เมนู

ฯลฯ ธรรมสัญเจตนา รูปตัณหา ฯลฯ ธรรมตัณหา รูปวิตก ฯลฯ
ธรรมวิตก รูปวิจาร ฯลฯ ธรรมวิจาร เป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก
ตัณหานั้นเมื่อเกิดย่อมเกิดที่ธรรมวิจารนั้น เมื่อตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่ธรรม
วิจารนั้น นี้ท่านกล่าวว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ.

อรรถกถาสมุทยสัจนิทเทส


83]พึงทราบวินิจฉัยในสมุทยสัจนิทเทสดังต่อไปนี้ บทว่า
ยายํ ตณฺหา - ตัณหานี้ใด. บทว่า โปโนพฺภวิกา - ตัณหาอันให้เกิด
ในภพใหม่ การทำภพใหม่ ชื่อว่า ปุนพฺภโว, ชื่อว่า โปโนพฺภวิกา
เพราะอรรถว่า สัตว์มีภพใหม่, อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า โปโนพฺภวิกา
เพราะอรรถว่า ตัณหาให้ภพใหม่, ตัณหาย่อมเป็นไปในภพใหม่, ตัณหา
ให้เกิดภพบ่อย ๆ. ตัณหานั้นให้ภพใหม่ก็มี ไม่ให้ภพใหม่ก็มี. ให้
เป็นไปในภพใหม่ก็มี ไม่ให้เป็นไปในภพใหม่ก็มี, เมื่อให้ปฏิสนธิแล้ว
ตัณหาทำให้ขันธ์แก่กล้าก็มี. ตัณหานั้นแม้ทำความแก้กล้าก็ย่อมได้ชื่อว่า
โปโนพฺภวิกา. ปาฐะว่า โปนพฺภวิกา บ้าง, มีความเหมือนกัน.
ชื่อว่า นนฺทิราคสหคตา - สหรคตด้วยนันทิราคะ เพราะอรรถ
ว่า ตัณหาสหรคตด้วยนันทิราคะ กล่าวคือ ความพอใจยิ่ง, ท่านอธิบาย

ว่า ตัณหาถึงความเป็นอันเดียวกันโดยใจความ กับด้วยนันทิราคะ.
บทว่า ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี อันเพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆ
ความว่า ตัณหายินดียิ่งในอารมณ์ที่อัตภาพเกิด, หรือยินดีในอารมณ์
นั้น ๆ มีรูปเป็นต้น คือยินดียิ่งในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
และธรรมารมณ์. ปาฐะว่า ตตฺร ตตฺราภินนฺที บ้าง ความว่า ให้
ยินดีในอารมณ์นั้น ๆ
บทว่า เสยฺยถีทํ เป็นนิบาต ความแห่งบทนั้นว่า หากถาม
ว่า ตัณหานั้นเป็นไฉน ?
บทว่า กามตณฺหา ได้แก่ ตัณหาในกาม, บทนี้เป็นชื่อของ
ราคะอันเป็นไปในกามคุณ 5.
บทว่า ภวตณฺหา ได้แก่ ตัณหาในภพ. บทนี้เป็นชื่อของ
ราคะสหรคตด้วยสัสสตทิฏฐิอันเกิดขึ้นด้วยความปรารถนาในภพ และ
ราคะในรูปภพ อรูปภพ และความใคร่ในฌาน.
บทว่า วิภวตณฺหาได้แก่ ตัณหาใน วิภวะ คือปราศจากภพ.
บทนี้เป็นชื่อของอุจเฉททิฏฐิ.
บัดนี้ เพื่อแสดงถึงที่เกิดของตัณหานั้นโดยพิสดาร พระเถระ
จึงกล่าวว่า สา โข ปเนสา - ก็ตัณหานั้นแล เป็นอาทิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปชฺชติ แปลว่า ย่อมเกิด.

บทว่า นิวีสติ - ย่อมตั้งอยู่ คือ ตั้งอยู่ด้วยความเป็นไปบ่อย ๆ
พึงทราบการเชื่อมความว่า ตัณหาเมื่อเกิด ย่อมเกิดที่ไหน เมื่อตั้งอยู่
ย่อมตั้งอยู่ที่ไหน.
บทว่า ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ - สิ่งใดเป็นที่รักที่ยินดีในโลก
คือ สิ่งใดมีสภาพน่ารักและมีสภาวะหวานฉ่ำในโลก.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า จกฺขุ โลเก ดังต่อไปนี้ สัตว์
ทั้งหลายยึดมั่นโดยความเป็นของเราในจักษุเป็นต้นในโลก ตั้งอยู่ในสิ่ง
ที่ถึงพร้อม ย่อมสำคัญประสาท 5 คือ จักษุ ของตนผ่องใสโดยการ
ถือเอานิมิตในกระจกเป็นต้น ดุจสีหบัญชรทำด้วยแก้วมณีที่บุคคลยกขึ้น
ในวิมานทอง. ย่อมสำคัญ โสตะ ดุจกล้องเงินและดุจสายสังวาล.
ย่อมสำคัญ ฆานะ ที่เรียกกันว่า จมูกโด่งดุจเกลียวหรดาลที่บุคคลม้วน
ตั้งไว้. ย่อมสำคัญ ชิวหา ให้รสหวานสนิทอ่อนนุ่มดุจผืนผ้ากัมพล
สีแดง. ย่อมสำคัญ กาย ดุจต้นสาละอ่อนและดุจซุ้มประตูทอง. ย่อม
สำคัญ มนะยิ่งใหญ่ไม่เหมือน มนะของคนอื่น. ย่อมสำคัญ รูป
ดุจสีมีสีทองและดอกกรณิการ์เป็นต้น. ย่อมสำคัญ เสียง ดุจเสียงขัน
ของนกการะเวก และดุเหว่าที่กำลังเพลิน และเสียงกังวานของขลุ่ย
แก้วมณีที่เป่าเบาๆ ย่อมสำคัญอารมณ์มีกลิ่นเป็นต้น ที่เกิดแต่มุฏฐาน
4 ที่ตนได้แล้วว่า ใครเล่าจะมีอารมณ์เห็นปานนี้.

เมื่อสัตว์เหล่านั้นสำคัญอยู่อย่างนี้ จักษุเป็นต้นเหล่านั้น ย่อม
เป็นปิยรูปและสาตรูป. เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัณหาที่ยังไม่เกิดในปิยรูป
และลาตรูปนั้น ย่อมเกิดแก่สัตว์เหล่านั้น, และที่เกิดแล้วย่อมตั้งอยู่
ด้วยการเป็นไปบ่อย ๆ. เพราะฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า จักษุเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก, ตัณหานี้เมื่อเกิดย่อมเกิดในสิ่งนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปชฺชมานา ความว่า เมื่อใดปิยรูป
สาตรูปเกิด, เมื่อนั้นตัณหาย่อมเกิดในสิ่งนี้.
จบ อรรถกถาสมุทยสัจนิทเทส

นิโรธสัจนิทเทส


[84]ในจตุราริยสัจนั้น ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน การ
ดับตัณหานั้นด้วยความคลายกำหนัดโดยไม่เหลือ ความสละ ความสละ
คืน ความหลุดพ้น ความไม่อาลัย ก็ตัณหานี้นั้นแล เมื่อละย่อมละ
ได้ที่ไหน เมื่อดับย่อมดับได้ที่ไหน สิ่งใดเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ตัณหา
นี้เมื่อละก็ละได้ในสิ่งนั้น เมื่อดับก็ดับได้ในสิ่งนั้น จักษุเป็นที่รักที่ยินดี
ในโลก ตัณหานี้เมื่อละย่อมละได้ที่จักษุนั้น เมื่อดับย่อมดับได้ที่จักษุนั้น
โสตะ ฯลฯ ธรรมวิจารเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ตัณหานี้เมื่อละย่อมละได้
ที่ธรรมวิจารนั้น เมื่อดับก็ดับได้ที่ธรรมวิจารนั้น นี้ท่านกล่าวว่า ทุกข-
นิโรธอริยสัจ.