เมนู

นครกัณฑ์


พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว เมื่อจะตรัสกับพระชนก จึงตรัส
คาถานี้ว่า
พระองค์และ ชาวชนบท ชาวนิคมประชุมกันให้
เนรเทศหม่อมฉันผู้ครองราชสมบัติโดยธรรมจากแว่น
แคว้น.

ต่อนั้น พระเจ้าสญชัยเมื่อจะยังพระโอรสให้อดโทษแก่พระองค์ จึง
ตรัสว่า
ลูกรัก จริงทีเดียว การที่พ่อให้ขับไล่ลูกผู้ไม่มี
โทษ เพราะถ้อยคำของชาวสีพีนั้น ชื่อว่าพ่อได้กระทำ
กรรมอันชั่วช้า ทำกรรมอันทำลายความเจริญแก่พวก
เรา.

ครั้นตรัสคาถานี้แล้ว เมื่อจะทรงวิงวอนพระโอรสเพื่อนำความทุกข์
ของพระองค์ไปเสีย จึงตรัสคาถานี้ว่า
ธรรมดาบุตรควรนำความทุกข์ของบิดามารดา
หรือพี่น้องหญิงออกเสีย ด้วยคุณที่ควรสรรเสริญอันใด
อันหนึ่ง แม้ด้วยชีวิตของตน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทพฺพเห ได้แก่ พึงนำไป. บทว่า
อปิ ปาเณหิ อตฺตโน ความว่า ได้ยินว่า พระเจ้าสญชัยตรัสอย่างนี้กะ
พระเวสสันดร ด้วยพระประสงค์อันนี้ว่า แน่ะพ่อ ธรรมดาบุตรพึงนำความ

ทุกข์ เพราะความเศร้าโศกของบิดามารดาไปเสีย แม้ต้องสละชีวิต เพราะเหตุ
นั้น ลูกอย่าเก็บโทษของพ่อไว้ในใจ จงทำตามคำของพ่อ จงเปลื้องเพศฤาษี
ออกแล้วถือเพศกษัตริย์เถิดนะลูก.
พระโพธิสัตว์แม้ทรงใคร่จะครองราชสมบัติ แต่เมื่อไม่ตรัสคำมีประ-
มาณเท่านี้ ก็หาชื่อว่าเป็นผู้หนักไม่ เพราะเหตุนั้น จึงตรัสกับพระราชบิดา.
พระเจ้าสญชัยทรงอาราธนาพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์ทรงรับว่า สาธุ.
ครั้งนั้น เหล่าอำมาตย์หกหมื่นผู้สหชาติ รู้ว่าพระมหาสัตว์ทรงรับ
อาราธนาจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เวลานี้เป็นเวลาสนานพระวรกาย
จงชำระล้างธุลีและสิ่งเปรอะเปื้อนเถิด.
ลำดับนั้นพระมหาสัตว์ตรัสว่า ท่านทั้งหลายรอสักครู่หนึ่ง เสด็จเข้า
บรรณศาลา ทรงเปลื้องเครื่องฤาษีเก็บไว้ ทรงพระภูษาสีดุจสังข์ เสด็จออก
จากบรรณศาลา ทรงรำพึงว่า สถานที่นี้เป็นที่อันเราเจริญสมณธรรมสิ้น 9
เดือนครึ่ง และสถานที่นี้เป็นที่แผ่นดินไหว เหตุเราผู้ถือเอายอดแห่งพระบารมี
บริจาคปิยบุตรทารทาน ทรงรำพึงฉะนี้แล้ว ทำประทักษิณบรรณศาลา 3
รอบ ทรงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วทรงสถิตอยู่.
ครั้งนั้นเจ้าพนักงานมีภูษามาลาเป็นต้น ก็ทำกิจมีเจริญพระเกสาและ
พระมัสสุเป็นต้นแห่งพระมหาสัตว์ ชนทั้งหลายได้อภิเษกพระมหาสัตว์ผู้
ประดับด้วยราชาภรณ์ทั้งปวงผู้รุ่งเรืองดุจเทวราช ในราชสมบัติ.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
แต่นั้น พระเวสสันดรราชทรงชำระล้างธุลีและ
ของไม่สะอาดแล้ว สละวัตรปฏิบัติทั้งปวง ทรงเพศ
เป็นพระราชา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปวาหยิ ความว่า ให้นำไป ก็และครั้น
ให้นำไปแล้ว ให้ถือเพศเป็นพระราชา.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์เป็นผู้มีพระยศใหญ่ สถานที่พระองค์ทอด
พระเนตรแล้วทอดพระเนตรแล้วก็หวั่นไหว. เหล่าผู้รู้มงคลทรงจำมงคลไว้ด้วย
ปาก ก็ยังมงคลทั้งหลายให้กึกก้อง. พวกประโคมก็ประโคมดนตรีทั้งปวงขึ้น
พร้อมกัน ความกึกก้องโกลาหลแห่งดนตรีเป็นการครึกครื้นใหญ่ ราวกะ
เสียงกึกก้องแห่งเมฆคำรามกระหึ่มในท้องมหาสมุทรฉะนั้น เหล่าอำมาตย์
ประดับหัตถีรัตนะแล้วเตรียมเทียบไว้รับเสด็จ พระเวสสันดรมหาสัตว์ทรงผูก
พระแสงขรรค์รัตนะแล้วเสด็จขึ้นหัตถีรัตนะ เหล่าอำมาตย์หกหมื่นผู้สหชาติ
ทั้งปวง ประดับเครื่องสรรพาลังการ แวดล้อมพระมหาสัตว์ ฝ่ายนางกัญญา
ทั้งปวงให้พระนางมัทรีสนานพระกายแล้วตกแต่งพระองค์ถวายอภิเษก เมื่อถวาย
การรดน้ำสำหรับอภิเษก ณ พระเศียรแห่งพระนางมัทรีได้กล่าวมงคลทั้งหลาย
เป็นต้นว่า ขอพระเวสสันดรจงทรงอภิบาล.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระเวสสันดรมหาสัตว์สนานพระเศียร ทรง
พระภูษาอันสะอาด ประดับด้วยราชปิลันธนาภรณ์ทุก
อย่าง ทรงผูกสอดพระแสงขรรค์อันทำให้ราชปัจจา-
มิตรเกรงขาม เสด็จขึ้นทรงพระยาปัจจัยนาคเป็นพระ-
คชาธาร ลำดับนั้น เหล่าสหชาติโยธาหาญทั้งหกหมื่น
ผู้งามสง่าน่าทัศนา ต่างร่าเริงแวดล้อมพระมหาสัตว์ผู้
จอมทัพ แต่นั้นเหล่าสนมกำนัลของพระเจ้ากรุงสีพี
ประชุมกันสรงสนานพระนางมัทรีราชกัญญา ทูลถวาย
พระพรว่า

ขอพระเวสสันดรจงอภิบาลพระแม่เจ้า ขอพระ
ชาลีและพระกัณหาชินาทั้งสองพระองค์ จงอภิบาล
พระแม่เจ้า อนึ่ง ขอพระเจ้าสญชัยมหาราชจงคุ้มครอง
รักษาพระแม่เจ้าเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปจฺจยํ นาคมารุยฺห ได้แก่ ช้างตัว
ประเสริฐซึ่งเกิดในวันที่พระเวสสันดรประสูตินั้น. บทว่า ปรนฺตปํ ได้แก่
ยังอมิตรให้เกรงขาม. บทว่า ปริกรึสุ ได้แก่ แวดล้อม. บทว่า นนฺทยนฺตา
ได้แก่ ให้ยินดี. บทว่า สิวิกญฺญา ความว่า เหล่าปชาบดีของพระเจ้าสีพี
ราช ประชุมกันให้พระนางมัทรีสรงสนานด้วยน้ำหอม. บทว่า ชาลี กณฺหา-
ชินา จุโภ
ความว่า แม้พระโอรสพระธิดาของพระแม่เจ้าเหล่านี้ ก็จงรักษา
พระมารดา.
พระเวสสันดรและพระนางมัทรีทรงได้ปัจจัยนี้
ทรงอนุสรถึงการประทับแรมในป่าอันเป็นความลำบาก
ของพระองค์มาแต่ก่อน จึงให้ตีอานันทเภรีเที่ยวป่าว
ร้องตามเวิ้งเขาวงกตอันเป็นที่ควรยินดี พระนางมัทรี
ทรงได้ปัจจัยนี้ ทรงอนุสรถึงการประทับแรมในป่าอัน
เป็นความลำบากแห่งพระองค์มาแต่ก่อน พระนางถึง
พร้อมด้วยพระลักษณะ มีพระหฤทัยร่าเริงยินดี ที่พบ
พระโอรสและพระธิดา พระนางมัทรีทรงได้ปัจจัยนี้
ทรงอนุสรถึงหารประทับแรมในป่า อันเป็นความ
ลำบากของพระองค์มาแต่ก่อน ทรงมีพระลักษณะ ดี
พระหฤทัย อิ่มพระหฤทัยแล้วพร้อมด้วยพระราชโอรส
และพระราชธิดา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทญฺจ ปจฺจยํ ลทฺธา ความว่า ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเวสสันดรและพระนางมัทรี ทรงได้ปัจจัยนี้ คือที่พึ่ง
นี้แล้วดำรงอยู่ในราชสมบัติ. บทว่า ปุพฺเพ ความว่า ทรงอนุสรถึงการ
ประทับแรมอยู่ในป่า อันเป็นความลำบากของพระองค์ในกาลก่อนแต่นี้ จึงให้
ตีกลองอานันทเภรีเที่ยวป่าวร้อง. บทว่า รมฺมณีเย คิริพฺพเช ความว่า
ให้ตีกลองอานันทเภรีที่ผูกด้วยลดาทองท่องเที่ยวป่าวร้องในเวิ้งเขาวงกตอันเป็นที่
ควรยินดีว่าเป็นอาณาเขตแห่งพระราชาเวสสันดร จัดเล่นมหรสพให้เพลิดเพลิน.
บทว่า อานนฺทจิตฺตา สุมนา ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยพระลักษณะ ความว่า
พระนางมัทรีได้พบพระโอรสพระธิดา ทรงดีพระหฤทัย คือยินดีเหลือเกิน.
บทว่า ปีติตา ได้แก่ มีปิติโสมนัสเป็นไปแล้ว. ก็และครั้นทรงอิ่มพระหฤทัย
อย่างนี้แล้ว พระนางมัทรีได้ตรัสแก่พระโอรสพระธิดาว่า
แน่ะลูกรักทั้งสอง เมื่อก่อนแม่กินอาหารมื้อ
เดียว นอนเหนือแผ่นดินเป็นนิตย์ แม่ได้ประพฤติ
อย่างนี้ เพราะใคร่ต่อลูก วัตรนั้นสำเร็จแล้วแก่แม่ใน
วันนี้ เพราะอาศัยลูกทั้งสอง วัตรนั้นเกิดแต่แม่ก็ตาม
เกิดแต่พ่อก็ตาม จงอภิบาลลูก อนึ่ง ขอพระมหาราช
สญชัยจงคุ้มครองลูก บุญอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งแม่และ
พ่อได้บำเพ็ญไว้ จงสำเร็จแก่ลูก ด้วยอำนาจบุญกุศล
นั้นทั้งหมด ขอลูกจงอย่าแก่ (เร็ว) อย่าตาย (เร็ว).

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตุมฺหํ กามา หิ ปุตฺตกา ความว่า
พระนางมัทรีตรัสว่า แน่ะลูกน้อยทั้งสอง แม่ปรารถนาลูก ๆ เมื่อลูก ๆ ถูก
พราหมณ์นำไปในกาลก่อน แม่กินอาหารมื้อเดียว นอนเหนือแผ่นดิน แม่มี
ความปรารถนาลุก ๆ จึงได้ประพฤติวัตรนี้ ด้วยประการฉะนี้. บทว่า สมิทฺธชฺช
ความว่า วัตรนั่นแลสำเร็จแล้วในวันนี้. บทว่า มตุชํปิ ตํ ปาเลตุ

ปิตุชํปิ จ ปุตฺตกา ความว่า โสมนัสที่เกิดแต่แม่ก็ตาม เกิดแต่พ่อก็ตาม
จงคุ้มครองลูก ๆ คือบุญที่เป็นของแม่และพ่อ จงคุ้มครองลูก เพราะเหตุนั้นเอง
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ยํกิญฺจิตฺถิ กตํ ปญฺญํ ดังนี้.
ฝ่ายพระนางผุสดีเทวีมีพระดำริว่า ตั้งแต่นี้ไป สุณิสาของเราจงนุ่งห่ม
ภูษาเหล่านี้และทรงอาภรณ์เหล่านั้น ดำริฉะนี้แล้วสั่งให้บรรจุวัตถาภรณ์เต็มใน
หีบทองส่งไปประทาน.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้นจึงตรัสว่า
พระผุสดีราชเทวีผู้พระสัสสุได้ประทานกัปปาสิก
พัสตร์ โขมพัสตร์ และโกทุมพรพัสตร์ อันเป็น
เครื่องงดงามแห่งพระนางมัทรีผู้พระสุณิสา แต่นั้น
พระนางเจ้าประทานเครื่องประดับพระศอแล้วไปด้วย
ทองคำ เครื่องประดับต้นพระกร เครื่องประดับบั้น
พระองค์แล้วไปด้วยแก้วมณี เครื่องประดับพระศออีก
ชนิดหนึ่ง สัณฐานดุจผลอินทผลัมแล้วไปด้วยทองคำ
เครื่องประดับพระศอแล้วไปด้วยรัตนะ เครื่องประดับ
พระนลาตซึ่งขจิตด้วยสุวรรณเป็นต้น เครื่องประดับ
วิการด้วยสุวรรณส่วนพระกายมีพระทนต์เป็นอาทิ
เครื่องประดับมีพรรณต่าง ๆ แล้วไปด้วยแก้วมณี เครื่อง
ประดับทรวง เครื่องประดับบนพระอังสา เครื่องประดับ
บั้นพระองค์ชนิดแล้วไปด้วยสุวรรณและหิรัญ เครื่อง
ประดับที่พระบาทและเครื่องประดับที่ปักด้วยด้ายและมิ
ได้ปักด้วยด้ายอันเป็นเครื่องงดงามแห่งพระนางมัทรีผู้

พระสุณิสาพระนางมัทรีผู้ราชบุตรีทรงเพ่งพินิจพระ-
วรกายอันยังบกพร้องด้วยเครื่องประดับนั้น ๆ ก็ทรง
ประดับให้บริบูรณ์ งดงามดุจเทพกัญญาในนันทนวัน.
พระนางมัทรีสนานพระเศียร ทรงพระภูษาอัน
สะอาด ประดับด้วยราชปิลันธนาภรณ์ทุกอย่าง งาม
ดุจเทพอัปสรในดาวดึงส์พิภพ วันนั้นเสด็จลีลาศงาม
ดังกัทลีชาติต้องลมที่เกิดอยู่ ณ จิตรลดาวัน สมบูรณ์
ด้วยริมพระโอฐมีสีแดงดังผลตำลึงและพระนางมีพระ
โอฐแดงดังผลนิโครธสุกงาม ประหนึ่งกินรีอันเรียกว่า
มานุสินี เพราะเกิดมามีสรีระดุจมนุษย์ มีปีกอันวิจิตร
กางปีกร่อนไปในอัมพรวิถีฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โขมญฺจ กายูรํ ได้แก่ เครื่องประดับ
พระศอมีสัณฐานดังผลอินทผลัมแล้วไปด้วยทองคำ. บทว่า รตนามยํ ได้แก่
เครื่องประดับพระศออีกชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยรัตนะ. บทว่า องฺคทํ มณิเมขลํ
ได้แก่ เครื่องประดับต้นพระกร และเครื่องประดับบั้นพระองค์แล้วไป
ด้วยแก้วมณี. บทว่า อณฺณตํ ได้แก่ เครื่องประดับชนิดหนึ่ง. บทว่า
มุขผุลฺลํ ได้แก่ เครื่องประดับดิลกบนพระนลาต. บทว่า นานารตฺเต
ได้แก่ มีสีต่าง ๆ. บทว่า นาณิเย ได้แก่ แล้วไปด้วยแก้วมณี.
เครื่องประดับสองชนิดแม้เหล่านั้นคือเครื่องประดับทรวงและพระอังสา. บทว่า
เมขลํ ได้แก่ เครื่องประดับบั่นพระองค์แล้วไปด้วยสุวรรณและหิรัญ. บทว่า
ปฏิปาทุกํ ได้แก่ เครื่องประดับพระบาท. บทว่า สุตฺตญฺจ สุตฺตวชฺชญฺจ
ได้แก่ เครื่องประดับที่มีสายร้อย และมิได้มีสายร้อย. แต่ในบาลี

เขียนไว้ว่า สุปฺปญฺจ สุปฺปวชฺชญฺจ ดังนี้ก็มี. บทว่า อุปนิชฺฌาย
เสยฺยสิ
ความว่า พระนางมัทรีราชเทวีทรงตรวจดูพระวรกายที่ยังบกพร่อง
ด้วยเครื่องประดับที่มีสายร้อยและมิได้มีสายร้อย ก็ทรงประดับให้บริบูรณ์
ทำให้ทรงพระโฉมประเสริฐขึ้นอีก งดงามเพียงเทพกัญญาในนันทนวัน.
บทว่า วาตจฺฉุปิตา ความว่า วันนั้นพระนางเจ้าเสด็จลีลาศงามดุจกัทลีทอง
ต้องลมซึ่งเกิดที่จิตรลดาวันฉะนั้น. บทว่า ทนฺตาวรณสนฺปนฺนา ได้แก่
ประกอบด้วยริมพระโอฐสีแดงเช่นผลตำลึงสุก. บทว่า สกุณี มานุสินีว ชาตา
จิตฺตปฺปตฺตา ปติ
ความว่า แม้สกุณีมีนามว่ามานุสินี ซึ่งเกิดมาโดยสรีระ
ดุจมนุษย์ มีขนปีกอันวิจิตร กางปีกบินร่อนไปในอากาศ ย่อมงดงาม ฉันใด
พระนางมัทรีมีพระโอฐดังผลนิโครธสุก เพราะมีพระโอฐแดงก็งดงาม ฉันนั้น.
อมาตย์ทั้งหลายนำช่างตัวประเสริฐไม่แก่นักเป็น
ช้างทนต่อหอกและศรมีงาดุจงอนรถ สามารถนำ
มาเพื่อพระนางมัทรีทรง พระนางมัทรีนั้นเสด็จขึ้นสู่
ช้างตัวประเสริฐไม่แก่นัก เป็นช้างทนต่อหอกและศร
มีงาดุจงอนรถมีกำลังกล้าหาญ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺสา จ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อมาตย์ทั้งหลายได้นำช้างหนุ่มเชือกหนึ่งซึ่งไม่แก่นัก ยังหนุ่มมัชฌิมวัย
เป็นช้างทนต่อการประหารด้วยหอกและศร ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง
เพื่อพระนางมัทรี. บทว่า นาคมารุหิ ความว่า เสด็จขึ้นทรงหลังช้าง.
พระเวสสันดรและพระนางมัทรีทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปสู่กองทัพ
ด้วยพระอิสริยยศใหญ่ ด้วยประการฉะนี้ ฝ่ายพระเจ้าสญชัยมหาราชประพาส
เล่นตามภูผาและป่าประมาณหนึ่งเดือนกับด้วยทวยหาญ 12 อักโขภิณี พาล-

มฤคและนกในป่าใหญ่ถึงเพียงนั้น มิได้เบียดเบียนสัตว์ไร ๆ ด้วยเดชา
นุภาพแห่งพระมหาสัตว์.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
เหล่ามฤคชาติและปักษีชาติมีอยู่ในป่านั้นทั้งหมด
เพียงไร ย่อมไม่เบียดเบียนกันและกัน ด้วยเดชานุภาพ
แห่งพระเวสสันดร เมื่อพระเวสสันดรผู้ยังแคว้นสีพีให้
เจริญเสด็จไปแล้ว เหล่ามฤคชาติและปักษีชาติมีอยู่ใน
ป่านั้นทั้งหมดเพียงไร ต่างมาชุมนุมกันอยู่ทีเดียวกัน
เมื่อพระเวสสันดรผู้ยังแคว้นสีพีให้เจริญ เสด็จไปแล้ว
เหล่ามฤคชาติและปักษีชาติ ในป่านั้นทั้งหมดเพียงไร
ต่างไม่ร้องเสียงหวาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวนฺเตตฺถ ตัดบทเป็น ยาวนฺโต
เอตฺถ
ความว่า ตลอดทั้งในป่านั้น. บทว่า เอกชฺฌํ สนฺนิปตึสุ ความว่า
ประชุมในที่เดียวกัน ก็และครั้นประชุมกันแล้ว ได้มีความโทมนัสว่าตั้ง
แต่นี้ไป เราทั้งหลายจักไม่มีความละอายหรือความสังวรต่อกันและกันในบัดนี้.
บทว่า นาสฺส มญฺชูนิ กูชึสุ ความว่า มีความทุกข์เพราะพลัดพรากจาก
พระมหาสัตว์จึงไม่ส่งเสียงร้องไพเราะอ่อนหวาน.
พระเจ้าสญชัยนรินทรราช ครั้นเสด็จประพาสเล่นตามภูผาและราวไพร
ประมาณหนึ่งเดือนกับทวยหาญ 12 อักโขภิณีแล้ว ตรัสเรียกเสนาคุตอมาตย์
มา ตรัสถามว่า เราทั้งหลายอยู่ในป่ากันนานแล้ว บรรดาเสด็จของบุตรเรา
พวกเจ้าตกแต่งแล้วหรือ ครั้นเหล่าอมาตย์กราบทูลว่า ตกแต่งแล้ว และทูล
เชิญเสด็จว่า ถึงเวลาเสด็จแล้วพระเจ้าค่ะ จึงโปรดให้ทุลพระเวสสันดร ให้ตี

กลองป่าวร้องให้ทราบกาลเสด็จกลับพระนคร แล้วทรงพากองทัพเสด็จกลับ
พระเวสสันดรมหาสัตว์เสด็จยาตราด้วยราชบริพารใหญ่ สู่มรรคาที่ตกแต่งแล้ว
กำหนดได้ 60 โยชน์ตั้งแต่เวิ้งเขาวงกต จนถึงกรุงเชตุดร.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
ทางหลวงตกแต่งแล้ว วิจิตรงดงามโปรยปราย
ด้วยดอกไม้ ตั้งแต่เขาวงกตที่พระเวสสันดรประทับจน
ถึงกรุงเชตุดร แต่นั้นโยธาหกหมื่นงดงามน่าทัศนา
นางข้างใน ราชกุมาร พ่อค้า พราหมณ์ กองช้าง
กองน้ำ กองรถ กองราบ ห้อมล้อมพระเวสสันดรผู้
ยังแคว้นสีพีให้เจริญ ผู้เสด็จไปอยู่โดยรอบ ทหารสวม
หมวก ทรงหนังเครื่องบังที่คอ ถือธนู สวมเกราะ
ไปข้างหน้าพระเวสสันดรผู้ยังแคว้นสีพีให้เจริญผู้เสด็จ
ไปอยู่ และชาวชนบท ชาวนิคม พร้อมกันห้อมล้อม
พระเวสสันดรผู้ยังแคว้นสีพีให้เจริญ ผู้เสด็จไปอยู่
โดยรอบ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปยตฺโต ได้แก่ ตกแต่งเหมือนในกาล
จัดบูชาพิเศษในวันวิสาขบูรณมี. บทว่า วิจิตฺโต ได้แก่ วิจิตรไปด้วยต้น
กล้วย หม้อน้ำเต็ม ธงและแผ่นผ้าเป็นต้น. บทว่า ปุปฺผสณฺฐโต ได้แก่
โปรยปรายด้วยดอกไม้ทั้งหลายมีข้าวตอกเป็นที่ห้า. บทว่า ยตฺถ ความว่า
ประดับตกแต่งมรรคาตั้งแต่เขาวงกตที่พระเวสสันดรประทับอยู่ ติดต่อกันจนถึง
กรุงเชตุดร. บทว่า กโรฏิยา ได้แก่ หมู่ทหารสวมหมวกบนศีรษะที่ได้นาม
ว่า สีสกโรฏิกะ ทหารสวมหมวกเกราะ. บทว่า จมฺมธรา ได้แก่ ทรงหนัง

เครื่องบังที่คอ. บทว่า สุวมฺมิกา ได้แก่ สวมเกราะด้วยดีด้วยข่ายอันวิจิตร.
บทว่า ปุรโต ปฏิปชฺชึสุ ความว่า โยธาผู้กล้าหาญเห็นปานนี้ แม้มีโขลงช้าง
ซับมันพากันมาก็ไม่ถอยกลับ คงดำเนินไปข้างหน้าพระราชาเวสสันดร.
พระราชาเวสสันดรล่วงบรรดา 60 โยชน์มาสิ้น 2 เดือนถึงกรุงเชตุดร
เสด็จเข้าสู่พระนครอันประดับตกแต่งแล้ว เสด็จขึ้นปราสาท.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
กษัตริย์ทั้งหกพระองค์นั้นเข้าบุรีที่น่ารื่นรมย์ มี
ปราการสูงและหอรบ ประกอบด้วยข้าวน้ำ และการ
ฟ้อนรำและขับร้องทั้งสองในเมื่อพระเวสสันดรมหาสัตว์
ผู้ยังชาวสีพีรัฐให้เจริญเสด็จถึงแล้ว ชาวชนบทและ
ชาวนิคมพร้อมกันมีจิตยินดี.
เมื่อพระเวสสันดรมหาสัตว์ผู้พระราชทานทรัพย์
เสด็จมาถึง การยกแผ่นผ้าก็เป็นรูปรับสั่งให้ตีนันทเภรี
ป่าวร้องในพระนคร โฆษณาให้ปล่อยสรรพสัตว์ที่ผูก
ขังไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุปาการโตรณํ ความว่า ประกอบ
ด้วยปราการสูงใหญ่ และเสาค่ายที่มีหอรบเป็นอันมาก. บทว่า นจฺจคี-
เตหิ จูภยํ
ความว่า ประกอบด้วยการฟ้อนรำ และด้วยการขับร้อง
ทั้งสอง. บทว่า จิตฺตา ได้แก่ ยินดีคือถึงความโสมนัส. บทว่า อาคเต
ธนทายเก ความว่า เมื่อพระมหาสัตว์ผู้พระราชทานทรัพย์แก่มหาชนเสด็จมา
ถึง. บทว่า นนฺทิปฺปเวสิ ความว่า ให้ตีกลองอานันทเภรีป่าวร้องในพระนคร

ว่า เป็นราชอาณาจักรของพระเวสสันดรมหาราช. บทว่า พนฺธโมกฺโข
อโฆสถ
ความว่า ได้ป่าวร้องให้ปล่อยสรรพสัตว์จากที่ผูกขังไว้ คือพระ-
เวสสันดรมหาราชโปรดให้ปล่อยสรรพสัตว์จากที่ผูกขังไว้ โดยที่สุดแมวก็ให้
ปล่อย.
ในวันเสด็จเข้าพระนครนั่นเอง พระเวสสันดรทรงพระดำริในเวลาใกล้
รุ่งว่า พรุ่งนี้ ครั้นราตรีสว่างแล้ว พวกยาจกรู้ว่าเรากลับมาแล้ว ก็จักพากันมา
เราจักให้อะไรแก่ยาจกเหล่านั้น ในขณะนั้นพิภพแห่งท้าวสักกเทวราชได้สำแดง
อาการเร่าร้อน พระองค์ทรงอาวัชนาการก็ทรงทราบเหตุการณ์นั้น จึงยังพื้นที่
ข้างหน้าและข้างหลังแห่งพระราชนิเวศน์ ให้เต็มด้วยรัตนะสูงประมาณเอวบัน-
ดาลให้ฝนรัตนะเจ็ดตกเป็นราวกะฝนลูกเห็บ ให้ตกในพระนครทั้งสิ้นสูงประ-
มาณเข่า วันรุ่งขึ้นพระมหาสัตว์โปรดให้พระราชทานทรัพย์ที่ตกอยู่ในพื้นที่ข้าง
หน้าและข้างหลังแห่งตระกูลนั้น ๆ ว่า จงเป็นของตระกูลเหล่านั้นแหละแล้วให้
นำทรัพย์ที่เหลือขนเข้าท้องพระคลัง กับด้วยทรัพย์ในพื้นที่แห่งพระราชนิเวศน์
ของพระองค์ แล้วให้เริ่มตั้งทานมุข.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระเวสสันดรโพธิสัตว์ผู้ยังสีพีรัฐให้เจริญ
เข้าพระนครแล้ว วัสสวลาหกเทพบุตรได้ยังฝนอันล้วน
แล้วไปด้วยทองคำให้ตกลงมาในกาลนั้น แต่นั้นพระ-
เวสสันดรขัตติยราช ทรงบำเพ็ญทานบารมี เบื้องหน้า
แต่สิ้นพระชนมชีพ พระองค์ผู้มีพระปรีชาก็เสด็จเข้า
ถึงสวรรค์

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สคฺคํ โส อุปฺปชฺชถ ความว่า จุติจาก
อัตภาพนั้นแล้ว เสด็จเข้าถึงดุสิตบุรีด้วยอัตภาพที่สอง.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนามหาเวสสันดรชาดก ซึ่งประ-
ดับด้วยคาถาประมาณ 1,000 คาถานี้มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้
ในกาลก่อน มหาเมฆก็ยังฝนโบกขรพรรษให้ตกในที่ประชุมแห่งพระประยูร-
ญาติของเราอย่างนี้เหมือนกัน ตรัสดังนี้แล้วทรงประชุมชาดกว่า
พราหมณ์ชูชกในกาลนั้น คือภิกษุเทวทัต นาง
อมิตตตาปนาคือนางจิญจมาณวิกา พรานเจตบุตรคือ
ภิกษุฉันนะ อัจจุตดาบสคือภิกษุสารีบุตร ท้าวสักก-
เทวราชคือภิกษุอนุรุทธะ พระเจ้าสญชัยนรินทรราช
คือพระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระนางผุสดีเทวีคือ
พระนางสิริมหามายา พระนางมัทรีเทวีคือ ยโสธรา-
พิมพามารดาราหุล ชาลีกุมารคือราหุล กัณหาชินาคือ
ภิกษุณีอุบลวรรณา ราชบริษัทนอกนี้คือพุทธบริษัท ก็
พระเวสสันดรราช คือเราเองผู้สัมมาสัมพุทธเจ้าแล.

จบ นครกัณฑ์
จบ อรรถกถาเวสสันดรชาดก1

จบอรรถกถาชาดก ภาคที่ 10