เมนู

อรรถกถาสัจปกิณกะ


ก็ในสัจจะ 4 เหล่านั้น ทุกขสัจจะ มีลักษณะเบียดเบียน.
สมุทยสัจจะ มีลักษณะเป็นแดนเกิด, นิโรธสัจจะ มีลักษณะสงบ,
มรรคสัจจะ มีลักษณะนำออก, อีกอย่างหนึ่ง อริยสัจมีปวัตติ- การ
เป็นไป มีปวัตตกะ-ผู้ให้เป็นไป มีนิวัตติ-การไม่เป็นไป และมี
นิวัตตกะ-เหตุไม่เป็นไป เป็นลักษณะโดยลำดับ และมีสังขตะคือทุกข์
มีตัณหา คือเหตุให้เกิดทุกข์ มีอสังขตะ คือนิพพาน และมีทัศนะ คือ
มรรคเป็นลักษณะเหมือนกัน
หากมีคำถามว่า ก็เพราะเหตุไรท่านจึงกล่าวอริยสัจ 4 ไม่หย่อน
ไม่ยิ่ง. เพราะไม่มีอย่างอื่น และเพราะไม่ควรทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
ออกไป. เพราะว่าสิ่งอื่น หรือยิ่งไปกว่านี้ หรืออริยสัจเหล่านั้นจะพึง
นำออกแม้อย่างเดียว ไม่มี.
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์
พึงมาในที่นี้ กล่าวว่า ข้อที่พระสมณโคดมแสดง
ไม่ใช่ทุกขอริยสัจ ทุกขอริยสัจเป็นอย่างอื่นนั้น,
เราจักบัญญัติทุกขอริยสัจอย่างอื่น เว้นทุกขอริย-
สัจ 4 ดังนี้ ข้อนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ดังนี้เป็นต้น.

ตรัสไว้อีกว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์
เหล่าใดเหล่าหนึ่ง พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้อที่พระ
สมณโคดมแสดงว่านี้มิใช่ทุกข์ อันเป็นอริยสัจ
ข้อที่ 1, เราจักบัญญัติทุกข์อื่นอันเป็นอริยสัจ
ข้อที่ 1 โดยบอกปัดทุกข์นี้อันเป็นอริยสัจข้อที่ 1.
เสียดังนี้ ข้อนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ดังนี้เป็นต้น1.

อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงบอกปวัตติ-ความ
เป็นไป จึงทรงบอกพร้อมด้วยเหตุ, และบอกนิวัตติ คือพระนิพพาน
พร้อมด้วยอุบาย คือมรรค. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
อริยสัจ 4 โดยเป็นธรรมอย่างยิ่งไปกว่านั้นแห่งเหตุทั้ง 2 ประการ คือ
ของปวัตติ- ความเป็นไปและนิวัตติ - การกลับไป.
อนึ่ง ท่านกล่าวถึงอริยสัจ 4 ด้วยสามารถแห่งตัณหาวัตถุ ตัณหา
ตัณหานิโรธ และอุบายดับตัณหา, และความอาลัย ยินดีในความอาลัย
ถอนความอาลัย และอุบายในการถอนความอาลัย, อันควรกำหนดรู้
ควรละ ควรทำให้แจ้ง และควรทำให้เกิด.
อนึ่ง ในอริยสัจนี้ท่านกล่าว ทุกขสัจ เป็นข้อที่ 1 เพราะ
ทุกขสัจ รู้ได้ง่าย เพราะเป็นของหยาบ และเพราะเป็นของทั่วไปแก่
1. สํ. มหา. 19/1193.

สัตว์ทั้งปวง. เพื่อแสวงถึงเหตุแห่งทุกขสัจนั้น ท่านจึงกล่าว สมุทยสัจ
ในลำดับต่อไป, เพื่อไห้รู้ว่าการดับผลได้ เพราะดับเหตุ จึงกล่าว
นิโรธสัจ ต่อจากนั้น, เพื่อแสดงอุบายให้บรรลุ นิโรธสัจ นั้น จึง
กล่าว มรรคสัจ ในที่สุด . อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวถึง ทุกขสัจ ก่อน
เพื่อให้เกิดความสังเวชแก่สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกมัดด้วยความพอใจ ความ
สุขในภพ ทุกข์นั้นบุคคลไม่ทำแล้วย่อมไม่มาถึง, ย่อมไม่มีโดยไม่ถือตัว
ว่าเป็นใหญ่เป็นต้น, แต่ย่อมมีได้ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้รู้ดังนี้ท่านจึงกล่าว
สมุทยสัจ ในลำดับจากทุกขสัจนั้น เพื่อให้เกิดความปลอดโปร่งใจ.
ด้วยการเห็นอุบายสลัดออกของผู้แสวงหาอุบายสลัดออกจากทุกข์ มี
ความสลดใจ เพราะถูกทุกข์พร้อมด้วยเกตุครอบงำ ท่านจึงกล่าว
นิโรธสัจ ต่อจากนั้น, จากนั้นเพื่อบรรลุนิโรธท่านจึงกล่าว มรรค
อันให้ถึงนิโรธ นี้เป็นลำดับของอริยสัจเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง ในอริยสัจเหล่านี้ควรเห็น ทุกขสัจ ดุจเป็นภาระ, ควร
เห็น สมุทยสัจ ดุจแบกภาระ, ควรเห็น นิโรธสัจ ดุจการวางภาระ,
ควรเห็น มรรคสัจ ดุจอุบายวางภาระ.
อีกอย่างหนึ่ง ควรเห็น ทุกขสัจ ดุจโรค, ควรเห็น สมุทย-
สัจ
ดุจเหตุของโรค, ควรเห็น นิโรธสัจ ดุจโรคสงบ, ควรเห็น
มรรคสัจ ดุจเภสัช. อีกอย่างหนึ่ง ควรเห็น ทุกขสัจ ดุจข้าวยาก

หมากแพง, ควรเห็น สมุทยสัจ ดุจฝนแล้ง, ควรเห็น นิโรธสัจ
ดุจข้าวปลาหาง่าย, ควรเห็น มรรคสัจ ดุจฝนตกต้องตามฤดูกาล.
อีกอย่างหนึ่ง พึงประกอบอริยสัจเหล่านี้แล้ว พึงทราบโดย
เปรียบเทียบด้วยคนมีเวร เหตุของเวร การถอนเวร อุบายการถอนเวร,
ด้วยต้นไม้มีพิษ รากต้นไม้ การทำลายราก และอุบายทำลายรากนั้น,
ด้วยภัย เหตุของภัย ความไม่มีภัยและอุบายบรรลุถึงความไม่มีภัยนั้น,
ด้วยฝั่งใน ห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งนอก และความพยายามให้ถึงฝั่งนอกนั้นด้วย
ประการฉะนี้.
อนึ่ง พึงทราบสัจจะเหล่านี้ทั้งหมดโดยปรมัตถ์ว่า สูญ เพราะ
ไม่มีผู้เสวย ผู้ทำ ผู้ดับ และผู้ไป. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
ทุกฺขเมว หิ น โกจิ ทุกฺขิโต
การโก น กิริยาว วิชฺชติ,
อตฺถิ นิพพุติ น นิพพุโต ปุมา
มคฺคมตฺถิ คมโก น วิชฺชติ.

ความจริงทุกข์เท่านั้นมีอยู่ แต่ไม่มีใครๆถึง
ทุกข์ กิริยาคือการทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี, ความดับ
มีอยู่ แต่คนดับไม่มี ทางมีอยู่ แต่ผู้เดินไม่มี.

อึกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า

ธุวสุภสุขตฺตสุญฺญํ ปุริมทฺวยมตฺตสุญฺญมมตํ ปทํ
ธุวสุตฺตวิรหิโต มคฺโค อิติ สุญฺญตา เตสุ.
ความว่างในสัจจะ 4 เหล่านั้น พึงทราบ
อย่างนี้ว่า สัจจะ 2 บทแรกคือทุกข์สมุทัย ว่าง
จากความเที่ยง ความงาม ความสุข และอัตตา
อมตบท คือพระนิพพาน ว่างจากอัตตา มรรค
ว่างจากความยั่งยืน ความสุข และอัตตา
ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง สัจจะ 3 อย่างสูญจากนิโรธ, และนิโรธก็สูญ
จากสัจจะ 3 อย่างที่เหลือ. อีกอย่างหนึ่ง ในสัจจะ 4 เหล่านี้ เหตุสูญ
จากผล เพราะไม่มีทุกข์ในสมุทัย, และไม่มีนิโรธในมรรค, เหตุไม่
ร่วมครรภ์กับผล ดุจปกติของลัทธิทั้งหลาย มีปกติวาทีเป็นต้น อนึ่ง
ผลก็สูญจากเหตุ เพราะทุกข์สมุทัย และนิโรธมรรคไม่ได้เสมอกัน,
ผลนั้นมิได้เป็นอย่างเดียวกับเหตุ แต่เป็นเหตุเป็นผล ดุจสองอณูของ
ลัทธิทั้งหลายมีสมวายวาทีเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
ตยมิธ นิโรธสุญฺญํ ตเยน เตนาปิ นิพฺพุตี สุญฺญา
สุญฺโญ ผเลน เหตุ ผลมฺปิ ตํเหตุนา สุญญํ.
ในที่นี้สัจจะ 3 อย่าง สูญจากนิโรธ นิโรธ
ก็สูญจากสัจจะ 3 อย่างแม้นั้น สัจจะที่เป็นเหตุ

สูญจากสัจจะที่เป็นผล แม้สัจจะที่เป็นผล ก็สูญ
จากสัจจะที่เป็นเหตุนั้น
ดังนี้.
สัจจะทั้งหมดเป็นสภาคะของกันและกัน โดยความจริงแท้ โดย
สูญจากตัวตน และโดยแทงตลอดสิ่งที่ทำได้ยาก ดังที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสว่า
ดูก่อนอานนท์ เธอย่อมสำคัญความข้อนั้น
เป็นอย่างไร, อย่างไหนจะทำได้ยากกว่ากันหรือ
จะให้เกิดขึ้นได้ยากกว่ากัน คือการที่ยิงลูกศรให้
เข้าไปติดๆ กันทางช่องดาลอันเล็ก แต่ที่ใกล้ได้
ไม่ผิดพลาด กับการที่บุคคลแทงปลายขนทราย
ด้วยปลายขนทรายที่แบ่งออกแล้วเป็น 7 ส่วน.1
พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
การแทงปลายขนทราย ด้วยปลายขนทรายที่แบ่ง
ออกแล้วเป็น 7 ส่วน กระทำได้ยากกว่า และ
ให้เกิดได้ยากว่า พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์
ชนเหล่าใด ย่อมแทงตลอดตามความเป็นจริงว่านี้

1.สี. ม. เป็นสตธา ร้อยส่วน.

ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ชนเหล่านั้น
ย่อมแทงตลอดได้ยากกว่าโดย1แท้ ดังนี้.

สัจจะทั้งหลายเป็นวิสภาคะกันเพราะกำหนดด้วยลักษณะของ
ตน. สัจจะสองข้างต้นเป็นสภาคะกัน ด้วยอรรถว่าเรียนรู้ยากเพราะลึกซึ้ง
เพราะเป็นโลกิยะ และเพราะมีอาสวะ, เป็นวิสภาคะกัน เพราะต่างเป็น
เหตุผลกัน และเพราะควรกำหนดรู้และควรละ. แม้สองข้อหลังก็เป็น
สภาคะกันด้วยความเป็นธรรมลึกซึ้ง เพราะเรียนรู้ได้ยาก เพราะเป็น
โลกุตระ และเพราะไม่มีอาสวะ, เป็นวิสภาคะกัน เพราะต่างก็เป็นใหญ่
ในวิสัย และเพราะควรทำให้แจ้ง ควรทำให้เกิด. แม้ข้อที่ 1 และ
ข้อที่ 3 ก็เป็นสภาคะกันโดยอ้างถึงผล, เป็นสภาคะกันโดยเป็นสังขตะ
และอสังขตะ. แม้ข้อที่ 2 และข้อที่4 ก็เป็นวิสภาคะกันโดยอ้างถึงเหตุ
เป็นวิสภาคะกันโดยเป็นกุศลและอกุศลส่วนเดียว สัจจะที่ 1 และที่ 4
เป็นสภาคะกัน เป็นสังขตธรรมด้วยกัน, เป็นวิสภาคะกันโดยเป็นโลกิยะ
และโลกุตร ธรรมข้อที่ 2 และข้อที่ 3 ก็เป็นสภาคะกันโดยความเป็น
เสกขะก็ไม่ใช่ อเสกขะก็ไม่ใช่, เป็นวิสภาคะกันโดยมีอารมณ์ และ
ไม่มีอารมณ์. ท่านกล่าวไว้ว่า
อิติ เอวํ ปกาเรหิ นเยหิ จ วิจกฺขโณ
วิชญฺญา อริยสจฺจานํ สภาคติสภาคตํ

1. ส มหา. 19/1738.

บัณฑิตผู้เห็นแจ้งโดยประการ และโดยนัย
อย่างนี้ พึงรู้แจ้งความที่อริยสัจทั้งหลายเป็นสภาคะ
คือมีส่วนเสมอกัน และวิสภาคะ คือมีส่วนไม่เสมอ
กันด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง ในอริยสัจนี้ ทุกข์ทั้งหมด เป็นอย่างเดียวกันโดยความ
เป็นไป, เป็น 2 อย่าง โดยนามและรูป, เป็น 3 อย่าง โดยประเภท
แห่งภพที่เกิด คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ, เป็น 4 อย่าง โดย
ประเภทของอาหาร 4, เป็น 5 อย่าง โดยประเภทของอุปทานขันธ์ 5
แม้สมุทัย ก็เป็นอย่างเดียวโดยให้วัฏฏะเป็นไป เป็น 2 อย่าง
โดยสัมปยุตและไม่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ, เป็น 3 อย่าง โดยประเภทแห่ง
กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา, เป็น 4 อย่าง โดยเป็นธรรม
อันมรรค 4 พึงละ, เป็น 5 อย่าง โดยประเภทการยินดียิ่งในรูปเป็น
ต้น, เป็น 6 อย่าง โดยประเภทแห่งหมู่ตัณหา 6.
แม้นิโรธ ก็เป็นอย่างเดียวกันโดยความเป็นอสังขตธาตุ, แต่
โดยปริยายมี 2 อย่าง โดยเป็นสอุปาทิเสสะ แลละอนุปาทิเสสะ, เป็น
3 อย่าง โดยเข้าไปสงบภพทั้ง 3, เป็น 4 อย่าง โดยควรบรรลุมรรค
4, เป็น 5 อย่าง โดยเข้าไปสงบความยินดียิ่ง 5, เป็น 6 อย่าง โดย
ประเภทแห่งความสิ้นหมู่ตัณหา 6.

แม้มรรค ก็เป็นอย่างเดียวโดยควรทำให้เกิด, เป็น 2 อย่าง
โดยประเภทแห่งสมถะและวิปัสสนา, หรือโดยประเภทแห่งทัศนะและ
ภาวนา, เป็น 3 อย่าง โดยประเภทแห่งขันธ์ 3. จริงอยู่มรรคนี้
เพราะเป็นสัปปเทสธรรม จึงสงเคราะห์ด้วยขันธ์ 3 ( สีลขันธ์ สมาธิ-
ขันธ์ ปัญญาขันธ์) ที่เป็นนิปปเทสธรรม ดุจเมืองสงเคราะห์รวมเข้า
ด้วยราชอาณาจักร ฉะนั้น ดังที่ท่านกล่าวว่า
ดูก่อนอาวุโสวิสาขะ ขันธ์ 3 ไม่สงเคราะห์
เข้าด้วยมรรคมีองค์ 8 อันเป็นอริยะ. ดูก่อนอาวุโส
วิสาขะ มรรคมีองค์ 8 อันเป็นอริยะ สงเคราะห์
เข้าด้วยขันธ์ 3. ดูก่อนอาวุโสวิสาขา ธรรมเหล่านี้
คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต และสัมมาอาชีโว
สงเคราะห์เข้าในศีลขันธ์. ธรรมเหล่านี้ คือ สัม-
มาวายาโม สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ สงเคราะห์
เข้าในสมาธิขันธ์. ธรรมเหล่านี้ คือ สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปปะ สงเคราะห์เข้าในปัญญาขัน1ธ์. มรรค
4 อย่าง สงเคราะห์ด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นต้น.

อีกอย่างหนึ่ง สัจจะทั้งหมดเป็นอย่างเดียวกัน เพราะความเป็น
สิ่งจริงแท้, หรือ เพราะความเป็นสิ่งควรรู้ยิ่ง. เป็น 2 อย่าง โดย
เป็นโลกิยะและโลกุตระ หรือโดยเป็นสังขตะและอสังขตะ. เป็น 3
1. ม. มุ 12/508.

อย่าง โดยเป็นสิ่งควรละ โดยเป็นสิ่งไม่ควรละ และโดยเป็นสิ่งควรละ
ก็หามิได้ เป็นสิ่งไม่ควรละก็หามิได้ จาทัศนะและภาวนา. เป็น 4
อย่าง โดยเป็นสิ่งควรกำหนดรู้ ควรละ ควรทำให้แจ้ง และควรทำ
ให้เกิด. ท่านกล่าวว่า
เอวํ อริยสจฺนํ ทุพฺโพธานํ พุโธ วิธึ
อเนกเภทโต ชญฺญา หิตาย จ สุขาย จ.
พระพุทธเจ้าทรงรู้วิธีของอริยสัจอย่างนี้ ที่รู้
ได้ยาก โดยประเภทไม่น้อย เพื่อประโยชน์และ
เพื่อความสุข
ดังนี้.
จบ อรรถกถาสัจปกิณกะ
บัดนี้ พระธรรมเสนาบดีชี้แจงสัจจตุกนัยในที่สุดตามลำดับที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วนั้นแล แล้วแสดงสรุปสุตมยญาณด้วย
สัจจตุกนัยมีอาทิว่า ตํ ญาตฏฺเฐน ญาณํ-ชื่อว่าญาณว่าด้วยอรรถว่ารู้
ธรรมนั้น, ครั้นแล้วพระธรรมเสนาบดีแสดงสรุปอริยสัจทั้งหมดที่ท่าน
กล่าวไว้ในครั้งก่อนว่า โสตาวทาเน ปญฺญา สุตมเยญาณํ-ปัญญา
ในการทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว ชื่อว่า สุตมยญาณ ด้วยประการ-
ฉะนี้.
จบ อรรถกถาสุตมยญาณนิทเทส

สีลมยญาณนิทเทส


[86] ปัญญาในการฟังธรรมแล้วสำรวมไว้ ชื่อว่าสีลมยญาณ
อย่างไร ?
ศีล 5 ประเภท คือ ปริยันตปาริสุทธิศีล-ศีลคือความบริสุทธิ์
มีส่วนสุด 1. อปริยันตปาริสุทธิศีล-ศีลคือความบริสุทธิ์ไม่มีส่วนสุด
ปริปุณณปาริสุทธิศีล-ศีลคือความบริสุทธิ์เต็มรอบ 1. อปรามัฏฐปาริ-
สุทธิศีล-ศีลคือความบริสุทธิ์อันทิฏฐิไม่จับต้อง 1. ปฏิปัสสัทธิปาริสุทธิ
ศีล-ศีลคือความบริสุทธิ์โดยระงับ 1.
ในศีล 5 ประการนี้ ปริยันตปาริสุทธิศีลเป็นไฉน ปริยันต-
ปาริสุทธิศีลนี้ ของอนุปสัมบันผู้มีสิกขาบทมีที่สุด.
อปริยันตปาริสุทธิศีลเป็นไฉน อปริยันตปาริสุทธิศีลนี้ ของ
อุปสัมบันผู้มีสิกขาบทไม่มีที่สุด.
ปริปุณณปาริสุทธิศีลเป็นไฉน ปริปุณณปาริสุทธิศีลนี้ ของ
กัลยาณปุถุชนผู้ประกอบในกุศลธรรม ผู้กระทำให้บริบูรณ์ในธรรมอัน
เป็นที่สุดของพระอเสขะ ผู้ไม่อาลัยในร่างกายและชีวิต ผู้สละชีวิต
แล้ว
อปรามัฏฐปาริสุทธิศีลเป็นไฉน อปรามัฏฐปาริสุทธิศีลนี้ ของ
พระเสขะ 7 จำพวก.