เมนู

ไปด้วยความว่าตัดขาด ญาณในความไม่เกิดขึ้นด้วยความว่าระงับ ฉันทะ
ด้วยควานว่าเป็นมูลฐาน มนสิการด้วยความว่าเป็นสมุฏฐาน ผัสสะด้วย
ความว่าประมวลมา เวทนาด้วยความว่าประชุม สมาธิด้วยความว่าเป็น
ประธาน สติด้วยความว่าเป็นใหญ่ ปัญญาด้วยความว่าประเสริฐกว่า
กุศลธรรมนั้น ๆ วิมุตติด้วยความว่าเป็นแก่นสาร นิพพานอันหยั่งลง
ในอมตะด้วยความว่าเป็นที่สุด ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง.
[55] ธรรมใด ๆ ที่รู้ยิ่งแล้ว ธรรมนั้น ๆ เป็นคุณที่รู้แล้ว
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ทั่ว
เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมา คือ
เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง เป็น
สุตมยญาณ.
จบ ทุติยภาณวาร ฯ

อรรถกถาทุติยภาณวาร


30] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 31 ข้อ มี ปริคฺค-
หฏฺโฐ
- สภาพแห่งธรรมที่ควรกำหนดถือเอา เป็นต้น ด้วยขณะแห่ง
อริยมรรค. จริงอยู่ ธรรมทั้งหลายอันสัมปยุตด้วยอริยมรรค ย่อม

กำหนดถือเอาเพื่อเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า ปริคฺคหา
- กำหนดถือเอา.

สภาพแห่งธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า ปริคฺคหฏโฐ - สภาพแห่ง
ธรรมที่ควรกำหนดถือเอา.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ปริวารฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่เป็น
บริวาร
เพราะธรรมเหล่านั้นเป็นบริวารของกันและกัน.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ปริปูรฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่เต็ม
รอบ
โดยบริบูรณ์ด้วยภาวนา.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า เอกคฺคฏฺโฐ - สภาพแห่งสมาธิที่มี
อารมณ์อย่างเดียว
เพราะเพ่งกำหนดถือเอาอารมณ์เดียว.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อวิกเขปฏฺโฐ - สภาพแห่งสมาธิ
ไม่มีความฟุ้งซ่าน
เพราะเพ่งถึงความไม่ฟุ้งซ่านในอารมณ์ต่าง ๆ
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ปคฺคหฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่
ประคองไว้
คือประคองไว้ด้วยความเพียร.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อวิสารฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่ไม่
กระจายไป
เพราะไม่กระจายไปด้วยอำนาจสมาธิ ดุจแป้งใช้ทาในการ
อาบน้ำ ไม่กระจายไปด้วยน้ำฉะนั้น.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อนาวิลฏฺโฐ - สภาพแห่งจิตไม่ขุ่นมัว
เพราะไม่ขุ่นมัวด้วยการประกอบความเพียร.

สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อนิญฺชนฏฺโฐ - สภาพแห่งจิตไม่
หวั่นไหว
เพราะไม่กำเริบ.
บทว่า เอกตฺตุปฏฺฐานวเสน - ด้วยสามารถแห่งความปรากฏ
แห่งจิตมีอารมณ์เดียว ได้แก่ ด้วยการประกอบสมาธิ และด้วยสามารถ
แห่งการตั้งอยู่ในอารมณ์เดียวอย่างมั่นคง.
บทว่า ฐิตฏฺโฐ - สภาพแห่งจิตตั้งอยู่ ได้แก่ ตั้งอยู่โดยไม่
หวั่นในอารมณ์.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อารมฺมณฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมเป็น
อารมณ์
เพราะยึดนิพพานเป็นอารมณ์.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า โคจรฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมเป็น
โคจร
เพราะเที่ยวไปในความอยาก.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ปหานฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่ละ
เพราะความที่นิพพานเป็นสรณะประหาณ.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ปริจฺจาคฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่
สละ
ด้วยสามารถสละกิเลสด้วยอริยมรรค.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า วุฏฺฐานฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่ออก
ด้วยสามารถการออกจากความชั่วร้าย.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า วิวตฺตนฏฺโฐ - สภาพธรรมที่หลีกไป
ด้วยสามารถหลีกไปจากนิมิตและความเป็นไป.

สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า สนฺตฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่ละ-
เอียด
เพราะดับสนิท.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ปณีตฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่
ประณีต
เพราะความเป็นธรรมไม่เดือดร้อน และเพราะความเป็นธรรม
สูงสุด.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า วิมุตฺตกฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่หลุด
พ้น
เพราะหลุดพ้นจากกิเลส และน้อมไปในอารมณ์.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อนาสวฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่ไม่
มีอาสวะ
เพราะความที่บริสุทธิ์โดยไม่เป็นวิสัยแห่งอาสวะทั้งหลาย.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ตรณฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมเป็น
เครื่องข้าม
เพราะก้าวล่วงจากกิเลสกันดาร และสังสารกันดาร.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อนิมิตฺตฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรม
ที่ไม่มีเครื่องหมาย
เพราะไม่มีสังขารนิมิต.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อปฺปณิหิตฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรม
ที่ไม่มีที่ตั้ง
เพราะไม่มีที่ตั้ง คือตัณหา.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า สุญฺญตฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่
ว่างเปล่า
เพราะไม่มีสาระในตน.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า เอกรสฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่มี
กิจอย่างเดียวกัน
เพราะมีรสอย่างเดียวกันด้วยวิมุตติรส หรือ เพราะ

ความที่สมถะและวิปัสสนามีรสอย่างเดียวกัน.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อนติวตฺตนฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรม
ที่ไม่ล่วงเลยกัน
เพราะสมถะและวิปัสสนาอาศัยซึ่งกันและกัน.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ยุคนทฺธฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรม
ที่เป็นคู่
เพราะสมถะและวิปัสสนานั่นแลเป็นคู่.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า นิยฺยานฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรม
ที่นำออก
เพราะออกไปจากสังขารด้วยอริยมรรค.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า เหตฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่เป็น
เหตุ
เพราะเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ทสฺสนฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรมที่เห็น
เพราะทำนิพพานให้ประจักษ์.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อาธิปเตยฺยฏฺโฐ - สภาพแห่งธรรม
ที่เป็นอธิบดี
เพราะความเป็นใหญ่ยิ่ง.
31 ] พระสารีบุตรได้แจ้งถึงการวิสัชนา 4 ข้อ มีสมถะเป็นต้น
ด้วยสามารถแห่งสมถะและวิปัสสนา. สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อนุปสฺส-
นฏฺโฐ - สภาพที่พิจารณาเห็น
เพราะพิจารณาเห็นด้วยอนิจลักษณะ
เป็นต้น.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อนติวตฺตนฏฺโฐ - สภาพที่มิได้ล่วง
กัน เพราะความที่สมถะและวิปัสสนาทั้งสองเป็นธรรมคู่กันโดยมีกิจ
อย่างเดียวกัน.

พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 9 ข้อ มีสิกขาเป็นต้น ด้วย
สามารถแห่งอริยมรรค เบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด. ชื่อว่า สิกฺขา
เพราะต้องศึกษา.

สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า สมาทานฏฺโฐ - สภาพที่สมาทาน
เพราะต้องสมาทานสิกขานั้น.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า โคจรฏฺโฐ - สภาพที่โคจร เพราะ
เป็นที่ตั้งแห่งภาวนาและความเป็นไปของอารมณ์ที่ตั้งอยู่ในศีลแล้ว ถือ
เอาด้วยกรรมฐานและเพราะเป็นที่ตั้งแห่งโคจร.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ปคฺคหฏฺโฐ - สภาพที่ประคองจิต
คือสภาพที่พยายามทำจิตที่หดหู่ด้วยความเกียจคร้าน ด้วยเจริญธรรม
วิจยสัมโพชฌงค์ วีริยสัมโพชฌงค์และปีติสัมโพชฌงค์.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า วินิคฺคหฏฺโฐ - สภาพที่ปราบจิต คือ
สภาพทำจิตที่ฟุ้งซ่านด้วยอุทจจะให้สงบ เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์.
บทว่า อุโภ วิสุทธานํ - จิตบริสุทธิ์จากทั้งสอง อธิบายว่า
คุมจิตอันบริสุทธิ์จากความหดสู่และฟุ้งซ่าน. พึงทราบว่า ท่านทำเป็น
พหุวจนะ ด้วยความสามารถแห่งจิตตั้งอยู่ในความเป็นกลาง เป็นไปด้วยอำนาจ
ของสันตติ.

สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อชฺฌุเปกฺขณฏฺโฐ - สภาพที่คุมจิต
คือไม่มีความขวนขวายในความพยายามและในการทำให้สงบ.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า วิเสสาธิคมนฏฺโฐ - สภาพที่จิต
บรรลุคุณวิเศษ
คือการอบรมจิตให้เป็นไปสม่ำเสมอ.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า อุตฺตริปฏิเวธฏฺโฐ - สภาพที่แทง
ตลอดอริยมรรคอันประเสริฐ
คือด้วยสามารถทำอริยมรรคให้ปรากฏ.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า สจฺจาภิสมยฏฺโฐ - สภาพที่ตรัสรู้
สัจจะ
คือด้วยสามารถแทงตลอดอริยสัจ 4 สำเร็จด้วยอริยมรรค.
สภาพแห่งธรรม ชื่อว่า ปติฏฐาปกฏฺโฐ - สภาพที่ทำจิตให้
ตั้งอยู่
คือให้ตั้งอยู่ในนิโรธด้วยอำนาจผลสมาบัติ. เพราะผลสมาบัติ
นั้น ยังบุคคลผู้มีความพร้อมให้ตั้งอยู่ในนิพพานอันได้แก่นิโรธ.
32 ] พระสารีบุตรกล่าวถึงการวิสัชนา 5 ข้อ มี สัทธินทรีย์
เป็นต้น ด้วยสามารถแห่งสภาพธรรม คืออินทรีย์. บทว่า อธิโมกฺ-
ขฏฺโฐ
- สภาพที่น้อมไป. บทว่า อุปฏฺฐานฏฺโฐ - สภาพที่ตั้งมั่น
คือ สภาพที่เข้าไปตั้งมั่นซึ่งอารมณ์. บทว่า ทสฺสนฏฺโฐ - สภาพที่เห็น
คือ สภาพที่เพ่งถึงความเป็นจริง.
33] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 5 ข้อ มี สัทธาพละ
เป็นต้น ด้วยสามารถแห่งสภาพธรรม คือ พละ ชื่อว่า สทฺธาพลํ
เพราะสัทธานั่นแลเป็นกำลัง ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหว. บทว่า อสฺ-

สทฺธิเย เพราะความไม่มีสัทธา. อนึ่งบทว่า อสฺสทฺธิยํ ได้แก่ จิต-
ตุปบาทอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสัทธา. บทว่า อกมฺปิยฏฺโฐ ได้แก่ ภาพที่ไม่
ควรหวั่นไหว อธิบายว่า ไม่สามารถให้หวั่นไหวได้. บทว่า โกสชฺเช-
เพราะความเกียจคร้าน ได้แก่ เพราะถีนมิทธะอันเป็นความเกียจคร้าน.
บทว่า ปมาเท - เพราะความประมาท ได้แก่ เพราะจิตตุปบาทอันเป็น
ปฏิปักษ์ต่อสติ. บทว่า อุทฺธจฺเจ คือ เพราะความฟุ้งซ่าน กล่าวคือ
ความไม่สงบ. บทว่า อวิชฺชาย เพราะอวิชชา ได้แก่ เพราะโมหะ.
34] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 7 ข้อ มีสติสัมโพช-
ฌงค์เป็นต้น ด้วยสามารถแห้งสภาพธรรมคือโพชฌงค์. องค์แห่งธรรม
เครื่องตรัสรู้ ชื่อว่า โพชฌงค์. โพชฌงค์เป็นธรรมประเสริฐ และ
เป็นธรรมดี ชื่อว่า สัมโพชฌงค์. สตินั่นแลเป็นสัมโพชฌงค์ จึง
ชื่อว่า สติสัมโพชฌงค์. ชื่อว่า ธรรมวิจยะ เพราะเลือกเฟ้นธรรม.
บทนี้เป็นชื่อของปัญญา. บทว่า ปวิจยฏฺโฐ - สภาพที่เลือกเฟ้น ได้แก่
สภาพที่ไตร่ตรอง. ชื่อว่า ปีติ เพราะเอิบอิ่มใจ. บทว่า ผรณฏฺโฐ-
สภาพที่แผ่ไป ได้แก่ สภาพที่ซ่านไป. ความสงบ ชื่อว่า ปสฺสทฺธิ.
บทว่า อุปสมฏฺโฐ - สภาพที่สงบ ได้แก่ ภาพที่ไม่มีความกระวนกระ-
วาย. ชื่อว่า อุเปกฺขา เพราะเห็นโดยอุบัติ. อธิบายว่า เพ่งสม่ำเสมอ
คือ เพ่งไม่ตกไปในฝ่ายใด. อุเบกขานั้นในที่นี้ ได้แก่ ตตฺรมชฺฌตฺตุ-
เปกฺขา
คือ วางเฉยด้วยความเป็นกลางในอารมณ์นั้น ๆ. เรียกว่า

โพชฺฌงฺคุเปกฺขา บ้าง. บทนี้เป็นชื่อของอุเบกขานั้น. ชื่อว่า ปฏีสงฺขา-
นฏฺโฐ
- สภาพที่พิจารณาหาทาง เพราะมีลักษณะนำไปเสมอ.
35] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 8 ข้อ มีสัมมาทิฏฐิ
เป็นต้น ด้วยมรรค. ชื่อว่า สมฺมาทิฏฺฐิ เพราะเห็นชอบ หรือเห็น
ชอบด้วยทิฏฐินั้น หรือการเห็นประเสริฐดี. แห่งสัมมาทิฏฐินั้น
ชื่อว่า สมฺมาสงฺกปฺโป เพราะดำริชอบ, หรือดำริชอบด้วย
ความดำรินั้น, หรือความดำริประเสริฐดี.
บทว่า อภิโรปนฏฺโฐ - สภาพที่ตรึก ได้แก่ สภาพที่ตรึกอารมณ์
ของจิต. ปาฐะว่า อารมฺมณาภินิโรปนฏฺโฐ - สภาพที่ตรึกอารมณ์บ้าง.
บทว่า สมฺมาวาจา เพราะพูดชอบ, หรือพูดด้วยวาจานั้นชอบ,
หรือวาจาประเสริฐดี บทนี้เป็นชื่อของการเว้นจากมิจฉาวาจา.
บทว่า ปริคฺคหฏฺโฐ สภาพที่กำหนด ได้แก่ กำหนดสำรวม
วาจา 4 อย่าง.
ชื่อว่า สมฺมากมฺมํ เพราะทำชอบ, หรือทำชอบด้วยการงาน
นั้น หรือการงานประเสริฐดี, การงานชอบนั่นแล ชื่อว่า สมฺมากมฺ-
มนฺโต.
บทนี้เป็นชื่อการเว้นจากมิจฉากัมมันตะ.
บทว่า สมุฏฺฐานฏฺโฐ สภาพที่ตั้งขึ้น ได้แก่ สภาพที่ตั้งขึ้น
ด้วยการสำรวมกาย 3 อย่าง.

ชื่อว่า สมฺมาอาชีโว เพราะเป็นอยู่ชอบ หรือเป็นอยู่ด้วยอาชีพ
นั้นชอบ, หรืออาชีพประเสริฐดี. บทนี้เป็นชื่อของการเว้นจากมิจฉาชีพ
บทว่า โวทานฏฺโฐ สภาพที่ผ่องแผ้ว ได้แก่ สภาพที่บริสุทธิ์.
ชื่อว่า สมฺมาวายาโม เพราะพยายามชอบ หรือพยายาม,
หรือพยายามชอบด้วยความพยายามนั้น, หรือพยายามประเสริฐดี.
ชื่อว่า สมฺมาสติ เพราะระลึกชอบ, หรือระลึกด้วยสตินั้น
ชอบ, หรือระลึกประเสริฐดี.
ชื่อว่า สมฺมาสมาธิ เพราะตั้งใจชอบ, หรือตั้งใจชอบด้วยสมาธิ
นั้น, หรือตั้งใจประเสริฐดี.
36] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 10 ข้อ มี อินทรีย์
เป็นต้น ทำให้เป็นหมวดหมู่ตามลำดับ.
บทว่า อาธิปเตยฺยฏฺโฐ - สภาพที่เป็นใหญ่ ได้แก่ สภาพที่เป็น
อธิบดี ด้วยสามารถทำความเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน.
บทว่า อกมฺปิยฏฺโฐ - สภาพที่ไม่หวั่นไหว ได้แก่ ปฏิปักษ์
ไม่สามารถทำให้หวั่นไหวได้.
บทว่า นิยฺยานฏฺโฐ - สภาพที่นำออก ได้แก่ การออกไปจาก
ปฏิปักษ์ด้วยโลกิยะและโลกุตระ.
บทว่า เหตฏฺโฐ สภาพที่เป็นเหตุ. ชื่อว่า เหตฏฺโฐ เพราะ

สัมมาทิฏฐิเป็นต้น เป็นเหตุเพื่อละมิจฉาทิฏฐิเป็นต้น หรือเพราะสัมมา-
ทิฏฐิทั้งหมดเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพาน.
ชื่อว่า อุปัฏฐาน เพราะโลดแล่นไปในอารมณ์อันเป็นสติปัฏฐาน
แล้วตั้งมั่น, สตินั่นแลตั้งมั่น จึงชื่อว่า สติปัฏฐาน.
สตินั้นในกายเวทนาจิตธรรม ย่อมมีประเภท 4 อย่าง ที่เป็น
ไปด้วยการยึดถืออาการ คือความไม่งาม ความทุกข์ ความไม่เที่ยง
และความไม่เป็นตัวตน และด้วยสำเร็จกิจคือการละ ความสำคัญว่า
เป็นของงาม เป็นความสุข เป็นของเที่ยง เป็นตัวตน.
จิตเหล่านี้ย่อมได้ในจิตต่าง ๆ ในส่วนเบื้องต้น, ส่วนสติอย่าง
เดียวเท่านั้น ย่อมได้ชื่อ 4 อย่างในขณะของมรรค.
ชื่อว่า ปธาน เพราะเป็นเหตุเริ่มตั้งในสัมมัปธาน, การเริ่มตั้ง
ชอบ ชื่อว่า สัมมัปธาน, หรือเป็นเหตุเริ่มตั้งชอบ, อนึ่งการเริ่มตั้ง
นั้นชอบ ชื่อว่า ปธาน เพราะเว้นจากการผิดปกติของกิเลส, ชื่อว่า
สัมมัปธาน เพราะนำมาซึ่งความเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดด้วยให้สำเร็จ
ประโยชน์และความสุข หรือ เพราะทำความเริ่มตั้ง. บทนี้เป็นชื่อของ
วีริยะ. วีริยะนั้นมี 4 ประเภทโดยให้สำเร็จ คือละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้น
แล้ว 1 อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น 1 กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
ให้เกิดขึ้น 1 กุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งอยู่ 1. ปธาน เหล่านี้ ย่อม

ได้ในจิตต่าง ๆ ในส่วนเบื้องต้น, ส่วน วีริยะ อย่างเดียวเท่านั้น ย่อม
ได้ 4 ชื่อ ในขณะแห่งมรรค.
บทว่า ปทหนฏฺโฐ สภาพที่เริ่มตั้ง ได้แก่ สภาพที่อุตสาหะ.
ปาฐะว่า ปธานฏฺโฐ ดังนี้ก็มี, ความอย่างเดียวกัน. ในบทว่า อิทฺธิ-
ปาทานํ
นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่า อิทฺธิ เพราะบรรดา ฉันทะ
วีริยะ จิตตะ วีมังสา อย่างหนึ่ง ๆ ย่อมสำเร็จ, อธิบายว่า ย่อมสำเร็จ
เสมอ คือ ย่อมปรากฏชัด. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อิทฺธิ เพราะสัตว์
ทั้งหลายย่อมสำเร็จด้วยอิทธินั้น คือว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้สำเร็จ เจริญ
ดียิ่ง. โดยอรรถที่ 1 ปาท - ธรรมเครื่องให้ถึง คือ อิทฺธิ - ความ
สำเร็จ ชื่อว่า อิทธิบาท, ความว่า ส่วนแห่งความสำเร็จ. โดย
อรรถที่สอง ชื่อว่า อิทธิบาท เพราะเป็นธรรมเครื่องให้ถึงความสำเร็จ.
บทว่า ปาโท - คือเป็นที่ตั้ง อธิบายว่า เป็นอุบายให้บรรลุ.
เพราะสัตว์ทั้งหลายย่อมถึง คือย่อมบรรลุความสำเร็จยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วย
อิทธิบาทนั้น, ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ปาโท. อิทธิบาทมี ฉันทะ
เป็นต้นเหล่านั้น ย่อมได้ในจิตต่าง ๆ ด้วยความเป็นใหญ่ในส่วนเบื้อง
ต้น, แต่ในขณะแห่งมรรค ย่อมได้ร่วมกันโดยแท้.
บทว่า อิชฺฌนฏฺโฐ - สภาพที่สำเร็จ คือ สภาพที่ปรากฏ หรือ
สภาพเป็นที่ตั้ง.
บทว่า สจฺจานํ ได้แก่ อริยสัจ 4.

บทว่า ตถฏฺโฐ - สภาพที่เที่ยงแท้ ได้แก่ สภาพตามที่เป็นจริง.
การวิสัชนา 8 เหล่านี้เจือด้วยโลกิยะและโลกุตระ.
บทว่า ปโยคานํ - ปโยคะทั้งหลาย ได้แก่ ปโยคะของอริย-
มรรค 4.
บทว่า ปฏิปสฺสทฺธฏฺโฐ - สภาพที่ระงับ ได้แก่ ระงับด้วย
อริยผล 4. จริงอยู่มรรคปโยคะเป็นอันระงับในขณะแห่งผล เพราะ
หมดกิจแล้ว. หรือภาวะแห่งมรรคปโยคะระงับด้วยผลเกิดขึ้น.
บทว่า ผลานํ สจฺฉิกิริยฏฺโฐ - สภาพที่ทำให้แจ้งแห่งผล ได้แก่
สภาพที่ทำให้ประจักษ์ด้วยพิจารณาอริยผล. เป็นอันท่านกล่าวถึงการทำ
ให้แจ้งซึ่งอารมณ์. หรือการทำให้แจ้งซึ่งการได้ในขณะแห่งผล.
พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 5 ข้อ มีวิตกเป็นต้น ด้วย
องค์ฌาน. การตรึก ชื่อว่า วิตักกะ ท่านกล่าวว่า ได้แก่ การยกขึ้น
การตรอง ชื่อว่า วิจาร ท่านกล่าวว่า ได้แก่ การตามตรวจตรา. บทว่า
อุปวิจารฏฺโฐ - สภาพที่ตรวจตรา ได้แก่ สภาพที่ตามขัดสีชำระล้าง.
บทว่า อภิสนฺทนฏฺโฐ - สภาพที่ไหลมา ได้แก่ สภาพที่ชุ่มชื่น คือ
สภาพที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ด้วยอำนาจสมาธิ.
พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงกางวิสัชนา 5 ข้อ มี อาวัชชนะ - การ
คำนึงเป็นต้น โดยเป็นข้อเบ็ดเตล็ด. สภาพที่คำนึงของจิต 2 ดวง
น้อมไปสู่จิตสันดานในอารมณ์อื่นจากอารมณ์แห่งภวังคะ ในปัญจทวาร

และมโนทวาร, สภาพที่รู้แจ้งด้วยวิญญาณ สภาพที่รู้ชัดด้วยปัญญา
สภาพที่จำได้แห่งสัญญา. สภาพที่สมาธิเป็นธรรมเอกผุดขึ้น. เพราะ
สมาธิในทุติยฌานเป็นเอกผุดขึ้น ท่านจึงกล่าวว่า เอโกทิ อธิบายว่า
เป็นสมาธิเลิศประเสริฐ เกิดขึ้นเพราะวิตกวิจาร สงบเงียบ. เพราะ
สมาธิประเสริฐ ท่านจึงกล่าวว่า เป็นธรรมเอกในโลก. อีกอย่างหนึ่ง.
ท่านกล่าวว่า เป็นธรรมเอกไม่มีคู่ เว้นวิตกวิจารผุดขึ้นดังนี้บ้าง ย่อม
ควร. อีกอย่างหนึ่ง กุศลสมาธิแม้ทั้งหมดเป็นธรรมสงบเงียบจากวิตก
วิจารเหล่านั้น เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อนิวรณ์เป็นต้น หรือต่ออุทธัจจะ
เท่านั้น ฉะนั้นจึงเป็นธรรมอันเลิศผุดขึ้น หรือเว้นจากวิตกวิจารเหล่านั้น
จึงเป็นธรรมไม่มีคู่ผุดขึ้น จึงชื่อว่า เอโกทิ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ย่อม
ถูกต้อง.
37] บทว่า อภิญาย ญาตฏฺโฐ - สภาพที่รู้แห่งปัญญา
ได้แก่ สภาพที่รู้สภาวธรรมด้วย ญาตปริญญา - กำหนดรู้ด้วยการรู้.
บทว่า ปริญฺญาย ตีรณฏฺโฐ - สภาพทั้งหมดพิจารณาด้วย
ปริญญา
ได้แก่ สภาพที่กำหนดพิจารณาโดยเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น
ด้วย ตีรณปริญญา - กำหนดรู้ด้วยการพิจารณา.
บทว่า ปหานสฺส ปริจฺจาคฏฺโฐ ภาพที่สละแห่ง ปหาน
ได้แก่ สภาพที่สละธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อ ปหานปริญญา - กำหนด

รู้ด้วยการละเสีย. สภาพที่ภาวนาเป็นไปเสมอ มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน
- ชื่อว่า ภาวนาย เอกรสฏฺโฐ.
บทว่า ผสฺสนฏฺโฐ - สภาพที่ถูกต้อง ได้แก่ สภาพที่ประสบ
ชื่อว่าสภาพที่เป็นขันธ์ - ขนฺธฏฺโฐ ด้วยการแบกภาระที่หนักต่อเป็น
ในรูป. ชื่อว่าสภาพที่ทรงไว้ - ธาตฏฺโฐ เพราะความว่างเปล่าเป็นต้น.
ชื่อว่าสภาพที่ต่อ - อายตนฏฺโฐ เพราะการต่อเขตแดนอันเป็นส่วน
ของตน ๆ. ชื่อว่าสภาพที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง - อสงฺขตฏฺใฐ เพราะทำร่วมกับ
ปัจจัยทั้งหลาย. ชื่อว่าสภาพที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง - อสงฺขตฏฺโฐ เพราะ
ตรงกันข้ามกับปัจจัยปรุงแต่งนั้น.
38 ] พระสารีบุตรได้แจ้งถึงการวิสัชนา 15 ข้อ มีบทว่า จิตฺ-
ตฏฺโฐ
สภาพที่คิดเป็นต้น. พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า จิตฺตฏฺโฐ ดัง
ต่อไปนี้. ชื่อว่า จิตฺตํ เพราะคิดถึงอารมณ์, ความว่า ย่อมรู้แจ้ง.
ชวนจิต มีอยู่ในอารมณ์นี้ ย่อมสะสมสันดานของตน ด้วย ชวนวิถี
จิตฺตํ
แม้ดังนี้ ก็ชื่อว่า จิตฺตํ. แม้วิบากอันกรรมกิเลส สะสมไว้ดังนี้
ก็ชื่อว่า จิตฺตํ. ทั้งหมด ชื่อว่า จิตฺตํ. เพราะสะสมไว้ตามสมควร, ชื่อว่า
จิตฺตํ เพราะทำให้วิจิตร, จิตอันเป็นปัจจัยแก่วัฏฏะ ย่อมสะสมสังสาร
ทุกข์แม้ดังนี้ ก็ชื่อว่า จิตฺตํ. สภาพที่คิดโดยมีการสะสมอารมณ์เป็นต้น
ด้วยประการฉะนี้. ชื่อว่า อนนฺตรํ เพราะจิตนั้นไม่มีระหว่างในการเกิด

ของจิต ในการเกิดของผล. ความเป็น อนันตระ ชื่อว่า อนันตริยะ
- ความไม่มีระหว่าง, ความที่จิตไม่มีระหว่าง ชื่อว่า จิตตานันตริยะ.
จิตตานันตริยะ
นั้น คือสภาพแห่งจิตไม่มีระหว่าง. อธิบายว่า สมรรถ-
ภาพในจิตตุปบาท ในระหว่างของจิตดวงใดดวงหนึ่งดับในระหว่างเสมอ
เว้นจุติจิตของพระอรหันต์. มรรถภาพในการเกิดผลในระหว่างของ
มรรคจิต.
บทว่า จิตฺตสฺส วุฏฺฐานฏฺโฐ - สภาพที่ออกแห่งจิต ได้แก่
สภาพที่ออกโดยเป็นนิมิตแห่งโคตรภูจิต โดยความเป็นไปแห่งนิมิตของ
มรรคจิต.
บทว่า จิตฺตสฺส วิวฏฺฏนฏฺโฐ - สภาพที่หลีกไปแห่งจิต คือสภาพ
ที่หลีกไปในนิพพานของจิตสองดวงนั้นซึ่งตั้งขึ้นโดยที่กล่าวไว้แล้ว.
บทว่า จิตฺตสฺส เหตฏฺโฐ - สภาพที่เป็นเหตุแห่งจิต ได้แก่
สภาพที่เป็นเหตุของเหตุ 9 อย่างที่เป็นปัจจัยของจิต.
บทว่า จิตฺตสฺส ปจฺจยฏฺโฐ - สภาพที่เป็นปัจจัยแห่งจิต ได้แก่
สภาพที่เป็นปัจจัย แห่งปัจจัยมากมายของจิต มี วัตถารัมมณะ เป็นต้น.
บทว่า จิตฺตสฺส วตฺถฏฺโฐ - สภาพเป็นที่ตั้งแห่งจิต ได้แก่
สภาพเป็นที่ตั้งแห่ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ (หทัย) อันเป็น
ที่ตั้งของจิต.

บทว่า จิตฺตสฺส ภูมฏฺโฐ - สภาพที่เป็นภูมิแห่งจิต ได้แก่
สภาพที่เป็นภูมิมีกามาวจรภูมิเป็นต้น ด้วยเป็นถิ่นที่เกิดของจิต.
บทว่า จิตฺตสฺส อารมฺมณฏฺโฐ - สภาพเป็นอารมณ์ของจิต ได้
แก่ อารมณ์มีรูปเป็นต้น.
ชื่อว่า โคจรฏฺโฐ - สภาพที่เป็นโคจร เพราะอรรถว่าเป็นที่สัญ-
จรของอารมณ์ที่สะสมไว้.
ชื่อว่า จริยฏโฐ - สภาพที่เที่ยวไป เพราะเที่ยวไปในวิญญาณ
ที่กล่าวไว้ในตอนต้น. อีกอย่างหนึ่ง สภาพที่ปรากฏแห่ง ปโยคะ
ชื่อว่า จริยัฏฐะ.
ชื่อว่า คตฏฺโฐ - สภาพที่ไปด้วยการยึดถืออารมณ์ใกล้และใกล้
แม้ในความที่จิตไม่ไป.
บทว่า อภินีหารฏฺโฐ - สภาพที่นำไปยิ่ง ได้แก่ สภาพที่นำไป
ยิ่งแห่งจิต เพื่อมนสิการถึงอารมณ์อื่นจากอารมณ์ที่ยึดถือไว้.
บทว่า จิตฺตสฺส นิสฺสยานฏฺโฐ - สภาพที่นำออกแห่งจิต ได้แก่
สภาพที่นำออกจากวัฏฏะแห่งมรรคจิต.
ชื่อว่า จิตฺตสฺส นิสฺสรณฏฺโฐ - สภาพที่สลัดออกแห่งจิต เพราะ
นัยมีอาทิว่า จิตของผู้ไม่เนกขัมมะเป็นอันสลัดออกจากกามฉันทะ1.
1 . ขุ. ป. 31/65.

39] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 42 ข้อ มี เอกตฺเต
เป็นต้น. โดยเชื่อม เอกตฺต ศัพท์ทุกแห่ง.
บทว่า เอกตฺเต คือในความที่จิตมีอารมณ์อย่างเดียว, อธิบาย
ว่า ได้แก่ เอการัมมณะ.
ชื่อว่า ปกฺขนฺทนฏฺโฐ - สภาพที่แล่นไป เพราะอำนาจปฐม-
ฌาน.
ชื่อว่า ปสีทนฏฺโฐ - สภาพที่ผ่องใส เพราะอำนาจทุติยฌาน.
ชื่อว่า สนิติฏฺฐนฏฺโฐ - สภาพที่ตั้งมั่น เพราะอำนาจตติย-
ฌาน.
ชื่อว่า มุจฺจนฏฺโฐ - สภาพที่หลุดพ้น เพราะอำนาจจตุตถ-
ฌาน.
ชื่อว่า ปสฺสนฏฺโฐ - สภาพที่เห็นนี้ ละเอียดด้วยอำนาจการ
พิจารณา.
การวิสัชนา 5 มี ยานีกตฏฺโฐ - สภาพที่ทำให้เป็นเช่นดังยาน
เป็นต้น เป็นความชำนาญอันวิเศษของสมาธิ.
บทว่า ยานีกตฏฺโฐ ได้แก่ สภาพที่ทำให้เป็นเช่นดังยานที่
เทียมแล้ว.
บทว่า วตฺถุกตฏฺโฐ - สภาพที่ทำให้เป็นที่ตั้ง ได้แก่ ภาพที่
ทำให้ตั้งไว้ดุจวัตถุ.

บทว่า อนุฏฺฐิตฏฺโฐ - สภาพที่ตั้งขึ้นเนือง ๆ ได้แก่ สภาพที่
เข้าไปตั้งไว้เฉพาะ.
บทว่า ปริจิตฏฺโฐ - สภาพที่อบรม ได้แก่ สภาพที่สะสมไว้โดย
รอบ.
บทว่า สุสมารทฺธฏฺโฐ - สภาพที่ปรารภพร้อมด้วยดีได้แก่ สภาพ
ที่เริ่มด้วยดี อธิบาย สภาพที่ทำไว้ดี. อีกอย่างหนึ่งควรประกอบบท 5
บท ตามลำดับด้วยความเป็นผู้ชำนาญในอาวัชชนะ สมาปัชนะ อธิฏ-
ฐานะ วุฏฐานะ ปัจจเวกขณะ.
สภาพที่กำหนดถือเอา - สภาพที่เป็นบริวาร สภาพที่บริบูรณ์
แห่งจิตเจตสิกในเวลาที่ถึงยอดแห่งการภาวนาอารมณ์ มีกสิณเป็นต้น.
ชื่อว่า สโมธานฏฺโฐ - สภาพที่ประชุม เพราะเจตสิกเหล่านั้น
ตั้งไว้แล้วชอบ ด้วยการประชุมในอารมณ์เดียว.
ชื่อว่า อธิฏฺฐานฏฺโฐ - สภาพที่อธิษฐาน เพราะจิตเจตสิก
เหล่านั้น ครอบงำอารมณ์ด้วยการปลูกกำลัง แล้วตั้งมั่น.
ชื่อว่า อาเสวนฏฺโฐ - สภาพที่เสพ เพราะเสพอย่างเอาใจใส่
แห่งสมถะหรือวิปัสสนาตั้งแต่ต้น.
ชื่อว่า ภาวนฏฺโฐ - สภาพที่เจริญ เพราะสามารถทำให้เจริญ.
ชื่อว่า พหุลีกมฺมฏฺโฐ - สภาพที่ทำให้มาก เพราะการทำบ่อย ๆ.

ชื่อว่า สุสมุคฺคตฏฺโฐ - สภาพที่รวมด้วยดี เพราะสามารถการ
รวมสิ่งที่ทำไว้มากแล้วด้วยดี.
ชื่อว่า สุวิมุตฺตฏฺโฐ - สภาพที่หลุดพันด้วยดี เพราะสามารถ
การหลุดพ้นด้วยดี จากธรรมเป็นข้าศึกของสภาพที่รวมไว้ดีแล้ว และ
สามารถในการน้อมไปด้วยดีในอารมณ์.
พระสารีบุตรกล่าวถึงบท 4 บท มีบทว่า พุชฺฌนฏฺโฐ - สภาพ
ที่ตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์เป็นต้น.
ชื่อว่า พุชฺฌนฏฺโฐ - สภาพที่ตรัสรู้โพชฌงค์ เพราะองค์แห่ง
โพชฌงค์ของโสดาปัตติมรรค.
ชื่อว่า อนุพุชฺฌนฏฺโฐ - สภาพที่ตรัสรู้ตามโพชฌงค์ เพราะ
องค์แห่งโพชฌงค์ของอนาคามิมรรค.
ชื่อว่า ปฏิพุชฺฌนฏฺโฐ - สภาพที่ตรัสรู้เฉพาะโพชฌงค์ เพราะ
องค์แห่งโพชฌงค์ของอนาคามิมรรค.
ชื่อว่า สมฺพุชฺฌนฏฺโฐ - สภาพที่ตรัสรู้พร้อมโพชฌงค์ เพราะ
องค์แห่งโพชฌงค์ของอรหัตมรรค. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า พุชฺฌนฏฺโฐ-
สภาพที่ตรัสรู้โพชฌงค์ด้วยวิปัสสนา. ชื่อว่า อนุพุชฺฌนฏฺโฐ - สภาพที่
ตรัสรู้ตามโพชฌงค์ด้วยทัสนมรรค. ชื่อว่า ปฏิพุชฺฌนฏฺโฐ - สภาพที่
ตรัสรู้เฉพาะโพชฌงค์ด้วยภาวนามรรค. ชื่อว่า สมฺพุชฺฌนฏฺโฐ - สภาพ-

ที่ตรัสรู้พร้อมโพชฌงค์ด้วยผล. พึงทราบอรรถ 4 อย่าง มี โพธนัฏฐะ-
สภาพที่ตื่นเป็นต้น แห่งโพชฌงค์ทั้งหลายด้วยกระทำการตื่นเป็นต้น
ของบุคคลนั้น ๆ. ธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า โพธิปักขิยะ เพราะมีใน
ฝักฝ่ายของบุคคลผู้ใด ชื่อว่า โพธะ เพราะอรรถว่าตรัสรู้โพชฌงค์
ตามที่กล่าวแล้วนั่นแล. พึงทราบอรรถ 4 อย่าง มี โพธิปักขิยัฏฐะ-
สภาพที่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้เป็นต้น แห่งโพชฌงค์ตามที่
กล่าวแล้ว.
ชื่อว่า โชตนฏฺโฐ - สภาพที่สว่าง เพราะวิปัสสนาปัญญา.
ชื่อว่า อุชฺโชตนานุโชตนปฏิโชตนสญฺโชตนฏฺโฐ - สภาพที่
สว่างขึ้น สภาพที่สว่างเนือง ๆ สภาพที่สว่าง เฉพาะสภาพที่สว่างพร้อม
ด้วยมรรคปัญญา 4 ตามลำดับ. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบ โชตนฏฺโฐ-
สภาพที่สว่างเป็นต้น ด้วยมรรคปัญญา 4, สญฺโชตนฏฺโฐ - สภาพที่
สว่างพร้อมด้วยผลปัญญาตามลำดับ.
40] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 18 ข้อ มี ปตา-
ปนัฏฐะ - สภาพที่อริยมรรคให้สว่างเป็นต้น ด้วยอริยมรรค. จริงอยู่
อริยมรรคที่เกิดขึ้นแก่จิตใด ย่อมยังจิตนั้นให้สว่าง คือให้รุ่งเรือง ฉะนั้น
จึงชื่อว่า ปตาปนะ - อริยมรรคให้สว่าง. ชื่อว่า ปตาปนัฏฐะ - สภาพที่
อริยมรรคนั้นให้สว่าง.

ชื่อว่า วิโรจนฏฺโฐ - สภาพที่อริยมรรคให้รุ่งเรือง เพราะความที่
อริยมรรคนั้นเองประภัสสรยิ่งนัก. ชื่อว่า สนฺตาปนฏฺโฐ - สภาพที่อริย-
มรรคให้กิเลสเร่าร้อน ด้วยให้กิเลสทั้งหลายเหือดแห่งไป ชื่อว่า อม-
ลฏฺโฐ
สภาพที่อริยมรรคไม่มีมลทิน เพราะอริยมรรคมีนิพพานอันไม่
มีมลทินเป็นอารมณ์.
ชื่อว่า วิมลฏฺโฐ - สภาพที่อริยมรรคปราศจากมลทิน เพราะไม่
มีมลทินเกลือกกลั้ว.
ชื่อว่า นิมฺมลฏฺโฐ - สภาพที่อริยมรรคหมดมลทิน เพราะไม่มี
มลทินทำให้เป็นอารมณ์.
อีกอย่างหนึ่ง อมลฏฺโฐ - สภาพไม่มีมลทิน ด้วยโสดาปัตติมรรค.
วิมลฏฺโฐ - สภาพที่อริยมรรคปราศจากมลทิน ด้วยสกทาคามิมรรคและ
อนาคามิมรรค. นิมฺมลฏฺโฐ - สภาพที่อริยมรรคหมดมลทิน ด้วย
อรหัตมรรค.
อีกอย่างหนึ่ง อมลฏฺโฐ - สภาพที่อริยมรรคไม่มีมลทิน ด้วย
มรรคของพระสาวก. วิมลฏฺโฐ - สภาพที่อริยมรรคปราศจากมลทิน ด้วย
มรรคของพระปัจเจกพุทธะ. นิมมลฏฺโฐ - สภาพที่อริยมรรคหมด
มลทิน ด้วยมรรคของพระสัมมาสัมพุทธะ.
ชื่อว่า สมฏฺโฐ - สภาพที่อริยมรรคสงบ เพราะไม่มีความไม่สงบ
คือ กิเลส.

ชื่อว่า สมยฏฺโฐ - สภาพที่อริยมรรคให้กิเลสระงับ ในสภาพที่
อริยมรรคประหาณกิเลส ดุจในบาลีมีอาทิว่า สมฺมา นานาภิสมยา1
เพราะอริยมรรคให้กิเลสระงับต่าง ๆ โดยชอบ.
ชื่อว่า วิเวกฏฺโฐ - สภาพแห่งวิเวก เพราะสมุจเฉทวิเวก ใน
วิเวก 5 คือ วิกขัมภนวิเวก 1 ตทังควิเวก 1 สมุจเฉทวิเวก 2 ปฏิ-
ปัสสัทธิวิเวก 1 นิสสรณวิเวก 1. ชื่อว่า วินาภาวฏฺโฐ - สภาพแห่ง
ความพราก.
ชื่อว่า วิเวกจริยฏฺโฐ - สภาพแห่งความประพฤติในวิเวก เพราะ
ประพฤติในนิพพานอันเป็นนิสสรณวิเวก.
ชื่อว่า วิราคฏฺโฐ - สภาพที่คลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด
เป็นสมุจเฉทในวิราคะ 5.
ชื่อว่า วิราคจริยฏฺโฐ - สภาพแห่งความประพฤติในความคลาย
กำหนัด เพราะเที่ยวไปในนิพพานอันเป็นนิสสรณวิเวก.
ชื่อว่า นิโรธฏฺโฐ - สภาพที่ดับ เพราะดับเป็นสมุจเฉทใน
นิโรธ 5.
ชื่อว่า นิโรธจริยฏฺโฐ - สภาพแห่งความประพฤติเพื่อความดับ
เพราะเที่ยวไปในนิพพานอันเป็นความดับทุกข์.
1. ม. มู. 12/19.

ชื่อว่า โวสฺสคฺคฏฺโฐ - สภาพที่ปล่อย เพราะปล่อยด้วยการ
บริจาค และการแล่นไป. อริยมรรค ชื่อว่า ปล่อยด้วยการบริจาค
เพราะกิเลสด้วยอำนาจสมุจเฉทปหาน และ
ชื่อว่า ปล่อยด้วยการแล่นไป เพราะแล่นไปสู่นิพพานด้วย
กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ อนึ่งวิปัสสนา ชื่อว่าปล่อยด้วยการ
บริจาค เพราะละกิเลสด้วยตทังคปหาน. ชื่อว่าปล่อยด้วยการแล่นไป
เพราะแล่นไปสู่นิพพาน ด้วยการเอียงไปสู่นิพพานนั้น. ในนิทเทส
ท่านหมายถึงอริยมรรคนั้น.
ชื่อว่า โวสฺสคฺคจริยฏฺโฐ - สภาพแห่งความประพฤติในความ
ปล่อย เพราะละกิเลสด้วยสมุจเฉทปหาน.
ชื่อว่า วิมุตฺตฏฺโฐ - สภาพที่พ้น เพราะพันด้วยสมุจเฉทปหาน
ในวิมุตติ 5.
ชื่อว่ วิมุตฺติจริยฏฺโฐ สภาพแห่งความประพฤติในความพ้น
เพราะประพฤติในนิสสรณวิมุตติ.
41] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 40 ข้อ มี ฉนฺทฏฺ-
โฐ
สภาพแห่งฉันทะ เป็นต้น ด้วยสามารถอิทธิบาท 4 อย่างละ 10
ด้วยอิทธิบาทหนึ่ง ๆ ในอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วีริยะ จิตตะ วิมังสา.
ชื่อว่า ฉนฺทฏฺโฐ - สภาพแห่งฉันทะ คือสภาพที่ใคร่จะทำ.

ชื่อว่า มูลฏฺโฐ - สภาพที่เป็นมูลแห่งฉันทะในเวลาเริ่มภาวนา
ตั้งฉันทะไว้เป็นหลัก.
ชื่อว่า ปาทฏฺโฐ - สภาพที่เป็นบาทแห่งฉันทะ เพราะความเป็น
หลักแห่งสหชาตธรรม. ปาฐะว่า ปทฏฺโฐ ก็มี.
ชื่อว่า ปธานฏฺโฐ สภาพที่เป็นประธานแห่งฉันทะ เพราะ
ความเป็นใหญ่ยิ่ง ให้ถึงความสำเร็จ.
ชื่อว่า อิชฺฌนฏฺโฐ - สภาพที่สำเร็จแห่งฉันทะ ในเวลาประกอบ
ความเพียร.
ชื่อว่า อธิโมกฺขฏฺโฐ - สภาพที่น้อมไปแห่งฉันทะ. เพราะ
ประกอบด้วยสัทธา. ชื่อว่า ปคฺคหฏฺโฐ - สภาพที่ประคองไว้แห่งฉันทะ
เพราะประกอบความเพียร.
ชื่อว่า อุปฏฺฐานฏฺโฐ - สภาพที่ตั้งมั่นแห่งฉันทะ เพราะ
ประกอบด้วยสติ.
ชื่อว่า อวิกฺเขปฏฺโฐ - สภาพที่ไม่ฟุ้งซ่านแห่งฉันทะ เพราะ
ประกอบด้วยสมาธิ.
ชื่อว่า ทสฺสนฏฺโฐ - สภาพที่เห็นแห่งฉันทะ เพราะประกอบ
ด้วยปัญญา.

42 ] ชื่อว่า วีริยฏฺโฐ สภาพแห่งวีริยะ คือสภาพที่ประคอง
ไว้.
ชื่อว่า มูลฏฺโฐ - สภาพที่เป็นมูลแห่งวีริยะ ในเวลาเริ่มภาวนา
ตั้งวีริยะไว้เป็นหลัก.
ชื่อว่า ปคฺคหฏฺโฐ - สภาพที่ประคองไว้แห่งวีริยะ เพราะมีความ
เพียรด้วยตนเอง.
43] ชื่อว่า จิตฺตฏฺโฐ - สภาพแห่งจิต คือมากด้วยความคิด.
ชื่อว่า มูลฏฺโฐ สภาพที่เป็นมูลแห่งจิต ในเวลาเริ่มภาวนาตั้ง
จิตไว้เป็นหลัก.
44] ชื่อว่า วีมํสฏฺโฐ - สภาพแห่งวิมังสา คือสภาพที่เข้าไป
สอบสวน.
ชื่อว่า มูลฏฺโฐ - สภาพที่เป็นมูลแห่งวิมังสา ในเวลาเริ่มภาวนา
ตั้งวิมังสาไว้เป็นหลัก.
ชื่อว่า ทสฺสนฏฺโฐ - มีสภาพที่เห็นแห่งวีมังสา เพราะพิจารณา
ด้วยตนเอง.
ชื่อว่า พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 16 ข้อ มีบทว่า
ทุกฺขสฺส ปิฬนฏฺโฐ - สภาพที่ทุกข์บีบคั้นเป็นต้น ด้วยลักษณะอันถ่อง-
แท้แห่งสัจจะ.

ชื่อว่า ปิฬนฏฺโฐ - สภาพที่ทุกข์บีบคั้น เพราะการเห็นทุกข์
นั่นเอง.
ชื่อว่า สงฺขตฏฺโฐ - สภาพที่ทุกข์ถูกปัจจัยปรุงแต่ง เพราะการ
เห็นสมุทัยอันประมวลมาซึ่งทุกข์.
ชื่อว่า สนฺตาปฏฺโฐ - สภาพที่ทุกข์ทำให้เดือดร้อน เพราะการ
เห็นมรรคอันเป็นความเย็น - เพราะนำสภาพที่ทุกข์ทำให้เดือดร้อนออก
ไปเสีย.
ชื่อว่า วิปริณามฏฺโฐ - สภาพที่ทุกข์แปรปรวน เพราะการเห็น
ความดับสิ่งที่ไม่แปรปรวน.
ชื่อว่า อายุหนฏฺโฐ - สภาพที่สมุทัยประมวลมา เพราะเห็น
สมุทัยนั่นเอง.
ชื่อว่า นิทานฏฺโฐ - สภาพที่สมุทัยเป็นเหตุ เพราะการเห็น
ทุกข์ที่ประมวลมาด้วยสมุทัย.
ชื่อว่า สญฺโญคฏฺโฐ - สภาพที่สมุทัยเกี่ยวข้อง เพราะการเห็น
นิโรธอันเป็น วิสัญโญคะ - สมุทัยไม่เกี่ยวข้อง.
ชื่อว่า ปลิโพธฏฺโฐ - สภาพที่สมุทัยพัวพัน เพราะการเห็น
มรรคอันเป็น นิยยานะ - การนำออกไป.
ชื่อว่า นิสฺสรณฏฺโฐ - สภาพที่สลัดออก เพราะเห็นพระ-
นิพพานนั่นเทียว.

ชื่อว่า วิเวกฏฺโฐ - สภาพที่นิโรธเป็นวิเวก เพราะการเห็น
สมุทัยอันไม่เป็นวิเวก.
ชื่อว่า อสงฺขตฏฺโฐ - สภาพที่นิโรธเป็นอสังขตะ เพราะการ
เห็นมรรคอันเป็นสังขตะ.
ชื่อว่า อมตฏฺโฐ - สภาพที่นิโรธเป็นอมตะ เพราะการเห็น
ทุกข์อันเป็นพิษ.
ชื่อว่า นิยฺยานฏฺโฐ - สภาพที่มรรคนำออก เพราะการเห็น
มรรคนั่นเอง.
ชื่อว่า เหตฏฺโฐ - สภาพที่มรรคเป็นเหตุ เพราะการเห็นสมุทัย
อันมิใช่เหตุแห่งการบรรลุนิพพาน.
ชื่อว่า ทสฺสนฏฺโฐ - สภาพที่มรรคเห็น เพราะการเห็นนิโรธ
ที่เห็นได้แสนยาก.
ชื่อว่า อาธิปเตยฺยฏฺโฐ - สภาพที่มรรคเป็นอธิบดีเช่นกับตระกูล
ที่ใหญ่โต เพราะการเห็นทุกข์เช่นกับคนยากไร้. อธิบายว่า ย่อมปรากฏ.
พระสารีบุตรกล่าวถึงสัจจะหนึ่ง ๆ มีลักษณะอย่างละ 4 ด้วย
การเห็นสัจจะนั้น ๆ และด้วยการเห็นสัจจะอื่นนอกจากสัจจะนั้น ด้วย
ประการฉะนี้.
46] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 12 ข้อ มี ตถฏฺโฐ-
สภาพที่ถ่องแท้เป็นต้น ด้วย 12 บทอันสงเคราะห์ในธรรมทั้งหมด.

บทว่า ตถฏฺโฐ - สภาพที่ถ่องแท้ ได้แก่ สภาพตามความเป็น
จริง.
บทว่า อนตฺตฏฺโฐ - สภาพที่เป็นอนัตตา ได้แก่ สภาพที่เว้น
จากอัตตา.
บทว่า สจฺจฏฺโฐ - สภาพที่เป็นสัจจะ ได้แก่ การที่ไม่พูดหลอก
ลวง.
บทว่า ปฏิเวธฏฺโฐ - สภาพที่เป็นปฏิเวธะคือการแทงตลอด ได้
แก่ สภาพที่ควรแทงตลอด.
บทว่า อภิชานนฏฺโฐ ได้แก่ สภาพที่ควรรู้ยิ่ง.
บทว่า ปริชานนฏฺโฐ ได้แก่ สภาพที่ควรกำหนดรู้ เพราะ
กำหนดรู้ด้วยความรู้.
บทว่า ธมฺมฏฺโฐ - สภาพที่เป็นธรรม คือ มีอรรถว่าทรงสภาพ
ไว้เป็นต้น.
บทว่า ธาตฏฺโฐ - สภาพที่เป็นธาตุ มีอรรถว่าเป็นของสูญ
เป็นต้น.
บทว่า ญาตฏฺโฐ ได้แก่ สภาพที่รู้ คือ อาจรู้ได้.
บทว่า สจฺฉิกิริยฏฺโฐ คือ สภาพที่ควรทำให้แจ้ง.
บทว่า ผสฺสนฏฺโฐ คือ สภาพที่ควรสัมผัสด้วยญาณ.

บทว่า อภิสมยฏฺโฐ - สภาพที่ควรตรัสรู้ ได้แก่ ภาพที่ควร
ถึงโดยชอบอย่างยิ่ง ด้วยการพิจารณาหรือควรได้เฉพาะด้วยญาณ.
แม้การได้เฉพาะท่านก็กล่าวว่า การตรัสรู้ ดุจในบทมีอาทิว่า
อตฺถาภิสมยา ธีโร1 คนมีปัญญาเพราะตรัสรู้ยิ่งซึ่งอรรถ.
47] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 7 ข้อ มี เนกขัมมะ
เป็นต้น ด้วย อุปจารฌาน.
บทว่า เนกฺขมฺมํ ได้แก่ ความไม่โลภอันเป็นปฏิปักษ์ต่อ กาม-
ฉันทะ.

บทว่า อาโลกสญฺญา ได้แก่ สัญญาในอาโลกนิมิตอันเป็นปฏิ-
ปักษ์ต่อ ถีนมิทธะ.
บทว่า อวิกฺเขโป ได้แก่ ความไม่ฟุ้งซ่านอันเป็นปฏิปักษ์ต่อ
อุทธัจจะ.
บทว่า ธมฺมววตฺถานํ - ความกำหนดธรรม ได้แก่ ญาณอัน
เป็นปฏิปักษ์ต่อ วิจิกิจฉา.
บทว่า ญาณํ ได้แก่ ญาณอันเป็นปฏิปักษ์ต่อ อวิชชา.
บทว่า ปามุชฺชํ ได้แก่ ปีติอันเป็นปฏิปักษ์ต่อ อรติ.
พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 8 ข้อ มีปฐมฌานเป็นต้น
ด้วยรูปสมาบัติและอรูปสมาบัติ.
1. สํ. ส. 15/385.

อนึ่ง พระสารีบุตรได้ชี้แจงพรหมวิหาร 4 โดยเชื่อมรูปฌานไว้
ในลำดับรูปสมาบัติ.
48] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงบทมี อนิจฺจานุปสฺสนา การ
พิจารนาเห็นความไม่เที่ยงเป็นต้น ด้วยมหาวิปัสสนา 18 ในส่วนเบื้อง
ต้นของโลกุตรมรรค. พระสารีบุตรได้กล่าวถึงอนุปัสนา 7 เข้าไป
ประกอบด้วยรูปเป็นต้น ในหนหลัง, แต่ในนิทเทสนี้ท่านกล่าวไว้
ทั้งหมด. หากถามว่า เพราะเหตุไรจึงไม่กล่าวถึงอุทยัพพยานุปัสนา - การ
พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ ด้วยการพิจารณาเป็น กลาปะ
- กอง. ตอบว่า เมื่อท่านกล่าวถือนุปัสนาเหล่านี้ เป็นอันท่าน
กล่าวถึงอนุปัสนา แม้ทั้งสองเหล่านี้ด้วย เพราะอนิจจานุปัสนาเป็นต้น
สำเร็จด้วยอำนาจวิปัสสนา 2 เหล่านั้น, หรือ เมื่อกล่าวถึงวิปัสสนา
เหล่านี้เป็นอันกล่าวถึงวิปัสสนาเหล่านั้นด้วย เพราะวิปัสสนา 2 เหล่า
นั้นเว้นอนิจจานุปัสนาเหล่านั้นด้วย เสียแล้วก็จะเป็นไปไม่ได้.
บทว่า ขยานุปสฺสนา - การพิจารณาเห็นความสิ้นไป ได้แก่
การเห็นและการรู้ ความดับแห่งรูปขันธ์เป็นต้น ที่เป็นปัจจุบัน และ
การเห็นและการรู้ ความดับแห่งจิตและเจตสิกอันมีขันธ์เป็นอารมณ์ใน
ลำดับ ความดับแห่งขันธ์นั้นๆ.
บทว่า วยานุปสฺสนา - การเห็นความเสื่อมไป ได้แก่ การเห็น
การรู้ความดับแห่งขันธ์ในอดีตอนาคตอันสืบเนื่องกันไปกับขันธ์นั้น ใน

ลำดับแห่งการเห็นและการรู้ความดับแห่งขันธ์ในปัจจุบัน.
บทว่า วิปริณามานุปสฺสนา ได้แก่ การพิจารณาเห็นความ
แปรปรวน แห่งขันธ์ทั้งปวงว่า ขันธ์ที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน
แม้ทั้งหมดมีความแปรปรวน เพราะน้อมไปในนิโรธอันได้แก่ความดับ
นั้น.
บทว่า อนิมิตฺตานุปสฺสนา - การพิจารณาเห็นความไม่มีเครื่อง
หมาย ได้แก่ อนิจจานุปัสนา การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของพระ-
โยคาวจรผู้เห็นความแปรปรวนของสังขารทั้งปวงอย่างนี้แล้ว พิจารณา
เห็น โดยความเป็นของไม่เที่ยง ชื่อว่า อนิมิตฺตานุปสฺสนา เพราะไม่
มีเครื่องหมายอันเป็นความเที่ยง ด้วยการละเครื่องหมายอันเป็นความ
เที่ยงเสียได้.
บทว่า อปฺปณิหิตานุปสฺสนา - การเห็นธรรมไม่มีที่ตั้ง ได้แก่
การพิจารณาเห็นทุกข์อันเป็นไปในลำดับแห่งอนิจจานุปัสสนา. ชื่อว่า
อปฺปณิหิตานุปสฺสนา เพราะไม่มีที่ตั้ง ด้วยการละความปรารถนาสุข.
บทว่า สุญฺญตานุปสฺสนา - การพิจารณาเป็นความว่างเปล่า
ได้แก่การพิจารณาเป็นอนัตตาอันเป็นไปในลำดับทุกขานุปัสนา. ชื่อว่า
สุญฺญตานุปสฺสนา เพราะเห็นความเป็นของว่างเปล่าจากตน ด้วยการ
ละความยึดมั่นตัวตน.

บทว่า อธิปญฺญาธมฺมวีปสฺสนา - การพิจารณาเห็นธรรมด้วย
ปัญญาอันยิ่ง ได้แก่ วิปัสสนาเป็นไปเพราะถือความว่างเปล่าด้วยการดับ
ว่า สังขารของพระโยคาวจรผู้เห็นแล้ว ๆ เล่า ๆ ซึ่งความดับของสังขาร
อย่างนี้ แล้วพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมดับไป,
นอกจากความดับของสังขาร ย่อมไม่มีอะไรอื่น.
วิปัสสนานั้นท่านกล่าวว่า อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนา เพราะ
ทำเป็นรูปวิเคราะห์ว่า อธิปญฺญา จ ธมฺเมสุ จ วิปสฺสน - อธิปัญญา
และความเห็นแจ้งในธรรมทั้งหลาย.
บทว่า ยถาภูตญาณทสฺสนํ - ความรู้ความเห็นตามความเป็นจริง
ได้แก่ ภยตูปัฏฐานญาณ - ปรีชาคำนึงเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่า
กลัว อันเป็นไปแล้วว่า สภยา สงฺขารา - สังขารทั้งหลายน่ากลัว
เพราะเห็นความดับแล้ว ๆ เล่า ๆ.
บทว่า อาทีนวานุปสฺสนา - การพิจารณาเห็นโทษ ได้แก่ การ
เห็นการรู้โทษ ด้วย ภยตูปัฏฐานญาณ อันเกิดขึ้นแล้วในภพทั้งปวง
เป็นต้น.
เมื่อท่านกล่าวถึง อาทีนวานุปสฺสนา - การพิจารณาเห็นโทษ
ด้วย ภยตูปัฏฐานญาณ เป็นอันท่านกล่าวถึง นิพพิทานุปัสนา
การพิจารณาเห็นด้วยความเบื่อหน่าย ไว้ในนิทเทสนี้ด้วย เพราะบาลี
ว่าธรรมเหล่านี้ คือ ภยตูปัฏฐานญาณ อาทีนวญาณ และ นิพ-

พิทาญาณ มีอรรถอย่างเดียวกัน, พยัญชนะเท่านั้นต่างกัน.* ใน
นิทเทสนี้ท่านไม่กล่าวไว้ เพราะท่านกล่าวทำบทที่ 4 ไว้แต่ต้นแล้ว.
บทว่า ปฏิสงฺขานุปสฺสนา - การพิจารณาหาทาง ได้แก่ อนิจ-
จานุปัสนาญาณ ทุกขานุปัสนาญาณ อนัตตานุปัสนาญาณ เกิด
ขึ้นด้วย มุญฺจิตุกัมยตาญาณ - ปรีชาคำนึงถึงด้วยความใคร่จะพ้นไป
เสีย กระทำอุบายเพื่อพ้น กำหนดรู้ด้วย ปฏิสังขานุปัสนา. เมื่อ
ท่านกล่าวถึง ปฏิสังขานุปัสนา เป็นอันท่านกล่าวถึง มุญจิตุกัมย-
ตาญาณ
และ สังขารุเบกขาญาณ - ปรีชาคำนึงด้วยความวางเฉยใน
สังขาร ด้วย เพราะบาลีว่า ธรรมเหล่านี้ คือมุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิ-
สังขานุปัสนาญาน และสังขารุเบกขาญาณ มีอรรถอย่างเดียวกัน,
พยัญชนะเท่านั้นต่างกัน.2
บทว่า วิวฏฺฏนานุปสฺสนา - การพิจารณาการเห็นอุบายที่จะ
หลีกไป ได้แก่ โคตรภูญาณ - ญาณซึ่งเป็นลำดับแห่งอริยมรรค เกิด
ขึ้นด้วย อนุโลมญาณ - ญาณอันสมควรแก่การกำหนดรู้ เมื่อท่าน
กล่าวถึงโคตรภูญาณเป็นอันกล่าวอนุโลมญาณด้วย เพราะโคตรภูญาณ
สำเร็จด้วยอนุโลมญาณ, ท่านกล่าวถึงลำดับแห่งมหาวิปัสสนา 18 อย่าง
นี้ ย่อมรวมในบาลี ดังที่ท่านกล่าวไว้ในอินทริยกถาว่า
อินทรีย์ 5 ด้วยสามารถปฐมฌานสลัดไป
จากอินทรีย์ 5 ในส่วนเบื้องต้น, อินทรีย์ 5

1. ขุ. ป. 31/507 2. ขุ. ป. 31/508

ด้วยสามารถทุติยฌานสลัดออกจากอินทรีย์ 5 ใน
ปฐมฌาน.
1
ท่านกล่าวถึงอินทรีย์ตามลำดับยิ่ง ๆ ขึ้นไปโดยนัยต้นตลอดถึง
อรหัตผล. เพราะฉะนั้นมหาวิปัสนา 18 ย่อมสมควรในบาลีโดยลำดับ
ดังที่กล่าวแล้ว.
ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคว่า
บทว่า ขยานุปสฺสนา ได้แก่ ญาณของ
พระโยคาวจรผู้แยกฆนสัญญา - ก้อน ออกแล้วเห็น
ความสิ้นไปว่า ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะอรรถว่าสิ้นไป.
บทว่า วิปริณามานุปสฺสนา ได้แก่ การก้าวล่วง
ขั้นตอนนั้น ๆ ด้วยรูปสัตตกะ และอรูปสัตตกะ
เป็นต้น แล้วเห็นความเป็นไปโดยประการอื่น.
อีกอย่างหนึ่ง การเห็นความปรวนแปรด้วยอาการ
2 คือ ด้วยชราและมรณะของสัตว์ผู้เกิดมาแล้ว.
บทว่า ยถาภูตญาณทสฺสนํ - การรู้และการเห็นตาม
ความเป็นจริง ได้แก่ การกำหนดนามรูปพร้อม
ด้วยปัจจัย.
1. ขุ. ป. 31/435.

บทนั้นในบาลีปรากฏเป็นเหมือนบทผิด บทว่า วิวฏฺฎนานุ-
ปสฺสนา - การพิจารณาเห็นอุบายที่จะออกไป ท่านกล่าวว่า ได้แก่
สังขารุเบกขาญาณ และอนุโลมญาณ. อนึ่ง บทนั้นในบาลีดูเหมือน
จะผิด. เพราะท่านกล่าวไว้ในจริยากถาว่า
อัพยากตธรรมอันเป็นกิริยาของอาวัชนะ เพื่อ
ประโยชน์ในการพิจารณาเห็นความเป็นของไม่
เที่ยง ชื่อว่า วิญญาณจริยา. การพิจารณาเห็น
ความเป็นของไม่เที่ยง ชื่อว่า ญาณจริยา ฯลฯ
อัพยากตธรรมอันเป็นกิริยาของอาวัชนะ เพื่อ
ประโยชน์ในการพิจารณาหาทาง ชื่อว่า วิญญาณ-
จริยา. ปฏิสังขานุปัสนาญาณ เป็น ญาณจริยา.
1
ท่านกล่าวถึงอาวัชนะต่างหากกันของญาณที่ได้อาวัชนะต่าง ๆ กัน
แต่ท่านไม่กล่าวถึงอาวัชนะเพื่อพิจารณาเห็นอุบายที่จะออกไปแล้วกล่าว
ว่า วิวัฏฏานุปัสนา เป็น ญาณจริยา. ผิว่า สังขารุเบกขาญาณ
และอนุโลมญาณ จะพึงเป็นวิวัฏฏานุปัสนาญาณได้, ก็ควรกล่าวถึง
อาวัชนะเพื่อประโยชน์แก่ญาณนั้น เพราะอาวัชนะของญาณนั้นมีพร้อม,
แต่ท่านไม่กล่าวถึงอาวัชนะเพื่อประโยชน์แก่ญาณนั้น. โครตญาณ
1. ขุ.ป. 31/169

ไม่มีอาวัชนะต่าง ๆ กัน เพราะเกิดขึ้นในอาวัชนวิถีแห่งอนุโลมญาณ
นั่นเอง. เพราะฉะนั้นโคตรภูญาณนั่นแล เป็น วิวัฏฏนานุปัสนา
ถูกต้องเพราะท่านไม่กล่าวถึงอาวัชนะ เพื่อประโยชน์แก่วิวัฏฏนานุปัสนา.
49] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 8 ข้อ มี โสดา-
ปัตติมรรค เป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งมรรคและผลอันเป็นโลกุตระ.
การถึงกระแสแห่งมรรค ชื่อว่า โสตาปตฺติ, โสดาปตฺติ นั่นแล
เป็น มรรค ชื่อว่า โสตาปัตติมรรค.
ผลแห่งการถึงกระแส ชื่อว่า โสดาปัตติผล, ชื่อว่า สมาปัตติ
เพราะอรรถว่า เข้าถึง. โสดาปัตติผลนั่นและเป็นสมาบัติ ชื่อว่า โสดา-
ปัตติผลสมาบัติ.
ชื่อว่า สกทาคามี เพราะอรรถว่า มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น
ด้วยอำนาจปฏิสนธิ, มรรคแห่งสกทาคามีนั้น ชื่อว่า สกทาคามิมรรค.
ชื่อว่า อนาคามี เพราะอรรถว่า ไม่มาสู่กามภพด้วยอำนาจ
ปฏิสนธินั่นแล, มรรคแห่งอนาคามีนั้น ชื่อว่า อนาคามิมรรค. ผล
แห่งอนาคามี ชื่อว่า อนาคามิผล.
ชื่อว่า อรหํ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลาย, เพราะกำจัดข้าศึก
คือกิเลส เพราะหักซี่ล้อของสังสารจักรเสียได้, เพราะไม่มีความลับใน
การทำบาป, เพราะควรแก่ปัจจัยเป็นต้น. ความเป็นอรหันต์ ชื่อว่า

อรหตฺตํ นั้นคืออะไร ? คืออรหัตผล. มรรคแห่งอรหัต ชื่อว่า
อรหัตมรรค. ผลแห่งอรหัตนั่นแล ชื่อว่า อรหัตผล.
50 - 53] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 33 ข้อ มี
บทว่า อธิโมกฺขฏฺเฐน สทฺธินฺทฺริยํ ได้แก่ สัทธินทรีย์ด้วยความว่า
น้อมใจเชื่อเป็นต้น, บทว่า ตถฏฺเฐน สจฺจา ได้แก่ สัจจะด้วยความ
ว่าเที่ยงเป็นที่สุด ได้ชี้แจงการวิสัชนาเสมอกันด้วยการวิสัชนา 33 ข้อ
มีบทว่า อินฺทฺริยสฺส อธิโมกฺขฏฺโฐ - สภาพที่น้อมใจเชื่อแห่งสัทธินทรีย์
เป็นตันในภายหลัง. ได้ชี้แจงอรรถด้วยธรรมทั้งหลาย ในบทนั้นสิ้นเชิง.
ในบทนี้ได้ชี้แจงธรรมทั้งหลายด้วยอรรถ นี้เป็นความต่างกัน. พึงทราบ
ความต่างกันแห่งการวิสัชนา 4 ข้อ มีบทว่า อวิกฺเขปฏฺเฐน สมโถ-
สมถะด้วยความว่าไม่ฟุ้งซ่านเป็นต้น และการวิสัชนา 4 ข้อ มีบทว่า
สมถสฺส อวิกฺเขปฏฺโฐ - สภาพไม่ฟุ้งซ่านแห่งสมถะเป็นต้น โดยนัย
ดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
54] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 8 ข้อ มีบทว่า สํว-
รฏฺเฐน -
ด้วยความว่าสำรวมเป็นต้น ด้วยอำนาจธรรมมี ศีล เป็นต้น
มี พละ เป็นที่สุด.
บทว่า สีลวิสุทฺธิ - ความหมดจดแห่งศีล ได้แก่ ศีล 4 อย่าง
มีปาติโมกขสังวรศีล อันบริสุทธิ์ด้วยดีเป็นต้น ชื่อว่า สีลวิสุทฺธิ
เพราะชำระมลทิน คือความเป็นผู้ทุศีล.

บทว่า จิตฺตวิสุทฺธิ - ความหมดจดแห่งจิต ได้แก่ สมาบัติ 8
พร้อมด้วย อุปจาร. ในบทนี้ท่านกล่าวสมาธิด้วยหัวข้อว่า จิตตะ สมาธิ
นั้น ชื่อว่า จิตตวิสุทธิ เพราะชำระมลทินของจิต.
ชื่อว่า ทิฏฺฐิวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์ แห่งทิฏฐิ ได้แก่ การเห็น
นามรูปตามที่เป็นจริง ชื่อว่า ทิฏฐิวิสุทธิ เพราะชำระมลทินของทิฏฐิ 7.
บทว่า มุตฺตฏฺเฐน - ด้วยความว่าหลุดพ้น ได้แก่ หลุดพ้นจาก
อุปกิเลสด้วยอำนาจ ตทังควิมุตติ และน้อมไปในอารมณ์.
บทว่า วิโมกฺโข ได้แก่ ความหลุดพ้นด้วยตทังควิมุตติ.
บทว่า ปฏิเวธฏฺเฐน วิชฺช - วิชชา ด้วยความว่าแทงตลอด
ได้แก่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ชื่อว่า วิชชา ด้วยความว่าแทงตลอด
ในภพก่อน.
บทว่า ปฏิเวธฏฺเฐน ได้แก่ ด้วยความว่ารู้แจ้ง.
บทว่า ปริจฺจาคฏฺเฐน วิมุตฺติ - ความหลุดพ้นด้วยการสละ
ได้แก่ ชื่อว่า ผลวิมุตติ เพราะพ้นจากการสละ.
บทว่า สมุจฺเฉทฏฺเฐน ขเย ญาณํ - ญาณในความสิ้นไปด้วย
ความตัดขาด ได้แก่ ญาณในอริยมรรคกระทำความสิ้นกิเลสด้วยความ
ตัดกิเลสได้ขาด.
บทว่า ปฏิปฺปสฺสทฺธฏฺเฐน อนุปฺปาทา ญาณํ - ญาณในความ
ไม่เกิดขึ้นด้วยความว่าระงับ ได้แก่ ญาณในอริยผลอันเกิดขึ้นในที่สุด

แห่งความไม่เกิดขึ้นแห่งกิเลสอันฆ่าด้วยมรรคนั้น ๆ อันเป็นความไม่เกิด
ด้วยปฏิสนธิ เพราะระงับปโยคะคือมรรคกิจเสียได้.
พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา 9 ข้อ มีบทว่า ฉนฺโท
มูลฏฺเฐน - ฉันทะด้วยความว่าเป็นมูลฐานเป็นต้น ด้วยอำนาจอริย-
มรรคอันเป็นเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด.
บทว่า ฉนฺโท มูลฏฺเฐน ได้แก่ ฉันทะคือความเป็นผู้ใคร่
เพื่อจะทำกุศลธรรมทั้งหลาย ด้วยความว่าเป็นมูลฐาน เพราะเป็นมูล
แห่งการปฏิบัติและแห่งความสำเร็จ
บทว่า มนสิกาโร สมุฏฺฐานฏฺเฐน - มนสิการด้วยความว่าเป็น
สมุฏฐาน ได้แก่ โยนิโสมนสิการด้วยความว่าเป็นสมุฏฐาน เพราะยัง
กุศลธรรมทั้งหมดให้ตั้งขึ้น.
บทว่า ผสฺโส สโมธานฏฺเฐน - ผัสสะด้วยความว่าประมวลมา
ได้แก่ เพราะเวทนาเป็นปธานเหตุแห่งตัณหาโดยเฉพาะ, อนึ่ง เมื่อ
จะละตัณหา ย่อมละด้วยเวทนาที่กำหนดรู้โดยเฉพาะ, และผัสสะเป็น
ปธานเหตุแห่งเวทนานั้น, เมื่อกำหนดรู้ผัสสะแล้วเป็นอันกำหนดรู้
เวทนาด้วย, ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวผัสสะในวัตถุที่ควรรู้ยิ่ง 7 ก่อน. ก็
ผัสสะนั้น ชื่อว่า ควรรู้ยิ่งด้วยความว่าประมวลมา เพราะท่านกล่าวว่า
ติกสนฺนิปาตปจฺจุปฏฺฐาโน - มีการประมวลมา รวมกันระหว่างวัตถุ
อารมณ์และวิญญาณ 3 อย่างเป็นอาการปรากฏ เพราะประกาศด้วย

อำนาจเหตุของตน กล่าวคือการประมวลมาแห่งธรรมทั้ง 3 แต่อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า ผัสสะ คือ ญาณผัสสะ.
ก็เพราะเวทนายังจิตและเจตสิกให้เป็นไปในอำนาจของตน ย่อม
ประชุม คือ ย่อมเข้าไปในจิตเจตสิกนั้น, หรือเข้าไปสู่จิตสันดานนั่นเอง,
ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า สโมสรณฏฺเฐน อภิญฺเญยฺยา - เวทนาควรรู้ยิ่ง
ด้วยความว่าประชุม.
ส่วนอาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า การกำหนดรู้แม้ทั้งหมด ย่อม
ประชุมลงในเวทนาทั้งหลาย, เมื่อกำหนดรู้เวทนาแล้วเป็นอันกำหนดรู้
ที่ตั้งของตัณหาทั้งหมดได้. นั่นเพราะเหตุไร ? เพราะตัณหาทั้งหมดมี
เวทนาเป็นปัจจัย. ฉะนั้น เวทนาจึงควรรู้ยิ่งด้วยความว่าประชุม เพราะ
สมาธิชื่อว่าเป็นประมุข เป็นใหญ่ของกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะประมวล
ไว้ซึ่งจิตและเจตสิกทั้งหลาย ดุจช่อฟ้ากูฏาคารเป็นประมุข เพราะยึดไว้
ด้วยไม้จันทัน, ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สมาธิ ปมุขฏฺเฐน สมาธิ
ด้วยความว่าเป็นประธาน. ปาฐะว่า ปามุกฺขฏฺเฐน บ้าง.
เพราะสติเป็นใหญ่ในการกำหนดอารมณ์ของผู้เจริญสมถวิปัสสนา,
เมื่ออารมณ์กำหนดไว้ได้ด้วยสติกุศลธรรมแม้ทั้งหมด ย่อมยังกิจของ
ตน ๆ ให้สำเร็จ ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า สติ อาธิปเตยฺยฏฺเฐน -
สติด้วยความว่าเป็นใหญ่.

บทว่า ปญญา ฉเฐน ปัญญาด้วยความว่าประเสริฐ
กว่ากุศลนั้น ๆ ได้แก่ อริยมรรคปัญญา ชื่อว่าควรรู้ยิ่ง ด้วยความว่า
ยิ่งคือประเสริฐกว่ากุศลธรรมนั้น ๆ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ตทุตฺตรา
เพราะอรรถว่า ก้าวล่วงยิ่งจากกิเลสทั้งหลาย หรือจากสังสารวัฏ, อรรถ
แห่ง ตทุตฺตรา นั้น ชื่อว่า ตทุตฺตรฏฺโฐ ความว่าประเสริฐกว่ากุศล-
ธรรมนั้น ๆ. ด้วย ตทุตฺตรฏฺโฐ นั้น. ปาฐะว่า ตตุตฺตรฏฺเฐน บ้าง
ความว่าด้วยความยิ่งกว่าธรรมนั้น.
บทว่า วิมุตฺติ สารฏฺเฐน - วิมุตติด้วยความว่าเป็นแก่นสาร
ได้แก่ ผลวิมุตติ ชื่อว่าเป็นแก่นสาร เพราะความมั่นคงโดยไม่เสื่อม,
แม้เพราะก้าวล่วงสิ่งนั้นแล้วไม่มีสิ่งอื่นที่พึงแสวงหา ก็ชื่อว่าเป็นแก่น-
สาร. วิมุตตินั้นควรรู้ยิ่ง ด้วยความว่าเป็นแก่นสารนั้น.
บทว่า อมโตคธํ นิพฺพานํ - นิพพานอันหยั่งลงในอมตะ ชื่อว่า
อมตะ เพราะนิพพานไม่มี มตะ คือความตาย, ชื่อว่า อมตะ เพราะ
เป็นยาแก้พิษคือกิเลสบ้าง, ชื่อว่า โอคธํ เพราะเป็นหลักของสัตว์
ทั้งหลายด้วยการทำให้แจ้ง. ชื่อว่า นิพพานํ คือดับเพราะสงบจากทุกข์
ในสงสาร, ชื่อว่า นิพฺพานํ เพราะในนิพพานนี้ไม่มีเครื่องร้อยรัดคือ
ตัณหา.
นิพพานนั้นควรรู้ยิ่งด้วยความว่าเป็นที่สุด เพราะคำสอนเสร็จ-
สิ้นแล้ว. ในอภิญเญยยนิทเทสนี้รวมการวิสัชนา ได้ 7,740 บท ด้วย

ประการฉะนี้.
55] บัดนี้ สรุปธรรมเหล่านั้นที่พระสารีบุตรได้ชี้แจงไว้แล้ว
อย่างนี้ว่า ธรรมใด ๆ ที่รู้ยิ่งแล้ว, ธรรมนั้น ๆ เป็นคุณที่รู้แล้ว, อธิบายว่า
เป็นคุณที่รู้แล้ว เพราะทำบทนั้นให้เป็นประธาน.
บทว่า ตํญาตฏฺเฐน ญาณํ - ชื่อว่า ญาณ เพราะอรรถว่ารู้
ธรรมนั้น ความว่า ชื่อว่า ญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมมีประการดังกล่าว
แล้วนั้น.
บทว่า ปชานนฏฺเฐน ปญฺญา - ชื่อว่า ปัญญา เพราะอรรถว่า
รู้ทั่ว คือรู้โดยอาการ.
คำถามที่ท่านถามไว้แต่ต้นว่า เตน วุจฺจติ ท่านแสดงสรุปไว้.
ด้วยเหตุนั้นจึงมีความว่า ปัญญาเครื่องทรงจำที่ได้สดับมา คือเครื่องรู้
ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง เป็นสุตมยปัญญา
ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาทุติยภาณวาร

ตติยภาณวาร


[56] ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมา คือ เครื่องรู้ชัด
ธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรกำหนดรู้ เป็นสุตมยญาณ
อย่างไร.
ธรรมอย่างหนึ่งควรกำหนดรู้ คือ ผัสสะอันมีอาสวะ เป็นที่
แห่งอุปาทาน ธรรม 2 ควรกำหนดรู้ คือ นาม 1 รูป 1, ธรรม 3
ควรกำหนดรู้ คือ เวทนา 3, ธรรม 4 ควรกำหนดรู้ คืออาหาร 4,
ธรรม 5 ควรกำหนดรู้ คือ อุปาทานขันธ์ 5, ธรรม 6 ควรกำหนดรู้
คือ อายตนะภายใน 6, ธรรม 7 ควรกำหนดรู้ คือ วิญญาณฐิติ 7,
ธรรม 8 ควรกำหนดรู้ คือ โลกธรรม 8, ธรรม 9 ควรกำหนดรู้
คือ สัตตาวาส 9, ธรรม 10 ควรกำหนดรู้ คือ อายตนะ 10.
[57] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงควรกำหนดรู้ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ก็สิ่งทั้งปวงที่ควรกำหนดรู้คืออะไร คือ ตา รูป จักขุวิญญาณ
จักขุสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือแม้อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิด
ขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย ควรกำหนดรู้ทุกอย่าง.
หู เสียง ฯลฯ จมูก กลิ่น ฯลฯ ลิ้น รส ฯลฯ กาย
โผฏฐัพพะ ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุข-
เวทนา ทุกขเวทนา หรือแม้อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโน-
สัมผัสเป็นปัจจัย ควรกำหนดรู้ทุกอย่าง.