เมนู

อัน เป็นข้าศึกแก่ความสงบแล้ว 1 เพราะอรรถว่าปฏิบัติสงบ 1 เพราะ
อรรถว่าไม่ปฏิบัติสงบ 1 เพราะปฏิบัติสงบแล้ว 1 เพราะไม่ปฏิบัติ
ไม่สงบแล้ว 1 เพราะอรรถว่าเพ่งความสงบ 1 เพราะอรรถว่าเผาธรรม
อันเป็นข้าศึกแก่ความสงบ 1 เพราะเพ่งความสงบแล้ว 1 เพราะเผา
ธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบแล้ว 1 เพราะอรรถว่าเป็นธรรมสงบ
เป็นสภาพเกื้อกูลและนำสุขมาให้ 1 สภาพในความเป็นสมาธิ
เหล่านี้รวมเป็น 25.
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถรู้ว่าธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะ
อรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการสรวมแล้ว
ตั้งไว้ดี เป็นสมาธิภาวนามยญาณ.

อรรถกถาสมาธิภาวนามยญาณนิทเทส


92] พึงทราบวินิจฉัยในสมาธิภาวนมยญาณนิทเทส ดังต่อ
ไปนี้ พระสารีบุตรเมื่อจะแสดงประเภทของสมาธิ ตั้งแต่หมวดหนึ่งๆ แต่
ต้นจนถึงหมวด 10 จึงกล่าวบทมีอาทิว่า เอโก สมาธิ อย่าง
หนึ่ง.
ในบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺตสฺส เอกคฺคตา - ความว่าชื่อว่า
เอกคฺโค เพราะอรรถว่ามีอารมณ์เลิศ คือ สูงสุดอย่างหนึ่ง เพราะ

ไม่มีความฟุ้งซ่านแห่งอารมณ์ต่างๆ, ความแห่งเป็น เอกคฺโคนั้น
ชื่อว่า เอกคฺคตา เพื่อแสดงความที่มีจิตมีอารมณ์หนึ่งนั้น ไม่ใช่สัตว์
ท่านจึงกล่าวว่า จิตฺตสฺส.
ในหมวด 2 บทว่า โลกิโย วัฏฏะท่านกล่าวว่า โลโก เพราะ
อรรถว่าแตกสลายไป, สมาธิประกอบแล้วในโลก โดยความเป็นสมาธิ
เนื่องอยู่ในวัฏฏะนั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า โลกิยะ.
บทว่า โลกุตฺตโร ชื่อว่า อุตตระ เพราะข้ามไปแล้ว, ชื่อว่า
โลกุตระ เพราะข้ามไปจากโลกโดยความเป็นสมาธิไม่เนื่องอยู่ในโลก
ในหมวด 3 ชื่อว่า สวิตกฺกสวิจาโร เพราะสมาธิมีวิตกและ
วิจาร. สมาธิไม่มีวิตกไม่มีวิจารก็ทำนองนั้น. ในสมาธิที่มีวิตกและวิจาร
ชื่อว่า วิจารมตฺโต เพราะอรรถว่ามีแต่วิจารเท่านั้นเป็นประมาณ
อธิบายว่า สมาธิไม่ถึงการประกอบร่วมกันกับด้วยวิตกยิ่งกว่าวิจาร. ชื่อว่า
อวิตกฺกวิจารมตฺโต เพราะสมาธินั้นไม่มีวิตกมีแต่วิจาร. แม้ใน 3 อย่าง
อาจารย์บางพวกก็ตัดออกไป. หมวด 4 หมวดมีอธิบายไว้แล้ว.
ในหมวด 6 สตินั่นแลเพราะเกิดขึ้นบ่อย ๆ จึงชื่อว่า อนุสติ,
อีกอย่างหนึ่งชื่อว่าอนุสติ เพราะสมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา
เพราะเป็นไปในฐานะที่ควรเป็นไปบ้าง, อนุสติ เกิดขึ้นปรารภถึง
พระพุทธเจ้า ชื่อว่า พุทธานุสติ. บทนี้เป็นชื่อของสติมีคุณของพระ

พุทธเจ้ามีพระอรหันต์เป็นต้นเป็นอารมณ์. ชื่อว่า อวิกฺเขโป เพราะ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ด้วยสามารถแห่งพุทธานุสตินั้นนั่นเอง ไม่
ฟุ้งซ่านโดยความเป็นปฏิปักษ์ของความฟุ้งซ่านอันได้แก่ อุทธัจจะ
อนุสติเกิดขึ้นเพราะปรารภ พระธรรม ชื่อว่าธรรมานุสติ. บท
นี้เป็นชื่อของสติมีคุณของพระธรรม มีความที่พระธรรมอันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้นเป็นอารมณ์.
อนุสติเกิดขึ้นปรารภพระสงฆ์ ชื่อว่า สังฆานุสติ, บทนี้เป็น
ชื่อของสติมีคุณของพระสงฆ์มีความที่พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้วเป็นต้น
เป็นอารมณ์.
อนุสติเกิดขึ้นปรารภศีล ชื่อว่า สีลานุสติ, บทนี้เป็นชื่อของ
สติ มีคุณของศีลมีความที่ศีลของตนไม่ขาดเป็นต้น.
อนุสติเกิดขึ้นปรารภจาคะ ชื่อว่า จาคานุสติ, บทนี้เป็นชื่อ
ของสติมีคุณของจาคะมีความที่ตนสละออกไปแล้ว.
อนุสติเกิดขึ้นปรารภเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่า เทวตานุสติ. บท
นี้เป็นชื่อของสติมีคุณของศรัทธาเป็นต้น ของตนเป็นอารมณ์ ตั้งเทวดา
ไว้ในฐานะเป็นพยาน.
ในหมวด 7 บทว่า สมาธิกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ
หลายประเภท โดยประเภทมีสมาธิอย่างเดียวเป็นต้นว่า นี้เป็นสมาธิ

อย่างนี้, นี้เป็นสมาธิอย่างนี้. บทนี้เป็นชื่อของปัญญากำหนดสมาธิ.
ความเป็นผู้ฉลาดโดยวิธีทำให้สมาธิเกิด เพราะเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ.
บทว่า สมาธิสฺส สมาปตฺติกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดใน
การเข้าสมาธิ ได้แก่ ความเป็นผู้ฉลาดในการเข้าสมาธิที่ทำให้เกิดแล้ว.
ด้วยบทที่เป็นอันท่านกล่าวถึงความเป็นผู้ชำนาญในการเข้าสมาธิ.
บทว่า สมาธิสฺส ฐิติกุสฺลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในการตั้ง
สมาธิ ได้แก่ ความเป็นผู้ฉลาดในการตั้งสมาธิที่เข้าแล้วตามความชอบ
ใจด้วยสามารถความสืบต่อกันไป. ด้วยบทนี้เป็นอันท่านกล่าวถึงความ
เป็นผู้ชำนาญในการตั้งใจ.
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อพระโยคาวจรนั้น ยังอาการเหล่านั้นให้ถึง
พร้อมด้วยการถือเอานิมิต ย่อมสำเร็จเพียงอัปปนาเท่านั้น, ไม่ยั่งยืน.
ส่วนฐานะที่ยั่งยืนย่อมมีได้ เพราะชำระธรรมอันเป็นอันตรายแก่สมาธิ
ไว้ด้วยดี. จริงอยู่ภิกษุใดข่มกามฉันทะ ด้วยการพิจารณาโทษของกาม
เป็นต้นไว้ด้วยดีไม่ได้ กระทำความยาบช้าทางกายด้วยกายปัสสัทธิ
ให้สงบด้วยดีไม่ได้, บรรเทาถีนมิทธะด้วยความใส่ใจถึง อารัมภธาตุ
คือความเพียรให้ดีไม่ได้. ถอนอุทธัจจะกุกกุจจะด้วยใส่ใจถึงสมถนิมิต
ให้ดีไม่ได้, ชำระธรรมอันเป็นอันตรายของสมาธิให้ดีไม่ได้ แล้วเข้า
ฌาน, ภิกษุนั้นย่อมออกจากฌานโดยเร็วทันที ดุจภมรเข้าไปยังที่อยู่

อันไม่สะอาด และพระราชาเสด็จเข้าไปสู่อุทยานที่แสนจะสกปรก ย่อม
ออกไปโดยเร็วพลัน.
ส่วนภิกษุใดชำระธรรมอันเป็นอันตรายแก่สมาธิได้ดร แล้วเข้า
ฌาน, ภิกษุนั้นย่อมเข้าฌานภายในสมาบัติได้ตลอดวันทั้งสิ้น ดุจภมร
เข้าไปยังที่อาศัยอันสะอาด, และพระราชาเสด็จเข้าไปยังอุทยานอัน
เรียบร้อย ย่อมอยู่ได้ตลอดวัน. ดังที่พระโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า
กาเมสุ ฉนฺทํ ปฏิฆํ วิโนทเย
อุทฺธจฺจถีนํ วิจิกิจฺฉปญฺจมํ,
วิเวกปามุชฺชกเรน เจตสา
ราชาว สุทฺธนฺตคโต ตหึ รเม.
พระโยคาวจรผู้มีจิตทำความปราโมทย์ในวิเวก
พึงบรรเทาความพอใจในกามทั้งหลาย ความเคียด-
แค้น ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ และความสงสัย
เป็นที่ 5, ดุจพระราชาเสด็จไปสู่สถานที่โดยเป็น
ระเบียบเรียบร้อย ทรงพึงพอพระทัย ณ ที่นั้น.

เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า อันพระโยคาวจรผู้ประสงค์
จะตั้งอยู่ตลอดกาลนาน พึงชำระธรรมอันเป็นข้าศึก แล้วจึงเข้าฌาน
เป็นอันท่านกล่าวถึงความเป็นผู้ฉลาดในการยังวิธีนั้นให้ถึงพร้อม แล้ว
จึงทำสมาธิให้ตั้งอยู่ได้นาน.

บทว่า สมาธิสฺส วุฏฺฐานกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในการ
ออกจากสมาธิ ได้แก่ ความเป็นผู้ฉลาดในการออกจากสมาธิ ด้วยการ
ออกตามเวลาที่กำหนดไว้แห่งสมาธิที่เป็นไปแล้วตามความพอใจด้วยการ
สืบต่อกันไป. พึงทราบว่าท่านทำเป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถแห่งปัญจมี
วิภัตติ ดุจในประโยคมีอาทิว่า ยสฺสาปิ ธมฺมํ ปุริโส วิชญฺญา1-
บุรุษพึงรู้แจ้งธรรมแม้จากผู้ใด. ด้วยบทนี้เป็นอันท่านกล่าวถึงความเป็น
ผู้ชำนาญในการออกจากสมาธิ.
บทว่า สมาธิสฺส กลฺลตากุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในความ
งามแห่งสมาธิ ความว่า ความเป็นผู้ไม่เจ็บไข้ ความเป็นผู้ไม่มีโรค
ชื่อว่า กลฺลตา. ความเจ็บไข้ท่านกล่าวว่า อกลฺลโก แม้ในวินัย
ท่านก็กล่าวไว้ว่า นาหํ ภนฺเต อกลฺลโก2- ท่านขอรับผมไม่เจ็บไข้.
ความเป็นผู้ฉลาดในการทำความไม่เจ็บไข้แห่งสมาธิ ด้วยความไม่มีความ
ปรารถนาอันลามก ซึ่งเป็นข้าศึกของการได้ฌานดังที่ท่านกล่าวไว้ใน
อนังคณสูตร และวัตถุสูตร3 และด้วยความปราศจากอุปกิเลสของจิตมี
อภิชฌาเป็นต้น, ท่านกล่าวว่า ความเป็นผู้ฉลาดในความงามของ
สมาธิ คือความเป็นผู้ฉลาดในความเป็นผู้ไม่มีความเจ็บไข้ คือกิเลส.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กลฺลตา ได้แก่ ความเป็นผู้ควรแก่การงาน
เพราะความที่คำว่า กลฺล เป็นไวพจน์ของกัมมัญญตา - ความเป็นผู้
1. ขุ. ชา. 27/1470. 2. วิ. มหาวิภังค 1/152. 3. ม.มู. 12/54.

ควรแก่การงาน. ดังที่ท่านกล่าวว่า ยา จิตฺตสฺส อกลฺยตา อกมฺ-
มญฺญตา1 -
ความที่จิตไม่สมประกอบ ความที่จิตไม่ควรแก่การงาน.
และว่า กลฺลจิตฺตํ มุทุจิตฺตํ วินีวรณจิตฺตํ2 - จิตควรแก่การงาน จิต
อ่อนโยน จิตปราศจากนิวรณ์. กลฺล ศัพท์ในบทนี้ มีความว่า
ควรแก่การงาน. เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวไว้ว่า ความเป็นผู้ฉลาดใน
การทำความคล่องแคล่วแห่งสมาธิด้วยการฝึกจิต โดยอาการ 14 อย่าง
เหล่านี้ คือ โดยอนุโลมแห่งกสิณ โดยปฏิโลมแห่งกสิณ 1 โดย
อนุโลมปฏิโลมแห่งกสิณ 2 โดยอนุโลมแห่งฌาน 1 โดยปฏิโลมแห่ง
ฌาน 1 โดยอนุโลมปฏิโลมแห่งฌาน 1 โดยการก้าวเข้าไปสู่ฌาน 1
โดยการก้าวเข้าไปสู่กสิณ 1 โดยการก้าวเข้าไปสู่ฌานและกสิณ 1 โดย
การก้าวไปสู่องค์ 1 โดยการก้าวไปสู่อารมณ์ โดยการก้าวไปสู่องค์
และอารมณ์ 15 โดยการกำหนดองค์ 1 โดยการกำหนดอารมณ์ 1 หรือ
โดยอาการ 15 เพิ่มบทว่า โดยกำหนดองค์และอารมณ์ 1.
บทว่า สมาธิสฺส โคจรกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในโคจร
แห่งสมาธิ ความว่า เป็นผู้ฉลาดในอารมณ์มีกสิณเป็นต้น อันเป็นโคจร
แห่งสมาธิในอารมณ์เหล่านั้น ด้วยการทำความนึกถึงตามความพอใจ
เพราะประสงค์จะเข้าฌานนั้น ๆ. ด้วยบทนี้เป็นอันท่านกล่าวถึงความเป็น
ผู้ชำนาญในการนี้ถึง ด้วยการนึกถึงกสิณ.
1. อภิ. สํ. 34/751. 2. วิ. มหา 4/26.

อีกอย่างหนึ่ง ความเป็นผู้ฉลาดในโคจรแห่งสมาธิด้วยสามารถ
การแผ่กสิณไปในทิศาภาคนั้น ๆ และด้วยสามารถการตั้งไว้นานแห่ง
กสิณที่ถูกต้องแล้วอย่างนี้.
บทว่า สมาธิสส อภินีหารกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดใน
การน้อมไปแห่งสมาธิ ความว่า ความเป็นผู้ฉลาดในการน้อมไปในการ
ทำสมาธิต่าง ๆ โดยนัยความเป็นอันเดียวกัน ด้วยการน้อมเข้าไปสู่ความ
เป็นสมาธิสูง ๆ. จริงอยู่ อุปจารฌานถึงความชำนาญ ย่อมน้อมเข้าไป
เพื่อประโยชน์แก่ปฐมฌาน หรือเพื่อประโยชน์แก่วิปัสสนา. ปฐมฌาน
เป็นต้นก็อย่างนั้น ย่อมน้อมเข้าไปเพื่อประโยชน์แก่ทุติยฌานเป็นต้น
หรือเพื่อประโยชน์แก่วิปัสสนา, จตุตถฌานย่อมน้อมไปเพื่อประโยชน์แก่
อรูปสมาบัติ หรือเพื่อประโยชน์แก่อภิญญา หรือเพื่อประโยชน์แก่
วิปัสสนา, อากาสานัญจายตนะย่อมน้อมเข้าไปเพื่อประโยชน์แก่วิญญา-
ณัญจายตนะเป็นต้น หรือเพื่อประโยชน์แก่วิปัสสนา ความเป็นผู้ฉลาด
ในการน้อมไปแห่งสมาธิในญาณนั้น ๆ อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้. ก็
เพราะปัญญา ชื่อว่าความเป็นผู้ฉลาด. ปัญญานั้นไม่ใช่สมาธิ. ฉะนั้น
พึงทราบว่า สมาธิ 7 อย่าง ท่านกล่าวด้วยสามารถปัญญานำไปสู่สมาธิ.
ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า บทว่า สมาธิกุสลตา - ความเป็น
ผู้ฉลาดในสมาธิ ได้แก่ ความเป็นผู้ฉลาดในความใส่ใจที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน.

บทว่า สมาปตฺติกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในสมาบัติ ได้แก่
ความเป็นผู้ฉลาดในความใส่ใจที่องค์ฌานปรากฏแก่ผู้เข้าฌาน.
บทว่า ฐิติกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในการตั้ง ได้แก่ ความ
รู้การออกจากนิวรณ์ในความใส่ใจที่สมาธิแน่นแฟ้นไม่ฟุ้งซ่าน.
บทว่า วุฏฐานกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในการออก ได้แก่
รู้การออกจากนิวรณ์ในปฐมฌาน, รู้การออกจากองค์ในฌาน 3, รู้การ
ออกจากอารมณ์ในอรูปสมาบัติ, รู้การออกจากความฟุ้งซ่านในลักษณะ
อันมีประมาณยิ่ง, รู้การออกจากความพอใจของตนในกาลมีที่สุดและใน
กาลมีกิจที่ควรทำครั้งสุดท้าย.
บทว่า กฺลลตกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในความงาม ได้แก่
รู้ว่าความเป็นผู้ฉลาดในความงามแห่งสมาธิ เพราะจิตสบาย ร่างกาย
สบาย อาหารสบาย เสนาสนะสบาย และบุคคลสบาย.
บทว่า โคจรกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในโคจร ได้แก่ รู้
เพื่อทำความกำหนดอารมณ์, รู้เพื่อทำความแผ่ไปยังทิศ, รู้เพื่อความ
เจริญ.
บทว่า อภินีหารกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในการน้อมเข้าไป
ได้แก่ น้อมนำจิตเข้าไปด้วยการใส่ใจโดยชอบในสมาธินั้น ๆ, เมื่อ
อุปจาระถึงความชำนาญแล้ว ย่อมนำจิตเข้าไปในปฐมฌาน, ย่อมนำจิต
เข้าไปในฌานสูง ๆ ในอภิญญา ในอรูปสมาบัติ และในวิปัสสนา.

อาจารย์ทั้งหลายย่อมพรรณนา ความแห่งบททั้งหลายเหล่านี้อย่างนี้ว่า
ความเป็นผู้ฉลาด ในการน้อมไปในสมาธินั้น ๆ ด้วยประการฉะนี้.
หมวด 8 มีอรรถดังกล่าวแล้ว. ในหมวด 9 บทว่า รูปาวจโร
ธรรมเป็นรูปเป็นไฉน? รูปาวจรเนื่องในรูปาวจรธรรม ดังที่ท่าน
กล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า เหฏฺฐโต พฺรหฺมโลกํ ปริยนฺตํ กริตฺวา
อุปริโต อกนิฏฺเฐ เทเว อนฺ โตกริตฺวา1
เบื้องล่าง ทำพรหมโลกใหัมี
ที่สุด เบื้องบนทำเทพชั้นอกนิฏฐ์เป็นที่สุด. ในข้อนี้มีวจนัตถะดังต่อไปนี้
นี้ ชื่อว่า รูปาวจร เพราะอรรถว่ารูป ได้แก่ รูปขันธ์ ย่อมเที่ยวไป
ในรูปภพนี้, ไม่ใช่กามภพ, เพราะว่าแม้รูปขันธ์ท่านก็กล่าวว่ารูป ดุจ
ในบทมีอาทิว่า รูปกฺขนฺโธ รูปํ 2- รูปขันธ์เป็นรูป. อนึ่ง รูปพรหมนั้น
มี 16 ชั้น คือ
พรหมปาริสัชชะ 1
พรหมปุโรหิต 1
มหาพรหม 1
ปริตตาภา 1
อัปปมาณาภา 1
อาภัสสรา 1
ปริตตสุภา 1
1. อภิ. สํ. 34/829. 2. อภิ. ยมก. 38/24

อัปปมาณสุภา 1
สุภกิณหา 1
อสัญญีสัตว์ 1
เวหัปผลา 1
อวิหา 1
อตัปปา 1
สุทัสสา 1
สุทัสสี 1
อกนิฏฐา 1.
ที่อยู่กล่าวคือรูปาวจรภพนั้นท่านกล่าวว่า รูป เพราะลบบทหลัง,
ชื่อว่า รูปาวจร เพราะเที่ยวไปในรูปนั้น. อีกอย่างหนึ่ง รูป คือ รูปภพ,
ชื่อว่า รูปาวจร เพราะเที่ยวไปในรูปภพนั้น. จริงอยู่ สมาธินี้เที่ยว
ไปแม้ในกามภพ แม้เมื่อเที่ยวไปในที่อื่น ท่านก็กล่าวว่า รูปาวจรภพ
เหมือนช้างได้ชื่อว่า สงฺคามาวจร เพราะเที่ยวไปในสงความ แม้
เที่ยวไปในเมืองก็เรียกว่าสังคามาวจร, เหมือนสัตว์ทั้งหลายเที่ยวไปบน
บก และเที่ยวไปในน้ำ แม้สัตว์เหล่านั้นจะอยู่ในที่ไม่ใช่บก ไม่ใช่น้ำ
ก็เรียกว่า เที่ยวไปบนบก เที่ยวไปในน้ำ ฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า รูปาวจร เพราะยังปฏิสนธิให้เที่ยวไปในรูปคือรูปภพ.

บทว่า หีโน - เลว ได้แก่ ลามก. ภพในท่ามกลางของสมาธิ
เลวและสมาธิสูง ชื่อว่า มชฺโฌ - มัชฌะ - ปาฐะว่า มชฺฌิโม - มัช-
ฌิมะบ้าง. ความอย่างเดียวกัน, สมาธิถึงความเป็นประธาน ชื่อว่า
ปณีโต - ประณีต ความว่าสูงที่สุด. พึงทราบสมาธิเหล่านั้นด้วยการ
ประกอบไว้. ในขณะประกอบ ฉันทะ วีริยะ จิตตะหรือวิมังสา ของ
สมาธิใดเลว, สมาธินั้นชื่อว่า หีนะ. ธรรมเหล่านั้นของสมาธิใดปาน
กลาง, สมาธินั้นชื่อว่า มัชฌิมะ. ของสมาธิใดประณีต สมาธินั้น
ชื่อว่า ปณีตะ, หรือสมาธิสักว่าให้เกิดขึ้นก็ชื่อว่า หีนะ, เจริญไม่
ค่อยดีนัก ชื่อว่า มัชฌิมะ, เจริญอย่างดียิ่งถึงความชำนาญ ชื่อว่า
ปณีตะ. อรูปาวจรสมาธิพึงทราบทำนองเดียวกับนัยดังกล่าวแล้วใน
รูปาวจรสมาธิ.

พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า สุญฺญโต สมาธิ ดังต่อไปนี้
เมื่อการออกจากมรรคเกิดแล้ว ด้วยอนัตตานุปัสนาของพระโยคาวจรผู้
เห็นตามลำดับแห่งวิปัสสนาว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา ทุกฺขา
อนตฺตา -
สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เพราะ
วิปัสสนานั้นเป็นไปแล้ว โดยความเป็นของสูญในสังขารทั้งหลายที่ไม่มี
ตัวตน, ฉะนั้นจึงชื่อว่า สุญญตา. อริยมรรคสมาธิ สำเร็จดัวย
สุญญตานั้น ชื่อว่า สุญญตสมาธิ, อธิบายว่า สมาธิที่เป็นไปแล้ว

ด้วยอำนาจแห่ง สุญญตะ. จริงอยู่ สมาธินั้นย่อมเป็นไปโดยอาการ
ที่วิปัสสนาเป็นไปแล้ว.
เมื่อการออกจากมรรคเกิดแล้วด้วย อนิจจานุปัสนา เพราะ
วิปัสสนานั้นเป็นไปแล้วด้วยเป็นปฏิปักษ์ต่อนิมิตว่าเที่ยง, ฉะนั้นจึงชื่อว่า
อนิมิตตวิปัสสนา. อริยมรรคสมาธิ สำเร็จด้วยวิปัสสนานั้น จึงชื่อว่า
อนิมิตตสมาธิ. อธิบายว่า สมาธิที่เว้นจากนิมิตที่เที่ยง. จริงอยู่ สมาธิ
นั้นย่อมเป็นไปด้วยอาการอันเป็นไปแล้วแห่งวิปัสสนา เมื่อการออกจาก
มรรค เกิดแล้วด้วย ทุกขานุปัสนา เพราะ วิปัสสนา นั้นเป็นไป
แล้วด้วยเป็นปฏิปักษ์ต่อความตั้งใจปรารถนา, ฉะนั้นจึงชื่อว่า อัปปณิ-
หิตสมาธิ,
อธิบายว่า สมาธิที่เว้นจากความตั้งใจปรารถนา. เพราะ
สมาธินั้นย่อมเป็นไปด้วยอาการเป็นไปแล้วด้วยวิปัสสนา. พึงทราบว่า
แม้ผลสมาธิ 3 ก็เป็นเช่นนั้น เป็นอันท่านถือเอาด้วยสมาธิ 3 เหล่านั้น.
แต่ท่านไม่ยกประเภทของสมาธิ มีสมาธิเลวเป็นต้น เพราะโลกุตรสมาธิ
เป็นสมาธิประณีต.
ในหมวด 10 พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า อุทฺธุมาตกสญฺ-
ญาวเสน
ด้วยสามารถความสำคัญศพที่อืด ชื่อว่า อุทฺธุมาตํ
เพราะขึ้นอืดด้วยความพองขึ้นพองขึ้นตามลำดับในเบื้องบน ด้วยลมดุจ
เครื่องสูบลม เพราะหมดชีวิต การขึ้นอืดนั่นแล ชื่อว่า อุทฺธุมาตกํ.

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อุทฺธุมาตกํ เพราะขึ้นอืดน่าเกลียด เพราะเป็น
สิ่งปฏิกูล, บทนี้เป็นชื่อร่างซากศพเห็นปานนั้น
สีที่แตกออกเรียก วินีลํ - เขียวน่าเกลียด
นั้นแล ชื่อว่า วินีลกํ. ชื่อว่า วินีลกํ เพราะสีเขียวน่าเกลียดเพราะ
เป็นสิ่งปฏิกูล. บทนี้เป็นชื่อของร่างซากศพ มีสีแดงในที่ที่มีเนื้อสมบูรณ์,
มีสีขาวในที่ที่อมหนอง, โดยมากมีสีเขียวในที่ที่มีเขียว คล้ายห่มผ้าสี
เขียว.
หนองไหลในที่ที่ผิวแตก ชื่อว่า วิปุพฺพํ, หนองไหลนั่นแล
ชื่อว่า วิปุพฺพกํ. ชื่อว่า วิปุพฺพกํ เพราะหนองน่าเกลียด เพราะ
เป็นสิ่งปฏิกูล. บทนี้เป็นชื่อของร่างซากศพเห็นปานนั้น
ศพที่คลุมไว้โดยขาดออกเป็น 2 ท่อน ท่านเรียก วิจฺฉิทฺทํ,
ศพขาดเป็นท่อนนั่นแล ชื่อว่า วิจฺฉิทฺทกํ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
วิจฺฉิทฺทกํ เพราะศพขาดเป็นท่อนน่าเกลียด เพราะเป็นสิ่งปฏิกูล. บท
นี้เป็นชื่อของร่างซากศพที่ขาดกลาง.
ซากศพชื่อว่า วิกฺขยิตํ เพราะถูกสุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอก
เป็นต้นกัด โดยอาการต่าง ๆ ข้างนี้และข้างโน้น, เมื่อควรกล่าวว่า
วิกฺขายิตํ ท่านกล่าวว่า วิกฺขายิตกํ - ซากศพที่ถูกสัตว์กัด, อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า วิกฺขายิตกํ เพราะซากศพถูกสัตว์กัดน่าเกลียดเพราะเป็นสิ่งปฏิกูล.
นี้เป็นชื่อของร่างซากศพเห็นปานนั้น.

ซากศพที่กระจายไปในที่ต่าง ๆ ชื่อว่า วิกฺขิตฺตํ, ซากศพที่
กระจายไปนั่นแล ชื่อว่า วิกฺขิตฺตกํ, ชื่อว่า วิกฺขิตฺตกํ เพราะซาก-
ศพกระจายไปน่าเกลียดเพราะเป็นสิ่งปฏิกูล. บทนี้เป็นชื่อของซากศพ
ที่กระจายไปจากที่นั้น ๆ อย่างนี้ คือ มือไปข้างหนึ่ง เท้าไปข้างหนึ่ง
ศีรษะไปข้างหนึ่ง.
ซากศพชื่อว่า หตวิกฺขิตฺตกํ เพราะซากศพนั้นถูกฟันและ
กระจัดกระจายไปโดยนัยก่อนนั่นแล. บทนี้เป็นชื่อของซากศพที่ถูกฟัน
ด้วยศัสตราที่อวัยวะน้อยใหญ่ โดยอาการเหมือนตีนกาแล้วกระจัดกระ-
จายไปโดยนัยดังกล่าวแล้ว.
ซากศพชื่อว่า โลหิตกํ เพราะโลหิตไหลเรี่ยราดไปข้างโน้น
ข้างนี้. บทนี้เป็นชื่อของร่างซากศพที่เปรอะเปื้อนโลหิตไหลเรี่ยราดไป.
ซากศพชื่อว่า ปุฬุวกํ เพราะหนอน ท่านเรียกว่า ปุฬุวา,
โลหิตกระจายไปบนหนอน. บทนี้เป็นชื่อของร่างซากศพที่เต็มไปด้วย
หนอน.
กระดูกนั่นแล ชื่อว่า อฏฺฐิกํ, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อฏฺฐิกํ
เพราะกระดูกน่าเกลียด เพราะเป็นสิ่งปฏิกูล. บทนี้เป็นชื่อของโครง-
กระดูกบ้าง ของกระดูกชิ้นเดียวบ้าง ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อของนิมิตที่เกิด
เพราะอาศัยซากศพที่เป็น อุทธุมตกะ เป็นต้นบ้าง ของฌานที่ได้
แล้วในนิมิตทั้งหลายบ้าง. แต่ในอุทธุมาตกนิมิตนี้ สัญญาที่เกิดด้วย

สามารถอัปปนากำหนดเอาอาการที่น่าเกลียด ชื่อว่า อุทธุมาตกสัญญา,
ด้วยสามารถแห่ง อุทธุมาตกสัญญา นั้น ชื่อว่า อุทธุมาตกสัญญา-
วสะ
. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้แล. บทว่า ปญฺจปญฺญาส สมาธี
สมาธิ 55 ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งธรรมหมวดหนึ่งเป็นต้น.
93] พระสารีบุตรครั้นแสดงถึงประเภทของสมาธิด้วยสามารถ
หมวดหนึ่งเป็นต้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ประสงค์จะแสดงสมาธิโดยปริยาย
แม้อื่นจึงแสดงปรารภปริยายอื่น อปิจ ดังนี้แล้วกล่าวบทมีอาทิว่า
ปญฺจวีสติ - 25. ในบทเหล่านั้นบทว่า สมาธิสฺส สมาธิฏฺฐา คือ
สภาพในความเป็นสมาธิแห่งสมาธิ, สมาธินั้นย่อมมีได้โดยสภาพใด,
สภาพเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นประโยชน์ในสมาธินั้น.
บทว่า ปริคหฏเฐน สมาธิ คือ เพราะสมาธิอันอินทรีย์มี
สัทธินทรีย์ เป็นต้น กำหนดถือเอา ฉะนั้น ชื่อว่า สมาธิ โดยสภาพ
อัน สัทธินทรีย์ เป็นต้น กำหนดถือเอา. อนึ่ง อินทรีย์เหล่านั้น
นั่นแล ย่อมเป็นบริวารของกันและกัน, และย่อมเป็นอินทรีย์บริบูรณ์
ด้วยการบำเพ็ญภาวนา. เพราะฉะนั้น ชื่อว่าสมาธิ เพราะอรรถว่า
อินทรีย์เป็นบริวารของกันและกัน เพราะอรรถว่า สัทธินทรีย์เป็นต้น
บริบูรณ์. เพราะอรรถว่ามีอารมณ์เป็นอันเดียว เพราะเพ่งอารมณ์เดียว
ด้วยอำนาจสมาธิแห่งอินทรีย์เหล่านั้น, เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน
เพราะเพ่งความไม่มีความฟุ้งซ่านในอารมณ์ต่าง ๆ, พึงทราบว่า ท่านไม่

ถืออรรถว่ากำหนดถือเอาความเที่ยง และอรรถว่าไม่แส่ไปไว้ในที่นี้ใน
ภายหลัง เพราะควรบรรลุด้วยการกำหนดถือวีริยพละใหญ่แห่งโลกุตระ
นั่นเอง และเพราะไม่มีความแส่ไปด้วยความเสื่อมแห่งโลกุตรมรรค.
ชื่อว่าสมาธิ เพราะอรรถว่า ไม่ขุ่นมัวโดยไม่มีกิเลสเกิดขึ้น. ชื่อว่าสมาธิ
เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว เพราะความไม่หวั่นไหว, ชื่อว่าสมาธิ
เพราะอรรถว่า หลุดพ้นจากกิเลส เพราะพ้นจากกิเลสด้วยการข่มไว้
หรือด้วยการตัดเด็ดขาด และเพราะน้อมไปในอารมณ์.

บทว่า เอกตฺตุปฏฺฐานวเสน จิตฺตสฺส ฐิตตฺตา เพราะความ
ที่จิตตั้งอยู่ด้วยสามารถความตั้งมั่นในความเป็นจิตมีอารมณ์เดียว ความ
ว่า เพราะความที่จิตตั้งมั่นโดยไม่หวั่นไหวในอารมณ์แห่งจิต ด้วยสามารถ
การตั้งมั่นอย่างหนักในอารมณ์เดียว ด้วยการประกอบสมาธินั่นเอง.
พึงทราบว่า ในคู่ 8 ท่านกล่าวถึงคู่ เหล่านี้ คือ ย่อมแสวงหา
ย่อมไม่แสวงหา คู่ที่ 1, ย่อมถือเอา ย่อมไม่ถือเอา คู่ที่ 2 ย่อมปฏิบัติ
ย่อมไม่ปฏิบัติคู่ที่ 3 ด้วยความไม่เหลือแห่งจิตที่น้อมไปในท่ามกลาง
ความอ่อนแห่งอุปจาระในส่วนเบื้องต้นจากวิถีแห่งอัปปนา, พึงทราบ
บทนี้ว่า ฌายติ ฌาเปติ - ย่อมเพ่ง ย่อมเผา ด้วยสามารถอุปจาระ
ในวิถีแห่งอัปปนา. พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงคู่ 4 เหล่านี้ คือ เพราะ
แสวงหา เพราะไม่แสวงหา คู่ที่ 1, เพราะยึดมั่น เพราะไม่ยึดมั่น

คู่ที่ 2, เพราะปฏิบัติแล้ว เพราะไม่ปฏิบัติแล้ว คู่ที่ 3, เพราะเผาแล้ว
เพราะไม่เผาแล้ว คู่ที่ 4 ด้วยสามารถแห่งอัปปนา.
ในบทเหล่านั้นบทว่า สมํ ในบทมีอาทิว่า สมํ เอสตีติ สมาธิ
ได้แก่ อัปปนา. จริงอยู่ อัปปนานั้น ชื่อว่า สมา เพราะสงบ คือ
ยังธรรมเป็นข้าศึกให้ฉิบหายไป, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สมา เพราะ
เกิดจากความไม่มีความไม่สงบอันเป็นข้าศึก. สมาธิย่อมแสวงหาความ
สงบนั้น คือ ย่อมแสวงหาด้วยอัธยาศัย. อิติ ศัพท์ เป็น การณัตถะ
แปลว่า เพราะเหตุนั้น, อธิบายว่า เพราะแสวงหาความสงบ ฉะนั้น
จึงชื่อว่า สมาธิ. บทว่า วิสมํ เนสติ ความว่า ไม่แสวงหาความ
ไม่สงบ อันเป็นข้าศึกของฌานนั้นๆ.

จริงอยู่ สมาธิอันเป็นส่วนเบื้องต้นเป็นสมาธิก่อน ชื่อว่าย่อม
แสวงหาความสงบ, ไม่แสวงหาความไม่สงบ เพราะเป็นสมาธิต้น.
สมาธิเป็นกลาง ชื่อว่าย่อมถือเอาความสงบ, ไม่ถือเอาความไม่สงบ
เพราะเป็นสมาธิมั่นคง.
สมาธิมีประมาณยิ่ง ชื่อว่าย่อมปฏิบัติความสงบ, ไม่ปฏิบัติความ
ไม่สงบ เพราะเป็นสมาธิใกล้วิถีแห่งอัปปนา.
บทว่า สมํ ฌายติ เป็นภาวนปุงสกะ ความว่า เป็นความสงบ
จึงเพ่ง, หรือ เพ่งด้วยอาการสงบ, จริงอยู่ สมาธิในวิถีแห่งอัปปนา

ย่อมเป็นไปโดยอาการสงบ เพราะสงบโดยปราศจากธรรมอันเป็นข้าศึก
และเพราะตั้งอยู่ด้วยความเป็นสมาธิเกื้อหนุนอัปปนาอันสงบแล้ว.
บทว่า ฌายติ มีความรุ่งเรือง ดุจในประโยคมีอาทิว่า ประทีป
ในพลับพลาเหล่านี้ ย่อมรุ่งเรือง1ตลอดคืน, และประทีปน้ำมัน ย่อม
รุ่งเรืองตลอดคืน, ประทีปน้ำมันพึงรุ่งเรือง2ในพลับพลานี้. ปาฐะว่า
สมํ ชายติ บ้าง ความว่า สมาธิย่อมเกิดด้วยอาการสงบ, ปาฐะก่อน
ดีกว่า เพราะความเป็นคู่ว่า ฌายติ ฌาเปติ - เพ่งความสงบ เผา
ความไม่สงบ.
อนึ่ง บทว่า ฌาเปติ - เอาความว่าเผา. เพราะว่าสมาธินั้น
ชื่อว่าย่อมเผาธรรมเป็นข้าศึกด้วยทำให้ไกลกว่า. ท่านกล่าวอัปปนาสมาธิ
ด้วยบทมีอาทิว่า เอสิตตฺตา เนสิตตฺตา - เพราะแสวงหา เพราะไม่
แสวงหา เพราะการแสวงหาและการไม่แสวงหาเป็นต้น สำเร็จด้วย
อัปปนา.
บทว่า สมํ ฌาตตฺตา - เพราะเพ่งความสงบ, คือ เพราะ
รุ่งเรืองเสมอ. ปาฐะว่า สมํ ชาตตฺตา - เพราะเกิดเสมอบ้าง. ความ
เป็นสมาธิแห่งสมาธิ 25 เหล่านี้ คือ สมาธิ 6 ด้วยสามารถแห่งคู่ 8
เหล่านี้, และสมาธิ 9 มีข้างต้น.
1. ที. สี. 9/92 2. สํ. นิ. 16/201.

ก็บทนี้ว่า สโม จ หิโต จ สุโข จา สมาธิ ชื่อว่าสมาธิ
เพราะเป็นธรรมสงบ เป็นสภาพเกื้อกูล และเป็นความสุข ท่าน
กล่าวเพื่อให้สำเร็จประโยชน์แห่งสมาธิอันสำเร็จแล้วด้วยอาการ 25.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สโม มีความแห่ง สม ศัพท์, หรือ สํ
ศัพท์
จริงอยู่ สมาธินั้น ชื่อว่า สโม เพราะเว้นจากความไม่สงบ
อันกำเริบที่เป็นข้าศึก.
บทว่า หิโต มีความแห่ง อธิ ศัพท์. อธิบายว่าตั้งอยู่ในอารมณ์
คือ ให้ตั้งอยู่ด้วยทำความไม่หวั่นไหว. ท่านอธิบายว่า ด้วยบททั้ง 2
ชื่อว่าสมาธิ เพราะสงบและตั้งมั่น.
บทว่า สุโข ชื่อว่า สุโข เพราะอรรถว่า สงบ. แม้สมาธิ
สหรคตด้วยอุเบกขา ท่านก็ถือเอาด้วย สุข ศัพท์. มีอรรถว่าสงบเพราะ
ท่านกล่าวไว้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญอทุกขมสุขเวทนา พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสไว้ในความสงบ คือ ในความสุขอันประณีต และอุเบกขาท่าน
กล่าวว่าเป็นความสุขเพราะสงบ. ท่านกล่าวสมาธิทั้งหมดไว้ในที่นี้โดย
ไม่มีกำหนด. จึงเป็นอันท่านกล่าวเหตุของความตั้งมั่นด้วย สุข ศัพท์
1. ม. มู. 13/98

นั้น. พึงทราบคำอธิบายว่า เพราะสมาธิเป็นความสงบ, ฉะนั้น สมาธิ
จึงตั้งมั่นในอารมณ์เดียว ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาสมาธิภาวนามยญาณนิทเทส

ธรรมฐิติญาณนิทเทส


[94] ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรมฐิติญาณอย่างไร ?
ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า อวิชชาเป็นเหตุเกิด เป็นเหตุให้เป็น
ไป เป็นเหตุเครื่องหมาย เป็นเหตุประมวลมา เป็นเหตุประกอบ
ไว้ เป็นเหตุพัวพัน เป็นเหตุให้เกิด เป็นเหตุเดิม และเป็น
เหตุอาศัยเป็นไปแห่งสังขาร ด้วยอาการ 9 อย่าง อวิชชาจึงเป็นปัจจัย
สังขารเกิดขึ้นแห่งปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ ต่างก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย ดังนี้
เป็นธรรมฐิติญาณ.
ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาล
ก็ดี อวิชชาเป็นเหตุเกิด . . . และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งสังขารด้วย
อาการ 9 อย่างนี้ อวิชชาจึงเป็นปัจจัย สังขารเกิดขึ้นแต่ปัจจัย แม้
ธรรมทั้งสองนี้ ต่างก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.
ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า สังขารเป็นเหตุเกิด. . . และเป็น
เหตุอาศัย เป็นไปแห่งวิญญาณ ฯลฯ วิญญาณเป็นเหตุเกิด . . . และ