เมื่อสัตว์เหล่านั้นสำคัญอยู่อย่างนี้ จักษุเป็นต้นเหล่านั้น ย่อม
เป็นปิยรูปและสาตรูป. เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัณหาที่ยังไม่เกิดในปิยรูป
และลาตรูปนั้น ย่อมเกิดแก่สัตว์เหล่านั้น, และที่เกิดแล้วย่อมตั้งอยู่
ด้วยการเป็นไปบ่อย ๆ. เพราะฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า จักษุเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก, ตัณหานี้เมื่อเกิดย่อมเกิดในสิ่งนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปชฺชมานา ความว่า เมื่อใดปิยรูป
สาตรูปเกิด, เมื่อนั้นตัณหาย่อมเกิดในสิ่งนี้.
จบ อรรถกถาสมุทยสัจนิทเทส
นิโรธสัจนิทเทส
[84]ในจตุราริยสัจนั้น ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน การ
ดับตัณหานั้นด้วยความคลายกำหนัดโดยไม่เหลือ ความสละ ความสละ
คืน ความหลุดพ้น ความไม่อาลัย ก็ตัณหานี้นั้นแล เมื่อละย่อมละ
ได้ที่ไหน เมื่อดับย่อมดับได้ที่ไหน สิ่งใดเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ตัณหา
นี้เมื่อละก็ละได้ในสิ่งนั้น เมื่อดับก็ดับได้ในสิ่งนั้น จักษุเป็นที่รักที่ยินดี
ในโลก ตัณหานี้เมื่อละย่อมละได้ที่จักษุนั้น เมื่อดับย่อมดับได้ที่จักษุนั้น
โสตะ ฯลฯ ธรรมวิจารเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ตัณหานี้เมื่อละย่อมละได้
ที่ธรรมวิจารนั้น เมื่อดับก็ดับได้ที่ธรรมวิจารนั้น นี้ท่านกล่าวว่า ทุกข-
นิโรธอริยสัจ.
อรรถกถานิดรธสัจนิทเทส
[84]พึงทราบวินิจฉัยในนิโรธสัจนิทเทส ดังต่อไปนี้ ใน
บทนี้ว่า โย ตสฺสาเยว ตณฺหาย - การดับตัณหานั้นด้วยความคลาย
กำหนัดโดยไม่เหลือ ควรกล่าวว่า โย ตสฺเสว ทุกฺขสฺส - การดับทุกข์นั้น
ด้วยความคลายกำหนัดโดยไม่เหลือ เพราะทุกขุ์ดับด้วยความดับสมุทัย.
มิใช่ดับด้วยประการอื่น. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ยถาปิ มูเล อนุปทฺทเว ทฬฺเห
ฉินฺโนปิ รุกฺโข ปุนเรว รูหติ,
เอวมฺปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต
นิพฺพตฺตี ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุน.ํ1
เมื่อยังถอนตัณหานุสัยไม่ได้ ทุกข์นี้ย่อม
เกิดบ่อย ๆ เหมือนเมื่อรากไม้ยังแข็งแรง ไม่มี
อันตราย ต้นไม้แม้ตัดแล้ว ก็ยังงอกอีกได้.
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงทุกขนิโรธนั้น จึง
ตรัสอย่างนี้เพื่อแสดงสมุทยนิโรธ. จริงอยู่ พระตถาคตทั้งหลายผู้มีความ
ประพฤติเสมอด้วยสีหะ, พระตถาคตเหล่านั้น เมื่อจะทรงดับทุกข์และ
เมื่อจะทรงแสดงการดับทุกข์ จึงทรงดำเนินไปในเหตุ, ไม่ทรงดำเนิน
1. ขุ. ธ. 25/34.