เมนู

อุปสีวมาณวกปัญหานิทเทส


ว่าด้วยปัญหาของท่านอุปสีวะ


[242] (ท่านอุปสีวะทูลถามว่า)
ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์เป็นผู้เดียว ไม่อาศัยแล้ว
ไม่อาจข้ามโอฆะใหญ่ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระสมันต-
จักษุ ขอพระองค์จงตรัสบอกอารมณ์ที่ข้าพระองค์ได้
อาศัยแล้ว พึงข้ามโอฆะได้.

[243] คำว่า เอโก ในอุเทศว่า เอโก อหํ สกฺก มหนฺตโมฆํ
ดังนี้ ความว่า ข้าพระองค์ไม่มีบุคคลเป็นเพื่อน หรือไม่มีธรรมเป็นเพื่อน
ข้าพระองค์อาศัยบุคคลหรืออาศัยธรรมแล้ว พึงข้าม คือ ข้ามขึ้น ข้ามพ้น
ก้าวล่วง เป็นไปล่วงซึ่งกามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ
ใหญ่ได้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้เดียว.
คำว่า สกฺก คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศากยราช พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงผนวชจากศากยสกุล แม้เพราะเหตุนี้ จึงชื่อว่า สักกะ.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก นับว่า
มีทรัพย์ แม้เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงชื่อว่าสักกะ พระองค์มีทรัพย์เหล่านี้
คือทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ
ทรัพย์คือสุตะ ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือปัญญา ทรัพย์คือสติปัฏฐาน ฯ ล ฯ
ทรัพย์คือนิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้ามั่งคั่ง มีทรัพย์มาก นับว่ามีทรัพย์
ด้วยทรัพยรัตนะหลายอย่างนี้ แม้เพราะฉะนั้น พระองค์จึงชื่อว่า สักกะ.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อาจ ผู้องอาจ มีความสามารถ
อาจหาญ ผู้กล้า ผู้มีความแกล้วกล้า ก้าวหน้า ไม่ขลาด ไม่หวาดเสียว

ไม่สะดุ้ง ไม่หนี ละความกลัวความขลาดเสียแล้ว ปราศจากความเป็นผู้
มีขนลุกขนพอง แม้เพราะเหตุนี้ จึงชื่อว่า เป็นพระสักกะ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์เป็นผู้เดียว... โอฆะใหญ่ได้.
คำว่า อิติ ในอุเทศว่า " อิจฺจายสฺมา อุปสีโว " ดังนี้ เป็น
บทสนธิ. คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก. คำว่า อุปสีโว
เป็นชื่อ ฯ ลฯ เป็นคำร้องเรียกของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ท่านอุปสีวะทูลถามดังนี้.
[244] คำว่า อนิสฺสิโต ในอุเทศว่า " อนิสฺสิโต โน วิสหามิ
ตาริตุํ "
ดังนี้ ความว่า ไม่อาศัยบุคคลหรือไม่อาศัยธรรมแล้ว.
คำว่า ไม่อาจ คือ ไม่อุตสาหะ ไม่อาจ ไม่สามารถ.
คำว่า ข้าม คือ ข้าม ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วงซึ่ง
กามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ไม่อาศัยแล้วไม่อาจข้ามได้.
[245] คำว่า " อารมฺมณํ พฺรุหิ " ในอุเทศว่า " อารมฺมณํ พฺรูหิ
สมนฺตจกฺขุ "
ความว่า ขอพระองค์ตรัส คือ บอก... ประกาศซึ่งอารมณ์
คือ ที่ยึดเหนี่ยว ที่อาศัย ที่เข้าไปอาศัย พระสัพพัญญุตญาณ เรียกว่า
สมันตจักษุ ในคำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระสมันตจักษุ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงเข้า เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม
ประกอบด้วยพระสัพพัญญุตญาณนั้น.
พระตถาคตพระองค์นั้น ไม่ทรงเห็นอะไร ๆ น้อยหนึ่งในโลกนี้
อนึ่ง ไม่ทรงรู้อะไร ๆ ที่ไม่ทรงรู้แล้ว ไม่มีเลย พระตถาคต ทรงรู้ยิ่ง
ซึ่งธรรมทั้งปวง ธรรมชาติใดที่ควรแนะนำมีอยู่ พระตถาคต ทรงรู้ยิ่ง

ซึ่งธรรมชาตินั้น เพราะเหตุนั้น พระตถาคตจึงชื่อว่า มีพระสมันตจักษุ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระสมันตจักษุ ขอพระองค์
ตรัสบอกอารมณ์.
[246] คำว่า ยํ นิสฺสิโต ในอุเทศว่า " ยํ นิสฺสิโต โอฆมิมํ
ตเรยฺยํ "
ดังนี้ ความว่า อาศัยบุคคล หรืออาศัยธรรมแล้ว.
คำว่า พึงข้ามโอฆะนี้ได้ คือ พึงข้าม ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง
เป็นไปล่วงซึ่งกามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า อาศัยอันใดแล้วพึงข้ามโอฆะนี้ได้ เพราะเหตุนั้น พราหมณ์
นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์เป็นผู้เดียว ไม่อาศัย
แล้วไม่อาจข้ามโอฑะใหญ่ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระ-
สมันตจักษุ ขอพระองค์ตรัสบอกอารมณ์ที่ข้าพระองค์ได้
อาศัยแล้ว พึงข้ามโอฆะนี้ได้.


[247] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอุปสีวะ)
ท่านจงเป็นผู้มีสติ เพ่งดูอากิญจัญญายตนสมาบัติ
อาศัยสมาบัติอันเป็นไปว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งไม่มีดังนี้แล้ว
จงข้ามโอฆะเถิด ท่านจงละกามทั้งหลาย เว้นจากความ
สงสัยทั้งหลาย พิจารณาดูความสิ้นไปแห่งตัณหาตลอด
คืนและวันเถิด.

[248] คำว่า ท่านจงเป็นผู้มีสติเพ่งดูอากิญจัญญายตนสมาบัติ
ความว่า พราหมณ์นั้นได้อากิญจัญญายตนสมาบัติ โดยปกติ ไม่รู้ว่าเป็นที่

อาศัยว่า สมาบัตินี้เป็นที่อาศัยของเรา พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสบอก
สมาบัติเป็นที่อาศัยและธรรมเป็นทางที่ออกยิ่งขึ้นไป แก่พราหมณ์นั้นว่า
ท่านเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ออกจากสมาบัติแล้ว จงเพ่งดู
คือ ตรวจดู พินิจดู พิจารณาดู ซึ่งธรรม คือจิต และเจตสิกที่เกิดใน
สมาบัตินั้น โดยความเป็นธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นฝี
เป็นลูกศร เป็นความลำบาก เป็นอาพาธ เป็นของชำรุด เป็นเสนียด
เป็นอุบาทว์ เป็นของไม่สำราญ เป็นภัย เป็นอุปสรรค เป็นของหวั่นไหว
เป็นของทำลาย เป็นของไม่ยั่งยืน เป็นของไม่มีที่ต้านทาน เป็นของไม่มี
ที่เร้น เป็นของไม่เป็นสรณะ เป็นของไม่เป็นที่พึ่ง เป็นของว่าง
เป็นของเปล่า เป็นของสูญ เป็นอนัตตา เป็นโทษ เป็นวิปริณามธรรม
เป็นของไม่มีแก่นสาร เป็นมูลแห่งทุกข์ เป็นของไม่เจริญ เป็นของ
มีอาสวะ เป็นดังเพชฌฆาต เป็นธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นเหยื่อมาร
เป็นของมีชาติเป็นธรรมดา เป็นของมีชราเป็นธรรมดา เป็นของมีพยาธิ
เป็นธรรมดา เป็นของมีมรณะเป็นธรรมดา เป็นของมีโสกะปริเทวะ
ทุกข์โทมนัสและอุปายาสเป็นธรรมดา เป็นของมีความเกิดเป็นธรรมดา
เป็นของมีความดับเป็นธรรมดา เป็นของไม่น่าพอใจ เป็นของมีอาทีนพ-
โทษ เป็นของไม่มีเครื่องสลัดออก.
คำว่า มีสติ ความว่า ความระลึก ความตามระลึก ความระลึก
เฉพาะ ฯ ล ฯ ความระลึกชอบ นี้เรียกว่า สติ.
พราหมณ์นั้นผู้เข้าไป เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง
เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยสตินี้ ตรัสว่า มีสติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
เป็นผู้มีสติเพ่งดูอากิญจัญญายตนสมาบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก

พราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า อุปสีวะ ในอุเทศว่า อุปสีวาติ ภควา ดังนี้.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา นี้.
เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ดูก่อนอุปสีวะ.
[249] คำว่า อาศัยสมาบัติอันเป็นไปว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่ง
ไม่มีดังนี้แล้ว จงข้ามโอฆะเถิด
ดังนี้ ความว่า อากิญจัญญายตนสมาบัติ
เพราะอรรถว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งย่อมไม่มี อากิญจัญญายตนสมาบัติ เพราะ
อรรถว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งย่อมไม่มี เพราะเหตุไร พราหมณ์นั้นเป็นผู้
มีสติ เข้าวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ไม่ยัง
วิญญาณนั้นนั่นแหละให้เจริญ ให้เป็นแจ้ง ให้หายไป ย่อมเห็นว่าอะไร ๆ
น้อยหนึ่งย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อากิญจัญญายตนสมาบัติ
เพราะอรรถว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งย่อมไม่มี ท่านจงอาศัย คือเข้าไปอาศัย
สมาบัตินั้น ทำให้เป็นอารมณ์ ให้เป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยว แล้วจงข้าม
ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วงซึ่งกามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ
อวิชชาโอฆะเถิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อาศัยสมาบัติอันเป็นไปว่า
อะไร ๆ น้อยหนึ่งย่อมไม่มีดังนี้แล้ว ข้ามโอฆะเถิด.
[250] โดยหัวข้อว่า กามา ในอุเทศว่า กาเม ปหาย วิรโต
กถาหิ
ดังนี้ ความว่า กามมี 2 คือ วัตถุกาม 1 กิเลสกาม 1 ฯ ล ฯ
เหล่านี้เรียกว่า วัตถุกาม ฯ ล ฯ เหล่านี้เรียกว่า กิเลสกาม.
คำว่า ละกามทั้งหลาย ความว่า กำหนดรู้วัตถุกามทั้งหลาย ละ
สละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งกิเลสกามทั้งหลาย เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ละกามทั้งหลาย.

วิจิกิจฉาเรียกว่า ความสงสัย ในอุเทศว่า วิรโต กถาหิ ความ
สงสัยในทุกข์ ฯ ล ฯ ความที่จิตครั่นคร้าม ใจสนเท่ห์ งด เว้น ขาด
ออก สลัด หลุดพ้น ไม่เกี่ยวข้องด้วยความสงสัย ย่อมมีใจทำให้
ปราศจากเขตแดนอยู่ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า เว้นจากความ
สงสัยทั้งหลาย.
อีกอย่างหนึ่ง งด เว้น เว้นขาด ออก สลัด หลุดพ้น ไม่เกี่ยว
ข้องด้วยดิรัจฉานกถา 32 ประการ ย่อมมีใจทำให้ปราศจากเขตแดนอยู่
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า เว้นจากความสงสัยทั้งหลาย เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ละกามทั้งหลายแล้ว เว้นจากความสงสัยทั้งหลาย.
[251] รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏ-
ฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา ชื่อว่า ตัณหา ในอุเทศว่า " ตณฺหกฺขยํ
รตฺตมหาภิปสฺส"
ดังนี้.
กลางคืนชื่อว่า รัตตะ กลางวันชื่อว่า อหะ ท่านจงดู คือ
พิจารณา แลดู ตรวจดู พินิจ พิจารณา ซึ่งความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา คือ ความสิ้นแห่ง ราคะ โทสะ โมหะ คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ
ภพ สงสาร วัฏฏะ ทั้งกลางคืนกลางวัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า จง
พิจารณาดูความสิ้นแห่งตัณหาตลอดกลางคืนและกลางวัน เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ท่านจงเป็นผู้มีสติ เพ่งดูอากิญจัญญายตนสมาบัติ
อาศัยสมาบัติอันเป็นไปว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งไม่มี ดังนี้
แล้ว จงข้ามโอฆะเถิด ท่านจงละกามทั้งหลายแล้ว เว้น

จากความสงสัยทั้งหลาย พิจารณาดูความสิ้นไปแห่ง
ตัณหาตลอดคืนและวันเถิด.


[252] (ท่านอุปสีวะทูลถามว่า)
ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวง ละสมาบัติ
อื่น อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ น้อมใจไปในสัญญา-
วิโมกข์อย่างยิ่ง ผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่
ในอากิญจัญญายตนสมาบัตินั้นหรือหนอ.

[253] คำว่า สพฺเพสุ ในอุเทศว่า " สพฺเพสุ กาเมสุ โย
วีตราโค "
ดังนี้ ความว่า ทั้งปวงโดยกำหนดทั้งปวง ทั้งปวงโดย
ประการทั้งปวง ไม่เหลือไม่มีส่วนเหลือ. คำว่า สพฺเพสุ นี้ เป็นเครื่อง
กล่าวรวม โดยหัวข้อว่า กาเมสุ. กามมี 2 อย่าง คือ วัตถุกาม 1
กิเลสกาม 1 ฯ ล ฯ เหล่านี้เรียกว่า วัตถุกาม ฯ ล ฯ เหล่านี้เรียกว่า
กิเลสกาม.
คำว่า ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวง ความว่า ผู้ใด
ปราศจากความกำหนัด คือ สละ คาย ปล่อย ละ สละคืน ข่มความ
กำหนัดในกามทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ใดปราศจากความกำหนัด
ในกามทั้งปวง.
คำว่า อิติ ในอุเทศว่า อิจฺจายสฺมา อุปสีโว เป็นบทสนธิ. คำว่า
อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก. คำว่า อุปสีโว เป็นชื่อ ฯ ล ฯ
เป็นคำร้องเรียกของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านอุปสีวะ
ทูลถามว่า.

[254] คำว่า ละสมาบัติอื่น อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ
ความว่า ละ เว้น สละ ล่วง ก้าวล่วง เป็นไปล่วงซึ่งสมาบัติ 6ชั้นต่ำแล้ว
อาศัย คือ แอบอิง เข้ามา เข้ามาพร้อม ชอบใจ น้อมใจไปสู่อากิญจัญญา-
ยตนสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ละสมาบัติอื่น อาศัยอากิญจัญญา-
ยตนสมาบัติ.
[255] คำว่า น้อมใจไปในสัญญาวิโมกข์อย่างยิ่ง ความว่า
สัญญาสมาบัติ 7 ท่านกล่าวว่า สัญญาวิโมกข์. บรรดาสัญญาสมาบัตินั้น
อากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นวิโมกข์เลิศ ประเสริฐ วิเศษ เป็นประธาน
อุดมและอย่างยิ่ง น้อมใจไป ในสัญญาวิโมกข์อย่างยิ่ง เลิศ ประเสริฐ
วิเศษเป็นประธาน อุดม อย่างยิ่ง ด้วยอธิมุตติวิโมกข์ คือ น้อมใจไป
ในสัญญาวิโมกข์นั้น ปล่อยใจไปในสัญญาวิโมกข์นั้น ประพฤติในสัญญา-
วิโมกข์ มากอยู่ในสัญญาวิโมกข์ หนักอยู่ในสัญญาวิโมกข์ โอนไปใน
สัญญาวิโมกข์ เงื้อมไปในสัญญาวิโมกข์ มีสัญญาวิโมกข์นั้นเป็นใหญ่
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า น้อมใจไปในสัญญาวิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง.
[256] คำว่า ติฏฺเฐ นุ ในอุเทศว่า " ติฏฺเฐ นุ โส ตตฺถ
อนานุยายี "
ดังนี้ เป็นคำถามด้วยความสงสัย เป็นคำถามสองแง่ ไม่
เป็นคำถามส่วนเดียวว่า เรื่องนั้นเป็นอย่างนี้หรือหนอแล หรือไม่เป็น
อย่างนี้ เรื่องนี้เป็นไฉนหนอแล หรือเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
พึงดำรงอยู่หรือหนอ.
คำว่า ตตฺถ คือ ในอากิญจัญญายตนสมาบัติ.
คำว่า อนานุยายี ความว่า ไม่หวั่นไหว คือ ไม่พรั่นพรึง ไม่
ไปปราศ ไม่อันตรธานไป ไม่เสื่อมไป อีกอย่างหนึ่ง ไม่กำหนัด

ไม่ขัดเคือง ไม่หลง ไม่มัวหมอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นไม่มี
ความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่ในอากิญจัญญายตนสมาบัตินั้นหรือหนอ
เพราะฉะนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวง ละสมาบัติ
อื่น อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ น้อมใจไปในสัญญา-
วิโมกข์อย่างยิ่ง ผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่ใน
อากิญจัญญายตนสมาบัตินั้นหรือหนอ.


[257] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอุปสีวะ)
ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวง สะสมาบัติ
อื่น อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ น้อมใจไปในสัญญา-
วิโมกข์อย่างยิ่ง ผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่ใน
สัญญาวิโมกข์นั้น.

[258] คำว่า สพฺเพสุ ในอุเทศว่า " สพฺเพสุ กาเมสุ โย
วีตราโค "
ดังนี้ ความว่า... ไม่มีส่วนเหลือ. คำว่า สพฺเพสุ นี้ เป็น
เครื่องกล่าวรวม.
โดยหัวข้อว่า กาเมสุ กามมี 2 อย่าง คือ วัตถุกาม 1 กิเลสกาม 1
ฯ ล ฯ เหล่านี้เรียกว่า วัตถุกาม ฯ ล ฯ เหล่านี้เรียกว่า กิเลสกาม.
คำว่า ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวง ความว่า ผู้ใด
ปราศจากความกำหนัด... เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ใดปราศจากความ
กำหนัดในกามทั้งปวง.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า อุปสีวะ ใน
อุเทศว่า " อุปสีวาติ ภควา " ดังนี้.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา
นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสตอบว่า ดูก่อนอุปสีวะ.
[259] คำว่า ละสมาบัติอื่น อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ
ความว่า ละเว้น น้อมใจไปสู่อากิญจัญญายตนสมาบัติ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ละสมาบัติอื่น อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ.
[260] คำว่า น้อมใจไปในสัญญาวิโมกข์อย่างยิ่ง ความว่า
สัญญาสมาบัติ 7 ท่านกล่าวว่า สัญญาวิโมกข์... มีสัญญาวิโมกข์นั้น
เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า น้อมใจไปในสัญญาวิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง.
[261] คำว่า ติฏฺเฐยฺย ในอุเทศว่า " ติฏฺเฐยฺย โส ตตฺถ
อนานุยายี "
ดังนี้ ความว่า พึงตั้งอยู่หกหมื่นกัป. คำว่า ตตฺถ คือ
ในอากิญจัญญายตนสมาบัติ. คำว่า อนานุยายี ความว่า ไม่หวั่นไหว...
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่ในอากิญ-
จัญญายตนสมาบัตินั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวง ละสมาบัติ
อื่น อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ น้อมใจไปแล้วใน
สัญญาวิโมกข์อย่างยิ่ง ผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรง
อยู่ในอากิญจัญญายตนสมาบัตินั้น.

[262] ถ้าผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่ในสมาบัตินั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระสมันตจักษุ ผู้นั้นเป็นผู้พ้นแล้ว มี
ความเย็น พึงมีในสมาบัตินั้นนั่นแหละแม้มากปี วิญญาณ
ของบุคคลเช่นนั้นพึงมีหรือ.

[263] คำว่า ติฏฺเฐ เจ โส ในอุเทศว่า " ติฏฺเฐ เจ โส ตตฺถ
อนานุยายี "
ดังนี้ ความว่า ถ้าผู้นั้นพึงดำรงอยู่หกหมื่นกัป.
คำว่า ตตฺถ คือ ในอากิญจัญญายตนสมาบัติ.
คำว่า อนานุยายี ความว่า ไม่หวั่นไหว... ไม่เศร้าหมอง เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ถ้าผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่ ในอากิญ-
จัญญายตนสมาบัตินั้น.
[264] คำว่า ปูคมฺปิ วสฺสานํ ในอุเทศว่า " ปูคมฺปิ วสฺสานํ
สมนฺตจกฺขุ "
ดังนี้ ความว่า แม้มากปี คือ แม้หลายปี หลายร้อยปี
หลายพันปี หลายแสนปี หลายร้อยกัป หลายพันกัป หลายแสนกัป.
พระสัพพัญญุตญาณ เรียกว่า สมันตจักษุ ในคำว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้มีพระสมันตจักษุ ฯ ล ฯ เหตุนั้น พระตถาคต จึงชื่อว่า มีพระสมันตจักษุ

เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระสมันตจักษุ... แม้มากปี.
[265] คำว่า ผู้นั้นเป็นผู้พ้นแล้ว มีความเย็น พึงมีในสมาบัติ
นั้นนั่นแหละ วิญญาณของบุคคลเช่นนั้นพึงมีหรือ
ความว่า ผู้นั้นถึง
ความเป็นผู้เย็น ยั่งยืน เป็นผู้เที่ยง ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ในสมาบัตินั้นนั่นแหละ พึงอยู่ในสมาบัตินั้นนั่นแหละเที่ยงแท้.
อีกอย่างหนึ่ง พราหมณ์นั้นย่อมถามถึงความเที่ยงแท้และความขาด
สูญของบุคคลผู้บังเกิดในอากิญจัญญายตนภพว่า วิญญาณของผู้นั้นพึง

เคลื่อนไป พึงขาดสูญ พินาศไป ไม่พึงมี ปฏิสนธิวิญญาณไม่พึงเกิดใน
กามธาตุ ในรูปธาตุ หรือในอรูปธาตุดังนี้ หรือว่าย่อมถามถึงปรินิพพาน
และปฏิสนธิของบุคคลผู้เกิดแล้วในอากิญจัญญายตนภพว่า บุคคลนั้น ย่อม
ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในอากิญจัญญายตนภพนั้นนั่น
แหละ หรือว่าวิญญาณของบุคคลนั้นพึงเคลื่อนไป ไม่พึงเกิดปฏิสนธิ-
วิญญาณในกามธาตุ รูปธาตุ หรืออรูปธาตุอีก.
คำว่า ตถาวิธสฺส ความว่า ของบุคคลชนิดอย่างนั้น คือ ของ
บุคคลเช่นนั้น ผู้ดำรงอยู่ดังนั้น ผู้มีประการดังนั้น ผู้มีส่วนดังนั้น
ผู้เกิดแล้วในอากิญจัญญายตนภพ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นเป็นผู้พ้น
แล้ว มีความเย็น พึงมีในสมาบัตินั้นนั่นแหละ วิญญาณของบุคคลเช่น
นั้นพึงมีหรือ เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ถ้าผู้นั้นไม่มีความหวั่นไหว พึงดำรงอยู่ในสมาบัตินั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระสมันตจักษุ ผู้นั้นเป็นผู้พ้นแล้ว
มีความเย็น พึงมีในสมาบัตินั้นนั่นแหละแม้มากปี วิญ-
ญาณของบุคคลเช่นนั้นพึงมีหรือ.


[266] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอุปสีวะ)
เปลวไฟดับไปแล้วเพราะกำลังลม ย่อมถึงความไม่มี
ไม่เข้าถึงความนับ ฉันใด มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ย่อม
ถึงความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ ฉันนั้น.

[267] เปลวไฟตรัสว่า อัจจิ ในอุเทศว่า " อจฺจิ ยถา วาตเวเคน
ขิตฺตํ "
ดังนี้ ลมทิศตะวันออก ลมทิศตะวันตก ลมทิศเหนือ ลมทิศใต้

ลมมีธุลี ลมไม่มีธุลี ลมเย็น ลมร้อน ลมแรง ลมบ้าหมู ลมแต่ปีกนก
ลมแต่ปีกครุฑ ลมแต่ใบตาล ลมแต่พัด ชื่อว่า วาตา.
คำว่า ดับแล้วเพราะกำลังลม ความว่า ดับ คือ สูญหาย หายไป
สิ้นไป หมดไป หมดสิ้นไปแล้วเพราะกำลังลม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
เปลวไฟดับไปแล้วเพราะกำลังลม... ฉันใด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
เรียกพราหมณ์นั้นโดย ชื่อว่า อุปสีวะ ในอุเทศว่า " อุปสีวาติ ภควา "
ดังนี้.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยความเคารพ ฯ ล ฯ พระนามว่า
ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสตอบว่า ดูก่อนอุปสีวะ.
[268] คำว่า อตฺถํ ปเลติ ในอุเทศว่า อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ
สงฺขํ
ดังนี้ ความว่า ย่อมดับไป คือ ถึงความสิ้นไป ถึงความหมดไป
ดับไป สงบไป ระงับไป.
คำว่า ไม่เข้าถึงความนับ ความว่า ไม่เข้าถึงความนับ คือ ไม่
เข้าถึงความอ้าง ความคาดคะเน ความบัญญัติว่า เปลวไฟนั้นไปสู่ทิศ
ชื่อโน้นแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมถึงความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ.
[269] คำว่า เอวํ ในอุเทศว่า " เอวํ มุนิ นามกายา วิมุตฺโต "
ดังนี้ เป็นเครื่องยังอุปมาให้ถึงพร้อม.
ญาณ ตรัสว่า โมนะ ในคำว่า มุนี ฯ ล ฯ มุนีนั้นล่วงแล้วซึ่ง
ราคาทิธรรมเป็นเครื่องข้องและตัณหาเป็นดังว่าข่าย.
คำว่า พ้นแล้วจากนามกาย ความว่า มุนีนั้นพ้นจากนามกาย
และรูปกายก่อนแล้วโดยปกติ คือ มุนีนั้นละนามกายและรูปกายแล้ว ด้วย

การละ คือความล่วงและความข่ม ด้วยองค์นั้น ๆ อาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วได้อริยมรรค 4 เพราะเป็นผู้ได้อริยมรรค 4 จึงกำหนดรู้นามกาย
และรูปกาย เพราะเป็นผู้กำหนดรู้นามกายและรูปกาย จึงพ้น คือ พ้น
วิเศษจากนามกายและรูปกายด้วยความพ้นวิเศษส่วนเดียว เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ... ฉันนั้น.
[270] คำว่า ย่อมถึงความไม่มี ในอุเทศว่า " อตฺถํ ปเลติ น
อุเปติ สงฺขํ "
ดังนี้ ความว่า มุนีนั้นย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส-
นิพพานธาตุ คือ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
คำว่า ย่อมไม่เข้าถึงความนับ ความว่า มุนีนั้นย่อมไม่เข้าถึงความ
นับ คือ ไม่เข้าถึงความอ้าง ความคาดคะเน ความบัญญัติว่า เป็นกษัตริย์
เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร เป็นคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิต เป็น
เทวดา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์มีรูป เป็นสัตว์ไม่มีรูป เป็นสัตว์มีสัญญา
เป็นสัตว์ไม่มีสัญญา หรือว่าเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ มุนี
นั้นไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ไม่มีการณ์ เครื่องให้ถึงการนับ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ย่อมถึงความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ เพราะเหตุนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เปลวไฟดับไปแล้วเพราะกำลังลม ย่อมถึงความไม่มี
ไม่เข้าถึงความนับ ฉันใด มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ย่อม
ถึงความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ ฉันนั้น.


[271] มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือมุนีนั้นย่อมไม่มี หรือว่า
มุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความเป็นผู้เที่ยง ขอพระองค์ผู้

เป็นพระมุนี โปรดตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์ด้วย
ดี พระองค์ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง.

[272] คำว่า มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือมุนีนั้นย่อมไม่มี
ความว่า มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือว่ามุนีนั้นย่อมไม่มี คือ มุนีนั้นดับ
แล้ว ขาดสูญแล้ว หายไปแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มุนีนั้นเป็นผู้ดับ
ไปแล้ว หรือมุนีนั้นย่อมไม่มี.
[273] คำว่า หรือว่ามุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความเป็นผู้เที่ยง
ความว่า หรือว่ามุนีนั้นเป็นผู้ยั่งยืน คือ เป็นผู้เที่ยง ไม่มีความแปรปรวน
เป็นธรรมดา พึงตั้งอยู่เที่ยงแท้ในอากิญจัญญายตนภพนั้นนั่นแหละ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า หรือมุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความเป็นผู้เที่ยง.
[274] คำว่า ตํ ในอุเทศว่า ตมฺเม มุนี สาธุ วิยากโรหิ ดังนี้
ความว่า ข้าพระองค์ย่อมทูลถาม ทูลขอ ทูลเชื้อเชิญ ทูลให้ทรงประสาท
ปัญหาใด.
ญาณ ท่านเรียกว่า โมนะ ในคำว่า มุนี ฯ ล ฯ มุนีนั้นล่วงแล้วซึ่ง
ราคาทิธรรมเป็นเครื่องข้องและตัณหาเป็นดังว่าข่าย.
คำว่า ขอพระองค์จงตรัสบอก ... ด้วยดี ความว่า ขอพระองค์จง
ตรัสบอก ... ขอจงทรงประกาศด้วยดี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ขอพระองค์
ผู้เป็นมุนีโปรดตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์ด้วยดี.
[275] คำว่า พระองค์ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง ความว่า
พระองค์ทรงทราบ คือ ทรงรู้ ทรงเทียบเคียง ทรงพิจารณา ทรงให้
แจ่มแจ้ง ทรงให้ปรากฏแล้วแท้จริง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระองค์

ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าว
ว่า
มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือมุนีนั้นย่อมไม่มี หรือว่า
มุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความเป็นผู้เที่ยง ขอพระองค์ผู้
เป็นพระมุนี โปรดตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์ด้วยดี
พระองค์ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง.


[276] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอุปสีวะ)
บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ ชนทั้งหลายพึง
ว่าบุคคลนั้นด้วยกิเลสใด กิเลสนั้นก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น
เมื่อธรรมทั้งปวงอันบุคคลนั้นถอนเสียแล้ว แม้ทางแห่ง
ถ้อยคำทั้งปวง บุคคลนั้นก็ถอนเสียแล้ว.

[277] คำว่า บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ ความว่า
บุคคลผู้ดับไปแล้ว คือ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อม
ไม่มี ย่อมไม่ปรากฏ ย่อมไม่ประจักษ์ประมาณแห่งรูป ประมาณแห่ง
เวทนา ประมาณแห่งสัญญา ประมาณแห่งสังขาร ประมาณแห่งวิญญาณ
ประมาณแห่งรูปเป็นต้นนั้น อันบุคคลผู้ดับไปแล้ว ละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว
ให้สงบแล้ว ระงับแล้ว ทำให้ไม่อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า อุปสีวะ
ในอุเทศว่า อุปสีวาติ ภควา ดังนี้. คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดย

เคารพ ฯ ล ฯ. คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอุปสีวะ.
[278] คำว่า ชนทั้งหลายพึงว่าบุคคลนั้นด้วยกิเลสใด กิเลส
นั้นก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น
ดังนี้ ความว่า ชนทั้งหลายพึงว่า (บุคคลนั้น)
ด้วยราคะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ด้วยมานะ ด้วยทิฏฐิ ด้วยอุทธัจจะ
ด้วยวิจิกิจฉา ด้วยอนุสัยใดว่า บุคคลนั้นเป็นผู้กำหนัด เป็นผู้ขัดเคือง
เป็นผู้หลง เป็นผู้มีมานะผูกพัน เป็นผู้ถือมั่น เป็นผู้ถึงความฟุ้งซ่าน
เป็นผู้ถึงความไม่ตกลง หรือว่าเป็นผู้ถึงกำลังอภิสังขารเหล่านั้น บุคคล
นั้นละเสียแล้ว เพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ละอภิสังขารเสียแล้ว ชนทั้งหลาย
พึงว่าโดยคติด้วยเหตุใดว่า บุคคลนั้นเป็นผู้เกิดในนรก เป็นผู้เกิดใน
กำเนิดดิรัจฉาน เป็นผู้เกิดในปิตติวิสัย เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็น
สัตว์มีรูป เป็นสัตว์ไม่มีรูป เป็นสัตว์มีสัญญา เป็นสัตว์ไม่มีสัญญา หรือว่า
เป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บุคคลนั้นไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย
ไม่มีการณะ อันเป็นเครื่องให้ชนทั้งหลายพึงว่า พึงกล่าว พึงพูดถึงได้
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชนทั้งหลายพึงว่าบุคคลนั้นด้วยกิเลสใด กิเลสนั้น
ก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น.
[279] คำว่า เมื่อธรรมทั้งปวงอันบุคคลนั้นถอนเสียแล้ว ความ
ว่า เมื่อธรรมทั้งปวง คือ เมื่อขันธ์ อายตนะ ธาตุ คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ
ภพ สงสาร วัฏฏะ ทั้งปวง อันบุคคลนั้นถอนขึ้นแล้ว คือ ถอนขึ้น
พร้อมแล้ว ฉุดขึ้นแล้ว ฉุดขึ้นพร้อมแล้ว เพิกขึ้นแล้ว เพิกขึ้นพร้อม
แล้ว ละขาดแล้ว ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว ทำไม่ให้อาจเกิด

ขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อธรรมทั้งปวง
อันบุคคลนั้นถอนเสียแล้ว.
[280] คำว่า แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งปวง บุคคลนั้นก็ถอนเสีย
แล้ว
ความว่า กิเลส ขันธ์ และอภิสังขาร ตรัสว่า ถ้อยคำ ทางแห่ง
ถ้อยคำ ชื่อ ทางแห่งชื่อ นิรุตติ ทางแห่งนิรุตติ บัญญัติ ทางแห่งบัญญัติ
อันบุคคลนั้นถอนขึ้นแล้ว ถอนขึ้นพร้อมแล้ว ฉุดขึ้นแล้ว ฉุดขึ้นพร้อม
แล้ว เพิกขึ้นแล้ว เพิกขึ้นพร้อมแล้ว ละขาดแล้ว ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว
ระงับแล้ว ทำให้ไม่อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งปวง บุคคลนั้นก็ถอนเสียแล้ว เพราะเหตุ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ ชนทั้งหลายพึง
ว่าบุคคลนั้นด้วยกิเลสใด กิเลสนั้นก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น
เมื่อธรรมทั้งปวง อันบุคคลนั้นถอนเสียแล้ว แม้ทางแห่ง
ถ้อยคำทั้งปวง บุคคลนั้นก็ถอนเสียแล้ว.

พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ฯ ล ฯ นั่งประนมอัญชลีนมัสการ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเป็นพระศาสดาของพวกข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ดังนี้.
จบอุปสีมาณวกปัญหานิทเทสที่ 6

อรรถกถาอุปสีวมาณวกปัญหานิทเทสที่ 6


พึงทราบวินิจฉัยใน อุปสีวมาณวกปัญหานิทเทสที่ 6 ดังต่อไปนี้.
บทว่า มหนฺตโอฆํ คือ โอฆะใหญ่. บทว่า อนิสฺสิโต ไม่อาศัย
แล้ว คือ ไม่ติดบุคคลหรือธรรม. บทว่า โน วิสหามิ คือ ข้าพระองค์
ไม่อาจ. บทว่า อารมฺมณํ อารมณ์ คือนิสัย. บทว่า ยํ นิสฺสิโต คือ
อาศัยธรรมหรือบุคคลใด.
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศต่อไป.
บทว่า กาโมฆํ พึงข้ามกาโมฆะได้ด้วยอนาคามิมรรค พึงข้าม
ภโวฆะได้ด้วยอรหัตมรรค พึงข้ามทิฏโฐฆะได้ด้วยโสดาปัตติมรรค พึง
ข้ามอวิชโชฆะได้ด้วยอรหัตมรรค. บทว่า สกฺยกุลา ปพฺพชิโต ออก
บวชจากตระกูลศากยะ ท่านกล่าวด้วยอำนาจการแสดงตระกูลสูงของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า อาลมฺพณํ คือ ที่ยึดเหนี่ยว. บทว่า นิสฺสยํ
ที่อาศัย คือ ที่เกี่ยวเกาะ. บทว่า อุปนิสฺสยํ ที่เข้าไปอาศัย คือที่พึ่ง.
บัดนี้ เพราะพราหมณ์นั้นเป็นผู้ได้อากิญจัญญายตนะ จึงไม่รู้นิสัย
แม้มีอยู่นั้น ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงถึงนิสัยนั้น และ
ทางออกไปให้ยิ่งขึ้นแก่พราหมณ์นั้น จึงตรัสคาถาว่า อากิญฺจญฺญํ ดังนี้
เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เปกฺขมาโน เพ่งดู คือ มีสติเพ่งดูอากิญ-
จัญญายตนสมาบัตินั้น ทั้งเข้าและออกโดยมีความไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า
นตฺถีติ นิสฺสาย อาศัยว่าไม่มี คือ กระทำสมาบัติอันเป็นไปแล้วว่า ไม่มี
อะไรดังนี้ ให้เป็นอารมณ์. บทว่า ตรสฺสุ โอฆํ พึงข้ามโอฆะ คือ