เมนู

เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส


ว่าด้วยปัญหาของท่านเมตตคู


[146] (ท่านเมตตคูทูลถามว่า)
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถาม
ปัญหานั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้น แก่ข้า-
พระองค์ ข้าพระองค์ย่อมสำคัญซึ่งพระองค์ว่าเป็นผู้จบ
เวท มีพระองค์อันให้เจริญแล้ว ทุกข์มีชนิดเป็นอันมาก
เหล่าใดเหล่าหนึ่งนี้ในโลก เกิดมาแต่ที่ไหนหนอ.

[147] การถามมี 3 อย่าง คือ อทิฏฐโชตนาปุจฉา 1 ทิฏฐสัง-
สันทนาปุจฉา 1 วิมติเฉทนาปุจฉา 1 ฯลฯ (เหมือนในข้อ 122)
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถาม
ปัญหานั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์. คำว่า อิติ
ในอุเทศว่า อิจฺจายสฺมา เมตฺตคู เป็นคำเชื่อมบท ฯ ล ฯ ชื่อว่า อิจฺจา-
ยสฺมา เมตฺตคู.

[148] คำว่า มญฺญามิ ตํ เวทคุํ ภาวิตตฺตํ ความว่า ข้าพระ-
องค์ย่อมสำคัญซึ่งพระองค์ว่า ผู้จบเวท ย่อมสำคัญซึ่งพระองค์อันอบรม
แล้ว คือ ข้าพระองค์ย่อมสำคัญ ย่อมรู้ ย่อมรู้ทั่ว ย่อมรู้แจ้งเฉพาะ ย่อม
แทงตลอดอย่างนี้ว่า พระองค์เป็นผู้จบเวท มีพระองค์อันให้เจริญแล้ว.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเวทอย่างไร ฌาน ปัญญา ปัญญินทรีย์
ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิมังสา วิปัสสนา สัมมาทิฏฐิ
เรียกว่า เวท.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถึงที่สุด ทรงบรรลุถึงที่สุด ทรงไปสู่ที่สุด

ทรงบรรลุซึ่งที่สุด ทรงถึงส่วนสุดรอบ ถึงส่วนสุดแล้ว ทรงถึงความจบ
ทรงบรรลุความจบแล้ว แห่งชาติ ชรา และมรณะ ทรงถึงที่ต้านทาน
ทรงบรรลุถึงที่ต้านทาน ทรงถึงที่เร้น ทรงบรรลุถึงที่เร้น ทรงถึงที่พึ่ง
ทรงบรรลุถึงที่พึ่ง ทรงถึงความไม่มีภัย ทรงบรรลุถึงความไม่มีภัย ทรง
ถึงความไม่เคลื่อน ทรงบรรลุถึงความไม่เคลื่อน ทรงถึงความไม่ตาย
ทรงบรรลุถึงความไม่ตาย ทรงถึงนิพพาน ทรงบรรลุนิพพาน ด้วยเวท
เหล่านั้น.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถึงที่สุดแห่งเวททั้งหลาย
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เวทคู.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถึงที่สุดด้วยเวททั้งหลาย
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เวทคู.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ชื่อว่า เวทคู เพราะพระองค์
ทรงทราบแล้วซึ่งธรรม 7 ประการ คือทรงทราบสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส ราคะ โทสะ โมหะ มานะ และพระองค์ทรงทราบ
อกุศลธรรมอันลามก อันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ มีความ
กระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชรา และมรณะ
ต่อไป.
(พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสภิยะ1)
บุคคลเลือกเวทเหล่าใดทั้งสิ้น เวทเหล่านั้น ของ
สมณพราหมณ์ก็มีอยู่ บุคคลนั้นปราศจากราคะในเวทนา
ทั้งปวง ล่วงเวททั้งปวงแล้ว ชื่อว่าเวทคู.

1. ขุ. สุ. 25/ข้อ 369.

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระองค์อันให้เจริญแล้วอย่างไร.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระกาย มีศีล มีจิต มีปัญญา มีสติปัฏฐาน มี
สัมมัปปธาน มีอิทธิบาท มีอินทรีย์ มีพละ มีโพชฌงค์ มีมรรค อันให้เจริญ
แล้ว ทรงละกิเลสแล้ว ทรงแทงตลอดอกุปปธรรมแล้ว มีนิโรธอันทรง
ทำให้แจ่มแจ้งแล้ว พระองค์ทรงกำหนดรู้ทุกข์ ทรงละสมุทัย ทรงเจริญ
มรรค ทรงทำให้แจ้งนิโรธแล้ว ทรงรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ทรงกำหนด
รู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ ทรงละธรรมที่ควรละ ทรงเจริญธรรมที่ควรเจริญ
ทรงทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง พระองค์มีธรรมไม่น้อย มีธรรม
มาก มีธรรมลึก มีธรรมประมาณไม่ได้ มีธรรมยากที่จะหยั่งลงได้ มี
ธรรมรัตนะมาก เปรียบเหมือนทะเลหลวง ทรงประกอบด้วยฉฬังคุเบกขา.
พระองค์ทรงเห็นรูปด้วยพระจักษุแล้ว ไม่ดีพระทัย ไม่เสียพระทัย
ทรงวางเฉย มีสติสัมปชัญะอยู่ ทรงได้ยินเสียงด้วยพระโสตแล้ว ทรง
ดมกลิ่นด้วยพระฆานะแล้ว ทรงลิ้มรสด้วยพระชิวหาแล้ว ทรงถูกต้อง
โผฏฐัพพะด้วยพระกายแล้ว ทรงทราบธรรมารมณ์ด้วยพระมนัสแล้ว ไม่ดี
พระทัย ไม่เสียพระทัย ทรงวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่.
ทรงเห็นรูปอันน่าพอใจด้วยพระจักษุแล้ว ไม่ทรงติดใจ ไม่ทรง
รักใคร่ ไม่ทรงยังราคะให้เกิด พระองค์มีพระกายคงที่ มีพระทัยคงที่
ดำรงอยู่ด้วยดีในภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว ทรงเห็นรูปนั้นอันไม่เป็นที่ชอบ
ใจด้วยพระจักษุแล้ว ไม่ทรงเก้อเขิน มีพระทัยมิได้ขัดเคือง มีพระทัย
ไม่หดหู่ มีพระทัยไม่พยาบาท พระองค์มีพระกายคงที่ มีพระทัยคงที่
ดำรงอยู่ด้วยดีในภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว ทรงได้ยินเสียงอันน่าพอใจด้วย
พระโสตแล้ว ทรงดมกลิ่นอันน่าพอใจด้วยพระฆานะแล้ว ทรงลิ้มรสอัน

น่าพอใจด้วยพระชิวหาแล้ว ทรงถูกต้องโผฏฐัพพะอันน่าพอใจด้วยพระ-
กายแล้ว ทรงทราบธรรมารมณ์อันน่าพอใจด้วยพระมนัสแล้ว ไม่ทรง
ติดใจ ไม่ทรงรักใคร่ ไม่ทรงยังราคะให้เกิด พระองค์มีพระกายคงที่
มีพระทัยคงที่ ดำรงอยู่ด้วยดีในภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว ทรงรู้แจ้ง
ธรรมารมณ์อันไม่เป็นที่พอใจด้วยพระมนัสแล้ว ไม่ทรงเก้อเขิน มีพระทัย
มิได้ขัดเคือง มีพระทัยไม่หดหู่ มีพระทัยไม่พยาบาท พระองค์มีพระกาย
คงที่ มีพระทัยคงที่ ดำรงอยู่ด้วยดีในภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว.
ทรงเห็นรูปด้วยพระจักษุแล้ว มีพระกายคงที่ในรูปทั้งที่ชอบใจและ
ไม่ชอบใจ มีพระทัยคงที่ ดำรงอยู่ด้วยดีในภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว ทรง
ได้ยินเสียงด้วยพระโสตแล้ว ทรงดมกลิ่นด้วยพระฆานะแล้ว ทรงลิ้มรส
ด้วยพระชิวหาแล้ว ทรงถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยพระกายแล้ว ทรงทราบ
ธรรมารมณ์ด้วยพระมนัสแล้ว มีพระกายคงที่ในธรรมทั้งหลาย ทั้งที่ชอบใจ
และไม่ชอบใจ มีพระทัยคงที่ดำรงอยู่ด้วยดีในภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว ทรง
เห็นรูปด้วยพระจักษุแล้ว ไม่ทรงรักในรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ไม่ทรง
ชังในรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งความชัง ไม่ทรงหลงในรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งความ
หลง ไม่ทรงโกรธในรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ ไม่ทรงมัวเมาในรูป
อันเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา ไม่ทรงเศร้าหมองในรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งความ
เศร้าหมอง ทรงได้ยินเสียงด้วยพระโสตแล้ว ทรงดมกลิ่นด้วยพระฆานะ
แล้ว ทรงลิ้มรสด้วยพระชิวหาแล้ว ทรงถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยพระกายแล้ว
ทรงทราบธรรมารมณ์ด้วยพระมนัสแล้ว ไม่ทรงรักในธรรมอันเป็นที่ตั้ง
แห่งความรัก ไม่ทรงขัดเคืองในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ไม่
ทรงหลงในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง ไม่ทรงโกรธในธรรมอันเป็นที่

ตั้งแห่งความโกรธ ไม่ทรงมัวเมาในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา
ไม่ทรงเศร้าหมองในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นแต่เพียงทรงเห็นรูปที่ทรงเห็น เป็นแต่เพียง
ทรงได้ยินในเสียงที่ทรงได้ยิน เป็นแต่เพียงทรงทราบในอารมณ์ที่ทรง
ทราบ เป็นแต่เพียงทรงรู้ในธรรมารมณ์ที่ทรงรู้แจ้ง ไม่ทรงติดในรูปที่
ทรงเห็น ในเสียงที่ทรงได้ยิน ในอารมณ์ที่ทรงทราบ ในธรรมารมณ์ที่
ทรงรู้แจ้ง ไม่ทรงเข้าถึง ไม่ทรงอาศัย ไม่ทรงเกี่ยวข้อง ทรงพ้นวิเศษแล้ว
ไม่ทรงเกี่ยวข้องในรูปที่ทรงเห็น มีพระทัยอันไม่ให้มีเขตแดนอยู่ ไม่ทรง
เข้าถึง . . . ไม่ทรงเกี่ยวข้อง ในเสียงที่ทรงได้ยิน ในอารมณ์ที่ทรงทราบ
ในธรรมารมณ์ที่ทรงรู้แจ้ง มีพระทัยอันไม่มีเขตแดนอยู่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระจักษุ ทรงเห็นรูปด้วยพระจักษุ แต่
ไม่ทรงมีฉันทราคะ มีพระทัยพ้นวิเศษดีแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมี
พระโสต ทรงสดับเสียงด้วยพระโสต แต่ไม่ทรงมีฉันทราคะ มีพระทัย
พ้นวิเศษดีแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระฆานะ ทรงสูดกลิ่นด้วย
พระฆานะ แต่ไม่ทรงมีฉันทราคะ มีพระทัยพ้นวิเศษดีแล้ว พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงมีพระชิวหา ทรงลิ้มรสด้วยพระชิวหา แต่ไม่ทรงมีฉันท-
ราคะ มีพระทัยพ้นวิเศษดีแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระกาย ทรง
ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยพระกาย แต่ไม่ทรงมีฉันทราคะ มีพระทัยพ้นวิเศษ
ดีแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระมนัส ทรงรู้แจ้งธรรมด้วยพระมนัส
แต่ไม่ทรงมีฉันทราคะ มีพระทัยพ้นวิเศษดีแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงข่ม ทรงคุ้มครอง ทรงรักษา ทรงสำรวม
พระจักษุอันชอบใจในรูป ยินดีในรูป พอใจในรูป และทรงแสดงธรรม

เพื่อสำรวมจักษุนั้น ทรงข่ม ทรงคุ้มครอง ทรงรักษา ทรงสำรวมพระ-
โสตอันชอบใจในเสียง ยินดีในเสียง ทรงข่ม ทรงคุ้มครอง ทรงสำรวม
พระฆานะอันชอบใจในกลิ่น ยินดีในกลิ่น ทรงข่ม ทรงคุ้มครอง ทรง
รักษา ทรงสำรวมพระชิวหาอันชอบใจในรส ยินดีในรส ทรงข่ม ทรง
คุ้มครอง ทรงรักษา ทรงสำรวมพระกายอันชอบใจในโผฏฐัพพะ พระ-
มนัสอันชอบใจในธรรมารมณ์ ยินดีในธรรมารมณ์ พอใจในธรรมารมณ์
และทรงแสดงธรรมเพื่อสำรวมใจนั้น.
ชนทั้งหลาย ย่อมนำยานที่ตนฝึกแล้วไปสู่ที่ประชุม
พระราชา ย่อมทรงประทับยานที่สารถีฝึกแล้ว บุคคลที่
ฝึกแล้วเป็นผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์. บุคคลใดย่อมอดทน
คำที่ล่วงเกินได้ บุคคลนั้นเป็นผู้ประเสริฐ.
ม้าอัสดร ม้าอาชาไนย ม้าสินธพ ช้างใหญ่คือกุญชร
ที่เขาฝึกแล้ว จึงประเสริฐ บุคคลฝึกตนแล้ว ประเสริฐ
กว่ายานมีม้าอัสดร ที่สารถีฝึกแล้วเป็นต้นนั้น.
ใคร ๆ พึงไปสู่ทิศที่ไม่เคยไปด้วยยานเหล่านี้ เหมือน
บุคคลที่มีคนฝึก (ด้วยความฝึกอินทรีย์) ฝึกดี (ด้วย
อริยมรรคภาวนา) ฝึกแล้ว ย่อมไปสู่ทิศที่ไม่เคยไปฉะนั้น
หาได้ไม่.
พระขีณาสพทั้งหลาย ย่อมไม่หวั่นไหว ในเพราะ
มานะทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นจากกรรมกิเลส อัน
เป็นเหตุให้เกิดบ่อย ๆ บรรลุถึงภูมิที่ฝึกแล้ว (อรหัตผล)

พระขีณาสพเหล่านั้น เป็นผู้มีความชนะในโลกอินทรีย์
ทั้งหลาย.
พระขีณาสพใดให้เจริญแล้ว อายตนะภายใน
อายตนะภายนอก พระขีณาสพนั้น ทำให้หมดพยศแล้ว
พระขีณาสพนั้น ล่วงแล้วซึ่งโลกนี้และโลกอื่น ในโลก
ทั้งปวง มีธรรมอันให้เจริญแล้ว ฝึกดีแล้ว ย่อมหวัง
มรณกาล.

คำว่า เอวํ ภควา ภาวิตตฺโต ความว่า ข้าพระองค์ย่อมสำคัญ
ซึ่งพระองค์ว่า จบเวท มีพระองค์อันให้เจริญแล้ว.
[149] คำว่า กุโต นุ ในอุเทศว่า " กุโต นุ ทุกฺขา สมุปาคตา-
เม "
ความว่า เป็นการถามด้วยความสงสัย เป็นการถามด้วยความ
เคลือบแคลง เป็นการถามสองแง่ ไม่เป็นการถามโดยส่วนเดียวว่า
เรื่องนี้ เป็นอย่างนี้หรือหนอแล หรือไม่เป็นอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นไฉนหนอ
หรือเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า แต่อะไรหนอ.
ชื่อว่า ทุกข์ คือ ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ ทุกข์
คือ ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจและความคับแค้น
ใจ ทุกข์ในนรก ทุกข์ในดิรัจฉานกำเนิด ทุกข์ในปิตติวิสัย ทุกข์ในมนุษย์
ทุกข์มีการก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูล ทุกข์มีการตั้งอยู่ในครรภ์เป็นมูล ทุกข์
มีความออกจากครรภ์เป็นมูล ทุกข์เนื่องแต่สัตว์ผู้เกิด ทุกข์เนื่องแต่ผู้อื่น
แห่งสัตว์ผู้เกิด ทุกข์เกิดแต่ความเพียรของตน ทุกข์เกิดแต่ความเพียรของ
ผู้อื่น ทุกข์ในทุกข์ สังสารทุกข์ วิปริณามทุกข์ โรคตา โรคหู โรคจมูก

โรคลิ้น โรคกาย โรคในศีรษะ โรคที่หู โรคในปาก โรคฟัน โรคไอ
โรคมองคร่อ โรคริดสีดวงจมูก โรคร้อนใน โรคชรา โรคในท้อง
โรคสลบ โรคลงแดง โรคจุกเสียด โรคลงท้อง โรคเรื้อน โรคฝี
กลาก โรคหืด โรคลมบ้าหมู หิดด้าน หิดเปื่อย คุดทะราด ลำลาบ
คุดทะราดใหญ่ โรครากเลือด โรคดี โรคเบาหวาน โรคริดสีดวงทวาร
โรคต่อม บานทะโรค อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็น
สมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีดีเป็นต้นประชุมกัน อาพาธ
เกิดเพราะฤดูแปรไป อาพาธเกิดเพราะเปลี่ยนอิริยาบถไม่สม่ำเสมอกัน
อาพาธเกิดเพราะความเพียร อาพาธเกิดเพราะผลกรรม ความหนาว
ความร้อน ความหิว ความระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ทุกข์แต่
เหลือบยุง ลม แดด และสัมผัสแห่งสัตว์เสือกคลาน ความตายของมารดา
ก็เป็นทุกข์ ความตายของบิดาก็เป็นทุกข์ ความตายของพี่ชายน้องชาย
ก็เป็นทุกข์ ความตายของพี่หญิงน้องหญิงก็เป็นทุกข์ ความตายของ
บุตรก็เป็นทุกข์ ความตายของธิดาก็เป็นทุกข์ ความฉิบหายแห่งญาติก็เป็น
ทุกข์ ความฉิบหายแห่งโภคทรัพย์ก็เป็นทุกข์ ความฉิบหายแห่งศีลก็เป็น
ทุกข์ ความฉิบหายแห่งทิฏฐิก็เป็นทุกข์ รูปาทิธรรมเหล่าใดมีความเกิด
ในเบื้องต้นปรากฏ รูปาทิธรรมเหล่านั้นก็มีความดับไปในเบื้องปลาย
ปรากฏ วิบากอาศัยกรรม กรรมอาศัยวิบาก รูปอาศัยนาม นามก็อาศัย
รูป นามรูปไปตามชาติ ชราก็ติดตาม พยาธิก็ครอบงำ มรณะก็ห้ำหั่น
ตั้งอยู่ในทุกข์ ไม่มีอะไรต้านทาน ไม่มีอะไรเป็นที่เร้น ไม่มีอะไรเป็น
สรณะ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เหล่านี้เรียกว่าทุกข์.

ท่านพระเมตตคูย่อมทูลถาม ทูลวิงวอน ทูลเชื้อเชิญ ทูลให้ทรง
ประสาทซึ่งมูล เหตุ นิทาน เหตุเกิด แดนเกิด สมุฏฐาน อาหาร อารมณ์
ปัจจัย สมุทัย แห่งทุกข์เหล่านี้ ทุกข์เหล่านี้เข้ามาถึงพร้อม เกิด ประจักษ์
บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏแล้วแต่อะไร มีอะไรเป็นนิทาน มีอะไร
เป็นสมุทัย มีอะไรเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทุกข์เหล่านั้น
เกิดมาแต่ที่ไหนหนอ.
[150] คำว่า เยเกจิ ในอุเทศว่า " เยเกจิ โลกสฺมึ อเนกรูปา "
ความว่า ทั้งปวงโดยกำหนดทั้งปวง ทั้งปวงโดยประการทั้งปวง ไม่เหลือ
มีส่วนไม่เหลือ. บทว่า เยเกจิ นี้ เป็นเครื่องกล่าวรวมหมด.
คำว่า โลกสฺมึ ความว่า ในอบายโลก ในมนุษยโลก ในเทวโลก
ในขันธโลก ในธาตุโลก ในอายตนโลก.
คำว่า อเนกรูปา ความว่า ทุกข์ทั้งหลายมีอย่างเป็นอเนก คือ มี
ประการต่าง ๆ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทุกข์ทั้งหลายมีชนิดเป็นอเนก
อย่างใดอย่างหนึ่งในโลก.
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถาม
ปัญหานั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์
ข้าพระองค์ย่อมสำคัญซึ่งพระองค์ว่าเป็นผู้จบเวท มีพระ-
องค์อันให้เจริญแล้ว ทุกข์ทั้งหลายมีชนิดเป็นอันมาก
เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลก เกิดมาแต่ที่ไหนหนอ.

[151] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนเมตตคู)
ท่านถามถึงเหตุแห่งทุกข์กะเราแล้ว เรารู้อยู่อย่างไร
ก็จะบอกเหตุนั้นแก่ท่าน ทุกข์ทั้งหลายมีชนิดเป็นอันมาก
อย่างใดอย่างหนึ่งในโลก มีอุปธิเป็นเหตุ ย่อมเกิดขึ้น.

[152] คำว่า ทุกฺขสฺส ในอุเทศว่า " ทุกฺขสฺส เว มํ ปภวํ
อปุจฺฉสิ "
ความว่า แห่งชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ ทุกข์
คือความโศก ความร่ำไร ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า แห่งทุกข์.
คำว่า เว มํ ปภวํ อปุจฺฉสิ ความว่า ท่านถาม วิงวอน เชื้อเชิญ
ให้ประสาทซึ่งมูล เหตุ นิทาน เหตุเกิด แดนเกิด สมุฏฐาน อาหาร
อารมณ์ ปัจจัย สมุทัย แห่งทุกข์กะเรา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านถาม
ถึงเหตุแห่งทุกข์กะเราแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า เมตตคู. คำว่า
ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา เป็นสัจฉิกา-
บัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อน
เมตตคู.
[153] คำว่า ตนฺเต ปวกฺขามิ ในอุเทศว่า " ตนฺเต ปวกฺขามิ
ยถา ปชานํ "
ดังนี้ ความว่า เราจักกล่าว . . . จักประกาศ ซึ่งมูล . . .
สมุทัยแห่งทุกขึ้นในแก่ท่าน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เราจักกล่าวซึ่งมูล
แห่งทุกข์นั้นแก่ท่าน.
คำว่า ยถา ปชานํ ความว่า เรารู้อยู่ รู้ทั่ว รู้แจ้ง รู้แจ้งเฉพาะ
แทงตลอดอย่างไร จะบอกธรรมที่ประจักษ์แก่ตนที่เรารู้เฉพาะด้วยตนเอง

โดยจะไม่บอกว่า กล่าวกันมาดังนี้ ๆ ไม่บอกตามที่ได้ยินกันมา ไม่บอก
ตามลำดับสืบ ๆ กันมา ไม่บอกโดยการอ้างตำรา ไม่บอกตามที่นึกเดา
เอาเอง ไม่บอกตามที่คาดคะเนเอาเอง ไม่บอกด้วยความตรึกตามอาการ
ไม่บอกด้วยความชอบใจว่าต้องกับลัทธิของตน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
เรารู้อย่างไร.
[154] คำว่า อุปธิ ในอุเทศว่า " อุปธินิทานา ปภวนฺติ ทุกฺขา "
ดังนี้ ได้แก่อุปธิ 10 ประการ คือ ตัณหูปธิ ทิฏฐูปธิ กิเลสูปธิ กัมมูปธิ
ทุจจริตูปธิ อาหารูปธิ ปฏิฆูปธิ อุปธิคืออุปาทินนธาตุ 4 อุปธิคือ
อายตนะภายใน 6 อุปธิคือหมวดวิญญาณ 6
ทุกข์แม้ทั้งหมดก็เป็น อุปธิ
เพราะอรรถว่า ยากที่จะทนได้ เหล่านี้เรียกว่าอุปธิ 10.
คำว่า ทุกฺขา คือ ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ ฯ ล ฯ
ไม่มีอะไรเป็นสรณะ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เหล่านี้เรียกว่าทุกข์ ทุกข์
เหล่านี้มีอุปธิเป็นนิทาน มีอุปธิเป็นเหตุ มีอุปธิเป็นปัจจัย มีอุปธิเป็น
การณะ ย่อมมี ย่อมเป็น เกิดขึ้น เกิดพร้อม บังเกิด ปรากฏ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ทุกข์ทั้งหลายมีอุปธิเป็นเหตุย่อมเกิดขึ้น.
[155] คำว่า เยเกจิ ในอุเทศว่า " เยเกจิ โลกสฺมึ อเนกรูปา "
ดังนี้ ความว่า ทั้งปวงโดยกำหนดทั้งปวง ทั้งปวงโดยประการทั้งปวง
ไม่เหลือ มีส่วนไม่เหลือ. คำว่า เยเกจิ นี้เป็นเครื่องกล่าวรวมหมด.
คำว่า โลกสฺมึ ความว่า ในอบายโลก ในมนุษยโลก ในเทวโลก ใน
ธาตุโลก ในอายตนโลก. คำว่า อเนกรูปา ความว่า ทุกข์ทั้งหลายมี
อย่างเป็นอเนก มีประการต่าง ๆ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทุกข์ทั้งหลาย
มีชนิดเป็นอันมาก อย่างใดอย่างหนึ่งในโลก.

เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ท่านได้ถามเหตุแห่งทุกข์กะเราแล้ว เรารู้อยู่อย่างไร
ก็จะบอกเหตุนั้นแก่ท่าน ทุกข์ทั้งหลาย มีชนิดเป็นอันมาก
อย่างใดอย่างหนึ่งในโลก มีอุปธิเป็นเหตุ ย่อมเกิดขึ้น.

[156] ผู้ใดแลมิใช่ผู้รู้ ย่อมทำอุปธิ ผู้นั้นเป็นคนเขลา ย่อม
เข้าถึงทุกข์บ่อย ๆ เพราะเหตุนั้น บุคคลผู้รู้อยู่ ไม่พึง
ทำอุปธิ เป็นผู้พิจารณาเหตุเกิดแห่งทุกข์.

[157] คำว่า โย ในอุเทศว่า " โย เว อวิทฺวา อุปธึ กโรติ "
ดังนี้ ความว่า กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต
เทวดา หรือมนุษย์ผู้ใด คือ เช่นใด ควรอย่างไร ชนิดใด ประการใด
ถึงฐานะใด ประกอบด้วยธรรมใด.
คำว่า อวิทฺวา ความว่า ไม่รู้ คือ ไปแล้วในอวิชชา ไม่มีญาณ
ไม่มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญาทราม.
คำว่า อุปธึ กโรติ ความว่า กระทำซึ่งตัณหูปธิ . . . อุปธิ คือ
หมวดวิญญาณ 6 คือ ให้เกิด ให้เกิดพร้อม ให้บังเกิด เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า มิใช่ผู้รู้กระทำอุปธิ.
[158] คำว่า ปุนปฺปุนํ ทุกฺขมุเปติ ในอุเทศว่า " ปุนปฺปุนํ
ทุกฺขมุเปติ มนฺโท "
ดังนี้ ความว่า ย่อมถึง คือ เข้าถึง เข้าไปถึง ย่อม
จับ ย่อมลูบคลำ ย่อมยึดมั่น ซึ่งชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณ-
ทุกข์ ทุกข์คือความโศก ความร่ำไร ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ
ความคับแค้นใจบ่อย ๆ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เข้าถึงทุกข์บ่อย ๆ.

คำว่า มนฺโท ความว่า เป็นคนเขลา คือ เป็นคนหลงมิใช่ผู้รู้ ไป
แล้วในอวิชชา ไม่มีญาณ ไม่มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญาทราม เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นคนเขลา เข้าถึงทุกข์บ่อย ๆ.
[159] คำว่า ตสฺมา ในอุเทศว่า " ตสฺมา ปชานํ อุปธึ น
กยิรา "
ดังนี้ ความว่า เพราะเหตุนั้น คือ เพราะการณ์ เหตุ ปัจจัย
นิทานนั้น บุคคลเมื่อเห็นโทษนี้ในอุปธิทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
เพราะเหตุนั้น.
คำว่า ปชานํ คือ รู้ รู้ทั่ว รู้แจ้ง รู้แจ้งเฉพาะ แทงตลอด คือ
รู้ ... แทงตลอดว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ... สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ...
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ ล ฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา.
คำว่า อุปธึ น กยิรา ความว่า ไม่พึงกระทำตัณหูปธิ ... อุปธิ
คือ อายตนะภายใน 6 คือ ไม่พึงให้เกิด ให้เกิดพร้อม ให้บังเกิด
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เพราะเหตุนั้น รู้อยู่ ไม่พึงทำอุปธิ.
[160] คำว่า ทุกฺขสฺส ความว่า เป็นผู้พิจารณาเห็นแดนเกิด คือ
เป็นผู้พิจารณาเห็นมูล เหตุ นิทาน สมภพ แดนเกิด สมุฏฐาน อาหาร
อารมณ์ ปัจจัย สมุทัย แห่งชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์
ทุกข์ คือความโศก ความร่ำไร ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ
ปัญญา คือ ความรู้ชัด กิริยาที่รู้ชัด ฯ ล ฯ ความไม่หลง ความเลือก
เฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิเรียกว่า อนุปัสสนา บุคคลเป็นผู้เข้าไป คือ เข้าไป
พร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบแล้วด้วย

ปัญญาอันพิจารณาเห็นนี้ บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้พิจารณาเห็น เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ผู้พิจารณาเห็นแดนเกิดแห่งทุกข์.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ผู้ใดแลมิใช่ผู้รู้ ย่อมทำอุปธิ ผู้นั้นเป็นคนเขลา
ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อย ๆ เพราะเหตุนั้น บุคคลผู้รู้อยู่ ไม่
พึงทำอุปธิ เป็นผู้พิจารณาเห็นแดนเกิดแห่งทุกข์.

[161] ข้าพระองค์ได้ทูลถามแล้วซึ่งปัญหาใด พระองค์
ได้ตรัสบอกปัญหานั้นแล้วแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์
ทั้งหลาย จะขอทูลถามปัญหาข้ออื่น ขอพระองค์โปรด
ตรัสบอกปัญหานั้น ธีรชนทั้งหลายย่อมข้ามซึ่งโอฆะ
ชาติ ชรา โสกะและปริเทวะได้อย่างไรหนอ พระองค์
เป็นพระมุนี ขอทรงโปรดแก้ปัญหาแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
ด้วยดี แท้จริง ธรรมนั้น อันพระองค์ทรงทราบแล้ว.

[162] คำว่า ยนฺตํ อปุจฺฉิมฺห อกิตฺตยี โน ความว่า ข้าพระ-
องค์ทั้งหลายได้ทูลถาม คือ ทูลวิงวอน ทูลเชื้อเชิญ ทูลให้ทรงประสาท
แล้วซึ่งปัญหาใด.
คำว่า อกิตฺตยี โน ความว่า พระองค์ได้ตรัส คือ บอก ... ทรง
ทำให้ง่าย ทรงประกาศแล้ว ซึ่งปัญหานั้นแล้วแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทูลถามปัญหาใดแล้ว พระ-
องค์ได้ตรัสแก้ปัญหานั้นแล้วแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย.

[163] คำว่า กถํ นุ ในอุเทศว่า " อญฺญํ ตํ ปุจฺฉาม ตทิงฺฆ
พฺรูหิ กถํ นุ ธีรา วิตรนฺติ โอฑํ ชาติชฺชรํ โสกปริเทวญฺจ "
ดังนี้
ความว่า เป็นการถามด้วยความสงสัย เป็นการถามด้วยความเคลือบแคลง
เป็นการถามสองแง่ ไม่เป็นการถามโดยส่วนเดียวว่า เรื่องนี้เป็นอย่างนี้
หรือหนอแล หรือไม่เป็นอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นไฉนหนอแล หรือเป็น
อย่างไร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อย่างไรหนอ.
คำว่า ธีรา คือ นักปราชญ์ บัณฑิต ผู้มีปัญญา ผู้มีความรู้ มีญาณ
มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญาทำลายกิเลส.
คำว่า โอฆํ คือ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ ความ
เกิด ความเกิดพร้อม ความก้าวลง ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ
ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย ความได้เฉพาะซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในหมู่
สัตว์นั้น ๆ แห่งสัตว์เหล่านั้น ๆ ชื่อว่า ชาติ.
ความแก่ ความเสื่อม ความเป็นผู้มีฟันหัก ความเป็นผู้มีผมหงอก
ความเป็นผู้มีหนังย่น ความเสื่อมอายุ ความแก่แห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ใน
หมู่สัตว์นั้น ๆ แห่งสัตว์เหล่านั้น ๆ ชื่อว่า ชรา.
ความโศก กิริยาที่โศก ความเป็นผู้โศก ความโศก ณ ภายใน
ความกรมเกรียม ณ ภายใน ความร้อน ณ ภายใน ความเร่าร้อน ณ
ภายใน ความเกรียมกรอมแห่งจิต โทมนัส ลูกศรคือความโศก ของคน
ที่ถูกความฉิบหายแห่งญาติกระทบเข้า หรือของคนที่ถูกความฉิบหายแห่ง
โภคะกระทบเข้า ของคนที่ถูกความฉิบหายเพราะโรคกระทบเข้า หรือของ
คนที่ถูกความฉิบหายแห่งศีลกระทบเข้า ของคนที่ถูกความฉิบหายแห่งทิฏฐิ
กระทบเข้า ของคนที่ประจวบกับความฉิบหายอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือของ

คนที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบเข้า ชื่อว่า ความโศก.
ความร้องไห้ ความรำพัน กิริยาที่ร้องไห้ กิริยาที่รำพัน ความ
เป็นผู้ร้องไห้ ความเป็นผู้รำพัน ความพูดถึง ความพูดเพ้อเจ้อ ความ
พูดบ่อย ๆ ความร่ำไร กิริยาที่ร่ำไร ความเป็นผู้ร่ำไร ของคนที่ถูกความ
ฉิบหายแห่งญาติกระทบเข้า ... หรือของตนที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่าง
หนึ่งกระทบเข้า ชื่อว่า ปริเทวะ.
คำว่า ธีรชนทั้งหลายย่อมข้ามโอฆะ ชาติ ชรา โสกะและ
ปริเทวะได้อย่างไรหนอ
ความว่า ธีรชนทั้งหลายย่อมข้าม คือ ข้ามขึ้น
ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วงซึ่งโอฆะ ชาติ ชรา โสกะและปริเทวะได้
อย่างไร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ธีรชนทั้งหลายย่อมข้ามโอฆะ ชาติ ชรา
โสกะ และปริเทวะได้อย่างไรหนอ.
[164] คำว่า ตํ ในอุเทศว่า " ตมฺเม มุนี สาธุ วิยากโรหิ "
ดังนี้ ความว่า ข้าพระองค์ย่อมทูลถาม ทูลวิงวอน ทูลให้ทรงประกาศ
ปัญหาใด ญาณ ปัญญา ความรู้ทั่ว ฯ ล ฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้น
ธรรม สัมมาทิฏฐิ ท่านกล่าวว่า โมนะ ในคำว่า มุนี พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงประกอบด้วยญาณนั้น จึงเป็นมุนี คือ ถึงความเป็นพระมุนี โมเนยยะ
(ความเป็นมุนี) 3 ประการ คือ กายโมเนยยะ วจีโมเนยยะ มโนโม-
เนยยะ.
กายโมเนยยะเป็นไฉน การละกายทุจริต 3 อย่าง เป็นกายโม-
เนยยะ กายสุจริต 3 อย่าง เป็นกายโมเนยยะ ญาณมีกายเป็นอารมณ์
เป็นกายโมเนยยะ ความกำหนดรู้กาย เป็นกายโมเนยยะ มรรคอันสหรคต
ด้วยความกำหนดรู้ เป็นกายโมเนยยะ ความละฉันทราคะในกาย เป็นกาย-

โมเนยยะ ความดับกายสังขาร ความเข้าถึงจตุตถฌาน เป็นกายโมเนยยะ
นี้ชื่อว่า กายโมเนยยะ.
วจีโมเนยยะเป็นไฉน การละวจีทุจริต 4 อย่าง เป็นวจีโมเนยยะ
วจีสุจริต 4 อย่าง เป็นวจีโมเนยยะ ญาณมีวาจาเป็นอารมณ์ เป็นวจี-
โมเนยยะ การกำหนดรู้วาจา เป็นวจีโมเนยยะ มรรคอันสหรคตด้วยการ
กำหนดรู้ เป็นวจีโมเนยยะ การละฉันทราคะในวาจาเป็นวจีโมเนยยะ
ความดับวจีสังขาร ความเข้าทุติยฌาน เป็นวจีโมเนยยะ นี้ชื่อว่า วจีโม-
เนยยะ.

มโนโมเนยยะเป็นไฉน การละมโนทุจริต 3 อย่าง เป็นมโนโม-
เนยยะ มโนสุจริต 3 อย่าง เป็นมโนโมเนยยะ ญาณมีจิตเป็นอารมณ์
เป็นมโนโมเนยยะ การกำหนดรู้จิต เป็นมโนโมเนยยะ มรรคอันสหรคต
ด้วยความกำหนดรู้ เป็นมโนโมเนยยะ การละฉันทราคะในจิต ความดับ
จิตสังขาร ความเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ นี้ชื่อว่า มโนโมเนยยะ.
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวถึงมุนี ผู้เป็นมุนีโดยกาย เป็น
มุนีโดยวาจา เป็นมุนีโดยใจ ผู้ไม่มีอาสวะถึงพร้อมด้วย
ความเป็นมุนีว่า เป็นผู้ละอกุศลธรรมทั้งปวง บัณฑิต
ทั้งหลายกล่าวถึงมุนี ผู้เป็นมุนีโดยกาย เป็นมุนีโดยวาจา
เป็นมุนีโดยใจ ผู้ไม่มีอาสวะ ถึงพร้อมด้วยความเป็นมุนี
ว่า เป็นผู้มีบาปอันลอยแล้ว.

มุนีผู้ประกอบด้วยธรรมอันทำให้เป็นมุนีเหล่านี้ เป็นมุนี 6 จำพวก
คือ เป็นอาคารมุนี 1 อนาคารมุนี 1 เสกขมุนี 1 อเสกขมุนี 1 ปัจเจก-

มุนี 1 มุนิมุนี 1. อาคารมุนีเป็นไฉน คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน มีบทอันเห็น
แล้ว มีศาสนาอันรู้แจ้ง นี้ชื่อว่า อาคารมุนี.
อนาคารมุนีเป็นไฉน บรรพชิตผู้มีบทอันเห็นแล้ว มีศาสนาอันรู้
แจ้งแล้ว นี้ชื่อว่า อนาคารมุนี. พระเสกขบุคคล 7 จำพวก ชื่อว่า เสขมุนี.
พระอรหันต์ ชื่อว่า อเสกขมุนี. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า ปัจเจกมุนี.
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า มุนิมุนี.
บุคคลย่อมไม่เป็นมุนีด้วยความเป็นผู้นิ่ง เป็นผู้หลง
มิใช่ผู้รู้ ก็ไม่เป็นมุนี ส่วนบุคคลใดเป็นบัณฑิต ถือธรรม
อันประเสริฐ เหมือนบุคคลประคองตราชั่ง ย่อมละเว้น
บาปทั้งหลาย บุคคลนั้นเป็นมุนี โดยเหตุนั้น บุคคลนั้น
เป็นมุนี บุคคลใดรู้จักโลกทั้งสอง บุคคลนั้นท่านเรียกว่า
เป็นมุนี โดยเหตุนั้น บุคคลใดรู้ธรรมของอสัตบุรุษและ
ธรรมของสัตบุรุษในโลกทั้งปวง ทั้งในภายในทั้งใน
ภายนอก อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาแล้ว บุคคล
นั้นล่วงแล้วซึ่งราคาทิธรรมเป็นเครื่องข้อง และตัณหา
ดังว่าข่าย ชื่อว่า เป็นมุนี.

คำว่า สาธุ วิยากโรหิ ความว่า ขอพระองค์ทรงตรัสบอก คือ
ทรงแสดง ... ทรงประกาศด้วยดี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระองค์เป็น
มุนี ขอทรงโปรดแก้ปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์ด้วยดี.
[165] คำว่า ตถา หิ เต วิทิโต เอส ธมฺโม ความว่า จริง
อย่างนั้น ธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบแล้ว คือ ทรงรู้แล้ว ทรง
เทียบเคียงแล้ว ทรงพิจารณาแล้ว ทรงให้เจริญแล้ว ทรงแจ่มแจ้งแล้ว

เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า จริงอย่างนั้น ธรรมนี้อันพระองค์ทรงทราบ
แล้ว.
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าพระองค์ได้ทูลถามแล้วซึ่งปัญหาใด พระองค์ได้
ตรัสบอกปัญหานั้นแล้วแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์
ทั้งหลายจะขอทูลถามปัญหาข้ออื่น ขอพระองค์โปรดตรัส
บอกปัญหานั้น ธีรชนทั้งหลายย่อมข้ามซึ่งโอฆะ ชาติ
ชรา โสกะ และปริเทวะได้อย่างไรหนอ พระองค์เป็น
พระมุนี ขอทรงโปรดแก้ปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
ด้วยดี แท้จริง ธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบแล้ว.


[166] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเมตตคู)
เราจักบอกธรรมในธรรมที่เราเห็นแล้ว อันประจักษ์
แก่ตน ที่บุคคลทราบแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป พึงข้าม
ตัณหาอันเกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลกแก่ท่าน.

[167] คำว่า เราจักบอกธรรม ... แก่ท่าน ความว่า เราจักบอก ...
ประกาศซึ่งพรหมจรรย์ อันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง และสติปัฏ-
ฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7
อริยมรรคมีองค์ 8 นิพพาน และปฏิปทาอันให้ถึงนิพพาน เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า เราจักบอกธรรมแก่ท่าน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์
นั้นโดยชื่อว่า เมตตคู.

[168] คำว่า ทิฏฺเฐ ธมฺเม ในอุเทศว่า " ทิฏฺเฐ ธมฺเม อนี-
ติหํ "
ดังนี้ ความว่า ในธรรมที่เราเห็น รู้ เทียบเคียง พิจารณา ให้
เจริญแล้ว ปรากฏแล้ว คือ ในธรรมอันเห็นแล้ว ... ปรากฏแล้วว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯ ล ฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้
จึงชื่อว่า เราจักบอกธรรมในธรรมที่เราเห็นแล้ว.
อีกอย่างหนึ่ง ความว่า เราจักบอกทุกข์ในทุกข์ที่เราเห็นแล้ว จัก
บอกสมุทัยในสมุทัยที่เราเห็นแล้ว จักบอกมรรคในมรรคที่เราเห็นแล้ว
จักบอกนิโรธในนิโรธที่เราเห็นแล้ว แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า
จักบอกธรรมในธรรมที่เราเห็นแล้ว.
อีกอย่างหนึ่ง ความว่า เราจักบอกธรรมที่จะพึงเห็นเอง ไม่
ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชน
พึงรู้เฉพาะตน ในธรรมที่เราเห็นแล้ว แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า
เราจักบอกธรรมในธรรมที่เราเห็นแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ในธรรม
ที่เราเห็นแล้ว.
คำว่า อนีติหํ อวามว่า เราจักบอกซึ่งธรรมอันประจักษ์แก่ตน ที่เรา
รู้เฉพาะด้วยตนเอง โดยไม่บอกว่ากล่าวกันมาอย่างนี้ ไม่บอกตามที่ได้ยิน
กันมา ไม่บอกตามลำดับสืบ ๆ กันมา ไม่บอกโดยการอ้างตำรา ไม่บอก
ตามที่นึกเดาเอาเอง ไม่บอกตามที่คาดคะเนเอาเอง ไม่บอกโดยความ
ตรึกตรองตามอาการ ไม่บอกโดยความชอบใจว่าต้องกับลัทธิของตน
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ในธรรมที่เราเห็นแล้ว อันประจักษ์แก่ตน.

[169] คำว่า ยํ วิทิตฺวา สโต จรํ ความว่า กระทำให้รู้แจ้ง คือ
เทียบเคียง พิจารณา ให้เจริญ ทำให้แจ่มแจ้ง คือ ทำให้รู้ ... ทำให้
แจ่มแจ้งว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯ ล ฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็น
ธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา.
คำว่า สโต ความว่า มีสติด้วยเหตุ 4 ประการ คือ มีสติเจริญ
สติปัฏฐานเป็นเครื่องพิจารณาเห็นกายในกาย ฯ ล ฯ บุคคลนั้นเรียกว่า
มีสติ.
คำว่า จรํ คือ เที่ยวไป เที่ยวไปทั่ว ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถเป็นไป
รักษา บำรุง เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า รู้ธรรมใดแล้ว เป็นผู้มี
สติเที่ยวไป.
[170] ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล
ท่านกล่าวว่า วิสัตติกา ตัณหาอันเกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่าง ๆ ในอุเทศว่า
" ตเร โลเก วิสตฺติกํ. "
ชื่อว่า วิสัตติกา ในคำว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่า กระไร เพราะ
อรรถว่า แผ่ไป เพราะอรรถว่า กว้างขวาง เพราะอรรถว่า ซ่านไป เพราะ
อรรถว่า ครอบงำ เพราะอรรถว่า นำไปผิด เพราะอรรถว่า ให้กล่าวผิด
เพราะอรรถว่า มีรากเป็นพิษ เพราะอรรถว่า มีผลเป็นพิษ เพราะอรรถว่า
มีการบริโภคเป็นพิษ.
อนึ่ง ตัณหานั้นกว้างขวาง ซ่านไป แผ่ไป แผ่ซ่านไปในรูป เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สกุล คณะ อาวาส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร กามธาตุ รูปธาตุ
อรูปธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญา-

นาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ อดีตกาล
อนาคตกาล ปัจจุบันกาล ธรรม คือ รูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์
ที่ได้ทราบ และธรรมที่รู้แจ้ง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า วิสัตติกา.
คำว่า โลก คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก
ธาตุโลก อายตนโลก.
คำว่า ตเร โลเก วิสตฺติกํ ความว่า บุคคลนั้นเป็นผู้มีสติ พึงข้าม
คือ ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วง ซึ่งตัณหาอันเกาะเกี่ยวใน
อารมณ์ต่างๆ ในโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงข้ามตัณหาอันเกาะเกี่ยว
ในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลก.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เราจักบอกธรรมในธรรมที่เราเห็นแล้ว อันประจักษ์
แก่ตนที่บุคคลทราบแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป พึงข้าม
ตัณหาอันเกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลกแก่ท่าน.

[171] ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ข้าพระองค์
ชอบใจพระดำรัสของพระองค์นั้น และธรรมอันสูงสุดที่
บุคคลทราบแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป พึงข้ามพ้นตัณหา
อันเกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลกได้.

[172] คำว่า ตํ ในอุเทศว่า " ตญฺจาหํ อภินนฺทามิ " ความว่า
ซึ่งพระดำรัส คือ ทางแห่งถ้อยคำ เทศนา อนุสนธิ ของพระองค์.
คำว่า อภินนฺทามิ คือ ข้าพระองค์ย่อมยินดี ชอบใจ เบิกบาน
อนุโมทนา ปรารถนา พอใจ ขอ ประสงค์ รักใคร่ ติดใจ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ย่อมชอบใจพระดำรัสของพระองค์นั้น.

[173] คำว่า มเหสี ในอุเทศว่า มเหสี ธมฺมมุตฺตมํ ดังนี้
ความว่า ชื่อว่า มเหสี เพราะอรรถว่ากระไร. ชื่อว่า มเหสี เพราะอรรถว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสวงหา เสาะหา ค้นหาซึ่งศีลขันธ์ใหญ่ ซึ่งสมาธิ-
ขันธ์ใหญ่ ซึ่งปัญญาขันธ์ใหญ่ ซึ่งวิมุตติขันธ์ใหญ่ ซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ
ขันธ์ใหญ่. ชื่อว่า มเหสี เพราะอรรถว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสวงหา เสาะหา ค้นหาแล้วซึ่งความทำลายกองมืดใหญ่ ซึ่งความทำลาย
วิปลาสใหญ่ ซึ่งความถอนลูกศรคือตัณหาใหญ่ ซึ่งความตัดความสืบต่อ
ทิฏฐิใหญ่ ซึ่งความให้มานะเป็นเช่นธงใหญ่ตกไป ซึ่งความระงับอภิสังขาร
ใหญ่ ซึ่งความสละโอฆะใหญ่ ซึ่งความปลงภาระใหญ่ ซึ่งความตัด
สังสารวัฏใหญ่ ซึ่งการให้ความเร่าร้อนใหญ่ดับไป ซึ่งความสงบระงับ
ความเดือดร้อนใหญ่ ซึ่งความยกขึ้นซึ่งธรรมเป็นดังว่าธงใหญ่ ซึ่งสติ-
ปัฏฐานใหญ่ ซึ่งสัมมัปปธานใหญ่ ซึ่งอิทธิบาทใหญ่ ซึ่งอินทรีย์ใหญ่
ซึ่งพละใหญ่ ซึ่งโพชฌงค์ใหญ่ ซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 ใหญ่
ซึ่งอมตนิพพานอันเป็นปรมัตถ์ใหญ่.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า มเหสี เพราะอรรถว่า
อันสัตว์ทั้งหลายผู้มีศักดิ์ใหญ่แสวงหา เสาะหา สืบหาว่า พระพุทธเจ้า
ประทับ ณ ที่ไหน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ ที่ไหน พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้เป็นเทวดาล่วงเทวดาประทับ ณ ที่ไหน พระนราสภประทับ ณ
ที่ไหน.
อมตนิพพาน ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง
ความสิ้นตัณหา ความสำรอกตัณหา ความดับตัณหา ความออกจากตัณหา
เป็นเครื่องร้อยรัด ท่านกล่าวว่า เป็นธรรมอุดม ในคำว่า ธมฺมมุตฺตมํ.

คำว่า อุตฺตมํ คือ ธรรมอันเลิศ ประเสริฐ วิเศษ เป็นประธาน
สูงสุด อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ... ซึ่ง
ธรรมอุดม.
[174] คำว่า ยํ วิทิตฺวา สโต จรํ ความว่า ทำให้ทราบ คือ
เทียบเคียงพิจารณา ให้เจริญ ทำให้แจ่มแจ้งแล้ว คือ ทำให้ทราบ ...
ทำให้แจ่มแจ้งแล้วว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯ ล ฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความ
เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา.
คำว่า สโต ความว่า มีสติด้วยเหตุ 4 ประการ คือ มีสติเจริญ
สติปัฏฐานเป็นเครื่องพิจารณาเห็นกายในกาย ฯ ล ฯ บุคคลนั้นท่านกล่าว
ว่า เป็นผู้มีสติ.
คำว่า จรํ คือ เที่ยวไป เที่ยวไปทั่ว ... เยียวยา เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า รู้แจ้งแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป.
[175] ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล
ท่านกล่าวว่า วิสัตติกา ตัณหาอันเกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่าง ๆ ในอุเทศว่า
" ตเร โลเก วิสตฺติกํ. "
วิสัตติกา ในบทว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่ากระไร ฯ ล ฯ ซ่าน
ไป แผ่ซ่านไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ฯ ล ฯ ธรรม คือ
รูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ได้ทราบ และธรรมที่รู้แจ้ง เพราะ-
เหตุนั้น จึงชื่อว่า วิสัตติกา.
คำว่า โลเก คือ ในอบายโลก ฯ ล ฯ อายตนโลก.
คำว่า ตเร โลเก วิสตฺติกํ ความว่า บุคคลนั้นเป็นผู้มีสติ พึงข้าม
คือ ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วงซึ่งตัณหา อันเกาะเกี่ยวใน

อารมณ์ต่าง ๆ ในโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงข้ามตัณหาอันเกาะเกี่ยว
ในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลก.
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ข้าพระองค์
ชอบใจพระดำรัสของพระองค์นั้น และธรรมอันสูงสุดที่
บุคคลทราบแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป พึงข้ามตัณหาอัน
เกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลกได้.

[176] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนเมตตคู)
ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมชั้นสูง
ชั้นต่ำ และชั้นกลางส่วนกว้าง ท่านจงบรรเทาความยินดี
ความพัวพันและวิญญาณในธรรมเหล่านั้นเสีย ไม่พึงตั้ง
อยู่ในภพ.

[177] คำว่า ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ความว่า ท่าน
ย่อมรู้ คือ รู้ทั่ว รู้แจ้ง รู้แจ้งเฉพาะ แทงตลอดซึ่งธรรมอย่างใดอย่าง
หนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้น โดยชื่อว่า เมตตคู. คำว่า ภควา นี้
เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ดูก่อนเมตตคู.
[178] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนาตว่า ชั้นสูง ในอุเทศว่า
" อุทฺธํ อโธ ติริยญฺจาปิ มชฺเฌ " ดังนี้ ตรัสอดีตว่า ชั้นต่ำ ตรัสปัจจุบันว่า

ชั้นกลางส่วนกว้าง. ตรัสเทวโลกว่า ชั้นสูง ตรัสนิรยโลกว่า ชั้นต่ำ
ตรัสมนุษยโลกว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. ตรัสกุศลธรรมว่า ชั้นสูง ตรัส
อกุศลธรรมว่า ชั้นต่ำ ตรัสอพยากตธรรมว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. ตรัส
อรูปธาตุว่า ชั้นสูง ตรัสกามธาตุว่า ชั้นต่ำ ตรัสรูปธาตุว่า ชั้นกลาง
ส่วนกว้าง. ตรัสสุขเวทนาว่า ชั้นสูง ตรัสทุกขเวทนาว่า ชั้นต่ำ ตรัส
อทุกขมสุขเวทนาว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. ตรัสส่วนเบื้องบนตลอดถึงพื้น
เท้าว่า ชั้นสูง ตรัสส่วนเบื้องต่ำตลอดถึงปลายผมว่า ชั้นต่ำ ตรัสส่วน
กลางว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชั้นสูง ชั้นต่ำ และ
ชั้นกลางส่วนกว้าง.
[179] คำว่า เอเตสุ ในอุเทศว่า " เอเตสุ นนฺทิญฺจ นิเวสนญฺจ
ปนุชฺช วิญฺญาณํ ภเว น ติฏฺเฐ "
ดังนี้ ความว่า ในธรรมทั้งหลายที่เรา
บอกแล้ว ... ประกาศแล้ว ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ
อกุศลมูล ตรัสว่าความยินดี.
ความพัวพันในบทว่า นิเวสนํ มี 2 อย่าง คือ ความพัวพันด้วย
ตัณหา 1 ความพัวพันด้วยทิฏฐิ 1 ความพัวพันด้วยตัณหาเป็นไฉน ความ
ถือว่าของเราอันทำให้เป็นแดน ... ด้วยส่วนตัณหาเท่าใด ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่า
ความพัวพันด้วยตัณหา. ความพัวพันด้วยทิฏฐิเป็นไฉน สักกายทิฏฐิมีวัตถุ
20 ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่า ความพัวพันด้วยทิฏฐิ.
คำว่า ปนุชฺช วิญฺญาณํ ความว่า วิญญาณอันสหรคตด้วยปุญญา-
ภิสังขาร วิญญาณอันสหรคตด้วยอปุญญาภิสังขาร วิญญาณอันสหรคตด้วย
อเนญชาภิสังขาร ท่านจงบรรเทา คือ จงสลัด จงถอน จงถอนทิ้ง จงละ
จงทําให้ไกล จงทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งความยินดี ความพัวพัน

และวิญญาณอันสหรคตด้วยอภิสังขารในธรรมเหล่านี้ เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า ท่านจงบรรเทาความยินดี ความพัวพัน และวิญญาณในธรรม
เหล่านี้.
ภพมี 2 คือ กรรมภพ 1 ภพใหม่อันมีในปฏิสนธิ 1 ชื่อว่า ภพ
ในอุเทศว่า " ภเว น ติฏฺเฐ " กรรมภพเป็นไฉน ปุญญาภิสังขาร
อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร นี้เป็นกรรมภพ. ภพใหม่อันมีใน
ปฏิสนธิเป็นไฉน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีในปฏิสนธิ
นี้เป็นภพใหม่อันมีในปฏิสนธิ.
คำว่า ภเว น ติฏฺเฐ ความว่า เมื่อละขาด บรรเทา ทำให้สิ้นสุด
ให้ถึงความไม่มีซึ่งความยินดี ความพัวพัน วิญญาณอันสหรคตด้วยอภิ-
สังขาร กรรมภพ และภพใหม่อันมีในปฏิสนธิ ไม่พึงตั้งอยู่ในปฏิสนธิ
ไม่พึงอยู่ในกรรมภพ ไม่พึงดำรงอยู่ ไม่พึงประดิษฐานอยู่ในภพใหม่
อันมีในปฏิสนธิ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านจงบรรเทา ... วิญญาณไม่
พึงตั้งอยู่ในภพ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมชั้น
สูง ชั้นต่ำ และชั้นกลาง ส่วนกว้าง ท่านจงบรรเทา
ความยินดี ความพัวพัน และวิญญาณในธรรมเหล่านั้น
เสีย ไม่พึงตั้งอยู่ในภพ.

[180] ภิกษุผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท มีความ
รู้แจ้ง ละความยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว เที่ยวไป พึงละ
ชาติ ชรา ความโศกและความรำพัน อันเป็นทุกข์ใน
อัตภาพนี้เสียทีเดียว.

[181] คำว่า เอวํวิหารี ในอุเทศว่า " เอวํวิหารี สโต อปฺป-
มตฺโต "
ดังนี้ ความว่า ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี ซึ่ง
ความยินดี ความพัวพัน วิญญาณอันสหรคตด้วยอภิสังขาร กรรมภพ
และภพใหม่อันมีในปฏิสนธิ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้มีปกติอยู่อย่างนี้.
คำว่า สโต ความว่า มีสติด้วยเหตุ 4 ประการ คือ มีสติเจริญ
สติปัฏฐานเครื่องพิจารณาเห็นกายในกาย ฯล ฯ ภิกษุนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีสติ.
คำว่า อปฺปมตฺโต ความว่า ภิกษุเป็นผู้ทำด้วยความเต็มใจ คือ ทำ
เนือง ๆ ทำไม่หยุด มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ปลงฉันทะ ไม่ทอด
ธุระ ไม่ประมาท ในกุศลธรรม คือ ความพอใจ ความพยายาม ความ
หมั่น ความเป็นผู้มีความหมั่น ความไม่ถอยหลัง สติ สัมปชัญญะ ความ
เพียรให้กิเลสร้อนทั่ว ความเพียรชอบ ความตั้งใจ ความประกอบเนืองๆ
ใด ในกุศลธรรมนั้นว่า เมื่อไร เราพึงบำเพ็ญศีลขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้
บริบูรณ์ หรือพึงอนุเคราะห์ศีลขันธ์ที่บริบูรณ์ด้วยปัญญาในกุศลธรรม
นั้น ... เมื่อไร เราพึงบำเพ็ญสมาธิขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ หรือ
พึงอนุเคราะห์สมาธิขันธ์ที่บริบูรณ์ด้วยปัญญาในกุศลธรรมนั้น ... เมื่อไร
เราพึงบำเพ็ญปัญญาขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ หรือพึงอนุเคราะห์
ปัญญาขันธ์ที่บริบูรณ์ด้วยปัญญาในกุศลธรรมนั้น ... เมื่อไร เราพึง
บำเพ็ญวิมุตติขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ หรือพึงอนุเคราะห์วิมุตติ
ขันธ์ที่บริบูรณ์ด้วยปัญญาในกุศลธรรมนั้น ... เมื่อไร เราพึงบำเพ็ญ
วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ หรือพึงอนุเคราะห์
วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ที่บริบูรณ์ด้วยปัญญาในกุศลธรรมนั้น ความพอใจ

เป็นต้นนั้น ชื่อว่า ความไม่ประมาทในกุศลธรรม ความพอใจ ความ
พยายาม ... ความตั้งใจ ความประกอบเนือง ๆ ใด ในกุศลธรรมนั้นว่า
เมื่อไร เราพึงกำหนดทุกข์ที่ยังไม่กำหนดรู้ เราพึงละกิเลสทั้งหลายที่ยัง
ไม่ได้ละ เราพึงเจริญมรรคที่ยังไม่เจริญ หรือเราพึงทำให้แจ้งซึ่งนิโรธ
ที่ยังไม่ทำให้แจ้ง ความพอใจเป็นต้นนั้น ชื่อว่า ความไม่ประมาทในกุศล-
ธรรม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ เป็นผู้มีสติไม่
ประมาท.
[182] ภิกษุเป็นกัลยาณปุถุชนก็ดี ภิกษุเป็นพระเสขะก็ดี ชื่อว่า
ภิกษุ ในอุเทศว่า " ภิกฺขุ จรํ หิตฺวา มมายิตานิ " ดังนี้.
คำว่า จรํ ความว่า เที่ยวไป คือเที่ยวไป ... เยียวยา.
ความยึดถือว่าของเรามี 2 อย่าง คือ ความยึดถือว่าของเรา ด้วย
อำนาจตัณหา 1 ความยึดถือว่าของเราด้วยอำนาจทิฏฐิ 1 ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่า
ความยึดถือว่าของเราด้วยอำนาจตัณหา ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่า ความยึดถือว่าของ
เราด้วยอำนาจทิฏฐิ ชื่อว่า ความยึดถือว่าของเรา ละความยึดถือว่าของ
เราด้วยอำนาจตัณหา สละคืนความยึดถือว่าของเราด้วยอำนาจทิฏฐิ ละ สละ
บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี ซึ่งความยึดถือว่าของเราทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุ ... ละแล้วซึ่งความยึดถือว่าของเราทั้งหลาย
เที่ยวไป.
[183] ความเกิด ความเกิดพร้อม ... ความได้เฉพาะซึ่งอายตนะ
ทั้งหลายในหมู่สัตว์นั้น ๆ แห่งสัตว์เหล่านั้น ๆ ชื่อว่า ชาติ ในอุเทศว่า
" ชาติชฺชรํ โสกปริทฺเทวญฺจ อิเมว วิทฺวา ปชฺชเหยฺย ทุกขํ " ดังนี้
ความแก่ ความเสื่อม ... ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ชื่อว่า ชรา

ความโศก กิริยาที่โศก ... หรือของคนที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่าง
หนึ่งกระทบเข้า ชื่อว่า ความโศก. ความร้องไห้ ความรำพัน ... หรือของ
คนที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบเข้า ชื่อว่า ปริเทวะ.
คำว่า อิธ ความว่า ในทิฏฐินี้ ฯ ล ฯ ในมนุษยโลกนี้.
คำว่า วิทฺวา ความว่า ผู้รู้แจ้ง คือ ถึงความรู้แจ้ง มีญาณ มีความ
แจ่มแจ้ง เป็นนักปราชญ์ ชาติทุกข์ ฯ ล ฯ ทุกข์คือโสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส ชื่อว่า ทุกข์.
คำว่า ชาติชฺชรํ โสกปริทฺเทวญฺจ อิเธว วิทฺวา ปชฺชเหยฺย ทุกฺขํ
ความว่า ผู้รู้แจ้ง คือ ถึงความรู้แจ้ง มีญาณ มีความแจ่มแจ้งเป็นปราชญ์
พึงละ คือ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งชาติ ชรา ความโศก
และความร่ำไรในอัตภาพนี้เทียว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้รู้แจ้งพึงละชาติ
ชรา ความโศก และความร่ำไรอันเป็นทุกข์ในอัตภาพนี้เทียว เพราะ-
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ภิกษุผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท มีความ
รู้แจ้ง ละความยึดถือว่าเป็นของเรา แล้วเที่ยวไป พึงละ
ชาติ ชรา ความโศก และความรำพันอันเป็นทุกข์ใน
อัตภาพนี้เสียทีเดียว.


[184] ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ชอบใจพระดำรัส ของ
พระองค์ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ตรัสไว้ดีแล้ว เป็น
ธรรมไม่มีอุปธิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละทุกข์ได้แล้ว

เป็นแน่ จริงอย่างนั้น ธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบ
แล้ว.

[185] คำว่า เอตํ ในอุเทศว่า " เอตาภินนฺทามิ วโจ
มเหสิโน "
ดังนี้ ความว่า ถ้อยคำ ทางถ้อยคำ เทศนา อนุสนธิของ
พระองค์.
คำว่า อภินนฺทามิ ความว่า ย่อมยินดี คือ ชอบใจ เบิกบาน
อนุโมทนา ปรารถนา พอใจ ขอประสงค์ รักใคร่ ติดใจ.
คำว่า มเหสิโน ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสวงหา เสาะหา
ค้นหา ศีลขันธ์ใหญ่ ฯ ล ฯ พระนราสภประทับที่ไหน เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ชอบใจพระดำรัสของพระองค์ ผู้แสวงหาคุณอัน
ยิ่งใหญ่.
[186] คำว่า สุกิตฺติตํ ในอุเทศว่า " สุกิตฺติตํ โคตม นูปธีกํ "
ดังนี้ ความว่า อันพระองค์ตรัสแล้ว คือ ตรัสบอก ... ทรงประกาศแล้ว
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ตรัสดีแล้ว.
กิเลสทั้งหลายก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี ท่านกล่าวว่า อุปธิ
ในอุเทศว่า " โคตม นูปธีกํ " เป็นธรรมที่ละอุปธิ คือ เป็นที่สงบอุปธิ
ที่สละคืนอุปธิ ที่ระงับอุปธิ อมตนิพพาน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่
พระโคดม ... ตรัสดีแล้ว เป็นธรรมไม่มีอุปธิ.
[187] คำว่า อทฺธา ในอุเทศว่า " อทฺธา หิ ภควา ปหาสิ
ทุกฺขํ "
ดังนี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยส่วนเดียว เป็นเครื่องกล่าวโดยไม่มี
ความสงสัย เป็นเครื่องกล่าวโดยไม่มีความเคลือบแคลง เป็นเครื่องกล่าว
โดยไม่เป็นสองแง่ เป็นเครื่องกล่าวแน่นอน เป็นเครื่องกล่าวไม่ผิด.

คำว่า อทฺธา นี้ เป็นเครื่องกล่าวแน่แท้. คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่อง
กล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ.
คำว่า ปหาสิ ทุกฺขํ ความว่า พระองค์ทรงละ คือ ทรงละขาด
ทรงบรรเทา ทรงทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี ซึ่งชาติทุกข์ ชราทุกข์
พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ ทุกข์คือความโศก ความรำพัน ความทุกข์กาย
ความทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงละทุกข์ได้แล้วเป็นแน่.
[188] คำว่า จริงอย่างนั้น ธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบแล้ว
ความว่า จริงอย่างนั้น ธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบแล้ว คือ ทรงรู้
ทรงเทียบเคียง ทรงพิจารณา ทรงให้แจ่มแจ้ง ปรากฏแล้ว เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า จริงอย่างนั้น ธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบแล้ว เพราะเหตุนั้น
พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ชอบใจพระดำรัสของ
พระองค์ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ตรัสไว้ดีแล้ว เป็น
ธรรมไม่มีอุปธิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละทุกข์ได้แล้ว
เป็นแน่ จริงอย่างนั้น ธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบ
แล้ว.


[189] พระองค์เป็นพระมุนีตรัสสอนชนเหล่าใดบ่อย ๆ ก็
ชนแม้เหล่านั้นพึงละทุกข์ได้เป็นแน่ ข้าพระองค์มาพบ
แล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐ จักขอนมัสการ

พระองค์ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงตรัสสอนข้าพระองค์
บ่อย ๆ.

[190] คำว่า เต จาปิ ในอุเทศว่า " เต จาปิ นูน ปชเหยฺยุํ
ทุกฺขํ "
ดังนี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต
เทวดา มนุษย์ พึงละได้.
คำว่า ทุกฺขํ ความว่า พึงละ คือ พึงบรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึง
ความไม่มีซึ่งชาติทุกข์ ... ความคับแค้นใจ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ก็แม้
ชนเหล่านั้นพึงละทุกข์ได้เป็นแน่.
[191] คำว่า เย ในอุเทศว่า " เย ตฺวํ มุนี อฏฺฐิตํ โอวเทยฺย "
ดังนี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา
มนุษย์ เมตตคูพราหมณ์ย่อมกล่าวกับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตฺวํ.
ญาณ เรียกว่า โมนะ ในคำว่า มุนี ฯ ล ฯ บุคคลนั้นล่วงแล้ว
ซึ่งราคาทิธรรมเป็นเครื่องข้องและตัณหาเป็นดังว่าข่าย ย่อมเป็นมุนี.

คำว่า อฏฺฐิตํ โอวเทยฺย ความว่า ตรัสสอนโดยเอื้อเฟื้อ คือ ตรัส
สอนเนือง ๆ ตรัสสอน พร่ำสอนบ่อย ๆ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระ-
องค์เป็นพระมุนีตรัสสอนชนเหล่าใดบ่อย ๆ.
[192] เมตตคูพราหมณ์กล่าวกับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตํ ใน
อุเทศว่า ตนฺตํ นมสฺสามิ สเมจฺจ นาคํ.
คำว่า นมสฺสามิ ความว่า ข้าพระองค์ขอนมัสการ คือ ขอสักการะ
เคารพ นับถือ บูชาด้วยกาย ด้วยจิต ด้วยข้อปฏิบัติอันเป็นไปตาม
ประโยชน์ หรือด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.

คำว่า สเมจฺจ ความว่า ข้าพระองค์มาพบ คือ มาประสบ มาหา
มาเฝ้าแล้ว ขอนมัสการพระองค์เฉพาะพระพักตร์.
คำว่า นาคํ ความว่า ผู้ไม่มีความชั่ว พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรง
ทำความชั่ว เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า นาค ไม่เสด็จไปสู่ความชั่ว
เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า นาค ไม่เสด็จมาสู่ความชั่ว เพราะฉะนั้น
จึงทรงพระนามว่า นาค.
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทำความชั่วอย่างไร เพราะฉะนั้น จึง
ทรงพระนามว่า นาค. อกุศลธรรมทั้งปวงอันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดใน
ภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชรา
และมรณะต่อไป ท่านกล่าวว่า ความชั่ว.
บุคคลไม่ทำความชั่วน้อยหนึ่งในโลก สลัดแล้วซึ่งกิเลสเครื่อง
ประกอบสัตว์ไว้ทั้งปวง ซึ่งเครื่องผูกทั้งหลาย เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว ไม่
เกี่ยวข้องในที่ทั้งปวง บุคคลนั้นท่านกล่าวว่าเป็นนาค ผู้คงที่ มีจิต
อย่างนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทำความชั่วอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงทรง
พระนามว่า นาค.
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จไปอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงทรงพระ-
นามว่า นาค พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จไปสู่ฉันทาคติ ไม่เสด็จไปสู่
โทสาคติ ไม่เสด็จไปสู่โมหาคติ ไม่เสด็จไปสู่ภยาคติ พระองค์ไม่เสด็จไป
ด้วยอำนาจราคะ ไม่เสด็จไปด้วยอำนาจโทสะ ไม่เสด็จไปด้วยอำนาจโมหะ
ไม่เสด็จไปด้วยอำนาจทิฏฐิ ไม่เสด็จไปด้วยอำนาจมานะ ไม่เสด็จไปด้วย
อำนาจอุทธัจจะ ไม่เสด็จไปด้วยอำนาจวิจิกิจฉา ไม่เสด็จไปด้วยอำนาจ
อนุสัย ไม่ดำเนิน ไม่เสด็จออก ไม่ถูกพัดไป ไม่ถูกนำไป ไม่ถูกเคลื่อน

ไปด้วยธรรมอันเป็นพวก พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จไปอย่างนี้ เพราะ-
ฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า นาค.
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จมาอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงทรงพระ-
นามว่า นาค พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มาอีก ไม่ย้อนมา ไม่กลับมาสู่กิเลส
ทั้งหลาย ที่พระองค์ทรงละได้แล้วด้วยโสดาปัตติมรรค ... ด้วยสกทาคามิ-
มรรค .... ด้วยอนาคามิมรรค ... ด้วยอรหัตมรรค พระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่เสด็จมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า นาค เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ข้าพระองค์มาพบพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นนาค จึงขอนมัสการ
พระองค์.
[193] คำว่า อปฺเปว มํ ภควา อฏิฐิตํ โอวเทยฺย ความว่า ขอ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงตรัสสอนข้าพระองค์บ่อย ๆ คือ โปรดตรัสสอนโดย
เอื้อเฟื้อ ตรัสสอนเนือง ๆ ตรัสสอน พร่ำสอนบ่อย ๆ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงตรัสสอนข้าพระองค์บ่อย ๆ บ้าง
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
พระองค์เป็นพระมุนี ตรัสสอนชนเหล่าใดบ่อย ๆ ก็
ชนแม้เหล่านั้นพึงละทุกข์ได้เป็นแน่ ข้าพระองค์มาพบ
แล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐ จักขอนมัสการ
พระองค์ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงตรัสสอนข้าพระองค์
บ่อย ๆ.


[194] บุคคลพึงรู้จักผู้ใดว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ถึงเวท ไม่มี
กิเลสเครื่องกังวล ไม่ข้องเกี่ยวในกามภพ ผู้นั้นข้ามได้

แล้วซึ่งโอฆะนี้โดยแท้ และเป็นผู้ข้ามถึงฝั่ง ไม่มีเสา
เขื่อน ไม่มีความสงสัย.

[195] คำว่า พฺราหฺมณํ ในอุเทศว่า ยํ พฺราหฺมณํ เวทคุํ
อภิชญฺญา
ความว่า ชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะเป็นผู้ลอยเสียแล้วซึ่งธรรม
7 ประการ เป็นผู้ลอยสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพัตตปรามาส ราคะ โทสะ
โมหะ มานะ เป็นผู้ลอยอกุศลบาปธรรมอันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดใน
ภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชรา
และมรณะต่อไป.
(พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนสภิยะ1) พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ลอยเสียแล้วซึ่งธรรมอันลามกทั้งปวง
ปราศจากมลทิน มีจิตตั้งมั่นดี มีจิตคงที่ ล่วงแล้วซึ่ง
สงสาร เป็นผู้บริบูรณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นอันตัณหา
และทิฏฐิไม่อาศัย เป็นผู้คงที่ บัณฑิตกล่าวว่าเป็นผู้
ประเสริฐ.

ญาณในมรรค 4 ตรัสว่าเวท ในคำว่า เวทคุํ ฯ ล ฯ พราหมณ์นั้น
เป็นเวทคู เพราะล่วงเสียซึ่งเวททั้งปวง.
คำว่า อภิชญฺญา ความว่า พึงรู้จัก คือ พึงรู้ทั่ว รู้แจ้ง รู้แจ้ง
เฉพาะ แทงตลอด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงรู้จักผู้ใดว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ถึงเวท.
[196] คำว่า อกิญฺจนํ ในอุเทศว่า อกิญฺจนํ กามภเว อสตฺตํ
ดังนี้ ความว่า เครื่องกังวล คือ ราคะ เครื่องกังวล คือ โทสะ โมหะ
มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต เครื่องกังวลเหล่านี้อันผู้ใดละขาดแล้ว ตัด
1. ขุ. สุ. 25/ข้อ 367.

ขาดแล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว ทำไม่ให้อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟ
คือญาณ ผู้นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล.
โดยอุทานว่า กาม กามมี 2 อย่าง คือ วัตถุกาม 1 กิเลสกาม 1
ฯ ล ฯ เหล่านี้ตรัสว่า วัตถุกาม ฯ ล ฯ เหล่านี้ตรัสว่า กิเลสกาม.
ชื่อว่า ภพ คือ ภพ 2 อย่าง คือ กรรมภพ 1 ภพใหม่อันมีใน
ปฏิสนธิ 1 ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่า ภพใหม่อันมีในปฏิสนธิ.
คำว่า อกิญฺจรนํ กามภเว อสตฺตํ ความว่า ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล
ไม่ข้องเกี่ยว คือ ไม่ข้องแวะ ไม่เกาะเกี่ยว ไม่พัวพัน ในกามภพ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่ข้องเกี่ยวในกามภพ.
[197] คำว่า อทฺธา ในอุเทศว่า อทฺธา หิ โส โอฆมิมํ อตาริ
ดังนี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยส่วนเดียว ฯ ล ฯ. คำว่า อทฺธา นี้เป็นเครื่อง
กล่าวแน่แท้. คําว่า โอฆํ คือ กามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชา-
โอฆะ. คำว่า อตาริ ความว่า ข้ามแล้ว คือ ข้ามขึ้นแล้ว ข้ามพ้นแล้ว
ก้าวล่วงแล้ว เป็นไปล่วงแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นได้ข้ามแล้ว
ซึ่งโอฆะนี้โดยแท้.
[198] คำว่า ติณฺโณ ในอุเทศว่า " ติณฺโณ จ ปารํ อขิโล
อกงฺโข "
ดังนี้ ความว่า ผู้นั้นข้ามได้แล้ว คือ ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ล่วงพ้น
แล้ว เป็นไปล่วงแล้ว ซึ่งกามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ
มีความอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว มีทางไกลอันถึงแล้ว มีทิศ
อันถึงแล้ว มีที่สุดอันถึงแล้ว มีพรหมจรรย์อันรักษาแล้ว ถึงแล้วซึ่งทิฏฐิ
อันอุดม มีมรรคอันเจริญแล้ว มีกิเลสอันละแล้ว มีอกุปปธรรมอันแทง
ตลอดแล้ว มีนิโรธอันทำให้แจ้งแล้ว ผู้นั้นกำหนดรู้ทุกข์แล้ว ละสมุทัย

แล้ว เจริญมรรคแล้ว ทํานิโรธให้แจ่มแจ้งแล้ว รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
แล้ว กำหนดรู้ซึ่งธรรมที่ควรกำหนดรู้แล้ว ละซึ่งธรรมที่ควรละแล้ว
เจริญซึ่งธรรมที่ควรเจริญแล้ว ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว
ผู้นั้นมีอวิชชาเพียงดังกลอนอันถอดออกแล้ว มีชาติสงสารเพียงดังคูอัน
กลบแล้ว มีตัณหาเพียงดังเสาระเนียดอันถอนขึ้นแล้ว ไม่มีลิ่มสลัก เป็น
ผู้ไกลจากกิเลสดังข้าศึก มีอัสมิมานะดังว่าธงล้มไปแล้ว มีภาระปลงเสีย
แล้ว เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง ละนิวรณ์มีองค์ 5 เสียแล้ว ประกอบด้วย
อุเบกขามีองค์ 6 มีสติเป็นเครื่องรักษาอย่างเอก มีธรรมเป็นที่พึ่งพิง 4
มีทิฏฐิสัจจะเฉพาะอย่างหนึ่ง ๆ บรรเทาเสียแล้ว มีความแสวงหาอัน
ประเสริฐบริบูรณ์โดยชอบ มีความดำริไม่ขุ่นมัว มีกายสังขารระงับแล้ว
มีจิตพ้นวิเศษดีแล้ว มีปัญญาพ้นวิเศษดีแล้ว เป็นผู้บริบูรณ์ อยู่จบ
พรหมจรรย์แล้ว เป็นบุรุษอุดม เป็นบุรุษประเสริฐ เป็นผู้ถึงอรหัตผล
อันประเสริฐ.
ผู้นั้นย่อมไม่ก่อ ไม่ทำลาย ทำลายเสร็จแล้วดำรงอยู่ ไม่ต้องละ
ไม่ต้องยึดถือ ละเสร็จแล้วดำรงอยู่ ย่อมไม่เย็บ ไม่ยก ตัดเสร็จแล้วดำรง
อยู่ ไม่ต้องกำจัด ไม่ต้องก่อ ก่อเสร็จแล้วดำรงอยู่ ชื่อว่า ดำรงอยู่แล้ว
เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์
วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ อันเป็นของพระอเสขะ ยังอริยสัจทั้งปวงให้ถึง
เฉพาะแล้วดำรงอยู่ ล่วงเสียอย่างนี้แล้วดำรงอยู่ ดับไฟกิเลสแล้วดำรงอยู่
ดำรงอยู่ในความเป็นผู้ไม่วนเวียน ยึดถือความชนะเสร็จแล้วดำรงอยู่ ดำรง
อยู่ในความส้องเสพวิมุตติ ดำรงอยู่ในเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
อันบริสุทธิ์ ดำรงอยู่ในความบริสุทธิ์ส่วนเดียว ดำรงอยู่ในความเป็นผู้

ไม่มีกัมมัญญะ (ตัณหา ทิฏฐิ มานะ) ดำรงอยู่เพราะความเป็นผู้พ้นวิเศษ
แล้ว ดำรงอยู่เพราะความเป็นผู้มีจิตสงบ ดำรงอยู่ในที่สุดแห่งขันธ์ ดำรง
อยู่ในที่สุดแห่งธาตุ ดำรงอยู่ในที่สุดแห่งอายตนะ ดำรงอยู่ในที่สุดแห่ง
คติ ดำรงอยู่ในที่สุดแห่งอุปบัติ ดำรงอยู่ในที่สุดแห่งปฏิสนธิ ดำรงอยู่
ในที่สุดแห่งภพ ดำรงอยู่ในที่สุดแห่งสังขาร ดำรงอยู่ในที่สุดแห่งวัฏฏะ
ดำรงอยู่ในภพอันมีในที่สุด ดำรงอยู่ในอัตภาพอันมีในที่สุด เป็นพระ-
อรหันต์ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด.
พระขีณาสพนั้น มีภพนี้เป็นครั้งหลัง มีอัตภาพนี้
และมีสงสาร คือ ชาติ ชรา และมรณะเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่มีภพใหม่.

เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ข้ามแล้ว.
อมตนิพพาน ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง
ความสิ้นตัณหา ความสํารอกตัณหา ความดับตัณหา ความออกจากตัณหา
เป็นเครื่องร้อยรัด ตรัสว่า ฝั่ง ในบทว่า ปารํ ดังนี้. ผู้นั้นถึงแล้วซึ่งฝั่ง
คือ บรรลุถึงฝั่ง ไปสู่ส่วนสุด ถึงส่วนสุด ไปสู่ที่สุด ถึงที่สุด ไปสู่ส่วน
สุดรอบ ถึงส่วนสุดรอบ ไปสู่ที่จบ ถึงที่จบ ไปสู่ที่ต้านทาน ถึงที่ต้านทาน
ไปสู่ที่เร้น ถึงที่เร้น ไปสู่ที่พึ่ง ถึงที่พึ่ง ไปสู่ที่ไม่มีภัย ถึงที่ไม่มีภัย ไปสู่
ที่ไม่เคลื่อน ถึงที่ไม่เคลื่อน ไปสู่อมตะ ถึงอมตะ ไปสู่นิพพาน ถึงนิพพาน
ผู้นั้นมีพรหมจรรย์อันเป็นเครื่องอยู่จบแล้ว มีจรณะประพฤติแล้ว ฯ ล ฯ
ไม่มีสงสาร คือ ชาติ ชรา และมรณะ ไม่มีภพใหม่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
เป็นผู้ข้ามแล้วถึงฝั่ง.
คำว่า ไม่มีเสาเขื่อน คือ ราคะเป็นเสาเขื่อน โทสะเป็นเสาเขื่อน

โมหะเป็นเสาเขื่อน ความโกรธเป็นเสาเขื่อน ความผูกโกรธเป็นเสาเขื่อน
ฯ ล ฯ อกุสลาภิสังขารทั้งปวงเป็นเสาเขื่อน ผู้ใดละเสาเขื่อนเหล่านี้แล้ว
ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ
ผู้นั้นตรัสว่า เป็นผู้ไม่มีเสาเขื่อน.
คำว่า ผู้ไม่มีความสงสัย คือ ความสงสัยในทุกข์ ความสงสัยใน
ทุกขสมุทัย ความสงสัยในทุกขนิโรธ ความสงสัยในทุกขนิโรธคามินี-
ปฏิปทา ความสงสัยในเงื่อนเบื้องต้น ความสงสัยในเงื่อนเบื้องปลาย ความ
สงสัยในปฏิจจสมุปปันธรรม คือ ความเป็นปัจจัยแห่งสังขาราทิธรรมนี้
ความสงสัย กิริยาที่สงสัย ความเป็นผู้สงสัย ความเคลือบแคลง ความไม่
ตกลง ความเป็นสองแง่ ความเป็นสองทาง ความลังเล ความไม่ถือเอา
โดยส่วนเดียว ความระแวง ความระแวงรอบ ความตัดสินไม่ลง ความ
มีจิตครั่นคร้าม ความมีใจสนเท่ห์เห็นปานนี้ ผู้ใดละความสงสัยเหล่านี้ ...
เผาเสียแล้วด้วยไฟคือ ญาณ ผู้นั้นตรัสว่า เป็นผู้ไม่มีความสงสัย เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ข้ามแล้วถึงฝั่ง ไม่มีเสาเขื่อน ไม่มีความสงสัย
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลพึงรู้จักผู้ใดว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ถึงเวท ไม่มีกิเลส
เครื่องกังวล ไม่ข้องเกี่ยวในกามภพ ผู้นั้นได้ข้ามแล้วซึ่ง
โอฆะนี้โดยแท้ และเป็นผู้ข้ามถึงฝั่ง ไม่มีเสาเขื่อน ไม่
มีความสงสัย.


[199] นรชนใดในศาสนานี้ มีความรู้ เป็นเวทคู สลัดแล้ว
ซึ่งบาปธรรมเป็นเครื่องข้องนี้ ในภพน้อยและภพใหญ่

นรชนนั้นเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง
เรากล่าวว่า นรชนนั้นได้ข้ามแล้วซึ่งชาติและชรา.

[200] คำว่า วิทฺวา ในอุเทศว่า " วิทฺวา จ โย เวทคู นโร
อิธ "
ดังนี้ ความว่า ไปแล้วในวิชชา มีญาณ มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญา
ทำลายกิเลส.
คำว่า โย ความว่า ฯ ล ฯ มนุษย์ใด คือ เช่นใด.
ญาณในมรรค 4 ตรัสว่า เวท ในบทว่า เวทคู นรชนนั้น ชื่อว่า
เป็นเวทคู เพราะล่วงเสียซึ่งเวททั้งปวง.
คำว่า นโร ได้แก่ สัตว์ นระ มาณพ ผู้อันเขาเลี้ยง บุคคลผู้เป็น
อยู่ ผู้ถึงชาติ สัตว์เกิด ผู้ถึงความเป็นใหญ่ ชนผู้เกิดแต่พระมนู.
คำว่า อิธ คือ ในทิฏฐินี้ ฯ ล ฯ ในมนุษยโลกนี้ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า นรชนใดในศาสนานี้ มีความรู้ เป็นเวทคู.
[201] คำว่า ภวาภเว ในอุเทศว่า " ภวาภเว สงฺคมิมํ วิสชฺช "
ดังนี้ ความว่า ในภพน้อยและภพใหญ่ คือ ในกรรมภพ (กรรมวัฏ) ใน
ปุนัพภพ (วิปากวัฏ) ในกามภพ (กามธาตุ) ในกรรมภพ ในกามภพ
ในปุนัพภพ ในรูปภพ ในกรรมภพ ในรูปภพ ในปุนัพภพ ในอรูปภพ
ในกรรมภพ ในวิปากวัฏอันให้เกิดใหม่ ในอรูปภพ ในภพบ่อย ๆ
ในคติบ่อย ๆ ในอุปบัติบ่อย ๆ ในปฏิสนธิบ่อย ๆ ในความเกิดแห่ง
อัตภาพบ่อย ๆ. บาปธรรมเป็นเครื่องข้อง ในบทว่า สงฺคํ มี 7 อย่าง คือ
ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต เป็นเครื่องข้อง.
คำว่า สละแล้ว คือ สลัดแล้ว ซึ่งบาปธรรมเป็นเครื่องข้อง
ทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง ความว่า เปลื้องปล่อยบาปธรรมเป็นเครื่องข้อง

ทั้งหลาย คือ เป็นเครื่องผูก เครื่องพัน เครื่องคล้อง เครื่องเกี่ยวข้อง
เครื่องผูกพัน เครื่องพัวพัน เปรียบเหมือนชนทั้งหลายย่อมทำความปลด.
ปล่อยยาน คานหาม รถ เกวียน หรือล้อเลื่อน ย่อมทำให้เสียไป ฉันใด
นรชนนั้น สละสลัดบาปธรรมเป็นเครื่องข้องเหล่านั้น หรือปลดเปลื้อง
บาปธรรมทั้งหลายเป็นเครื่องข้อง เป็นเครื่องผูกไว้ เป็นเครื่องพัน เป็น
เครื่องคล้องไว้ เป็นเครื่องเกี่ยวข้อง เป็นเครื่องพัวพัน เป็นเครื่องผูกพัน
ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สลัดแล้วซึ่งบาปธรรมเป็นเครื่อง
ข้องนี้ ในภพน้อยและภพใหญ่.
[202] รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพ-
ตัณหา ธรรมตัณหา ชื่อว่า ตัณหา ในอุเทศว่า " โส วีตตณฺโห อนิโฆ
นิราโส อตฺตาริ โส ชาติชรนฺติ พฺรูมิ "
ดังนี้ นรชนใดละตัณหานี้แล้ว...
เผาเสียแล้วด้วยไฟคือ ญาณ นรชนนั้นตรัสว่า เป็นผู้ปราศจากตัณหา คือ
เป็นผู้สละตัณหา คายตัณหา ปล่อยตัณหา ละตัณหา สละคืนตัณหา
ปราศจากราคะ สละราคะ คายราคะ ปล่อยราคะ ละราคะ สละคืนราคะ
ไม่มีความหิว เป็นผู้ดับ เยือกเย็นแล้ว เสวยสุขอยู่ด้วยตนอันประเสริฐ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนนั้นเป็นผู้ปราศจากตัณหา.
คำว่า อนิโฆ ความว่า ราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูก
โกรธ ฯ ล ฯ อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ นรชนใดละทุกข์เหล่านี้
แล้ว ... เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ นรชนนั้นตรัสว่า ไม่มีทุกข์.
คำว่า ไม่มีความหวัง ความว่า ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯ ล ฯ
อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ตรัสว่าความหวัง นรชนใดละความหวัง คือ

ตัณหานี้แล้ว... เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ นรชนนั้นตรัสว่า ไม่มี
ความหวัง.
ความเกิด ความเกิดพร้อม ... ความได้เฉพาะซึ่งอายตนะทั้งหลาย
ในหมู่สัตว์นั้น ๆ แห่งสัตว์นั้น ๆ ชื่อว่า ชาติ. ความแก่ ความเสื่อม ...
ความแก่แห่งอินทรีย์ทั้งหลายในหมู่สัตว์นั้น ๆ เเห่งสัตว์นั้น ๆ ชื่อว่า ชรา.
ความตาย ความจุติ ... ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์
ทั้งหลาย จากหมู่สัตว์นั้น ๆ แห่งสัตว์นั้น ๆ ชื่อว่า มรณะ. คำว่า นรชน
นั้นเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความหวัง เรากล่าวว่า
นรชนนั้นได้ข้ามแล้ว ซึ่งชาติ ชรา
ความว่า นรชนนั้นใดเป็นผู้ปราศจาก
ตัณหา ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง เรากล่าว บอก ... ประกาศว่า นรชน
นั้นได้ข้ามแล้ว คือ ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วง ซึ่งชาติ ชราและ
มรณะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนนั้นเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่มีทุกข์
ไม่มีความหวัง เรากล่าวว่า นรชนนั้นได้ข้ามแล้ว ซึ่งชาติและชรา เพราะ
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
นรชนใดในศาสนานี้ มีความรู้ เป็นเวทคู สลัดแล้ว
ซึ่งบาปธรรมเป็นเครื่องข้องนี้ ในภพน้อยและภพใหญ่
นรชนนั้นเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง
เรากล่าวว่านรชนนั้นได้ข้ามแล้วซึ่งชาติและชรา.

พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา เมตตคูพราหมณ์ ฯ ล ฯ นั่งประนม
อัญชลีนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ดังนี้
แล.
จบเมตตคูมาณวกปัญหานิทเทสที่ 4

อรรถกถาเมตตคูมาณวกปัญหานิทเทสที่ 4


พึงทราบวินิจฉัยใน เมตตคูสูตรที่ 4 ดังต่อไปนี้.
บทว่า มญฺญามิ ตํ เวทคุํ ภาวิตตฺตํ คือ ข้าพระองค์ย่อมสำคัญซึ่ง
พระองค์ว่าเป็นผู้จบเวท มีพระองค์อันให้เจริญแล้ว.
บทว่า อปริตฺโต คือ ไม่น้อย. บทว่า มหนฺโต มาก คือ ไม่เล็ก
น้อย. บทว่า คมฺภีโร ลึกซึ้ง คือไม่ง่าย. บทว่า อปฺปเมยฺโย ประมาณ
ไม่ได้ คือ ไม่สามารถจะนับได้. บทว่า ทุปฺปริโยคาฬฺโห คือ ยากที่จะ
หยั่งลงได้. บทว่า พหุรตโน สาครูปโม มีธรรมรัตนะมาก เปรียบ
เหมือนทะเลหลวง คือ มีธรรมรัตนะมาก เพราะเป็นบ่อเกิดของธรรม-
รัตนะมาก เช่นกับสาคร คือ ดุจสมุทรอันบริบูรณ์ด้วยรัตนะหลาย ๆ อย่าง.
บทว่า น มงฺกุ โหติ ไม่ทรงเก้อเขิน คือ ไม่ทรงเสียหน้า. บทว่า
อปฺปติฏฺฐีนจิตฺโต มีพระทัยมิได้ขัดเคือง คือ มิได้มีพระทัยเป็นไปด้วย
อำนาจโทสะ. บทว่า อทินมนโส1 คือ มีพระทัยไม่หดหู่. บทว่า อพฺยา-
ปนฺนเจตโส
มีพระทัยไม่พยาบาท คือ มิได้มีพระทัยประทุษร้าย. บทว่า
ทิฏฺเฐ ทิฏฐมตฺโต เพียงแต่ทรงเห็นรูปที่ทรงเห็น คือ เป็นแต่เพียงเห็น
รูปารมณ์อันเป็นวิสัยของจักษุเท่านั้น. อารมณ์ที่เห็นด้วยจักษุเป็นเพียงสี
1. บาลีว่า อาทินมนโส. ม. ว่า อลีนมนโส.