เมนู

อรรถกถานิดรธสัจนิทเทส


[84]พึงทราบวินิจฉัยในนิโรธสัจนิทเทส ดังต่อไปนี้ ใน
บทนี้ว่า โย ตสฺสาเยว ตณฺหาย - การดับตัณหานั้นด้วยความคลาย
กำหนัดโดยไม่เหลือ ควรกล่าวว่า โย ตสฺเสว ทุกฺขสฺส - การดับทุกข์นั้น
ด้วยความคลายกำหนัดโดยไม่เหลือ เพราะทุกขุ์ดับด้วยความดับสมุทัย.
มิใช่ดับด้วยประการอื่น. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ยถาปิ มูเล อนุปทฺทเว ทฬฺเห
ฉินฺโนปิ รุกฺโข ปุนเรว รูหติ,
เอวมฺปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต
นิพฺพตฺตี ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุน.ํ
1
เมื่อยังถอนตัณหานุสัยไม่ได้ ทุกข์นี้ย่อม
เกิดบ่อย ๆ เหมือนเมื่อรากไม้ยังแข็งแรง ไม่มี
อันตราย ต้นไม้แม้ตัดแล้ว ก็ยังงอกอีกได้.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงทุกขนิโรธนั้น จึง
ตรัสอย่างนี้เพื่อแสดงสมุทยนิโรธ. จริงอยู่ พระตถาคตทั้งหลายผู้มีความ
ประพฤติเสมอด้วยสีหะ, พระตถาคตเหล่านั้น เมื่อจะทรงดับทุกข์และ
เมื่อจะทรงแสดงการดับทุกข์ จึงทรงดำเนินไปในเหตุ, ไม่ทรงดำเนิน
1. ขุ. ธ. 25/34.

ไปในผล. ส่วนพวกอัญญเดียรถีย์มีความประพฤติเยี่ยงสุนัข. พวกนั้น
เมื่อจะดับทุกข์และเมื่อจะแสดงถึงการดับทุกข์ จึงดำเนินไปในผลแห่ง
เทศนาของ ทุกขนิโรข นั้นด้วย อัตกิลมถามุโยค - การประกอบ
ความเพียรโดยทำตนให้ลำบาก ไม่ดำเนินไปในเหตุ เพราะฉะนั้น
พระศาสดาเมื่อจะทรงดำเนินไปในเหตุ จึงตรัสพระพุทธวจนะมีอาทิว่า
โย ตสฺสาเยว ตณฺหาย ดังนี้. แม้พระธรรมเสนาบดี ก็กล่าวตาม
ลำดับที่พระศาสดาตรัสนั่นแล.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺสาเยว ตณฺหาย ความว่า แห่ง
ตัณหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า โปโนพฺภวิกา - ตัณหาทำให้เกิด
ภพใหม่ แล้วทรงจำแนกเป็นกามตัณหาเป็นต้น และทรงประกาศใน
ภายหลังด้วยการเกิดและการตั้งอยู่.
บทว่า อเสสวิราคนิโรโธ - การดับตัณหาด้วยความสำรอกโดย
ไม่เหลือ ความว่า มรรคท่านกล่าวว่า วิราคะ - ความคลายกำหนัด
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า วิราคา - วิมุจฺจติ1 - เพราะความคลาย
กำหนัด จึงหลุดพ้น. การดับด้วยความคลายกำหนัด ชื่อว่า วิราค-
นิโรธ.
การดับด้วยคลายกำหนัดโดยไม่เหลือ โดยถอนอนุสัย ชื่อว่า
อเสสวิราคนิโรธ.
อีกอย่างหนึ่ง เพราะท่านกล่าวการละว่า วิราคะ ฉะนั้น
พึงเห็นการประกอบในบทนี้อย่างนี้ว่า วิราโค อเสโส นิโรโธ การดับ
1. วิ. มหา. 4/23.

ไม่มีเหลือ ชื่อว่า วิราคะ. แต่โดยอรรถ บททั้งหมดมีอาทิว่า อเสส-
วิราคนิโรโธ นี้เป็นไวพจน์ของนิพพานนั่นแล. เพราะว่า โดยปรมัตถ์
ท่านกล่าว นิพพาน ว่า ทุกขนิโรธํ อริยสจฺจํ - ทุกขนิโรธเป็น
อริยสัจ.
เพราะตัณหาอาศัยนิพพานนั้น ย่อมคลายกำหนัดคือย่อมดับ
โดยไม่มีเหลือ, ฉะนั้น นิพพานนั้นท่านจึงกล่าว ตสฺสาเยว ตณฺหาย
อเสสฺราคนิโรโธ -
การดับตัณหานั้น ด้วยความคลายกำหนัดโดยไม่
เหลือ.
อนึ่ง ตัณหาอาศัยนิพพานย่อมสละ ย่อมสละคืน ย่อมพ้น
ย่อมไม่ติด, ในนิพพานนี้ไม่มีความอาลัยแม้สักอย่างเดียวในความอาลัย
ในกามคุณทั้งหลาย, เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวนิพพานว่า จาโค
ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติ อนาลโย
- ความสละ ความสละคืน ความหลุดพ้น
ความไม่อาลัย.
เพราะนิพพานเป็นอย่างเดียวเท่านั้น, แต่ชื่อของนิพพานนั้น
มีอยู่ไม่น้อย ด้วยสามารถเป็นปฏิปักษ์ต่อชื่อของสังขตธรรมทั้งปวง.
คือมีอาทิว่า อเสสวิราโค - คลายกำหนัดโดยไม่มีเหลือ.
อเสสนิโรโธ - ดับโดยไม่มีเหลือ.
จาโค - ความสละ.
ปฏินิสฺสคฺโค - ความสละคืน.
มุตฺติ - ความหลุดพ้น.

อนาลโย - ความไม่อาลัย.
ราคกฺขโย - ความสิ้นราคะ.
โทสกฺขโย - ความสิ้นโทสะ.
โมหกฺขโย - ความสิ้นโมหะ.
ตณฺหกฺขโย - ความสิ้นตัณหา.
อนุปฺปาโท - ความไม่เกิด.
อปฺปวตฺตํ - ความไม่เป็นไป.
อนิมิตฺตํ - ความไม่เป็นไป.
อปฺปณิหิตํ - ความไม่มีที่ตั้ง.
อนายูหนํ - ความไม่มีกรรมเป็นเหตุปฏิสนธิ.
อปฺปฏิสนฺธิ - ความไม่สืบต่อ.
อนุปปตฺติ - ความไม่อุบัติ.
อคติ - ความไม่มีคติ.
อชาตํ - ความไม่เกิด.
อชรํ - ความไม่แก่.
อพฺยาธิ - ความไม่เจ็บ.
อมตํ - ความไม่ตาย.
อโสกํ - ความไม่โศก.
อปริเทวํ - ความไม่ร้องไห้คร่ำครวญ.

อนุปายาสํ - ความไม่เหือดแห้งใจ.
อสงฺกิลิฏฺฐํ - ความไม่เศร้าหมอง.
บัดนี้ ท่านแสดงถึงความเกิดแห่งตัณหาแม้ที่ถึงความเป็นไป
ไม่ได้ ถูกตัดด้วยมรรคเพราะอาศัยนิพพานในวัตถุใด เพื่อแสดงความ
ไม่มีในวัตถุนั้น พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า สา ปเนสา เป็นอาทิ.
ในบทนั้น มีความว่า เหมือนบุรุษเห็นเถากระดอมและน้ำเต้า
เกิดในพื้นที่ จึงค้นหารากตั้งแต่ยอดแล้วตัดทิ้ง, เถากระดอมและเถา
น้ำเต้านั้น เหี่ยวแห้งไปโดยลำดับแล้วก็หมดไป, แต่นั้นควรพูดว่า
กระดอมและน้ำเต้าในฟันที่นั้นก็หมดหายไป ฉันใด ตัณหาในจักษุ
เป็นต้นก็ดุจกระดอมและน้ำเต้าในพื้นที่นั้น ฉันนั้น. ตัณหานั้นถูกตัด
ด้วยอริยมรรคเสียแล้วก็ถึงความหมดสิ้นไป เพราะอาศัยนิพพาน. ครั้น
ตัณหาถึงความหมดไปอย่างนี้แล้วก็ไม่ปรากฏในวัตถุเหล่านั้น ดุจกระ-
ดอมและน้ำเต้าในพื้นที่ ฉะนั้น.
อนึ่ง เหมือนอย่างว่า ราชบุรุษนำโจรมาจากดงแล้วฆ่าที่ประตู
ทักษิณของนคร แต่นั้นควรกล่าวได้ว่า โจรตายเสียแล้วหรือถูกฆ่า
ตายเสียแล้วในดง ฉันใด ตัณหาในจักษุเป็นต้น ดุจโจรในดง ฉัน
นั้น, ตัณหานั้นดับไปแล้วในนิพพาน เพราะอาศัยนิพพานจึงได้ดับไป
ดุจโจรที่ประตูทักษิณ. ตัณหาดับไปอย่างนี้ ไม่ปรากฏในวัตถุเหล่านั้น
ดุจโจรในดง, ด้วยเหตุนั้นพระสารีบุตร เมื่อจะแสดงถึงความดับตัณหา

นั้นในจักษุเป็นต้นนั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า จกฺขุํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ
เอตฺเถสา ตณฺหา
ปหียมานา ปหียติ - จักษุเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก
ตัณหานี้ เมื่อละย่อมละได้ในจักษุนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า เพราะกำหนดรู้วัตถุที่ตัณหาเกิด
ตัณหาจึงดับไปในวัตถุที่ตัณหาเกิดด้วยดับไปโดยไม่ให้เกิด เพราะไม่เกิด
อีกต่อไปในวัตถุที่กำหนดรู้. อนึ่ง ในบทนี้ ท่านกล่าวว่า ตัณหาย่อม
ละได้ด้วยเป็นปฏิปักษ์ต่อความเกิด ย่อมดับไปด้วยเป็นปฏิปักษ์ต่อความ
ตั้งอยู่ ดังนั้น.
จบ อรรถกถานิโรธสัจนิทเทส

มัคคสัจนิทเทส


[85]ในจตุรอริยสัจนั้น ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
เป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ 8 นี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ... สัมมาสมาธิ.
ในอริยมรรคมีองค์ 8 นั้น สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์
ความรู้ในทุกขมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคา-
มินีปฏิปทา นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ.
ในอริยมรรคมีองค์ 8 นั้น สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ความดำริ
ในความออกจากกาม ความดำริในความไม่พยาบาท ความดำริในความ
ไม่เบียดเบียน นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ.