เมนู

ลาภ ฯลฯ ญาติสาโลหิต ของเราแปรปรวนไปแล้ว แม้ด้วยเหตุอย่างนี้
ดังนี้ จึงชื่อว่า ย่อมไม่เศร้าโศกเพราะสิ่งที่ถือว่าของเราไม่มีอยู่.
อีกอย่างหนึ่งผู้ใดเป็นผู้อันทุกขเวทนาซึ่งไม่สำราญกระทบ ครอบงำ
ย่ำยี มาถึงเข้าแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม้รำพัน ไม่ทุบอก
คร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหล แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า
ย่อมไม่เศร้าโศกเพราะสิ่งที่ถือว่าของเราไม่มีอยู่. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใด
เป็นผู้อันโรคตากระทบ ครอบงำ ฯลฯ เป็นผู้อันสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง
ลม แดด และสัตว์เสือกคลานกระทบ ครอบงำ ย่ำยี มาถึงเข้าแล้ว ย่อมไม่
เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่รำพัน ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหล
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ย่อมไม่เศร้าโศกเพราะสิ่งที่ถือว่าของเรา
ไม่มีอยู่ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อนามรูปนั้นไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้ ผู้ใด
ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่รำพัน ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความ
หลงใหลว่า นามรูปของเราได้มีแล้วหนอ นามรูปย่อมไม่มีแก่เราหนอ
นามรูปของเราพึงมีหนอ เราย่อมไม่ได้นามรูปนั้นหนอ แม้ด้วยเหตุอย่าง
นี้ดังนี้ จึงชื่อว่า และผู้ใดย่อมไม่เศร้าโศกเพราะสิ่งที่ถือว่าของเราไม่มีอยู่.

ว่าด้วยความเสื่อมมีแก่ผู้ยึดถือ


[868] คำว่า ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมในโลก ความว่า ความถือ
ความยึดถือ ความถือมั่น ความชอบใจ ความน้อมใจถึงรูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณอะไร ๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของตน
เหล่าอื่น ย่อมมีแก่ผู้ใด ความเสื่อมย่อมมีแก่ผู้นั้น สมจริงตามภาษิตว่า

ท่านเสื่อมแล้วจากรถ ม้า แก้วมณี และกุณฑล เสื่อม
แล้วจากบุตรและภรรยา ทั้งจากโภคสมบัติทั้งปวง ที่ไม่
ได้เสพ เหตุไร ท่านจึงไม่เดือดร้อนในเวลาเศร้าโศก
โภคสมบัติทั้งหลาย ย่อมละสัตว์ไปก่อนบ้าง สัตว์ย่อมละ
โภคสมบัติเหล่านั้นไปก่อนบ้าง ผู้ใคร่กามมีโภคสมบัติ
ทั้งหลายเหล่าเป็นผู้ไม่มีอะไรเป็นของของตน เหตุนั้น เรา
จึงไม่เศร้าโศกในเวลาเศร้าโศก ดวงจันทร์ย่อมขึ้น ย่อม
เต็มดวง ย่อมเสื่อมไป ดวงอาทิตย์อัสดงคตแล้วก็ลับไป
โลกธรรมทั้ง 8 เรารู้แล้ว เหตุนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกใน
เวลาเศร้าโศก.

ความถือ ความยึดถือ ความถือมั่น ความชอบใจ ความน้อมใจ
ถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอะไร ๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า
สิ่งนี้ของตนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด ความเสื่อมก็ไม่มีแก่ผู้นั้น สมจริง
ตามภาษิตว่า ดูก่อนสมณะ ท่านย่อมยินดีหรือ. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เรา
ได้อะไรเล่าจึงจะยินดี. ดูก่อนสมณะ ถ้าอย่างนั้น ท่านย่อมเศร้าโศกหรือ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ สิ่งอะไร ๆ เล่าเสื่อมไปแล้ว เราจึงจะเศร้าโศก. ดูก่อน
สมณะ ถ้าอย่างนั้น ท่านย่อมไม่ยินดี ย่อมไม่เศร้าโศกหรือ. เป็นอย่าง
นั้น ท่านผู้มีอายุ.
และสมจริงตามภาษิตว่า
เป็นเวลานานหนอ เราจึงได้เห็นภิกษุผู้เป็นพราหมณ์
ตัดรอบแล้ว ไม่มียินดี ไม่มีทุกข์ ข้ามตัณหาเครื่อง
เกาะเกี่ยวในโลก.

เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมในโลก เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ความถือว่าของเราในนามรูป ย่อมไม่มีแก่ผู้ใดโดย
ประการทั้งปวง และผู้ใดย่อมไม่เศร้าโศก เพราะสิ่งที่
ถือว่าของเราไม่มีอยู่ ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมในโลก.

[866] ความกังวลอะไร ๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของ
คนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด ผู้นั้นเมื่อไม่ได้ความถือว่า
ของเรา ก็ไม่เศร้าโศกว่าสิ่งนี้ย่อมไม่มีแก่เรา.

[866] คำว่า แก่ผู้ใด ในคำว่า ความกังวลอะไร ๆ ว่าสิ่งนี้
ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด
ความว่า แก่
พระอรหันตขีณาสพ ความถือ ความยึดถือ ความถือมั่น ความชอบใจ
ความน้อมใจถึงสังขารอะไร ๆ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่
เข้าไปได้แก่ผู้ใด คือ อันผู้ใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควร
เกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า
ความกังวลอะไร ๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อม
ไม่มีแก่ผู้ใด.

ว่าด้วยอิทัปปัจจยตา


สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้
ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ทั้งไม่ใช่ของคนเหล่าอื่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย