เมนู

โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส


ว่าด้วยปัญหาของท่านโปสาละ


[467] (ท่านโปสาละทูลถามว่า)
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ไม่ทรงมีความหวั่น-
ไหว ทรงตัดความสงสัยเสียแล้ว ทรงถึงฝั่งแห่งธรรม
ทั้งปวง ย่อมทรงแสดงอดีต ข้าพระองค์มีความต้องการ
ด้วยปัญหา จึงมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.

[468] คำว่า โย ในอุเทศว่า โย อตีตํ อาทิสติ ดังนี้ ความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด เป็นพระสยัมภู ไม่มีอาจารย์ ตรัสรู้พร้อม
เฉพาะซึ่งสัจจะทั้งหลายเอง ในธรรมทั้งหลายที่พระองค์ไม่เคยได้ยินมา
ในกาลก่อน ทรงบรรลุซึ่งความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมเหล่านั้น และ
ทรงบรรลุซึ่งความเป็นผู้ชำนาญในพลธรรมทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมทรงแสดงอดีต ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรง
แสดงแม้อดีต ย่อมทรงแสดงแม้อนาคต ย่อมทรงแสดงแม้ปัจจุบัน ของ
พระองค์เองและของผู้อื่น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงอดีตของพระองค์อย่างไร พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง
สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง
สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง
ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอด
สังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง อันเป็นอดีตของพระองค์เองว่า ในภพโน้น

เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพ
นั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร
อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่าง
นั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพ
นี้ พระองค์ทรงแสดงชาติก่อนเป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้ง
อุเทศ ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงอดีตของ
พระองค์เองอย่างนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงอดีตของผู้อื่นอย่างไร พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯ ล ฯ ตลอด
สังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง อันเป็นอดีตของผู้อื่นว่า ในภพโน้น ท่าน
ผู้นี้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพ
นั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น ท่านผู้นี้ก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์
อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิด
ในภพนี้ พระองค์ทรงแสดงชาติก่อนเป็นอันมากพร้อมทั้งอาการ พร้อม
ทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงอดีตของ
ผู้อื่นอย่างนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสชาดก 500 ก็ชื่อว่าทรงแสดงอดีตของ
พระองค์เองและของผู้อื่น ตรัสมหาธนิยสูตร... มหาสุทัสสนสูตร... มหา-

โควินทสูตร ... มฆเทวสูตร ชื่อว่าทรงแสดงอดีตของพระองค์และของ
ผู้อื่น.

สมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนจุนทะ
ญาณอันตามระลึกถึงชาติก่อนของตถาคต ปรารภถึงอดีตกาลมีอยู่ ตถาคต
หวังจะรู้ชาติก่อนเท่าใด ก็ระลึกถึงชาติก่อนได้เท่านั้น ดูก่อนจุนทะ
ญาณอันตามระลึกถึงชาติข้างหน้าของตถาคต ปรารภถึงอนาคตกาล มีอยู่
ฯ ล ฯ ดูก่อนจุนทะ ญาณอันเกิดที่ควงไม้โพธิของตถาคต ปรารภถึง
ปัจจุบันกาล เกิดขึ้นว่า ชาตินี้มีในที่สุด บัดนี้มิได้มีภพต่อไป อินทรีย-
ปโรปริยัตติญาณ (ญาณเครื่องกำหนดรู้ความยิ่งความหย่อนแห่งอินทรีย์
ของสัตว์ทั้งหมด) เป็นกำลังของตถาคต อาสยานุสยญาณ (ความรู้จัก
ฉันทะที่มานอนและกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย) เป็นกำลังของ
ตถาคต ยมกปาฏิหาริยญาณ (ญาณเป็นเครื่องนำออกซึ่งปฏิปักขธรรม
อันเป็นคู่) เป็นกำลังของตถาคต มหากรุณาสมาปัตติญาณ (ญาณใน
มหากรุณาสมาบัติ) เป็นกำลังของตถาคต สัพพัญญุตญาณเป็นกำลังของ
ตถาคต อนาวรณณาณ (ญาณเนื่องด้วยอาวัชชนะไม่มีอะไรกั้น) เป็น
กำลังของตถาคต อนาวรณญาณอันไม่ข้อง ไม่มีอะไรขัดในกาลทั้งปวง
เป็นกำลังของตถาคต พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมแสดง .... ทรงประกาศ
แม้อดีต แม้อนาคต แม้ปัจจุบัน ของพระองค์และของผู้อื่นด้วยประการ
อย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอดีต.
คำว่า อิติ ในอุเทศว่า อิจฺจายสฺมา โปสาโล ดังนี้ เป็นบทสนธิ.
คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก. คำว่า โปสาโล เป็นชื่อ

ฯ ล ฯ เป็นคำร้องเรียกของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่าน
โปสาละทูลถามว่า.
[469] ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล
ท่านกล่าวว่า ความหวั่นไหว ในอุเทศว่า อเนโช ฉินฺนสํสโย ดังนี้
ตัณหาอันเป็นความหวั่นไหวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงละ
ได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มี
มีอันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่า ไม่มีความหวั่นไหว. พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า
ไม่มีความหวั่นไหว เพราะทรงละความหวั่นไหวเสียแล้ว พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าไม่ทรงหวั่น ไม่ทรงไหว ไม่พรั่น ไม่พรึง แม้ในเพราะลาภ
แม้ในเพราะความเสื่อมลาภ แม้ในเพราะยศ แม้ในเพราะความเสื่อมยศ
แม้ในเพราะความสรรเสริญ แม้ในเพราะนินทา แม้ในเพราะสุข แม้ใน
เพราะทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่มีความหวั่นไหว.
วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงในทุกข์ ฯ ล ฯ ความสะดุ้งแห่งจิต
ความขัดใจ ท่านกล่าวว่า ความสงสัย ในอุเทศว่า ฉินฺนสํสโย ดังนี้
ความสงสัยนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงตัด บั่น ทอน สงบ
ระงับเสียแล้ว ทำไม่ให้อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะ-
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่าทรงตัดความสงสัยแล้ว
เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ไม่มีความหวั่นไหว ทรงตัดความสงสัยเสีย
แล้ว.
[470] คำว่า ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ความว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงถึงฝั่งแห่งอภิญญา ทรงถึงฝั่งแห่งปริญญา ทรงถึงฝั่งแห่ง

ปหานะ ทรงถึงฝั่งแห่งภาวนา ทรงถึงฝั่งแห่งการทำให้แจ้ง ทรงถึงฝั่ง
แห่งสมาบัติ คือ ทรงถึงฝั่งแห่งความรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง ฯ ล ฯ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้านั้น มิได้มีสงสาร คือชาติ ชราและมรณะ ไม่มีภพใหม่
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง.
[471] คำว่า ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหาจึงมาเฝ้า
ความว่า พวกข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหาจึงมาเฝ้า ฯ ล ฯ เพื่อ
ทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง เพื่อทรงเฉลย แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า
ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหาจึงมาเฝ้า เพราะเหตุนั้น พราหมณ์
นั้นจึงกล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ไม่ทรงมีความหวั่น-
ไหว ทรงตัดความสงสัยเสียแล้ว ทรงถึงฝั่งแห่งธรรม
ทั้งปวง ย่อมทรงแสดงอดีต ข้าพระองค์มีความต้องการ
ด้วยปัญหาจึงมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.


[472] ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณของ
บุคคลผู้มีรูปสัญญาอันผ่านไปแล้ว ละกายทั้งหมดแล้ว
เห็นอยู่ทั้งภายในภายนอกว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งมิได้มี
บุคคลอย่างนั้นควรแนะนำอย่างไร.

[473] รูปสัญญา ในคำว่า วิภูตรูปสญฺญิสฺส ดังนี้ เป็นไฉน
สัญญา ความจำ ความเป็นผู้จำ ของบุคคลผู้เข้าซึ่งรูปาวจรสมาบัติ หรือ
ของบุคคลผู้เข้าถึงแล้ว (ในรูปาวจรภพ) หรือว่าของบุคคลผู้มีธรรม
เครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน นี้ชื่อว่า รูปสัญญา.

คำว่า ผู้มีรูปสัญญาอันผ่านไปแล้ว ความว่า รูปสัญญาของบุคคล
ผู้ได้อรูปสมาบัติ 4 เป็นสัญญาผ่านไปแล้ว หายไปแล้ว ล่วงไปแล้ว
เลยไปแล้ว เป็นไปล่วงแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้มีรูปสัญญาอัน
ผ่านไปแล้ว.

[474] คำว่า ผู้ละกายทั้งปวงแล้ว ความว่า รูปกายอันมีใน
ปฏิสนธิทั้งหมด บุคคลนั้นละแล้ว คือ รูปกายอันบุคคลนั้นละแล้ว ด้วย
การก้าวล่วงด้วยอำนาจตทังคปหานและวิกขัมภนปหาน การละด้วยการ
ข่มไว้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ละกายทั้งปวงแล้ว.
[475] อากิญจัญญายตนสมาบัติ ชื่อว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งมิได้มี
ในอุเทศว่า อชฺฌตฺตญฺจ พหิทฺธา จ นตฺถิ กิญฺจีติ ปสฺสโต
ดังนี้ เพราะ
เหตุไร อากิญจัญญายตนสมาบัติจึงชื่อว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งมิได้มี บุคคล
เป็นผู้มีสติ เข้าวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ไม่ยัง
วิญญาณนั้นนั่นแหละ ให้เจริญ ให้เป็นแจ้ง ให้หายไป ย่อมเห็นว่า อะไร ๆ
น้อยหนึ่งย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น อากิญจัญญายตนสมาบัติจึงชื่อว่า อะไร ๆ
น้อยหนึ่งมิได้มี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้เห็นอยู่ทั้งภายในและภายนอก
ว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งมิได้มี.

[476] คำว่า สกฺก ในอุเทศว่า ญาณํ สกฺกานุปุจฺฉามิ ดังนี้
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สักกะ พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จออกผนวชจากศากยสกุล แม้เพราะเหตุดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ชื่อว่า สักกะ ฯ ล ฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละความกลัวและความขลาด
เสียแล้ว ปราศจากความขนลุกขนพอง แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงชื่อว่า สักกะ.

คำว่า ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณ ความว่า
ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณของบุคคลนั้นว่า เช่นไร ดำรงอยู่อย่างไร
มีประการไร มีส่วนเปรียบอย่างไร อันบุคคลนั้น พึงปรารถนา เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณ.
[477] คำว่า บุคคลเช่นนั้นควรแนะนำอย่างไร ความว่า บุคคล
นั้นควรแนะนำ ควรนำไปให้วิเศษ ควรนำไปให้ยิ่ง ควรให้รู้ทั่ว ควร
ให้พินิจ ควรให้พิจารณา ควรให้เลื่อมใสอย่างไร และญาณที่ยิ่งขึ้นไป
อันบุคคลนั้นพึงให้เกิดขึ้นอย่างไร.
คำว่า บุคคลเช่นนั้น คือ บุคคลผู้อย่างนั้น ผู้เช่นนั้น ดำรงอยู่
อย่างนั้น ผู้มีประการอย่างนั้น ผู้มีส่วนเปรียบอย่างนั้น ผู้ได้อากิญจัญญา-
ยตนสมาบัตินั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลผู้เช่นนั้นควรแนะนำอย่างไร
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณของ
บุคคลผู้มีรูปสัญญาอันผ่านไปแล้ว ละกายทั้งหมดแล้ว
เห็นอยู่ทั้งภายในภายนอกว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งมิได้มี
บุคคลอย่างนั้นควรแนะนำอย่างไร.


[478] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนโปสาละ)
ตถาคตรู้ยิ่งซึ่งวิญญาณฐิติ (ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ)
ทั้งหมด ย่อมรู้จักบุคคลนั้น เมื่อตั้งอยู่ พ้นวิเศษแล้ว
มีสมาบัตินั้นเป็นเบื้องหน้า.

[479] คำว่า วิญญาณฐิติทั้งหมด ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมทรงทราบวิญญาณฐิติ 4 ด้วยสามารถอภิสังขาร ย่อมทรงทราบ
วิญญาณฐิติ 7 ด้วยสามารถปฏิสนธิ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบ วิญญาณฐิติ 4 ด้วยสามารถ
อภิสังขารอย่างไร สมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณยึดรูปตั้งอยู่ มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็น
ที่ตั้งอาศัย มีความเพลิดเพลิน เป็นเครื่องซ่องเสพ ย่อมตั้งอยู่ ย่อมถึง
ความเจริญงอกงามไพบูลย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณยึดเวทนา ฯ ล ฯ
ยึดสัญญา ฯ ล ฯ ยึดสังขารตั้งอยู่ มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้ง
อาศัย มีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องซ่องเสพ ย่อมตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญ
งอกงามไพบูลย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบวิญญาณฐิติ 4 ด้วย
สามารถอภิสังขารอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบ วิญญาณฐิติ 7 ด้วยสามารถ
ปฏิสนธิอย่างไร สมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น
พวกมนุษย์ เทวดาบางพวก วินิปาติกะบางหมู่ นี้เป็น วิญญาณฐิติที่ 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน
เช่นพวกเทพเนื่องในหมู่พรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน นี้เป็น วิญญาณ-
ฐิติที่ 2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญา
ต่างกัน เช่นพวกเทพอาภัสสระ นี้เป็น วิญญาณฐิติที่ 3. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น
พวกเทพสุภกิณหกะ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 4. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์

เหล่าหนึ่งล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่มนสิการนานัตตสัญญาโดย
ประการทั้งปวง เข้าอากาสานัญจายตนฌานด้วยมนสิการว่า อากาศหา
ที่สุดมิได้ นี้เป็น วิญญาณฐิติที่ 5. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่ง
ล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง เข้าวิญญาณัญจายตนฌาน
ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ นี้เป็น วิญญาณฐิติที่ 6. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง
เข้าอากิญจัญญายตนฌานด้วยมนสิการว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งมิได้มี นี้เป็น
วิญญาณฐิติที่ 7. พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบวิญญาณฐิติที่ 7
ด้วยสามารถปฏิสนธิอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วิญญาณฐิติ
ทั้งหมด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า โปสาละ ในอุเทศ
ว่า โปสาลาติ ภควา ดังนี้. คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ
ฯ ล ฯ คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนโปสาละ.
[480] คำว่า อภิชานํ ในอุเทศว่า อภิชานํ ตถาคโต ดังนี้
ความว่า รู้ยิ่ง รู้แจ้ง แทงตลอด. คำว่า ตถาคต ความว่า สมจริงตาม
พระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนจุนทะ ถ้าแม้เรื่องที่ล่วงแล้ว ไม่จริงไม่แท้ ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ เรื่องนั้นตถาคตก็ไม่พยากรณ์.
ดูก่อนจุนทะ ถ้าแม้เรื่องที่ล่วงแล้ว จริงแท้ แต่ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ แม้เรื่องนั้นตถาคตก็ไม่พยากรณ์.

ดูก่อนจุนทะ ถ้าแม้เรื่องที่ล่วงแล้ว จริงแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ในเรื่องนั้นตถาคตย่อมรู้จักกาลที่จะพยากรณ์ปัญหานั้น.
ดูก่อนจุนทะ ถ้าแม้เรื่องที่ยังไม่มาถึง ฯ ล ฯ ดูก่อนจุนทะ ถ้าแม้
เรื่องที่เป็นปัจจุบัน ไม่จริงไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เรื่องนั้น
ตถาคตก็ไม่พยากรณ์. ดูก่อนจุนทะ ถ้าแม้เรื่องที่เป็นปัจจุบันจริงแท้ แต่
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แม้เรื่องนั้นตถาคตก็ไม่พยากรณ์.
ดูก่อนจุนทะ ถ้าเรื่องที่เป็นปัจจุบันจริงแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ในเรื่องนั้นตถาคตย่อมรู้จักกาลที่จะพยากรณ์ปัญหานั้น.
ดูก่อนจุนทะ ด้วยเหตุดังนี้แล ตถาคตย่อมเป็นผู้กล่าวโดยกาล
อันควร กล่าวจริง กล่าวอิงอรรถ กล่าวอิงธรรม กล่าวอิงวินัย ในธรรม
ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เพราะเหตุนั้น บัณฑิต
จึงกล่าวว่า เราเป็นตถาคต.
ดูก่อนจุนทะ อายตนะใดแล อันโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก อันหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เห็น
แล้ว ได้ยินแล้ว ทราบแล้ว รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว เสาะหาแล้ว พิจารณา
แล้วด้วยใจ อายตนะทั้งหมดนั้น ตถาคตรู้พร้อมเฉพาะแล้ว เพราะเหตุ-
นั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่า เราเป็นตถาคต.
ดูก่อนจุนทะ ตถาคตย่อมตรัสรู้ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในราตรี
ใด และตถาคตย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในราตรีใด
ตถาคตย่อมกล่าว บอก เล่า แสดง เรื่องใดในระหว่างนั้น เรื่องทั้งหมด
นั้นเป็นเรื่องจริงแท้ ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่า
เราเป็นตถาคต.

ดูก่อนจุนทะ ตถาคตกล่าวอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด กล่าว
อย่างนั้น ตถาคตกล่าวอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด กล่าวอย่างนั้น
ด้วยประการดังนี้ เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่า เราเป็นตถาคต.
ดูก่อนจุนทะ ตถาคตเป็นใหญ่ยิ่งในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ อัน
ใคร ๆ ครอบงำไม่ได้ เป็นผู้เห็นโดยถ่องแท้ เป็นผู้ให้อำนาจเป็นไป
เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่า เราเป็นตถาคต. เพราะฉะนั้น จึงชื่อ
ว่า ตถาคตรู้ยิ่ง.
[481] คำว่า ย่อมรู้จักบุคคลนั้นผู้ตั้งอยู่ ความว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ย่อมทรงรู้จักบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโลกนี้ด้วยสามารถกรรมาภิสังขารว่า
บุคคลนี้เมื่อกายแตกตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมรู้จักบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโลกนี้ด้วยสามารถกรรมาภิสังขาร
ว่า บุคคลนี้เมื่อกายแตกตายไป จักเข้าถึงกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ย่อมทรงรู้จักบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโลกนี้ด้วยสามารถกรรมาภิสังขาร
ว่า บุคคลนี้เมื่อกายแตกตายไป จักเข้าถึงเปรตวิสัย พระมีผู้พระภาคเจ้า
ย่อมทรงรู้จักบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโลกนี้ด้วยสามารถกรรมาภิสังขารว่า บุคคล
นี้เมื่อกายแตกตายไป จักอุบัติในหมู่มนุษย์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรง
รู้จักบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโลกนี้ด้วยสามารถกรรมาภิสังขารว่า บุคคลนี้เมื่อกาย
แตกตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
สมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารี-
บุตร เรากำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจแล้ว ย่อมรู้ชัด

อย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ประพฤติอย่างนั้น ดำเนินไปตามทาง
นั้น เมื่อกายแตกตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.
ดูก่อนสารีบุตร เรากำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
แล้ว ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ประพฤติอย่างนั้น
ดำเนินไปตามทางนั้น เมื่อกายแตกตายไป จักเข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจ-
ฉาน.

ดูก่อนสารีบุตร เรากำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
แล้ว ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ประพฤติอย่างนั้น
ดำเนินไปตามทางนั้น เมื่อกายแตกตายไป จักเข้าถึงเปรตวิสัย.
ดูก่อนสารีบุตร เรากำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
แล้ว ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ประพฤติอย่างนั้น
ดำเนินไปตามทางนั้น เมื่อกายแตกตายไป จักอุบัติในหมู่มนุษย์.
ดูก่อนสารีบุตร เรากำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
แล้ว ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ประพฤติอย่างนั้น
ดำเนินไปตามทางนั้น เมื่อกายแตกตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
ดูก่อนสารีบุตร เรากำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
แล้ว ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ประพฤติอย่างนั้น
ดำเป็นไปตามทางนั้น จักทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งเอง
ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมรู้บุคคลนั้นผู้ตั้ง
อยู่.

[482] คำว่า พ้นวิเศษแล้ว ในอุเทศว่า วิมุตฺตํ ตปฺปรายนํ ดังนี้
ความว่า พ้นวิเศษแล้วในอากิญจัญญายตนสมาบัติ คือ น้อมใจไปในฌาน
นั้น มีฌานนั้นเป็นใหญ่.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่า บุคคลนี้น้อม
ใจไปในรูป น้อมใจไปในเสียง น้อมใจไปในกลิ่น น้อมใจไปในรส
น้อมใจไปในโผฏฐัพพะ น้อมใจไปในสกุล น้อมใจไปในคณะ น้อมใจ
ไปในอาวาส น้อมใจไปในลาภ น้อมใจไปในยศ น้อมใจไปในความ
สรรเสริญ น้อมใจไปในสุข น้อมใจไปในจีวร น้อมใจไปในบิณฑบาต
น้อมใจไปในเสนาสนะ น้อมใจไปในคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร น้อมใจไป
ในพระสูตร น้อมใจไปในพระวินัย น้อมใจไปในพระอภิธรรม น้อมใจ
ไปในองค์ของภิกษุผู้ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของ
ภิกษุผู้ถือทรงไตรจีวรเป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการเที่ยว
ไปเพื่อบิณฑบาตเป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการเที่ยวไป
ตามลำดับตรอกเป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการนั่งฉัน ณ
อาสนะแห่งเดียวเป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการฉันเฉพาะ
ในบาตรเป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการไม่ฉันภัตในภายหลัง
เป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการอยู่ในป่าเป็นวัตร น้อมใจ
ไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการอยู่ที่โคนไม้เป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของ
ภิกษุผู้ถือการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการอยู่
ในป่าช้าเป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขา
จัดให้อย่างไรเป็นวัตร น้อมใจไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการไม่นอนเป็น
วัตร น้อมใจไปในปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสา-

นัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พ้นวิเศษแล้ว.
คำว่า มีสมาบัตินั้นเป็นเบื้องหน้า ความว่า สำเร็จมาแต่อากิญ-
จัญญายตนสมาบัติ มีสมาบัตินั้นเป็นที่ไปในเบื้องหน้า มีกรรมเป็นที่ไป
ในเบื้องหน้า มีวิบากเป็นที่ไปในเบื้องหน้า หนักอยู่ในกรรม หนักอยู่
ในปฏิสนธิ.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่า บุคคลนี้มีรูป
เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ฯ ล ฯ มีเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็นเบื้อง
หน้า เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า พ้นวิเศษแล้ว มีสมาบัตินั้นเป็นเบื้องหน้า
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ตถาคตรู้ยิ่งวิญญาณฐิติ (ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ)
ทั้งหมด ย่อมรู้จักบุคคลนั้นเมื่อตั้งอยู่ พ้นวิเศษแล้ว มี
สมาบัตินั้นเป็นเบื้องหน้า.


[483] บุคคลนั้น รู้กรรมว่า เป็นเหตุให้เกิดในอากิญ-
จัญญายตนภพ มีความเพลินเป็นเครื่องประกอบ ดังนี้
ครั้นรู้จักกรรมนั้นอย่างนี้แล้ว ในลำดับนั้น ก็พิจารณา
เห็น (ธรรม) ในสมาบัตินั้น นั่นเป็นญาณอันเที่ยงแท้ของ
บุคคลนั้น ซึ่งเป็นพราหมณ์อยู่จบพรหมจรรย์.

[484] คำว่า รู้กรรมว่าเป็นเหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพ
ความว่า กรรมาภิสังขารอันให้เป็นไปในอากิญจัญญายตนภพ ตรัสว่าเป็น
เหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพ คือ รู้ ทราบ เทียบเคียง พิจารณา

ให้แจ่มแจ้ง ทำให้ปรากฏซึ่งกรรมาภิสังขารอันให้เป็นไปในอากิญญจัญญา-
ยตนภพว่า เป็นเครื่องข้อง เป็นเครื่องผูก เป็นเครื่องกังวล เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า รู้กรรมเป็นเหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพ.
[485] คำว่า มีความเพลินเป็นเครื่องประกอบดังนี้ ความว่า
ความกำหนัดในอรูปตรัสว่า ความเพลินเป็นเครื่องประกอบ รู้กรรมนั้นว่า
เกาะ เกี่ยว พัวพัน ด้วยความกำหนัดในอรูป คือ รู้ ทราบ เทียบเคียง
พิจารณา ให้แจ่มแจ้ง ทำให้ปรากฏ ซึ่งความกำหนัดในอรูปว่า เป็น
เครื่องข้อง เป็นเครื่องผูกพัน เป็นเครื่องกังวล.
คำว่า อิติ เป็นบทสนธิ ฯ ล ฯ คำว่า อิติ นี้ เป็นไปตามลำดับ
บท เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีความเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้ ดังนี้.
[486] คำว่า ครั้นรู้จักกรรมนั้นอย่างนี้แล้ว ความว่า ครั้นรู้จัก
คือ ทราบ เทียบเคียง พิจารณา ให้แจ่มแจ้ง ทำให้ปรากฏ ซึ่งกรรมนั้น
อย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ครั้นรู้จักกรรมนั้นอย่างนี้แล้ว.
[487] คำว่า ในลำดับนั้น ก็พิจารณาเห็น (ธรรม) ในสมาบัติ
นั้น
ความว่า เข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้วออกจากสมาบัตินั้น แล้วก็
พิจารณาเห็น คือ เห็น ตรวจดู เพ่งดู พิจารณา ซึ่งธรรมทั้งหลาย คือ
จิตและเจตสิก อันเกิดในสมาบัตินั้น โดยเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรค ฯ ล ฯ โดยไม่มีอุบายเครื่องสลัดออก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ในลำดับนั้นก็พิจารณาเห็น (ธรรม) ในสมาบัตินั้น.
[488] คำว่า นั่นเป็นญาณอันเที่ยงแท้ของบุคคลนั้น ความว่า
นั่นเป็นญาณอันแท้จริง ถ่องแท้ ไม่วิปริต ของบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า นั่นเป็นญาณอันเที่ยงแท้ของบุคคลนั้น.

[489] คำว่า เป็นพราหมณ์ ในอุเทศว่า พฺราหฺมณสฺส วุสีมโต
ดังนี้ ความว่า ชื่อว่า เป็นพราหมณ์ เพราะลอยธรรม 7 ประการแล้ว
ฯ ล ฯ บุคคลอันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว เป็นผู้คงที่ ท่านกล่าวว่า
เป็นพราหมณ์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นพราหมณ์.
คำว่า อยู่จบพรหมจรรย์ ความว่า เสขบุคคล 7 พวกรวมทั้ง
กัลยาณปุถุชน ย่อมอยู่ อยู่ร่วม อยู่ทั่ว อยู่รอบ เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
พระอรหันต์อยู่จบแล้ว ทำกรณียกิจเสร็จแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว มี
ประโยชน์ตนอันถึงแล้วโดยลำดับ มีสังโยชน์ในภพสิ้นไปรอบแล้ว พ้น
กิเลสแล้ว เพราะรู้โดยชอบ พระอรหันต์นั้นมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ อยู่จบ
แล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว ฯ ล ฯ มิได้มีสงสาร คือ ชาติ ชราและ
มรณะ ไม่มีภพต่อไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นพราหมณ์อยู่จบพรหม-
จรรย์ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลนั้น รู้กรรมว่า เป็นเหตุให้เกิดในอากิญ-
จัญญายตนภพ มีความเพลินเป็นเครื่องประกอบ ดังนี้
ครั้นรู้จักกรรมนั้นอย่างนี้แล้ว ในลำดับนั้น ก็พิจารณาเห็น
(ธรรม) ในสมาบัตินั้น นั่นเป็นญาณอันเที่ยงแท้ของ
บุคคลนั้น ซึ่งเป็นพราหมณ์อยู่จบพรหมจรรย์.

พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ฯ ล ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้-
มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ฉะนี้แล.
จบโปสาลมาณวกปัญหานิทเทสที่ 14

อรรถกถาโปสาลมาณวกปัญหานิทเทสที่ 14


พึงทราบวินิจฉัยในโปสาลสูตรที่ 14 ดังต่อไปนี้.
บทว่า โย อตีตํ อาทิสติ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดทรงแสดง
อดีต คือทรงแสดงอดีต มีอาทิว่าชาติหนึ่งบ้างของพระองค์และของสัตว์
เหล่าอื่น.
บทว่า เอกมฺปิ ชาตึ ชาติหนึ่งบ้าง คือขันธสันดานหนึ่งบ้าง อันมี
ปฏิสนธิเป็นต้น มีจุติเป็นปริโยสานอันนับเนื่องในภพหนึ่ง. ในบท
ทั้งหลายมีอาทิว่า สองชาติ บ้างก็มีนัยนี้. อนึ่ง พึงทราบความในบท
ทั้งหลายมีอาทิว่า อเนเกปิ สํวฏฺฏกปฺเป ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง
ดังต่อไปนี้ กัปกำลังเสื่อม ชื่อว่า สังวัฏฏกัป เพราะในกาลนั้นสัตว์ทั้งปวง
จะไปรวมกันอยู่ในพรหมโลก. กัปกำลังเจริญชื่อว่า วิวัฏฏกัป เพราะในกาล
นั้น สัตว์ทั้งหลายกลับจากพรหมโลก. ในบทนั้น เป็นอันถือเอาการตั้งอยู่
แห่งสังวัฏฏกัปด้วยสังวัฏฎกัป. และเป็นอันถือเอาการตั้งอยู่แห่งวิวัฏฏกัป
ด้วยวิวัฏฏกัป. เพราะปฏิสนธินั้นเป็นต้นเหตุ. ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสงไขยกัปเหล่านี้มี 4 อย่าง
คือสังวัฏฏกัป 1 สังวัฏฏัฏฐายี 1 วิวัฏฏกัป 1 วิวัฏฏัฏฐายี 1. เป็นอัน
กำหนดเอาอสงไขยกัปเหล่านั้น. อนึ่ง ในบทว่า สงฺวฏฺฏกปฺเป วิวฏฏกปฺเป
ท่านกล่าวถือเอากึ่งหนึ่งของกัป. ในบทว่า สํวฏฺฏวิวฏฺฏกปฺเป ท่าน
กล่าวถือเอาตลอดกัป. หากถามว่า ระลึกถึงอย่างไร. ตอบว่า ระลึกถึง
โดยนัยมีอาทิว่า อมุตฺราสึ คือ ในภพโน้น. บทว่า อมุตฺราสึ ความว่า
เราได้มีแล้วในสังวัฏฏกัปโน้น ในภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ สัตตาวาส