เมนู

ความหลงเป็นอวิชชา กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร ความพอใจเป็น
ตัณหา ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน ความคิดอ่านเป็นภพ (ย่อมมี)
เพราะอายตนะทั้งหลาย ในภพนี้แก่รอบ ธรรม 5 ประการในกรรมภพ
นี้เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอนาคต ปฏิสนธิในอนาคตเป็น
วิญญาณ ความก้าวลงเป็นนามรูป ประสาทเป็นอายตนะ ส่วนที่ถูก
ต้องเป็นผัสสะ ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ธรรม 5 ประการใน
อุปปัตติภพในอนาคตเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในภพนี้ พระ-
โยคาวจร ย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมทราบชัด ย่อมแทงตลอด ซึ่ง
ปฏิจจสมุปบาท มีสังเขป 4 กาล 3 ปฏิสนธิ 3 เหล่านี้ ด้วยอาการ 20
ด้วยประการดังนี้.
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะ
อรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดปัจจัย
เป็นธรรมฐิติญาณ.

อรรถกถาธรรมฐิติญาณนิทเทส


94] พึงทราบวินิจฉัยในธรรมฐิติญาณนิทเทสดังต่อไปนี้ ใน
บทมีอาทิว่า อวิชฺชา สงฺขารานํ อุปฺปาทฏฺฐิติ - ต่อวิชชาเป็นเหตุเกิด
แห่งสังขารทั้งหลาย มีอธิบายดังนี้ ชื่อว่า ฐิติ เพราะอรรถว่าอวิชชา
เป็นเหตุตั้งสังขาร. ฐิติ นั้น คืออะไร ? คือ อวิชชา. เพราะว่า

อวิชชานั้นเป็นที่ตั้ง คือเป็นเหตุแห่งการเกิดสังขารทั้งหลาย เพราะเหตุ
นั้นจึงชื่อว่า อุปฺปาทฏฺฐิติ - เป็นเหตุเกิด.
ชื่อว่า ปวตฺตฏฺฐิติ - เป็นเหตุให้เป็นไป เพราะอรรถว่าเป็น
เหตุแห่งความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว. อธิบายว่า จริง
อยู่ อานุภาพของกิจย่อมมีในขณะชนกปัจจัยเกิดนั่นเองโดยแท้, แต่
เพราะความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลายอันชนกปัจจัยนั้นให้เกิด จึงชื่อ
ว่าเป็นเหตุ แม้แห่งความเป็นไปในขณะของตน, อีกอย่างหนึ่ง เป็น
เหตุแห่งความเป็นไปด้วยอำนาจสันตติ.
อนึ่ง บทว่า ปวตฺตํ นี้ เป็นภาววจนะลงในนปุงสกลิงค์,
เพราะฉะนั้น ปวตฺตํ จึงเป็นอันเดียวกัน โดยอรรถว่า ปวตติ - ความ
เป็นไป. แต่เพราะปวัตติศัพท์ปรากฏแล้ว ท่านจึงอธิบายประกอบด้วย
บทว่า ปวตฺตํ นั้น. ฐิติ ศัพท์ ในความเป็นไม่มีในที่นี้ เพราะ ฐิติ
ศัพท์ แม้ในภาวะก็สำเร็จได้.
เพื่อแสดงว่า ฐิติ ศัพท์ เป็นไปในความว่า เหตุ ท่านจึง
กล่าวว่า นิมิตฺตฏฺฐิติ อธิบายว่า ฐิติ เป็นเครื่องหมายคือเป็นเหตุ. ไม่ใช่
เพียงเป็นเครื่องหมายอย่างเดียว ที่แท้พระสารีบุตรเมื่อจะแสดงความเป็น
ผู้สามารถในปัจจัยว่า ย่อมประมวลมา ย่อมพยายาม เป็นดุจมีความ
ขวนขวายในการให้เกิดสังขาร จึงกล่าวว่า อายูหนฏฺฐิติ อธิบายว่า
ฐิติ เป็นเหตุประมวลมา. เพราะอวิชชาให้สังขารเกิดขึ้น ชื่อว่า ประกอบ

ในความเกิด, อธิบายว่า พยายาม, อวิชชาให้สังขารเป็นไป ชื่อว่า
พัวพันในความเป็นไป. อธิบายว่า ผูกพัน ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
สญฺโญคฏฺฐิติ - เป็นเหตุประกอบไว้ ปลิโพธฏฺฐิต - เป็นเหตุพัวพัน
อธิบายว่า เป็นเหตุประกอบ เป็นเหตุกังวล.
เพราะอวิชชาให้สังขารเกิด ชื่อว่า สมุทัย เพราะอรรถว่า
เป็นมูลเหตุแห่งความเกิดและความเป็นไป, ชื่อว่า สมุทยฐิติ เพราะ
เป็นเหตุให้เกิด อธิบายว่า เป็นมูลเหตุ. อวิชชาแลท่านกล่าวว่า
เหตฏฺฐิติ - เป็นเหตุเดิม, ปจฺจยฏฺฐิติ - เป็นเหตุอาศัยเป็นไป เพราะเป็น
เหตุเกิดในความเกิดของสังขาร, เพราะเป็นปัจจัยอุปถัมภ์ในความเป็น
ไป อธิบายว่า ฐิติ เป็นเหตุเดิม, ฐิติ เป็นเหตุอาศัยเป็นไป ท่านกล่าว
ชนกปัจจัยเป็นเหตุ, อุปถัมภกปัจจัยเป็นเครื่องอาศัย. แม้ในบทที่เหลือ
ก็พึงประกอบอย่างนี้.
ในบทนี้ว่า ภโว ชาติยา ชาติ ชรามรณสฺส - ภพเป็นปัจจัย
แก่ชาติ. ชาติเป็นปัจจัยแก่ชรามรณะ ท่านกล่าวถึงบทที่ประกอบด้วย
สามารถความเกิดว่า อุปฺปาทฏฺฐิติ สญฺโญคฏฺฐิติ เหตฏฺฐิติ โดย
ปริยาย ด้วยอำนาจแห่งขันธ์ทั้งหลายมีชาติชราและมรณะ.. แต่อาจารย์
บางพวกพรรณนาความในบทนี้ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า อุปฺปาทาย ฐิติ
อุปฺปาทฏฺฐิติ -
เหตุแห่งความเกิด ชื่อว่า อุปปาทัฏฐิติ - เป็นเหตุเกิด.
บทว่า อวิชฺชา ปจฺจโย - อวิชชาเป็นปัจจัย ท่านกล่าวเพ่งความที่
อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารทั้งหลาย.

อีกอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงการกำหนดอวิชชานั้นเป็นปัจจัย เพราะ
ความที่แม้อวิชชาก็เกิดเพราะปัจจัยท่านจึงกล่าวว่า อุโภเปเต ธมฺมา
ปจฺจยสมุปฺปนฺนาติ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา -
ปัญญาในการกำหนด
ปัจจัยว่า ธรรมแม้ทั้งสองอย่างนี้ก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย. แม้ในบทที่เหลือ
ก็พึงประกอบอย่างนี้. ส่วนบทว่า ชาติ ปจฺจโย, ชรามรณํ ปจฺจย-
สมุปฺปนฺนํ -
ชาติเป็นปัจจัย, ชราและมรณะต่างก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย ท่าน
กล่าวไว้โดยปริยาย. บทว่า อตีตมฺปิ อทฺธานํ ได้แก่ กาลที่ล่วงไป
แล้ว. บทว่า อนาคตมฺปิ อทฺธานํ ได้แก่ กาลที่ยังไม่มาถึง. แม้
ในบททั้งสองก็เป็น ทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งอัจจันตสังโยคะ
คือใช้อายตนิบาตว่า สิ้น.
95 - 97] บัดนี้ พระสารีบุตรละอาการ 9 เหล่านั้น ใน
ลำดับวาระแห่งอาการ 9 แล้วประกอบด้วยบทแห่งปัจจัยอาศัยเหตุ แล้ว
ชี้แจงวาระ 3 มีอาทิว่า อวิชฺชา เหตุ, สงฺขารา เหตุสมุปฺปนฺนํ-
อวิชชาเป็นเหตุ สังขารทั้งหลายอาศัยเหตุเกิดขึ้น ในวาระแห่งอาการ 9
ท่านกล่าวปัจจัยด้วยสามารถเป็นชนกอุปถัมภกปัจจัย - ปัจจัยอุดหนุนให้
เกิด, ในที่นี้ บทว่า เหตุ ได้แก่ ความเป็นชนกปัจจัย เพราะเหตุ
วาระและปัจจัยวาระมาต่างหากกัน. บทว่า ปจฺจโย พึงทราบความเป็น
อุปถัมภกปัจจัย เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นแม้อย่างหนึ่ง ๆ ก็เกิดโดย
ประการทั้งสอง.

พึงทราบวินิจฉัยในปฏิจจวาระดังต่อไปนี้ บทว่า อวิชชา
ปฏิจฺจฺ -
อวิชชาอาศัยปัจจัยเป็นไป ความว่า อวิชชา ชื่อว่า ปฏิจฺจา
เพราะต้องถึงต้องไปเฉพาะหน้าด้วยสังขารทั้งหลาย เพราะเพ่งอวิชชา
เป็นเหตุของสังขารทั้งหลายในความเกิดของตน. ด้วยบทนี้เป็นอันท่าน
กล่าวถึงความที่ อวิชชาสามารถให้สังขารเกิด.

บทว่า สงฺขารา ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา - สังขารทั้งหลายอาศัย
อวิชชาเกิดขึ้น ความว่า สังขารทั้งหลายมิได้เกิดขึ้นเสมอโดยมิได้อาศัย
อะไร เพราะต้องอาศัยอวิชชาแล้ว จึงเกิดขึ้นเป็นไปอยู่. แม่ในบท
ที่เหลือก็พึงประกอบโดยสมควรแก่ลิงค์อย่างนี้. อีกอย่างหนึ่งปาฐะว่า
อวิชฺช ปฏิจฺจ - อวิชชาอาศัยปัจจัยเป็นไป ด้วยสามารถความขวนขวาย
แต่ความในบทนี้ พึงประกอบด้วยปาฐะที่เหลือว่า อวิชชาอาศัยปัจจัย
ของตนเป็นไป. แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนั้น. ในวาระแม้ 4 อย่าง
เหล่านี้ ท่านชี้แจงธรรมฐิติญาณด้วยสามารถแห่งองค์ 11 มีอวิชชา
เป็นต้น เพราะธรรมฐิติญาณควรชี้แจง ด้วยสามารถปัจจัยแห่งองค์
ปฏิจจสมุปบาท 12. แต่ท่านไม่ชี้แจงด้วยสามารถชรามรณะนั้น เพราะ
ชรามรณะตั้งอยู่ในที่สุด. ธรรมฐิติญาณด้วยสามารถชรามรณะนั้น ทำ
ชรามรณะให้เป็นปัจจัยแห่งองค์ปฏิจจสมุปบาทเหล่านั้น แล้วพิจารณา
ควรทีเดียว เพราะแท้ชราและมรณะก็เป็นปัจจัยแห่งโสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาส.

98] บัดนี้ พระสารีบุตรประสงค์จะจำแนกองค์ปฏิจจสมุปบาท
12 เหล่านั้น จึงแสดงสังเขป 4 กาล 3 สนธิ 3 ด้วยอาการ 20
แล้วจึงชี้แจงธรรมฐิติญาณ กล่าวบทมีอาทิว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ - ใน
กรรมภพก่อน ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ ได้แก่ ในกรรมภพ
ก่อน, อธิบายว่า เมื่อทำกรรมภพในอดีตชาติ.
บทว่า โมโห อวิชฺชา - โมหะเป็นอวิชชา ความว่า หลงด้วย
โมหะในทุกข์เป็นต้นแล้วทำกรรม, นั้นคือ อวิชชา.
บทว่า อายูหนา สงฺขารา - กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร
ความว่า เจตนาก่อนของผู้ทำกรรมนั้น, เจตนาก่อนเกิดขึ้นแก่ผู้คิดว่า
เราจักให้ทานดังนี้ แล้วสละอุปกรณ์การให้เดือนหนึ่งบ้าง ปีหนึ่งบ้าง.
เจตนา ท่านกล่าวว่า ภพ เพราะวางทักษิณาไว้บนมือของ
ปฏิคคาหก. เจตนาในอาวัชชนะ 1 หรือในชวนะ 6 ชื่อว่า กรรมที่
ประมวลมาเป็นสังขาร. เจตนาในชวนะที่ 7 เป็นภพ. อนึ่ง เจตนา
อย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นภพ. ชื่อว่า การประมวลมาเป็นสังขาร เพราะ
สัมปยุตด้วยเจตนานั้น.
บทว่า นีกนฺติ ตณฺหา - ความใคร่เป็นตัณหา ความว่า ความ
ใคร่ ความปรารถนาในอุบัติภพอันเป็นผลของผู้ทำกรรม ชื่อว่า ตัณหา.

บทว่า อุปคมนํ อุปาทานํ - ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน. ความว่า
การเข้าถึง คือ ความถือมั่นอันเป็นปัจจัยแห่งกรรมภพเป็นไปแล้วว่า
เมื่อทำกรรมนี้จักสำเร็จความประสงค์ ดังนี้ก็ดี เราทำกรรมนี้แล้ว
จักได้เสวยกรรมในฐานะโน้น ดังนี้ก็ดี อัตตาคือตัวตนขาดสูญ ขาดสูญ.-
ด้วยดีแล้วก็ดี มีความสุขปราศจากความเดือดร้อนก็ดี บำเพ็ญศีลพรตได้
โดยสะดวกก็ดี นี้ชื่อว่า อุปาทาน.
บทว่า เจตนา ภโว - เจตนาเป็นภพ ได้แก่ เจตนา ดังกล่าว
แล้ว ในที่สุดแห่งการประมวลมา ชื่อว่า ภพ.
บทว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ - ในกรรมภพก่อน ได้แก่ เมื่อทำ
กรรมภพไว้ในอดีตชาติธรรมเหล่านี้เป็นไปแล้ว. บทว่า อิธ ปฏิสนฺธิยา
ปจฺจยา -
ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในภพนี้ ได้แก่ เป็น
ปัจจัยแห่งปฏิสนธิในปัจจุบัน.
บทว่า อิธ ปฏิสนฺธิ วิญฺญาณํ - ปฏิสนธิเป็นวิญญาณในภพนี้
ได้แก่ วิญญาณ ที่ท่านกล่าวว่า เป็น ปฏิสนธิ เพราะภพปัจจุบัน
เกิดด้วยสามารถแห่งการสืบต่อกันในระหว่างภพนั้น ชื่อว่า วิญญาณ.
บทว่า โอกฺกนฺติ นามรูปํ - ความก้าวลงเป็นนามรูป ได้แก่
ความก้าวลงในครรภ์แห่ง รูปธรรม และ อรูปธรรม ดุจมาแล้วเข้าไป
นี้ชื่อว่า นามรูป.

บทว่า ปสาโท อายตนํ - ประสาทคือความผ่องใส เป็น
อายตนะ ได้แก่ ความที่รูปผ่องใส นี้เป็นอายตนะ. ท่านทำเป็น
เอกวจนะโดยถือเอาชาติ. ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึงอายตนะ 5 มีจักขุ
เป็นต้น. พึงทราบว่า แม้มนายตนะเท่านี้ก็กล่าวด้วยคำว่า ปสาทะ
เพราะมนายตนะเป็นวิบากในที่นี้โดยพระบาลีว่า ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว
จิตฺตํ, ตญฺจ โข อาคนฺคุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ1 - ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลายจิตนี้ประภัสสร, ก็จิตนั้นแลเศร้าหมองด้วยอุปกิเลส
ที่จรมา
ดังนี้ ในพระบาลีนี้ ท่านประสงค์เอาภวังคจิต, และเพราะจิตนั้น
ผ่องใสด้วยความไม่มีสิ่งปฏิกูลด้วยกิเลส,
บทว่า ผุฏฺโฐ ผสฺโส - ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ ได้แก่ ส่วน
ที่ถูกต้องกระทบ เกิดอารมณ์ นี้ชื่อว่า ผัสสะ.
บทว่า เวทยิตํ เวทนา - การเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ได้แก่
การเสวยวิบากเกิดร่วมกับผัสสะ ด้วยปฏิสนธิวิญญาณก็ดี ด้วยสฬายตนะ
เป็นปัจจัยก็ดี นี้ชื่อว่า เวทนา.
บทว่า อิธุปปตฺติภวสฺมึ ปุเรกตสฺส กมฺมสฺส ปจฺจยา - ธรรม
5 ประการในกรรมภพก่อน เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้
ความว่า ธรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปด้วยปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในอดีต
ชาติ อันเป็นวิบากภพในปัจจุบัน.
1. องฺ. เอกก. 20/50.

บทว่า อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานํ - เพราะอายตนะทั้งหลาย
ในภพนี้แก่รอบ ท่านแสดงโมหะเป็นต้นในการทำกรรมของผู้มีอายตนะ
แก่รอบ.
บทว่า อายตึ ปฏิสนฺธิยา คือเป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิในอนาคต.
บทมีอาทิว่า อายตึ ปฏิสนฺธิ วิญฺณาณํ - ปฏิสนธิในอนาคตเป็น
วิญญาณ มีอรรถดังได้กล่าวแล้ว. ท่านถือเอาอาการ 20 เหล่านี้ ด้วย
องค์แห่งปฏิจจสมุปบาท 12 เป็นอย่างไร ? ท่านกล่าวธรรมทั้ง 2
เหล่านี้ โดยสรุปว่า อวิชฺชา สงฺขารา ดังนี้ ว่าเป็นเหตุในอดีต.
ก็เพราะไม่รู้แจ้ง จึงสะดุ้ง, สะดุ้งแล้วย่อมถือมั่น, เพราะการถือมั่น
ของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ, ฉะนั้น จึงเป็นอันท่านถือเอาแม่
ตัณหาอุปาทานและภพ ด้วยการถือเอาธรรมทั้งสอง คือ อวิชชาและ
สังขารเหล่านั้นด้วย. ท่านกล่าวถึงวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ
ผัสสะและเวทนา ในปัจจุบันโดยสรุป. ท่านกล่าวตัณหา อุปาทานและ
ภพ ว่าเป็นเหตุในปัจจุบัน โดยสรุป ก็เมื่อถือเอาภพแล้วก็เป็นอัน
ถือเอาสังขารทั้งหลาย อันเป็นส่วนเบื้องต้นของภพนั้นหรือสัมปยุตด้วย
ภพนั้น. อนึ่ง สังขารทั้งหลายสัมปยุตด้วยภพนั้น ด้วยการถือตัณหา
และอุปาทาน. อีกอย่างหนึ่ง ท่านถือเอา ตัณหา ที่คนลุ่มหลงทำ
กรรมว่า เป็น อวิชชา. ท่านกล่าวธรรมทั้ง 2 ว่า ชาติชรามรณะ
ในอนาคตโดยสรุป, ก็ด้วยการถือเอาชาติชรามรณะนั่นแล จึงเป็นอัน
ท่านถือผลในอนาคต 5 มีวิญญาณเป็นต้นนั่นเอง. เป็นอันท่านถือเอา

อาการ 20 ด้วยองค์ 12 แห่งปฏิจจสมุปบาทเหล่านั้น ด้วยบทว่า
ชาติชรามรณานิ ด้วยประการฉะนี้
อตีเต เหตุโย ปญฺจ อิทานิ ผลปญฺจกํ
อิทานิ เหตุโย ปญฺจ อายตึ ผลปญฺจกํ.
อาการ 20 แห่งปัจจยาการ คือ ธรรม
เป็นอดีตเหตุ 5 อย่าง ธรรมเป็นปัจจุบันผล 5 อย่าง
ธรรมเป็นปัจจุบันเหตุ 5 อย่าง ธรรมเป็นอนาคต
ผล 5 อย่าง.

ท่านกล่าวความแห่งคาถานั้นไว้แล้ว, บทว่า อิติเม แยกบทเป็น อิติ
เม.
ปาฐะว่า อิติ อิเม.
บทว่า จตุสงฺเขเป - มีสังเขป 4 ได้แก่ มีกอง 4. ธรรม
เป็นเหตุ 5 อย่าง ในอดีต เรียกว่า เหตุสังเขป อย่างหนึ่ง. ธรรม
เป็นผล 5 อย่าง ในปัจจุบันเรียกว่า ผลสังเขป อย่างหนึ่ง. ธรรม
เป็นเหตุ 5 อย่าง ในปัจจุบัน เรียกว่า เหตุสังเขป อย่างหนึ่ง.
ธรรมเป็นผล 5 อย่าง ในอนาคต เรียกว่า ผลสังเขป อย่างหนึ่ง.
บทว่า ตโย อทฺเธ ได้แก่ ในกาล 3. อดีตกาล พึงทราบ
ด้วยสามารถปัญจกะ คือ ธรรมหมวด 51 ที่ 1, ปัจจุบันกาลพึงทราบ
ด้วยสามารปัญจกะที่ 2 ที่ 3, อนาคตกาลพึงทราบด้วยสามารถปัญจกะ
ที่ 4,
1. ธรรมหมวด 5 นี้ คือวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน กรรมภพ.

บทว่า ติสนฺธึ - สนธิ 3 ชื่อว่า ติสันธิ เพราะอรรถว่ามี
ปฏิสนธิ 3, ซึ่งปฏิสนธิ 3 นั้น อธิบายว่า เหตุผลสนธิ อย่างหนึ่ง
มีในระหว่างแห่ง เหตุอดีต และ ผลปัจจุบัน, ผลเทตุสนธิ อย่าง
หนึ่งมีในระหว่างแห่ง ผลปัจจุบัน และ เหตุอนาคต, เหตุผลสนธิ
อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่ง เหตุปัจจุบัน และ ผลอนาคต.
แต่ด้วยสามารถมาแล้วโดยสรุปใน ปฏิจฺจสมุปฺปาทปาลิ มีดัง
นี้ อวิชชา สังขารา เป็นสังเขปที่ 1. วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ
ผัสส
และ เวทนา เป็นสังเขปที่ 2 ตัณหา อุปาทาน ภพ เป็นสังเขป
ที่ 3, ชาติ ชรามรณะ เป็นสังเขปที่ 4. องค์ 2 คือ อวิชชา และ สังขาร
เป็น อดีตกาล, ธรรม 8 มี วิญญาณ เป็นต้น มีภพเป็นที่สุด เป็น
ปัจจุบันกาล, องค์ 2 คือ ชาติ และ ชรามรณะ เป็น อนาคตกาล,
เหตุผลสนธิ อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่ง สังขาร และ วิญญาณ, ผล
เหตุสนธิ อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งเวทนาและตัณหา, เหตุผลสนธิ
อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งภพและชาติ.
บทว่า วีสติยา อากาเรหิ - อาการ 20 ได้แก่ โดยส่วน 20.
พึงเชื่อมความว่า พระโยคาวจรย่อมรู้ปฏิจจสมุปบาท มีสังเขป 4 กาล 3
สนธิ 3 ด้วยอาการ 20 ดังนี้.

บทว่า ชานาติ ได้แก่ ย่อมรู้ด้วยญาณ คือ การเริ่มเวทนาโดย
ทำนองเดียวกับสุตะ - การฟัง.
บทว่า ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นสิ่งที่รู้แล้วด้วยญาณดุจเห็น
ด้วยตา และทำให้ถูกต้องแล้วดุจมะขามป้อมบนฝ่ามือ.
บทว่า อญฺญาติ - ย่อมรู้ทั่ว ได้แก่ ทำอาเสวนะโดยอาการที่
เห็นแล้ว ชื่อว่า ย่อมรู้ด้วยญาณ. ความแห่งศัพท์ว่า มริยาทะ ในที่นี้
คือ อาการ.
บทว่า ปฏิวิชฺฌติ - ย่อมแทงตลอด ได้แก่ ให้ถึงความสำเร็จ
ด้วยการบำเพ็ญภาวนา ชื่อว่า ทำการแทงตลอดด้วยญาณ. อีกอย่าง
หนึ่งย่อมรู้ ด้วยสามารถแห่งลักษณะ, ย่อมเห็น ด้วยสามารถเป็นไป
กับด้วยกิจ, ย่อมรู้ทั่ว ด้วยสามารถแห่งอาการปรากฏ, ย่อมแทงตลอด
ด้วยสามารถแห่งปทัฏฐาน
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาโท พึงทราบว่า ได้แก่ ธรรมเป็นปัจจัย
ธรรมเป็นปัจจัย.
บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา ธมฺมา ได้แก่ ธรรมอันเกิดขึ้น
ด้วยปัจจัยนั้น ๆ. หากถามว่า รู้ได้อย่างไร ? แก้ว่า ด้วยพระพุทธ-
พจน์. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในเทศนาสูตรที่บัณฑิตกำหนด
ด้วยปฏิจจสมุปปาทะและปฏิจจสมุปปันนธรรมว่า

กตโม จ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท, ฯปฯ อยํ
วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปปาโท1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิจจสมุปบาท เป็น
ไฉน ? เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ, พระ-
ตถาคตทรงอุบัติก็ตาม ยังไม่ทรงอุบัติก็ตาม ธาตุ
นั้นเป็นธรรมฐิติ - ยังตั้งอยู่โดยธรรมดา เป็นธรรม
นิยาม - ความแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็นอิทัป-
ปัจจยตา - ความอาศัยกันเกิดขึ้นยังคงมีอยู่, พระ-
ตถาคตตรัสรู้บรรลุธรรมนั้น, ครั้นตรัสรู้แล้ว บรรลุ
แล้ว ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงตั้ง
ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงทำให้ง่าย ตรัสว่า
พวกเธอจงเห็น ดังนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะ
ชาติเป็นปัจจัยมีชราและมรณะ, เพราะภพเป็น
ปัจจัยจึงมีชราและมรณะ, เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขาร. พระตถาคตอุบัติก็ตาม ยังไม่อุบัติ
ตาม ฯลฯ ย่อมทำให้ง่ายตรัสว่า พวกเธอจง
เห็นดังนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็น
ปัจจัยจึงมีสังขาร. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายด้วยประการ

1. สํ. นิ. 16/61.

ฉะนี้แล ความจริงแท้แน่นอน ไม่เป็นอย่างอื่น
ชื่อว่า ความที่สิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลายนี้ ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท.


พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ จึง
ตรัสว่า ธรรมเป็นปัจจัยนั่นแล ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท โดยไวพจน์
มีคำว่า ตถาคตความเป็นของจริงแท้เป็นต้น. เพราะฉะนั้น ปฏิจจ-
สมุปบาท1 จึงมีการเป็นปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลายมีชราและมรณะเป็นต้น
เป็นลักษณะ, มีการผูกพันอยู่กับทุกข์เป็นรส, มีการเห็นผิดทางเป็นต้น
อาการปรากฏ, มีปัจจัยพิเศษของตนเป็นปทัฏฐาน เพราะแม้ตนเองก็มี
ปัจจัย.

บทว่า อุปฺปาทา วา อนุปฺปาทา วา ได้แก่ เมื่ออุบัติก็ตาม
เมื่อไม่อุบัติก็ตาม อธิบายว่า เมื่อพระตถาคต แม้อุบัติแล้ว แม้ยังไม่
อุบัติแล้ว ดังนี้.
1. มีลักขณาทิตจุตกะ ดังนี้.
1. ชรามรณาทีนํ ปจฺจยลกฺขโณ
2. ทุกฺขานุพนฺธนรโส
3. กุมฺมคฺคปจฺจุปฏฺฐาโน
4. สยมฺปิ สปจฺจยตฺตา อตฺตโน วิเสสปฺปจฺจยปาฏฺฐาโน.

บทว่า ฐิตา ว สา ธาตุ ได้แก่ สภาพของปัจจัยนั้นยังตั้งอยู่.
อธิบายว่า ในกาลไหน ๆ จะไม่มีปัจจัยของชาติชราและมรณะหามิได้
เลย.
บทว่า ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา อิทปฺปจฺจยตา - มีชาติเป็น
ปัจจัยนั่นเอง. ธรรมเกิดขึ้นเพราะปัจจัย กล่าวคือ ชราและมรณะ
ย่อมตั้งอยู่ได้ เพราะอาศัยธรรมนั้น เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชาติเป็น
ปัจจัย ย่อมกำหนดธรรมคือชราและมรณะ, เพราะฉะนั้น ชาติ ท่าน
กล่าวว่า ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา ดังนี้. ชาตินั่นแล เป็นปัจจัย
ของชราและมรณะนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อิทปฺปจฺจโย, อิทปฺ-
ปจฺจโย
นั่นแล ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา.
บทว่า ตํ คือ ปัจจัยนั้น. บทว่า อภิสมฺพุชฺฌติ คือ ย่อม
ตรัสรู้ด้วยญาณ. บทว่า อภิสเมติ คือ ย่อมบรรลุด้วยญาณ. บทว่า
อาจิกฺขติ คือ ย่อมกล่าว. บทว่า เทเสติ คือ ย่อมแสดง. บทว่า
ปญฺญาเปติ คือ ย่อมให้รู้. บทว่า ปฏิฐเปติ คือ ย่อมตั้งอยู่ในหัวข้อ
คือญาณ. บทว่า วิวรติ คือ ย่อมทรงเปิดเผยแสดง. บทว่า วิภชติ
คือ ย่อมทรงจำแนก. บทว่า อุตฺตานีกโรติ คือ ย่อมทำให้ปรากฏ.
บทว่า อิติ โข คือ ด้วยประการฉะนี้แล. บทว่า ยา ตตฺรุ ได้แก่
ความเป็นของจริงแท้แน่นอนไม่แปรผัน ในบทมีอาทิว่า ชาติปจฺจยา
ชรามรณํ.
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ.

ปฏิจจสมุปบาทนี้นั้น ท่านกล่าวว่า ตถตา - ความจริงแท้ เพราะ
ธรรมนั้น ๆ เกิดโดยไม่หย่อนไม่ยิ่งด้วยปัจจัยนั้น ๆ, ท่านกล่าว อวิต-
ถตา -
ความแน่นอน เพราะไม่มี ความไม่เกิดแห่งธรรมที่เกิดจากธรรม
นั้น แม้ครู่เดียวในปัจจัยที่เข้าถึงความพร้อมเพรียง, ท่านกล่าวว่า
อนญฺญถตา - ความไม่เป็นอย่างอื่น เพราะไม่มีธรรมอื่นเกิดขึ้นด้วย
ปัจจัยแห่งธรรมอื่น, ท่านกล่าวว่า อิทปฺปจฺจยตา - ความเป็นปัจจัย
แห่งธรรมนี้ เพราะเป็นปัจจัยแก่ชราและมรณะเป็นต้นเหล่านั้น หรือ
เพราะเป็นที่รวมปัจจัย.
ในบทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ปัจจัยแห่งธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า
อิทปฺปจฺจยา, อิทปฺปจฺจยานั้นแล ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา, อีกอย่าง
หนึ่ง การรวม อิทปฺปจฺจยา ทั้งหลายชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา. แต่
ในที่นี้ พึงทราบลักษณะโดยอรรถแห่งศัพท์.
จบ อรรถกถาธรรมฐิติญาณนิทเทส

สัมมสนญาณนิทเทส


[99] ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลายทั้งอดีต อนาคตและ
ปัจจุบันแล้วกำหนดไว้ เป็นสัมมสนญาณอย่างไร ?