เมนู

ประกอบด้วยวิราคะเป็นไปอยู่ นี้เป็นธรรมเป็นไปในส่วนแห่งความ
ชำแรกกิเลส สัญญาและมนสิการอันประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌาน
ของพระโยคาวจรผู้ได้อากิญจัญญายตนฌานเป็นไปอยู่ นี้เป็นธรรม
เป็นไปในส่วนแห่งความเสื่อม ความพอใจอันเป็นธรรมสมควรแก่อา-
กิญจัญญายตนฌานนั้นยังตั้งอยู่ นี้เป็นธรรมเป็นไปในส่วนแห่งความตั้ง
อยู่ สัญญาและมนสิการอันประกอบด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
เป็นไปอยู่ นี้เป็นธรรมเป็นไปในส่วนแห่งความวิเศษ สัญญาและมน-
การอันสหรคตด้วยความเบื่อหน่าย ประกอบด้วยวิราคะเป็นไปอยู่ นี้
เป็นธรรมเป็นไปในส่วนแห่งความชำแรกกิเลส ชื่อว่าญาณ ด้วยอรรถ
ว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา ด้วยอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึง
กล่าวว่า ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัด
ธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งความเสื่อม
ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งความตั้งอยู่ ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วน
แห่งความวิเศษ ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งความชำแรกกิเลส
ชื่อว่าสุตมยญาณ.

อรรถกถาสัจฉิกาตัพพนิทเทส


77] พึงทราบวินิจฉัยในสัจฉิกาตัพพนิทเทสดังต่อไปนี้ พระ-
สารีบุตรกล่าววิสัชนา เอกุตตรธรรม 10 ข้อ ด้วยการทำให้แจ้งถึงการ
ได้เฉพาะ.

ในบทเหล่านั้นบทว่า อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ - เจโตวิมุตติอันไม่
กำเริบ ได้แก่ อรหัตผลวิมุตติ. เจโตวิมุตตินั้น ชื่อว่า อกุปฺปา
เพราะอรรถว่า ไม่กำเริบ ไม่หวั่นไหว ไม่เสื่อม, ท่านกล่าวว่า เจโต-
วิมุตฺติ เพราะจิตพ้นจากกิเลสทั้งปวง.
บทว่า วิชฺชา ได้แก่ วิชชา 3. บทว่า วิมุตฺติ ท่านกล่าว
ถึงอรหัตผล โดยปริยายในทสุตตรสูตร, แต่ท่านกล่าวด้วยปริยายในสังคีติ-
สูตรว่า บทว่า วิมุตฺติ ได้แก่ วิมุตติ 2 คือ การน้อมจิตไป - จิตฺ-
ตสฺส จ อธิมุตฺติ
และนิพพาน.
อนึ่ง ในนิทเทสนี้ สมาบัติ 8 ชื่อว่า วิมุตติ เพราะพ้นด้วยดี
จากนิวรณ์เป็นต้น, นิพพาน ชื่อว่า วิมุตติ เพราะพ้นจากสังขตธรรม
ทั้งปวง.
บทว่า ติสฺโส วิชฺชา - วิชชา 3 คือ ญาณกำหนดระลึกชาติ
หนหลังได้ 1 ญาณกำหนดรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย 1 ญาณ
รู้จักทำอาสวะให้สิ้น 1. ชื่อว่า วิชชา ด้วยอรรถว่า ทำลายความมืด
ได้, ชื่อว่า วิชชา ด้วยอรรถว่า ทำความรู้ให้แจ้งบ้าง, บุพเพนิวา-
สานุสติญาณ
ชื่อว่า วิชชา เพราะทำลายความมืดอันปกปิดความ
ระลึกชาติที่เกิดขึ้นเสียได้, และทำความรู้แจ้งถึงการระลึกชาติได้. จุ-
ตูปปาตญาณ
ชื่อว่า วิชชา เพราะทำลายความมืดอันปกปิดจุติและ
ปฏิสนธิเสียได้, และทำให้รู้แจ้งถึงจุติและอุปบัติได้. อาสวักขยญาณ

ชื่อว่า วิชฺชา เพราะทำลายความมืดอันปกปิดอริยสัจ 4, และทำให้รู้
แจ้งถึงสัจธรรม 4.
บทว่า จตฺตาริ สามญฺญผลานิ - สามัญญผล 4 คือ โสดา-
ปัตติผล 1 สกทาคามิผล 1 อนาคามิผล 1 อรหัตผล 1. ชื่อว่า
สมณะ เพราะอรรถว่า ยังธรรมลามกให้สงบ คือ ให้พินาศ. ความ
เป็นสมณะ ชื่อว่า สามัญญะ. สามัญญะ นี้ เป็นชื่อของอริยมรรค 4.
ผลแห่งสามัญญะ ชื่อว่า สามัญญผล.
บทว่า ปญฺจ ธมฺมกฺขนฺธา ธรรมขันธ์ 5 คือ สีลขันธ์ 1
สมาธิขันธ์ 1 ปัญญาขันธ์ 1 วิมุตติขันธ์ 1 วิมุตติญาณทัสนขันธ์ 1.
บทว่า ธมฺมกฺขนฺธา คือ การจำแนกธรรม ส่วนของธรรม.
แม้ในสีลขันธ์เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งที่
เป็นโลกิยะทั้งที่เป็นโลกุตระนั่นแล ชื่อว่า ศีลสมาธิปัญญาขันธ์.
สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติและนิสสรณวิมุตตินั่นแล ชื่อว่า
วิมุตติขันธ์. การพิจารณาวิมุตติ 3 อย่างนั่นแล ชื่อว่า วิมุตติญาณ-
ทัสนขันธ์
ขันธ์เป็นโลกิยะ ชื่อว่า ญาณ เพราะอรรถว่ารู้, ชื่อว่า
ทัสนะ เพราะอรรถว่า เห็น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า ญาณทัสนะ,
ญาณทัสนะแห่งวิมุตติทั้งหลาย ท่านกล่าวว่า วิมุตติญาณทัสนะ. ส่วน
วิกขัมภนวิมุตติและตทังควิมุตติ ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยสมาธิขันธ์และ
ปัญญาขันธ์. ธรรมขันธ์ 5 เหล่านี้ท่านกล่าวว่า เป็นเสกขธรรมของ

ผู้ยังต้องศึกษา เป็นอเสกขธรรมของผู้ไม่ต้องศึกษา. ในธรรมขันธ์
เหล่านี้ ธรรมขันธ์ที่เป็นโลกิยะและเป็นนิสสรณวิมุตติ เป็นเนวเสกขา-
นาเสกขธรรม - ธรรมของผู้ยังต้องศึกษาก็ไม่ใช่ ไม่ต้องศึกษาก็ไม่ใช่.
แม้เสกขธรรมมีอยู่ ท่านก็กล่าวเสกขธรรมว่า เหล่านี้ของผู้ยังต้องศึกษา,
กล่าวอเสกขธรรมว่า เหล่านี้ของผู้ไม่ต้องศึกษา. ในบทนี้ว่า พระ-
โยคาวจรเป็นผู้ประกอบด้วยวิมุตติขันธ์อันเป็นเสกขธรรม แต่ก็พึงทราบ
ว่า พระโยคาวจรเป็นผู้ประกอบด้วยการทำนิสสรณวิมุตติให้เป็นอารมณ์
บทว่า ฉ อภิญฺญา ได้แก่ ญาณอันยิ่ง 6. ญาณอันยิ่ง 6
เป็นไฉน ? ญาณ 6 เหล่านี้ คือ อิทธิวิธญาณ 1 ทิพโสดธาตุญาณ 1
บุพเพนิวาสานุสติญาณ 1 เจโตปริยญาณ 1 ทิพจักขุญาณ 1 อาสวัก-
ขยญาณ 1.
บทว่า สตฺต ขีณาสวพลานิ - กำลังของพระขีณาสพ 7 ชื่อว่า
ขีณาสวะ เพราะมีอาสวะสิ้นแล้ว กำลังของพระขีณาสพ ชื่อว่า ขีณา-
สวพละ
ขีณาสวะ 7 เป็นไฉน ? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุขีณาสพในธรรม-
วินัยนี้เห็นดีแล้วซึ่งสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง,
ข้อที่ภิกษุขีณาสพเห็นดีแล้วซึ่งสังขารทั้งปวง โดย
ความเป็นของไม่เที่ยง ด้วยปัญญาอันชอบตามความ

เป็นจริง นี้เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพ, กำลังที่
ภิกษุขีณาสพอาศัย ย่อมรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย ว่าอาสวะของเราสิ้นแล้ว นี้เป็นข้อที่ 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ-
ขีณาสพเห็นดีแล้วซึ่งกามทั้งหลาย เปรียบด้วยหลุม
ถ่านเพลิง ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง,
ข้อที่ภิกษุขีณาสพเห็นดีแล้วซึ่งกามทั้งหลายเปรียบ
ด้วยหลุมถ่านเพลิง ด้วยปัญญาอันชอบตามความ
เป็นจริง นี้เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพ, กำลังที่
ภิกษุขีณาสพอาศัย ย่อมรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลายว่า อาสาวะของเราสิ้นแล้ว นี้เป็นข้อที่ 2.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีกจิต
ของภิกษุขีณาสพน้อมไปในวิเวก โอนไปในวิเวก
เงื้อมไปในวิเวก ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดีในเนกขัมมะ
สิ้นสุดจากธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ โดยประการ
ทั้งปวง ฯลฯ แม้นี้ก็เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพ
ฯลฯ. นี้เป็นข้อที่ 3.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก สติ-
ปัฏฐาน 4 อันภิกษุขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดี

แล้ว ฯลฯ นี้เป็นข้อที่ 4. อินทรีย์ 5 อันภิกษุ-
ขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว ฯลฯ นี้เป็นข้อ
ที่ 5. โพชฌงค์ 7 อันภิกษุขีณาสพอบรมแล้ว
อบรมดีแล้ว ฯลฯ นี้เป็นข้อที่ 6. อริยมรรคมี
องค์ 8 อันภิกษุขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว1
ฯลฯ นี้เป็นข้อที่ 7.

ในกำลังเหล่านั้น ท่านประกาศการแทงตลอดทุกขสัจด้วยกำลัง
ที่ 1, การแทงตลอดสมุทยสัจด้วยกำลังที่ 2. การแทงตลอดนิโรชสัจ
ด้วยกำลังที่ 3, การแทงตลอดมรรคสัจด้วยกำลังที่ 4.
บทว่า อฏฺฐ วิโมกฺขา - วิโมกข์ 8 ชื่อว่า วิโมกข์ ด้วย
อรรถว่า น้อมไปในอารมณ์ และด้วยอรรถว่า พ้นด้วยดีจากกรรมเป็น
ข้าศึก. วิโมกข์ 8 เป็นไฉน ? วิโมกข์ 8 คือ ภิกษุมีรูปย่อมเห็นรูป นี้เป็น
วิโมกข์ข้อที่ 1 ภิกษุมีความสำคัญในอรูปภายใน ย่อมเห็นรูปภายนอก
นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 2. ภิกษุน้อมใจไปว่า นี้งาม เป็นวิโมกข์ข้อที่ 3.
ภิกษุเข้าถึงอากาสานัญจายตนะว่า อนนฺโต อากาโส - อากาศไม่มีที่สุด
อยู่ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวงดับปฏิฆสัญญา ไม่ใส่ใจถึง
นานัตตสัญญา นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 4. ภิกษุเข้าถึงวิญญาณัญจายตนะว่า
อนนฺตํ วิญฺญาณํ - วิญญาณไม่มีที่สุดอยู่ เพราะล่วงอากาสานัญจายตะ
โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 5. ภิกษุเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ
1. ที. ปา. 11/442.

ว่า นตฺถิ กิญฺจิ - อะไร ๆ ไม่มีอยู่ เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดย
ประการทั้งปวง เป็นวิโมกข์ข้อที่ 6. ภิกษุเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญา-
ยตนะอยู่ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็น
วิโมกข์ข้อที่ 7. ภิกษุเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ เพราะล่วงเนวสัญ-
ญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 8.1
บทว่า นว อนุปุพฺพนิโรธา - อนุปุพพนิโรธ 9 คือ การดับ
ตามลำดับ 9 อย่าง. นิโรธ 9 อย่าง เป็นไฉน ? กามสัญญาของผู้เข้า
ปฐมฌาน ย่อมดับไป วิตกวิจารของผู้เข้าถึงทุติยฌาน ย่อมดับไป 1
ปีติของผู้เข้าถึงตติยฌาน ย่อมดับไป 1 ลมอัสสาสะปัสสาสะของผู้เข้าถึง
จตุตถฌาน ย่อมดับไป 1 รูปสัญญาของผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ
ย่อมดับไป 1 อากาสานัญจายตนสัญญาของผู้เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ
ย่อมดับไป 1 วิญญาณัญจายตนสัญญาของผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตนะ
ย่อมดับไป 1 อากิญจัญญายตนสัญญาของผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญา-
ยตนะ ย่อมดับไป 1 สัญญาและเวทนาของผู้เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ
ย่อมดับไป 1.2
บทว่า ทส อเสกฺขา ธมิมา - อเสกขธรรม 10 ชื่อว่า อเสกฺขา
เพราะไม่มีสิ่งที่ควรศึกษาต่อไป. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เสกฺขา เพราะ
ยังต้องศึกษาในไตรสิกขา, ชื่อว่า อเสกฺขา เพราะเสกขธรรมหมดสิ้น
แล้ว, ได้แก่ พระอรหันต์. ชื่อว่า อเสกฺขา เพราะธรรมเหล่านี้
1. ที. มหา.10/101. 2. ที. ปา. 11/356.

ของพระอเสกขะ. อเสกขธรรม 10 เป็นไฉน ? อเสกขธรรม 10 คือ
สัมมาทิฏฐิ 1 สัมมาสังกัปปะ 1 สัมมาวาจา 1 สัมมากัมมันตะ 1
สัมมาอาชีวะ 1 สัมมาวายามะ 1 สัมมาสติ 1 สัมมาสมาธิ 1 สัมมา-
ญาณะ 1 สัมมาวิมุตติ 11 ที่เป็นของพระอเสกขะ.
บทว่า อเสกฺขํ สมฺมาญาณํ - สัมมาญาณที่เป็นของพระอเสกขะ
ได้แก่ โลกิยปัญญาที่เหลือเว้นอรหัตผลปัญญา. บทว่า สมฺมาวิมุตฺติ
ได้แก่ อรหัตผลวิมุตติ. ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า
ธรรมสัมปยุตด้วยผลแม้ทั้งหมดมีสัมมาทิฏฐิ
เป็นต้นนั่นแล เป็นอเสกขธรรม. อนึ่งในบทนี้
ท่านกล่าวปัญญาไว้ในฐานะ 2 อย่าง คือ สัมมา-
ทิฏฐิ สัมมาญาณะ สงเคราะห์ธรรมอันเป็นผล-
สมาบัติเหลือจากที่ท่านกล่าวไว้ด้วยบทนี้ว่า สัมมา-
วิมุตติ.
2
78] ในบทมีอาทิว่า สพฺพํ ภิกฺขเว สจฺฉิกาตพฺพํ - ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงควรทำให้แจ้ง พึงทราบว่า ได้แก่ การท่าให้แจ้ง
ด้วยอารมณ์. ในบทมีอาทิว่า รูปํ ปสฺสนฺโต สจิฉิกโรติ - เมื่อเห็น
1. ที.ปา. 11/362.
2. สุมังคลวิลาสินี 3/31.

รูปย่อมทำให้แจ้ง ความว่า พระโยคาวจรเมื่อเห็นรูปเป็นต้น อันเป็น
โลกิยะโดยอาการอันควรเห็น ย่อมทำให้แจ้งซึ่งรูปเป็นต้นเหล่านั้นด้วย
ทำให้แจ้งด้วยอารมณ์, หรือเมื่อเห็นรูปเป็นต้น โดยอาการอันควรเห็น
ย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันควรทำให้แจ้งด้วยเหตุนั้น. นักคิดอักขระ
ทั้งหลายต้องการ บทว่า ปสฺสนฺโต ลงในอรรถแห่งเหตุ พระโยคาวจร
เมื่อเห็นโลกุตรธรรม มีอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์เป็นต้น ด้วยการ
พิจารณา ย่อมทำให้แจ้งซึ่งโลกุตรธรรมนั้นด้วยอารมณ์. บทนี้ว่า
พระโยคาวจรย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันหยั่งลงสู่อมตะ ด้วยอรรถว่า
หยั่งลงคือทำให้ตรงทีเดียว เพราะทำให้แจ้งใน ปริญเญยยะ - ทุกข์
ควรกำหนดรู้ ปหาตัพพะ - สมุทัยควรละ สัจฉิกาตัพพะ - นิโรธควร
ทำให้แจ้ง ภาเวตัพพะ - มรรคควรเจริญ.
บทว่า เย เย ธมฺมา สจฺฉิกตา โหนฺติ, เต เต ธมฺมา
ผุสิตา โหนฺติ
- ธรรมใด ๆ เป็นธรรมอันทำให้แจ้งแล้ว, ธรรมนั้น ๆ
ย่อมเป็นธรรมอันถูกต้องแล้ว ได้แก่ ธรรมอันทำให้แจ้งแล้ว ด้วยการ
ทำให้แจ้งด้วยอารมณ์ ย่อมเป็นธรรมอันถูกต้องแล้วด้วยความถูกต้อง
อารมณ์, ธรรมอันทำให้แจ้งแล้วด้วยการทำให้แจ้งซึ่งการได้เฉพาะ ย่อม
เป็นธรรมอันถูกต้องแล้วด้วยความถูกต้องการได้เฉพาะ ด้วยประการ-
ฉะนี้.
จบ อรรถกถาสัจฉิกาตัพพนิทเทส

อรรถกถาหานภาคิยจตุกนิทเทส1


บัดนี้ เพราะความที่ธรรมเป็นไปในส่วนแห่งความเสื่อม ย่าม
มีโดยประเภทที่ว่างจากสมาธิอย่างหนึ่ง ๆ, ฉะนั้น พระสารีบุตรจึงได้
ชี้แจงหานภาคิยจตุกะโดยเป็นอันเดียวกัน.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภึ คือ ของ
พระโยคาวจรผู้ได้ปฐมฌาน. บทว่า ลาภึ เป็นทุติยาวิภัตติลงใน
อรรถฉัฏฐีวิภัตติ. ลาโภ ท่านกล่าวเป็น ลาภี เพราะอรรถว่า มีการ
ทำให้แจ้ง.
ศัพท์ว่า สหคต ในบทว่า กามสหคตา นี้ท่านประสงค์เอา
ความว่า อารมณ์, อธิบายว่า มีวัตถุกามและกิเลสกามเป็นอารมณ์.
บทว่า สญฺญามนสิการา - สัญญาและมนสิการ ได้แก่ ชวน-
สัญญา และมนสิการด้วยความคำนึงถึงสัญญานั้น. มนสิการสัมปยุตด้วย
ญาณก็ควร. บทว่า สมุทาจรนฺติ ย่อมปรากฏ คือ ย่อมเป็นไป.
บทว่า ธมฺโม ได้แก่ ธรรม คือ ปฐมฌาน. พระโยคาวจร
เมื่อเสื่อมจากฌาน ชื่อว่า เสื่อมด้วยเหตุ 3 ประการ คือ ด้วยกิเลส
กำเริบ 1 ด้วยอสัปปายกิริยา 1 ด้วยการไม่ประกอบความเพียร 1.
เมื่อเสื่อมด้วยกิเลสกำเริบ ชื่อว่า เสื่อมเร็ว. เมื่อเสื่อมด้วยอสัปปายกิริยา
1. อยู่ในข้อ 78.