เมนู

เป็นผู้มีฌานแม้ด้วยฌานไม่มีวิตกมีแต่วิจาร พึงเป็นผู้มีฌานแม้ด้วยฌาน
ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร พึงเป็นผู้มีฌานแม้ด้วยฌานมีปีติ พึงเป็นผู้มีฌานแม้
ด้วยฌานไม่มีปีติ พึงเป็นผู้มีฌานแม้ด้วยฌานอันสหรคตด้วยปีติ พึงเป็น
ผู้มีฌานแม้ด้วยฌานอันสหรคตด้วยสุข พึงเป็นผู้มีฌานแม้ด้วยฌานอัน
สหรคตด้วยอุเบกขา พึงเป็นผู้มีฌานแม้ด้วยฌานเป็นสุญญตะ พึงเป็นผู้มี
ฌานแม้ด้วยฌานเป็นอนิมิตตะ พึงเป็นผู้มีฌานแม้ด้วยฌานเป็นอัปปณิหิตะ
พึงเป็นผู้มีฌานแม้ด้วยฌานเป็นโลกิยะ พึงเป็นผู้มีฌานแม้ด้วยฌานเป็น
โลกุตระ คือ เป็นผู้ยินดีแล้วในฌาน ขวนขวายในความเป็นผู้มีจิตมี
อารมณ์เป็นหนึ่ง เป็นผู้หนักอยู่ในประโยชน์ของตน เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า พึงเป็นผู้มีฌาน.

ว่าด้วยผู้โลเลเพราะเท้า


คำว่า ไม่พึงเป็นผู้โลเลเพราะเท้า ความว่า ภิกษุเป็นผู้โลเลเพราะ
เท้าอย่างไร ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้โลเลเพราะเท้า คือประกอบ
ด้วยความโลเลเพราะเท้า เป็นผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเที่ยวไปนาน
ซึ่งความเที่ยวไปไม่แน่นอน สู่อารามแต่อาราม สู่สวนแต่สวน สู่บ้านแต่
บ้าน สู่นิคมแต่นิคม สู่นครแต่นคร สู่แว่นแคว้นแต่แว่นแคว้น สู่ชนบท
แต่ชนบท ภิกษุเป็นผู้โลเลเพราะเท้าแม้อย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยความโลเลเพราะเท้าในภายใน
สังฆาราม ไม่ใช่เดินไปเพราะเหตุแห่งการทำ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน มีจิตไม่สงบ
เดินไปสู่บริเวณแต่บริเวณ เดินไปสู่วิหารแต่วิหาร เดินไปสู่เรือนมีหลังคา
แถบเดียวแต่เรือนมีหลังคาแถบเดียว เดินไปสู่ปราสาทแต่ปราสาท เดิน