต้องการอยู่เป็นสุขใน
ปัจจุบัน ได้แก่ เพื่อต้องการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน คือ ในอัตภาพที่
ประจักษ์.
บทว่า วิหารสมาปตฺตฏฺเฐน - โดยสภาพแห่งวิหารสมาบัติ
ได้แก่ โดยสภาพแห่งผลสมาบัติของพระเสกขะ. โดยสภาพแห่งผล
สมาบัติ อันเป็นวิปัสสนาวิหารของท่านผู้ปราศจากราคะ.
บัดนี้ พระสารีบุตรเพื่อแสดงการกำหนดด้วยการคำนวณของ
สังขารุเบกขา จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กติ สงฺขารุเปกฺขา - สังขารุเบกขา
เท่าไร ?
ในบทเหล่านั้น บทว่า สมถวเสน คือ ด้วยสามารถสมาธิ
อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะนี้เหมือนกัน.
บทว่า นีวรเณ ปฏิสงฺขา - ปัญญาพิจารณานิวรณ์ ได้แก่
กำหนดโดยความที่ควรละนิวรณ์ 5.
บทว่า สนฺติฏฐนา - การดำรงไว้ ได้แก่ การดำรงไว้เพราะ
ความเป็นกลาง ด้วยการเข้าถึงความไม่ขวนขวายในการละนิวรณ์เหล่า-
นั้น เพราะมุ่งแต่จะละนิวรณ์เหล่านั้น.
บทว่า สงฺขารุเปกฺขาสุ คือ ในการวางเฉยสังขาร อันกล่าวคือ
นิวรณ์ ด้วยการไม่ทำความขวนขวายในการละนิวรณ์ทั้งหลาย ในวิตก
วิจารเป็นต้น และในอุปาทะเป็นต้นก็มีนัยนี้. ญาณสำเร็จด้วยภาวนา
อันมีกำลังในส่วนเบื้องต้นอันใกล้ด้วยอัปปนาวิถี ในสมถะ ชื่อว่า
สังขารุเบกขา.
ในบทมีอาทิว่า โสตาปตฺติมคฺคํ ปฏิลาภตฺถาย - เพื่อได้โสดา-
ปัตติมรรค คือ เป็นอันได้มรรคอย่างใดอย่างหนึ่งในสุญญตมรรค
อนิมิตตมรรคและอัปปณิหิตมรรค ในมรรควาร 4.
ในบทมีอาทิว่า โสตาปตฺติผลสมาปตฺตตฺถาย - เพื่อต้องการได้
โสดาปัตติผลสมาบัติ พึงทราบผลสมาบัติอันเป็นอัปปณิหิตะในผลวาร 4.
เพราะเหตุไร ? เพราะท่านกล่าวถึงผลสมาบัติ 2 เหล่านี้ คือ สุญฺญ-
ตวิหารสมาปตฺตถาย - เพื่อต้องการสุญญตวิหารสมาบัติ 1 อนิมิตฺต-
วิหารสมาปตฺตตฺถาย - เพื่อต้องการอนิมิตตวิหารสมาบัติ 1 ไว้ต่างหาก
กัน.
พึงทราบอนิมิตตมรรคด้วยการออกจากอนิจจานุปัสนา, พึง
ทราบอนิมิตตผลสมาบัติในกาลแห่งผลสมาบัติ, พึงทราบอัปปณิหิตมรรค
และผลสมาบัติ ด้วยการออกจากทุกขานุปัสสนา, พึงทราบสุญญตมรรค
และผลสมาบัติ ด้วยการออกจากอนัตตานุปัสสนา โดยนัยแห่งพระสูตร
นั่นแล.
อนึ่ง ในมรรควาร 4 เหล่านี้ ท่านกล่าวถึงบทอันเป็นมูลเหตุ 5
มีอาทิว่า อุปฺปาทํ - เกิดขึ้น, บทแห่งไวพจน์ 10 มีอาทิว่า คตึ รวม
เป็น 15 บท. ในผลสมาบัติวาร 6 ท่านกล่าวบทอันเป็นมูลเหตุ 5
ไว้.
หากถามว่าเพราะเหตุไร จึงกล่าวไว้อย่างนั้น. แก้ว่า เมื่อ
สังขารุเบกขามีความแก่กล้า เพื่อแสดงถึงความแก่กล้าของสังขารุเบกขา
นั้น เพราะมีมรรคสามารถในการละกิเลส ท่านจึงกล่าวบทอันเป็นมูล
เหตุทำให้มั่นกับบทอันเป็นไวพจน์. เพื่อแสดงว่าสังขารุเบกขา แม้อ่อน
ก็เป็นปัจจัยแก่ผล เพราะความที่ผลมีสภาพสงบโดยความที่หมดความ
อุตสาหะ และเพราะเป็นที่อาศัยของมรรค พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึง
บทอันเป็นมูลเหตุเท่านั้น.
บัดนี้ พระสารีบุตร ครั้นถามด้วยชาติแล้ว เพื่อจะแก้ด้วยการ
ได้ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กติ สงฺขารุเปกฺขา กุสลา - สังขารุเบกขา
เป็นกุศลเท่าไร ?
ในบทนั้น บทว่า ปณฺณฺรส สงฺขารุเปกฺขา - สังขารุเบกขา
เป็นกุศล มี 15 ได้แก่ ด้วยสมถะ 8 และด้วยมรรค 4 ผล 3
เป็น 7 รวมเป็น 15. สังขารุเบกขา 8 ด้วยสามารถสมถะไม่สมควร
แก่ธรรมชื่อว่า สังขารุเบกขา เพราะพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณานิวรณ์
และเพราะเว้นความขวนขวายในการละวิตกวิจารเป็นต้น เป็นการละได้
โดยง่าย เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่าท่านไม่กล่าวความที่สังขารุเบกขา
เหล่านั้น เป็นอัพยากฤต. อนึ่ง พระอรหันต์ผู้เข้าผลสมาบัติ ไม่สามารถ
เข้าสมาบัติ เว้นสังขารุเบกขาได้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวสังขา-
รุเบกขา 3 ว่าเป็นอัพยากฤต. จริงอยู่ ชื่อว่า สังขารุเบกขา 3 ของ
พระอรหันต์ย่อมมีด้วยสามารถอัปปณิหิตะ สุญญตะ และอนิมิตตะ.
บัดนี้ พึงทราบความในคาถาทั้งหลาย 3 ที่ท่านกล่าวแล้วด้วย
การพรรณนาถึงสังขารุเบกขา ดังต่อไปนี้.
บทว่า ปฏิสงฺขา สนฺติฏฺฐนา ปญฺญา - ปัญญาที่พิจารณา
หาทางแล้ววางเฉย ได้แก่ สังขารุเบกขา.
บทว่า อฏฺฐ จิตฺตสฺส โคจรา - เป็นโคจรของสมาธิ 8 ความ
ว่า ท่านกล่าวถึงสังขารุเบกขา 8 เป็นวิสยะคือภูมิของสมาธิ ด้วย
สามารถสมถะ. ท่านอธิบายถึง สมาธิ ด้วยหัวข้อว่า จิต ดุจใน
ประโยคมีอาทิว่า จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ1 - เจริญสมาธิและปัญญา,
ท่านอธิบาย วิสยะ ด้วย โคจร ศัพท์ ดุจในประโยคมีอาทิว่า โคจเร
ภิกฺขเว จรถ สเก เปตฺติกา วิสเย2 - เจริญสมาธิและปัญญา,
จงเที่ยวไปในโคจร อันเป็นถิ่นที่อยู่บิดาตน. ท่านกล่าวว่า นี้เป็นโคจร
ของผู้อาศัย. บทว่า ปุถุชฺชนสฺส เทวฺ - โคจรภูมิของปุถุชน 2 คือด้วย
สามารถแห่งสมถะและวิปัสสนา. บทว่า ตโย เสกฺขสฺส - โคจรของ
พระเสกขะ 3 ได้แก่ ด้วยสามารถแห่งสมถะ วิปัสสนาและสมาบัติ.
บทว่า ตโย จ วีตราคสฺส - โคจรของผู้ปราศจากราคะ 3 ได้แก่
ด้วยสามารถแห่งผลสมาบัติอันเป็นอัปปณิหิตะ สุญญตะ และอนิมิตตะ.
ควรกล่าวว่า ติสฺโส ท่านทำเป็นลิงควิปลาสว่า ตโย. หรือพึง
ประกอบว่า ตโย สงฺขารุเปกฺขา ธมฺมา - ธรรม คือ สังขารุเบกขา
3 อย่าง.
บทว่า เยหิ จิตฺตํ วิวฏฺฏติ - จิตปราศจากราคะหลีกไป ความว่า
จิตหลีกไปจากวิตกวิจารเป็นต้นด้วยธรรม คือ สังขารุเบกขา, หรือจาก
1. สํ. ส. 15/16. 2. สํ. มหา. 19/703.
อุปทะเป็นต้น. ท่านอธิบายว่า เพราะแม้ผู้ปราศจากราคะก็ยังมีสังขา-
รุเบกขาจิตหลีกจากสังขารแล่นไปสู่นิพพาน
บทว่า อฏฺฐ สมาธิสฺส ปุจฺจยา - เป็นปัจจัยแห่งสมาธิ 8 คือ
ปัจจัย 8 ท่านกล่าวด้วยสามารถสมถะเป็นปัจจัยแก่อัปปนาสมาธิ เพราะ
ให้ถึงอัปปนา.
บทว่า ทส ญาณสฺส โคจรา - เป็นโคจรแห่งญาณ 10 คือ
เป็นภูมิ 10 แห่งมรรคญาณ และผลญาณ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่ง
วิปัสสนา.
บทว่า ติณฺณํ วิโมกฺขาย ปจฺจยา - เป็นปัจจัยแห่งวิโมกข์ 3
คือ เป็นปัจจัยแห่งสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ และอัปปณิหิตวิโมกข์
ด้วยอุปนิสสยปัจจัย.
บทว่า นานาทิฏฺฐีสุ น กมฺปติ - ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฏฐิ
ต่าง ๆ ได้แก่ ไม่สละความดับแล้วพิจารณาเห็นสังขารทั้งหลาย โดย
ความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมไม่หวั่นไหวในทิฏฐิมีประการต่างๆ
มีสัสสตทิฏฐิเป็นต้น.
จบ อรรถกถาสังขารุเบกขาญาณนิทเทส
โคตรภูญาณนิทเทส
[136] ปัญญาในการออกและหลีกไปจากสังขารนิมิตภายนอก
เป็นโคตรภูญาณอย่างไร ชื่อว่าโคตรภู เพราะอรรถว่าครอบงำความเกิด
ขึ้น ครอบงำความเป็นไป ครอบงำนิมิต ครอบงำกรรมเครื่องประมวล
มา ครอบงำปฏิสนธิ ครอบงำคติ ครอบงำความบังเกิด ครอบงำอุบัติ
ครอบงำชาติ ครอบงำชรา ครอบงำพยาธิ ครอบงำมรณะ ครอบงำ
ความเศร้าโศก ครอบงำความรำพัน ครอบงำความคับแค้นใจ ครอบงำ
สังขารนิมิตภายนอก ชื่อว่าโคตรภู เพราะอรรถว่า แล่นไปสู่นิพพาน
อันไม่มีความเกิดขึ้น ฯลฯ แล่นไปสู่นิพพานอันเป็นที่ดับ ชื่อว่าโคตรภู
เพราะอรรถว่า ครอบงำความเกิดขึ้นแล้ว แล่นไป ู่นิพพานอันไม่มี
ความเกิดขึ้น ครอบงำความเป็นไปแล้ว แล่นไปสู่นิพพานอันไม่มี
ความเป็นไป ฯลฯ ครอบงำสังขารนิมิตภายนอกแล้ว แล่นไปสู่นิพ-
พานอันเป็นที่ดับ.
[137] ชื่อว่าโคตรภู เพราะอรรถว่า ออกจากความเกิดขึ้น
ออกจากความเป็นไป... ออกจากสังขารนิมิตภายนอก ชื่อว่าโคตรภู
เพราะอรรถว่าแล่นไปสู่นิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น แล่นไปสู่นิพพาน
อันไม่มีความเป็นไป ฯลฯ แล่นไปสู่นิพพานอันเป็นที่ดับ ชื่อว่าโคตรภู
เพราะอรรถว่า ออกจากความเกิดขึ้นแล้ว แล่นไปสู่นิพพานอันไม่มี