เมนู

อรรถกถามหานิบาต


วิธุรชาดก


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงพระปรารภปัญญาบารมี
จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปณฺฑ กีสิยาสิ ทุพฺพลา ดังนี้.
ความพิศดารว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากัน ที่โรงธรรมสภาว่า
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริงหนอ พระศาสดา ทรงมีพระปัญญา
มาก มีพระปัญญากว้างขวาง มีพระปัญญาเร็วไว มีพระปัญญาร่าเริง มี
พระปัญญาเฉียบแหลม มีพระปัญญาปรุโปร่ง ทรงย่ำยีถ้อยคำกล่าวด้วยของคน
อื่น ทรงทำลายปัญหาอันละเอียด ที่กษัตริย์และบัณฑิตเป็นต้นแต่งขึ้นได้
ด้วยอานุภาพแห่งพระปัญญาของพระองค์ ทรงทรมานให้หมดพยศ แล้วให้ตั้ง
อยู่ในสรณะ และศีล และให้ดำเนินไปตามหนทางอันจะนำสัตว์ไป สู่อมตมหา-
นิพพาน พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่อง
อะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
ข้อที่เราตถาคตได้บรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณ อันสามารถทำลายเสียซึ่งคำที่
คนอื่นกล่าวให้ร้าย แนะนำชนทั้งหลายมีกษัตริย์เป็นต้น ได้เช่นนี้ ไม่น่า
อัศจรรย์ เพราะว่าตถาคตแม้เมื่อกำลังแสวงหา พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ในภพก่อน ก็เป็นผู้มีปัญญา ย่ำยีถ้อยคำที่คนอื่นกล่าวให้ร้ายเช่นนี้ เหมือนกัน
จริงอย่างนั้น ในกาลที่เราเป็น วิธุรบัณฑิต เราทรมานยักษ์เสนาบดีนามว่า
ปุณณกะ ได้ด้วยกำลังญาณ บนยอดกาฬคิริบรรพต สูงถึง 60 โยชน์
ปราบให้หมดพยศ ให้ตั้งอยู่ในศีล 5 จนยอมมอบชีวิตให้แก่เรา ดังนี้แล้ว

ทรงดุษณีภาพ อันภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเรื่องในอดีตมา
ตรัสดังตอไปนี้.
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า ธนัญชัยโกรพยราช ทรง
ครองราชย์ในกรุงอินทปัตตะ แคว้นกุรุ อำมาตย์ชื่อว่า วิธุรบัณฑิต ได้เป็น
ราชเสวกของพระเจ้าธนัญชัยโกรพยราชนั้น ในตำแหน่งผู้ถวายอรรถธรรม
ท่านเป็นผู้มีถ้อยคำไพเราะ เป็นมหาธรรมกถึก ประเล้าประโลมพระราชาชาว
ชมพูทวีปทั้งสิ้น ด้วยธรรมเทศนาอันไพเราะจับใจของตน ประหนึ่งกระแส
เสียงแห่งพิณอันยังช้างให้รักใคร่ ฉะนั้น ไม่ยอมให้พระราชาเหล่านั้นเสด็จ
กลับไปยังแว่นแคว้นของพระองค์ แสดงธรรมแก่มหาชน ด้วยพุทธลีลา
อาศัยอยู่ในนครนั้นด้วยยศใหญ่. แม้ในกรุงพาราณสีแล ยังมีพราหมณมหาศาล
4 คน เคยเป็นเพื่อนคฤหัสถ์ด้วยกัน ในเวลาที่ตนแก่ลง เห็นโทษในกาม
ทั้งหลาย ละทิ้งเหย้าเรือน เข้าไปสู่หิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษีบำเพ็ญ
อภิญญาและสมาบัติให้เกิดแล้ว มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่ใน
หิมวันตประเทศนั้นนั่นแลสิ้นกาลนาน จึงเที่ยวจาริกไป เพื่อต้องการเสพ
รสเค็มและรสเปรี้ยว ไปถึงกรุงกาลจัมปากนคร ในแคว้นอังคะ พากันพักอยู่
ในพระราชอุทยาน วันรุ่งขึ้นจึงเข้าไปภิกษาจารยังนคร.
ในกรุงกาลจัมปากะนั้น ยังมีกุฎุมพีอยู่ 4 สหาย เลื่อมใสในอิริยาบถ
ของฤาษีเหล่านั้น ต่างก็ไหว้แล้วรับเอาภิกษาภาชนะ นำมาสู่เรือนของตน คนละ
องค์ ๆ อังคาสด้วยอาหารอันประณีต จึงขอรับปฏิญญาแล้วให้อยู่ในสวน. ดาบส
ทั้ง 4 ครั้นฉันอาหารในเรือนกุฏุมพี 4 สหายเสร็จแล้ว มีความประสงค์
จะพักผ่อนกลางวัน จึงองค์หนึ่งไปสู่ภพชั้นดาวดึงส์ องค์หนึ่งไปสู่ภพพระยา-
นาค องค์หนึ่งไปสู่ภพพระยาครุฑ องค์หนึ่งไปสู่พระราชอุทยานชื่อว่า มิคา-
ชินะ ของพระเจ้าโกรพยราช บรรดาดาบสทั้ง 4 องค์ที่ไปพักผ่อนกลางวัน

ยังเทวโลก ได้เห็นพระอิสริยยศแห่งท้าวสักกเทวราช จึงได้พรรณนาพระ
อิสริยยศนั้นนั่นแล แก่กุฏุมพีผู้เป็นอุปัฏฐากของตน องค์ที่ไปพักผ่อนกลางวัน
ยังพิภพนาค ได้เห็นสมบัติของพระยานาค เมื่อกลับมาถึงแล้ว จึงพรรณนา
สมบัติของพระยานาคนั้นนั่นแล แก่กุฏุมพีผู้เป็นอุปัฏฐากของตน องค์ที่ไปพัก
ผ่อนกลางวัน ยังพิภพพระยาครุฑ ได้เห็นเครื่องประดับของพระยาครุฑ เมื่อ
กลับมาแล้ว จึงพรรณนาเครื่องประดับของพระยาครุฑนั้นแก่กุฏุมพีผู้เป็น
อุปัฏฐากของตน องค์ที่ไปพักผ่อนกลางวัน ยังพระราชอุทยานของพระเจ้า
โกรพยราชได้เห็นสมบัติอันเลิศด้วยความงามคือ สิริของพระเจ้าธนัญชัย ครั้น
กลับมาจึงพรรณนาโภคสมบัติของพระเจ้าธนัญชัยนั้น แก่กุฏุมพีผู้เป็นอุปัฏฐาก
ของตน. กุฏุมพี 4 สหายนั้น เมื่อปรารถนาฐานะนั้น ๆ จึงบำเพ็ญบุญมีทาน
เป็นต้นในที่สุดแห่งการสิ้นอายุ คนหนึ่งบังเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช คนหนึ่ง
พร้อมด้วยบุตรและภรรยา เกิดเป็นพระยานาคในนาคพิภพ คนหนึ่งเกิดเป็น
พระยาครุฑในฉิมพลีรุกขพิมาน คนหนึ่งเกิดในครรภ์ของพระอัครมเหสี ของ
พระเจ้าธนัญชัย ดาบสทั้ง 4 นั้น ก็ไม่เสื่อมจากฌาน ทำกาละแล้วบังเกิดในพรหม
โลก บรรดากุฏุมพี สหายนั้น กุฏุมพีผู้เป็นพระโกรัพยกุมาร ทรงเจริญวัยขึ้น
แล้ว ครั้นพระราชบิดาสวรรคต ทรงครองราชสมบัติสืบสันติวงศ์ ครองราชย์
โดยธรรม โดยถูกต้อง อันพระเจ้าโกรพยราชนั้นทรงพอพระราชหฤทัยใน
การทรงสกา ท้าวเธอทรงตั้งอยู่ในโอวาทของวิธุรบัณฑิต ทรงบำเพ็ญทาน
รักษาเบญจศีล และอุโบสถศีล วันหนึ่งท้าวเธอทรงสมาทานอุโบสถแล้ว ทรง
ดำริว่า เราจะพอกพูนวิเวกดังนี้ แล้วเสด็จพระราชดำเนินสู่พระราชอุทยาน
ประทับนั่ง ณ มนุญสถาน ทรงเจริญสมณธรรม ฝ่ายท้าวสักกเทวราชทรง
สมาทานอุโบสถแล้ว ทรงพระดำริว่า ในเทวโลก ยังมีความกังวลอยู่ ดังนี้

แล้วจึงเสด็จไปยังพระอุทยานนั้นนั่นแลในมนุษยโลก ได้ประทับนั่ง เจริญ
สมณธรรมอยู่ ณ มนุญสถาน แม้วรุณนาคราช สมาทานอุโบสถแล้ว
คิดว่า ในนาคพิภพมีความกังวลอยู่ จึงไปในพระราชอุทยานนั้น นั่งเจริญ
สมณธรรม ณ มนุญสถานส่วนหนึ่ง ฝ่ายพระยาครุฑ สมาทานอุโบสถแล้วก็
ดำริว่า ในพิภพครุฑมีความกังวล จึงไปในพระราชอุทยานนั้น แล้วนั่ง
เจริญสมณธรรม ณ มนุญสถานส่วนหนึ่ง พระราชาทั้ง 4 พระองค์นั้น
ในเวลาเย็นออกจากที่อยู่ของตน ๆ ไปพบกันที่ฝั่งสระโบกขรณีอันเป็นมงคล
พอเห็นกันและกัน ต่างก็มีความพร้อมเพรียงชื่นชมยินดี เข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตมี
เมตตาแก่กันและกัน ต้อนรับด้วยถ้อยคำอันไพเราะ ด้วยอำนาจแห่งความรัก
ใคร่ ซึ่งเคยมีแก่กันและกันในปางก่อน ฝ่ายท้าวสักกเทวราช ประทับนั่ง
เหนือพื้นศิลาอันเป็นมงคล ส่วนพระราชาทั้ง 3 นั้น ทรงทราบโอกาสที่
ควรแก่พระองค์ ๆ ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกับพระราชาทั้ง 3
นั้นว่า พวกเราทั้ง 4 ล้วนเป็นพระราชาสมาทานอุโบสถ แต่ในบรรดาเรา
ทั้ง 4 ใครจะมีศีลมากกว่ากัน ลำดับนั้น วรุณนาคราชได้พูดขึ้นว่า ศีลของ
ข้าพเจ้าเท่านั้น มากกว่าศีลของพวกท่านทั้ง 3 ท้าวสักกเทวราชตรัสถาม
เธอว่า เหตุไฉนในเรื่องนี้ท่านจึงพูดอย่างนั้น วรุณนาคราชกล่าวว่า เหตุว่า
พระยาครุฑนี้เป็นข้าศึกแก่พวกข้าพเจ้า ทั้งที่เกิดแล้วและยังไม่เกิด แม้ข้าพเจ้า
เห็นพระยาครุฑ ผู้เป็นข้าศึกที่อาจทำร้ายพวกข้าพเจ้าให้สิ้นชีวิตได้เช่นนี้ ก็มิได้
ทำความโกรธต่อพระยาครุฑนั้นเลย เพราะเหตุนี้ ศีลของข้าพเจ้าจึงมากกว่า ๆ
ศีลของท่านทั้ง 3 ดังนี้แล้ว จึงตรัสคาถาที่ 1 ในจตุโปสถชาดกใน
ทสกนิบาตดังนี้ว่า

คนใดย่อมไม่ทำความโกรธ ในบุคคลควรโกรธ
อนึ่งคนใดเป็นสัปบุรุษ ย่อมไม่โกรธในกาลไหน ๆ
ถึงเขาโกรธแล้ว ก็หาทำความโกรธให้ปรากฏไม่ บัณ-
ฑิตทั้งหลายเรียกคนนั้นแลว่า ผู้สงบในโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย ได้แก่ ในบรรดาชนทั้งหลายมี
กษัตริย์เป็นต้น คนใดคนหนึ่ง. บทว่า โกปเนยฺเย ความว่า ไม่กระทำ
ความโกรธ ในบุคคลที่ควรโกรธ เหมือนขันติวาทีดาบสฉะนั้น. บทว่า กทาจิ
ความว่า ก็บุคคลใดไม่กระทำความโกรธ ในกาลไหน ๆ. บทว่า กุทฺโธปิ
ความว่า ก็ถ้าบุคคลนั้นเป็นสัปบุรุษ ย่อมโกรธไซร้ หรือแม้โกรธแล้ว ก็ไม่
ทำความโกรธนั้นให้ปรากฏเหมือนจูฬโพธิดาบสฉะนั้น. บทว่า ตํ เว นรํ
ความว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมเรียกบุคคลผู้นั้น ผู้เป็น
สัปบุรุษ ว่าเป็นผู้สงบในโลก เพราะสงบความชั่วเสียได้ ก็คุณธรรมเหล่านี้
มีอยู่ในข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ศีลของข้าพเจ้า เท่านั้นจึงมากกว่าศีลของท่าน
ทั้งสาม
พระยาครุฑได้สดับดังนั้น จึงกล่าวว่า นาคนี้เป็นอาหารอย่างดีของ
ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าแม้เห็นนาค ผู้เป็นอาหารอย่างดีเช่นนี้แล้ว ก็อดกลั้น
ความอยากไว้เสีย ไม่ทำความชั่ว เพราะเหตุแห่งอาหาร เพราะฉะนั้นศีลของ
ข้าพเจ้าจึงมากกว่า ดังนี้แล้วจึงกล่าวคาถาว่า
คนใดมีท้องพร่อง แต่ทนความอยากไว้ได้ เป็น
ฝน มีความเพียรเผาผลาญกิเลส บริโภคข้าวและ
น้ำพอประมาณ ไม่ทำความชั่ว เพราะเหตุแห่งอาหาร
ปราชญ์เรียกคนนั้นแลว่า ผู้สงบในโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทนฺโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยการฝึก
อินทรีย์. บทว่า ตปสฺสี แปลว่า ผู้อาศัยความเพียรเครื่องเผาผลาญกิเลส.
บทว่า อาหารเหตุ น กโรติ ปาปํ ความว่า บุคคลแม้ถูกความหิวเบียด
เบียน ก็ไม่ทำกรรมอันลามก เหมือนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร แต่
ข้าพเจ้าในวันนี้ไม่กระทำความชั่วเพราะเหตุแห่งอาหาร เพราะฉะนั้นศีลของ
ข้าพเจ้าจึงมากกว่า.
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสว่า ข้าพเจ้าละสมบัติในเทวโลก
อันมีความสุขเป็นเหตุใกล้มีประการต่างๆ มาสู่มนุษยโลกเพื่อต้องการจะรักษา
ศีล เพราะฉะนั้นศีลของข้าพเจ้าจึงมากกว่าศีลของท่าน ดังนี้แล้วจึงตรัส
พระคาถานี้ว่า
บุคคลใดละขาดการเล่น การยินดีในกามได้ทั้ง
หมด ไม่พูดเหลาะแหละแม้น้อยหนึ่งในโลก เว้นจาก
เมถุน เว้นจากตกแต่งร่างกาย นักปราชญ์ทั้งหลาย
เรียกคนนั้นนั่นแลว่า เป็นผู้สงบในโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขิฑฺฑํ ได้แก่ การเล่นทางกายและการ
พูดเล่นทางวาจา. บทว่า รตึ ได้แก่ ความยินดีในกามคุณอันเป็นทิพย์.
บทว่า กิญฺจิ แปลว่า แม้มีประมาณน้อย. บทว่า วิภูสนฏฺฐานา ความว่า
การตกแต่งมี 2 อย่างคือ การตกแต่งเนื้อ 1 การตกแต่งผิวหนัง 1 ในการ
ตกแต่ง 2 อย่างนั้น อาหารที่กลืนกินเข้าไปชื่อว่า การตกแต่งเนื้อ การตกแต่ง
ด้วยมาลาและเครื่องหอมเป็นต้น ชื่อว่า การตกแต่งผิวหนัง อันเป็นเหตุเป็นที่
ตั้งแห่งอกุศลจิตที่เกิดความยินดี เว้นขาดจากความยินดีนั้น. บทว่า เมถุนสฺมา
ความว่า เว้นขาดจากการซ่องเสพเมถุน. บทว่า ตํ เว นรํ สมณมาหุ โลเก
ความว่า ก็วันนี้ เราละนางเทพอัปสรทั้งหลายมาในมนุษยโลกนี้ทำสมณธรรม
เพราะฉะนั้นศีลของเราจึงมากกว่า.

แม้ท้าวสักกเทวราชก็ย่อมทรงสรรเสริญศีลของพระองค์เท่านั้น.
พระเจ้าธนัญชัยได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสว่า วันนี้ ข้าพเจ้าละราช-
สมบัติที่หวงแหนเป็นอันมาก และพระราชวังที่พรั่งพร้อมด้วยเหล่าหญิงนักฟ้อน
หกหมื่น มาบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในพระราชอุทยานนี้ ฉะนั้นศีลของข้าพเจ้าจึง
มากกว่า ดังนี้แล้วจึงได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
นรชนใดแล กำหนดรู้วัตถุกามและกิเลสกามด้วย
ปริญญาแล้ว สละ วัตถุกามและกิเลสกามทั้งปวง
ได้เด็ดขาด นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกนรชนนั้นแล ผู้
ฝึกตนแล้วมีตนอันมั่นคง ปราศจากตัณหาเป็นเหตุยึด
ถือว่าของเรา หมดความหวังว่า เป็นผู้สงบในโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริคฺคหํ ได้แก่ วัตถุกามมีประการต่างๆ.
บทว่า โลภธมฺมํ ได้แก่ ตัณหาที่เกิดขึ้นในเพราะวัตถุกามนั้น. บทว่า
ปริญฺญาย ความว่า กำหนดรู้ด้วยปริญญา 3 เหล่านี้คือ ญาตปริญญา ตีรณ-
ปริญญา ปหานปริญญา ความรู้สภาวะแห่งขันธ์เป็นต้น ชื่อญาตปริญญา ใน
บรรดาปริญญา 3 อย่างนั้น กิริยาที่ใคร่ครวญพิจารณาเห็นโทษในขันธ์ทั้ง
หลาย ชื่อว่า ตีรณปริญญา กิริยาที่เห็นโทษในขันธ์เหล่านั้นแล้วพราก
ความติดอยู่ด้วยอำนาจความพอใจ ชื่อว่า ปหานปริญญา ชนเหล่าใดกำหนด
รู้ด้วยปริญญา 3 เหล่านี้แล้วสละละทิ้งวัตถุกามและกิเลสกามไปอยู่. บทว่า
ทนฺตํ ได้แก่ ผู้หมดพยศแล้ว. บทว่า ฐิตตฺตํ ได้แก่ มีสภาวะตั้งอยู่ โดย
ความไม่มีแห่งมิจฉาวิตก. บทว่า อมมํ ได้แก่ ไม่มีตัณหาเป็นเหตุยึดถือ
ว่าของเรา. บทว่า นิราสํ ได้แก่ มีจิตหมดห่วงใยด้วยบุตรและภรรยา
เป็นต้น. บทว่า ตํ เว นรํ ความว่า บัณฑิตทั้งหลายย่อมเรียกบุคคลเห็น
ปานนั้นว่า ผู้สงบดังนี้.

ดังนั้น พระราชาทั้ง 4 พระองค์นั้น ต่างสรรเสริญศีลของตน ๆ
เท่านั้นว่า มีมากกว่าดังนี้แล้ว จึงตรัสถามพระเจ้าธนัญชัยว่า ดูก่อนมหาราช-
เจ้า ก็ใครๆ เป็นบัณฑิตในสำนักของพระองค์ที่จะพึงบรรเทาความสงสัยของ
พวกเรามีอยู่หรือ. พระเจ้าธนัญชัยตรัสตอบว่า มีอยู่มหาราชเจ้า คือวิธุร-
บัณฑิตผู้ดำรงตำแหน่งอรรถธรรมานุสาสน์ เป็นผู้ทรงปัญญาหาผู้เสมอเหมือน
มิได้ จักบรรเทาความสงสัยของพวกเราได้ พวกเราจงพากันไปยังสำนักของ
วิธุรบัณฑิตนั้นเถิด พระราชาทั้ง 3 พระองค์นั้น ทรงรับคำพร้อมกันแล้ว.
ลำดับนั้น พระราชาเหล่านั้นทั้งหมดพากันเสด็จออกจากพระราชอุทยานไปสู่
โรงธรรมสภา รับสั่งให้ประดับธรรมาสน์ เชิญพระโพธิสัตว์ให้นั่ง ณ ท่าม
กลางบัลลังก์อันประเสริฐ ทำปฏิสันถารแล้วประทับ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วได้ตรัสกะบัณฑิตว่า ความสงสัยเกิดขึ้นแก่พวกเรา ขอท่านจงทรงบรรเทา
ความสงสัยนั้นเถิด ดังนี้แล้วได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอถามบัณฑิต ผู้มีปัญญาไม่ต่ำ
ทราม สามารถรู้เหตุและมิใช่เหตุ ควรทำและไม่ควร
ทำ ด้วยการโต้เถียงกันในเรื่องศีลได้เกิดมีแก่ข้าพเจ้า
ทั้งหลาย ขอท่านได้โปรดตัดความสงสัยคือวิจิกิจฉา
ทั้งหลายให้ในวันนี้ จงช่วยพวกข้าพเจ้าทั้งปวงให้ข้าม
พ้นความสงสัยในวันนี้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตฺตารํ ได้แก่ ท่านผู้สามารถทราบเหตุ
และมิใช่เหตุ อันได้แก่เหตุที่ควรทำและไม่ควรทำ. บทว่า วิคฺคโห อตฺถิ
ชาโต ความว่า การกล่าวขัดแย้งกันในเรื่องศีล คือการโต้เถียงกันในเรื่อง
ศีลเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นอยู่. บทว่า ฉินฺทชฺช ความว่า วันนี้ท่านจงตัดความ
สงสัยคือความลังเลใจนั้นของข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนท้าวสักกเทวราชตัดยอด

เขาสิเนรุด้วยเพชรฉะนั้น. บทว่า วิตเรมุ แปลว่า ให้พวกข้าพเจ้าข้ามไป.
ลำดับนั้น วิธุรบัณฑิต ได้สดับพระกระแสรับสั่งของพระราชาทั้ง 4
พระองค์นั้น จึงทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เรื่องโต้เถียงกันที่อาศัยศีลของ
พระองค์ทั้งหลายเกิดแล้วนั้น ข้าพระองค์จะทราบได้อย่างไรว่า พระกระแส
รับสั่งนั้น เช่นไรผิด เช่นไรถูก ดังนี้ แล้วจึงกล่าวคาถานี้ว่า
บัณฑิตทั้งหลาย ผู้ที่เห็นข้อความแต่จะตัดสิน
ความด้วยอุบายอันแยบคายได้ ในเมื่อโจทก์และจำเลย
บอกข้อที่พิพาทกันให้ตลอด ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอม
แห่งทวยราษฎร์ ข้าพระองค์ขอพระวโรกาส บัณฑิตผู้
ฉลาดทั้งหลาย เมื่อโจทก์และจำเลย ไม่บอกข้อความ
ให้แจ้งจะพึงตัดสินพิจารณาข้อความนั้นได้อย่างไร
เหตุนั้น ขอพระองค์ตรัสเล่าข้อความให้ข้าพระองค์
ทราบก่อน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถทสฺส ความว่า ผู้สามารถเพื่อเห็น
ข้อความ. บทว่า ตตฺถ กาเล ความว่า ในกาลที่โจทก์และจำเลยบอกข้อ
ความที่ทะเลาะกันนั้นกาลที่ควรและไม่ควร บัณฑิตทั้งหลายเมื่อบอกข้อความ
นั้น ย่อมกล่าวโดยแยบคาย. บทว่า อตฺถํ เนยฺยุํ กุสลา ความว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งทวยราษฎร์ บัณฑิตทั้งหลาย แม้เป็นผู้ฉลาดเฉียบ
แหลม เมื่อโจทก์และจำเลยไม่บอกข้อความให้แจ้งชัด จะพึงพิจารณาข้อความ
นั้นได้อย่างไร. วิธุรบัณฑิต เรียกพระราชาทั้งหลายว่าผู้เป็นจอมแห่งทวย-
ราษฎร์. เพราะฉะนั้นขอพระองค์จงตรัสข้อความนี้ให้ข้าพเจ้าทราบก่อน
พระมหาสัตว์ ทูลต่อไปว่า

พระยานาคราชตรัสว่าอย่างไร พระยาครุฑตรัส
ว่าอย่างไร ท้าวสักกเทวราชตรัสว่าอย่างไร ส่วน
มหาราชเจ้า ผู้เป็นจอมแห่งชาวกุรุรัฐตรัสว่าอย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คนฺธพฺพราชา วิธุรบัณฑิตกล่าวหมาย
เอาท้าวสักกเทวราช.
ลำดับนั้น พระราชาทั้ง 4 พระองค์นั้นตรัสพระคาถาตอบพระมหา-
สัตว์นั้นว่า
พระยานาค ย่อมทรงสรรเสริญอธิวาสนขันติ
กล่าวคือ ความไม่โกรธในบุคคลแม้ผู้ควรโกรธ.
พระยาครุฑ ย่อมทรงสรรเสริญการไม่ทำความชั่ว
เพราะเหตุแห่งอาหารกล่าวคือ บริโภคอาหารแต่น้อย.
ท้าวสักกเทวราช ทรงสรรเสริญการละความยิน
ดีในกามคุณ 5.
พระเจ้ากุรุรัฐ ทรงสรรเสริญความไม่มีความกังวล.

พึงทราบคำอันเป็นคาถานั้นดังต่อไปนี้ว่า ดูก่อนบัณฑิต พระยานาค-
ราชสรรเสริญอธิวาสนขันติ กล่าวการไม่โกรธในบุคคลแม้ผู้ควรโกรธ พระยา-
ครุฑย่อมสรรเสริญการไม่ทำความชั่วเพราะเหตุแห่งอาหาร กล่าวคือการบริโภค
อาหารน้อย ท้าวสักกเทวราช ทรงสรรเสริญการละความยินดีในกามคุณ 5
พระเจ้ากุรุรัฐ ทรงสรรเสริญความไม่มีความกังกล.
พระมหาสัตว์ได้สดับพระกระแสรับสั่งของพระราชาทั้ง 4 พระองค์
แล้ว กล่าวคาถานี้ว่า
พระกระแสรับสั่งทั้งปวงนี้ เป็นสุภาษิตทั้งหมด
แท้จริงพระกระแสรับสั่งเหล่านี้ จะเป็นทุพภาษิต

เพียงเล็กน้อยหามิได้ คุณธรรม 4 ประการนี้ตั้งมั่นอยู่
ในนรชนใด เป็นดังกำเกวียนที่รวมกันอยู่ ที่ดุมเกวียน
บัณฑิตเรียกนรชนผู้ประกอบพร้อมด้วยธรรม 4 ประ-
การนั้นแลว่า เป็นผู้สงบในโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตานิ ความว่า คุณชาติทั้ง 4 ประการ
นี้ ตั้งมั่นด้วยดีในบุคคลใด เป็นดังกำเกวียนตั้งรวมกันอยู่ด้วยดีที่คุมเกวียน
ฉะนั้นบัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลนั้น ผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการเหล่านี้
ว่าผู้สงบในโลกฉะนั้น.
พระมหาสัตว์ได้ทำศีลของพระราชาทั้ง 4 พระองค์ให้มีคุณสม่ำเสมอ
กันทีเดียวอย่างนี้.
ท้าวเธอทั้ง 4 ครั้นได้ทรงสดับดังนั้น ต่างมีพระหฤทัยร่าเริงยินดี
เมื่อจะทรงชมเชยพระมหาสัตว์ จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ท่านเป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นผู้ยอดเยี่ยม ไม่มี
ใครเทียมถึง มีปัญญาดี รักษาธรรม และรู้แจ้งธรรม
วิเคราะห์ปัญหาของพวกข้าพเจ้าได้ด้วยดี ด้วยปัญญา
ของตน พวกข้าพเจ้าอ่อนวอนท่านว่า ขอท่านผู้เป็น
ปราชญ์ จงตัดความสงสัยลังเลใจของพวกข้าพเจ้าให้
ขาดไปในวันนี้เหมือนช่างทำงาช้าง ตัดงาช้างให้ขาด
ไปด้วยเลื่อยอันคม ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตฺวมนุตฺตโรสิ ความว่า ท่านเป็นผู้
ยอดเยี่ยมไม่มีผู้เทียมถึง ชื่อว่า เป็นผู้ไม่มีผู้ยอดเยี่ยมเท่าท่าน. บทว่า ธมฺมคู
ความว่า ทั้งเป็นผู้รักษาธรรมและรู้ธรรม. บทว่า ธมฺมวิทู ความว่า ผู้มี

ธรรมเป็นที่ปรากฏ. บทว่า สุเมโธ ความว่า ผู้มีปัญญาดี. บทว่า ปญฺญาย
ความว่า ศึกษาปัญหาของพวกเราเป็นอย่างดีด้วยปัญญาแล้ว ก็ทราบความจริง
ว่า ในเรื่องนี้มีเหตุอย่างนี้. บทว่า อจฺเฉจฺฉ ความว่า ขอท่านผู้ทรงเป็น
ปราชญ์โปรดตัดสินข้อสงสัยของพวกข้าพเจ้า และเมื่อตัดสินอย่างนี้ โปรดให้
คำขอร้องของพวกข้าพเจ้านี้จบสิ้นว่า ท่านได้ตัดสินข้อสงสัย คือวิจิกิจฉาแล้ว
ดังนี้. บาทคาถาว่า จุนฺโท ยถา นาคทนฺตํ ขเรน ความว่า ขอท่านช่วย
ตัดข้อสงสัย เหมือนนายช่างทำงาช้าง ตัดงาช้างด้วยเลื่อยเล่มคม ฉะนั้น.
พระราชาแม้ทั้ง 4 พระองค์นั้น ครั้นตรัสชมเชยพระมหาสัตว์อย่างนั้น
แล้ว ต่างทรงพอพระหฤทัยด้วยพยากรณ์ปัญหาของพระมหาสัตว์ ลำดับนั้น
ท้าวสักกเทวราชจึงทรงบูชาพระมหาสัตว์ด้วยผ้าทุกุลพัสตร์อันเป็นทิพย์ พระยา
ครุฑบูชาด้วยมาลัยทอง วรุณนาคราชบูชาด้วยแก้วมณี พระเจ้าธนัญชัยบูชา
ด้วยวัตถุต่างๆ มีโคนมนับจำนวนพันเป็นต้น พระราชาทั้ง 4 พระองค์นั้น
ได้ตรัสอย่างนี้ว่า
ดูก่อนท่านผู้เป็นนักปราชญ์ ข้าพเจ้ายินดีด้วย
การพยากรณ์ปัญหา นี้ผ้าทิพย์สีดอกบัวเขียว ปราศ
จากมลทิน เนื้อละเอียดดังควันเพลิง หาค่ามิได้ข้าพ-
เจ้าให้แก่ท่านเพื่อบูชาธรรม พระยาครุฑบูชาด้วยดอก
ไม้ทองตรัสว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นนักปราชญ์ ข้าพเจ้า
ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหานี้ ดอกไม้ทอง มีกลีบร้อย
กลีบแย้มออกแล้ว มีเกสรแล้วด้วยแก้วนับด้วยพัน
ข้าพเจ้าให้แก่ท่านเพื่อบูชาธรรม พระยาวรุณนาคราช

บูชาด้วยแก้วมณีตรัสว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นนักปราชญ์
ข้าพเจ้ายินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหานี้ แก้วมณีอันเป็น
เครื่องประดับของข้าพเจ้า มีสีงดงามผุดผ่อง หาค่ามิ
ได้ ข้าพเจ้าให้แก่ท่านเพื่อบูชาธรรม พระเจ้าธนัญชัย
ทรงบูชาด้วยวัตถุต่างๆ มีโคนมพันหนึ่งเป็นต้น แล้ว
มีพระราชดำรัสว่า ข้าพเจ้ายินดีด้วยการพยากรณ์
ปัญหา โคนมพันหนึ่งและโคอุสุภราชนายฝูง รถ 10
คัน เทียมด้วยอาชาไนย บ้านส่วย 6 บ้าน เหล่านี้
ข้าพเจ้าให้แก่ท่านเพื่อบูชาธรรม.

พระราชาทั้ง 4 พระองค์ มีท้าวสักกเทวราชเป็นต้น ครั้นทรงบูชา
พระมหาสัตว์แล้ว ได้เสด็จไปยังที่ประทับของพระองค์ตามเดิมด้วยประการ
ฉะนี้.
จบจตุโปสถกัณฑ์
บรรดาพระราชา 4 พระองค์นั้น พระยานาคมีพระชายานามว่า พระ-
นางวิมลาเทวี พระนางนั้น เมื่อไม่เห็นเครื่องประดับแก้วมณีที่พระศอของ
พระยานาคี จึงทูลถามว่า แก้วมณีของพระองค์หายไปไหนเล่าพระเจ้าข้า. ท้าว-
เธอจึงตรัสว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เราได้สดับธรรมกถาของวิธุรบัณฑิต บุตรแห่ง
จันทพราหมณ์ มีจิตเลื่อมใสจึงเอาแก้วมณีนั้นบูชาเธอ จะบูชาแต่เราคนเดียว
ก็หามิได้ แม้ท้าวสักกเทวราชก็ยังทรงบูชาเธอด้วยผ้าทุกุลพัสตร์อันเป็นทิพย์
พระยาครุฑบูชาเธอด้วยดอกไม้ทอง พระเจ้าธนัญชัยทรงบูชาเธอด้วยวัตถุต่าง ๆ
มีโคนมพันหนึ่งเป็นต้น. พระนางทูลถามว่า พระวิธุรบัณฑิตนั้นเป็นพระธรรม-

กถึกหรือพระเจ้าข้า. ดูก่อนนางผู้เจริญแล้วจะพูดไปไยเล่า พระราชา 101
พระองค์ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ล้วนพอพระหฤทัยในธรรมกถาอันไพเราะของเธอ
เหมือนกับกาลอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้ายังเป็นไปอยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น จนจะ
เสด็จกลับไปยังแว่นแคว้นของตน ๆ ไม่ได้ เป็นดังกระแสเสียงพิณ ชื่อหัตถี
กันต์ ประโลมฝูงช้างตกมันให้ใคร่ เธอเป็นธรรมกถึกเอก แสดงธรรมไพเราะ
จับใจยิ่งนัก พระยาวรุณนาคราชทรงสรรเสริญคุณของพระมหาสัตว์ ด้วยประ
การฉะนี้. พระนางได้สดับคุณกถาของพระวิธุรบัณฑิตใคร่จะสดับธรรมกถาของ
ท่าน จึงทรงดำริว่า หากเราจะทูลว่า หม่อมฉันใคร่จะฟังธรรมกถาของพระ-
วิธุรบัณฑิต ขอพระองค์โปรดให้เชิญมาในนาคพิภพนี้เถิด พระเจ้าข้า ดังนี้
ท้าวเธอจักไม่โปรดให้เชิญมาให้แก่เรา อย่ากระนั้นเลย เราควรจะแสดงอาการ
ดังเป็นไข้ด้วยปรารถนาดวงหฤทัยวิธุรบัณฑิตนั้น. พระนางครั้นกระทำอย่าง
นั้นแล้ว ให้สัญญาแก่เหล่านักสนม จึงเสด็จเข้าผทมอยู่ ณ พระแท่นอัน
ประกอบด้วยสิริ. พระยานาคราชเมื่อไม่ทรงเห็นพระนางวิมลาเทวีในเวลาเข้า
เฝ้า จึงตรัสถามว่า พระนางวิมลาไปไหน ? เมื่อเหล่านางนักสนมทูลว่า
พระนางทรงประชวร พระเจ้าข้า ท้าวเธอจึงเสด็จลุกจากพระราชอาสน์ เสด็จ
ไปยังสำนักแห่งพระนางวิมลานั้น ประทับนั่งข้างพระแท่น ทรงลูบคลำ
พระสรีระกายของพระนางอยู่ ได้ตรัสพระคาถาที่ 1 ว่า
เธอเป็นไรไป มีผิวพรรณเหลืองซูบผอม ถด
ถอยกำลัง ในปางก่อนรูปโฉมของเธอไม่ได้เป็นเช่นนี้
เลย ดูก่อนพระน้องวิมลา พี่ถามแล้วจงบอก เวทนา
ในร่างกายของเธอเป็นเช่นไร ?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺฑุ แปลว่า มีผิวพรรณดังใบไม้
เหลือง. บทว่า กีสิยา แปลว่า ซูบผอม. บทว่า ทุพฺพลา แปลว่า มี

กำลังน้อย. บทว่า วณฺณรูเป น ตเวทิสํ ปุเร ความว่า รูปกล่าวคือ
วรรณะของเจ้า มิได้เป็นเหมือนในก่อนเลย คือในก่อนไม่มีโทษไม่เศร้าหมอง
แต่บัดนี้รูปนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป มีภาวะไม่เป็นที่ชื่นใจเลย. พระยานาคตรัส
เรียกพระนางวิมลาเทวีว่า วิมลา ดูก่อนพระน้องวิมลาดังนี้.
ลำดับนั้น พระนางวิมลาเทวี เมื่อจะทูลบอกความนั้นแก่ท้าวเธอจึง
ตรัสพระคาถาที่ 2 ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมหมู่นาคชื่อว่าความอยาก
ได้โน่นอยากได้นี่ เขาเรียกกันว่า เป็นธรรมดาของ
หญิงทั้งหลายในหมู่มนุษย์ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
สุดในหมู่นาค หม่อมฉันอยากได้ดวงหทัยของวิธุร-
บัณฑิต ที่บุคคลนำมาได้โดยชอบเพคะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺโม ได้แก่ สภาวะ. บทว่า มาตีนํ
ได้แก่ หญิงทั้งหลาย. บทว่า ชนินฺท แปลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอม
แห่งหมู่นาค. สองบาทคาถาว่า ธมฺมาหฏํ นาคกุญฺชร วิธุรสฺส หทยาภิ-
ปตฺถเย
ความว่า ข้าแต่นาคผู้ประเสริฐสุด เมื่อดิฉันอยากได้ดวงหทัยของ
วิธุรบัณฑิตที่พระองค์นำมาได้โดยชอบธรรม ไม่ใช่โดยกรรมที่สาหัส ชีวิตของ
หม่อมฉันจะยังทรงอยู่ได้ ถ้าเมื่อดิฉันไม่ได้ไซร้ หม่อมฉันเห็นจะมรณะอยู่ในที่
นี้แล พระนางตรัสอย่างนั้นหมายถึงปัญญาของวิธุรบัณฑิตนั้น.
ดูก่อนพระน้องวิมลา เธอปรารถนาดวงหทัย
ของวิธุรบัณฑิตนั้น ดังจะปรารถนา พระจันทร์
พระอาทิตย์หรือลม เพราะว่าวิธุรบัณฑิต ยากที่บุคคล
จะเห็นได้ ใครจะนำวิธุรบัณฑิตมาในนาคพิภพนี้ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุลฺลเก หิ วิธุรสฺส ทสฺสเน ความ
ว่า การเห็นวิธุรบัณฑิตผู้มีเสียงอันไพเราะ หาผู้เสมือนมิได้นั้น หาได้ยาก.
ด้วยว่า พระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น ทรงจัดการพิทักษ์รักษาป้องกันวิธุร-
บัณฑิตอย่างกวดขันประกอบโดยธรรม. แม้ใคร ๆ จะเห็นก็เห็นไม่ได้ ใครเล่า
จะนำวิธุรบัณฑิตนั้นมาในนาคพิภพนี้ได้.
พระนางวิมลาเทวีได้สดับพระสวามีตรัสดังนั้นจึงทูลว่า เมื่อหม่อมฉัน
ไม่ได้ จักตายในที่นี้แล แล้วเบือนพระพักตร์ผันพระปฤษฎางค์ให้แก่พระสวามี
เอาชายพระภูษาปิดพระพักตร์บรรทมนิ่งอยู่. พระยานาคเสด็จไปสู่ห้องที่
ประกอบด้วยสิริของพระองค์ ประทับนั่งลงเหนือพระแท่นบรรทม ทรงเข้า
พระทัยว่า พระนางวิมลาเทวีจะให้เอาเนื้อหทัยของวิธุรบัณฑิตมาให้ จึงทรง
พระดำริว่า เมื่อพระนางวิมลาไม่ได้ดวงหทัยของวิธุรบัณฑิต ชีวิตของเธอ
จักหาไม่ ทำอย่างไรหนอ เรจึงจักได้เนื้อหทัยของวิธุรบัณฑิตนั้น. ลำดับนั้น
นางนาคกัญญานามว่า อิรันทตี ซึ่งเป็นธิดาของพระยานาคนั้น ประดับด้วย
เครื่องประดับพร้อมสรรพ มาสู่ที่เฝ้าพระบิดาด้วยสิริวิลาสอันใหญ่ ถวายบังคม
พระบิดาแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เห็นพระอินทรีย์ของพระบิดาผิด
ปกติ จึงทูลว่า ข้าแต่สมเด็จพ่อ ดูเหมือนสมเด็จพ่อได้รับความน้อยพระทัย
เป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นเพราะเหตุไรหนอ พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้แล้วจึงได้ตรัส
พระคาถาว่า
ข้าแต่สมเด็จพระบิดา เหตุไรหนอสมเด็จพระ-
บิดาจึงทรงซบเซา พระพักตร์ของสมเด็จพระธิดา
เป็นเหมือนดอกปทุมที่ถูกขยำด้วยมือ ข้าแต่สมเด็จ
พระบิดาผู้เป็นใหญ่ เป็นที่เกรงขามของศัตรู เหตุไร

หนอสมเด็จพระบิดา จึงทรงเป็นทุกข์พระทัย อย่าทรง
เศร้าโศกไปเลยเพคะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปชฺฌายสิ ได้แก่ คิดบ่อยๆ. บทว่า
ทตฺถคตํ ความว่า พระพักตร์ของพระองค์ เป็นเหมือนดอกปทุมที่ถูกขยำ
ด้วยมือ. บทว่า อิสฺสร ความว่า ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นเจ้าของมณฑลนาค
พิภพ ซึ่งมีประมาณห้าร้อยโยชน์.
พระยานาคราชทรงสดับคำของธิดา เมื่อจะทรงบอกเรื่องนั้น จึงตรัส
พระคาถานี้ว่า
อิรันทตีลูกรัก ก็พระมารดาของเจ้าปรารถนา
ดวงหทัยของวิธุรบัณฑิต เพราะวิธุรบัณฑิต ยากที่
บุคคลจะเห็นได้ ใครจะนำวิธุรบัณฑิต มาในนาคพิภพ
นี้ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธนิยฺยติ แปลว่า ย่อมปรารถนา. ลำดับ
นั้นพระยานาคราชจึงตรัสกะเธอว่า ดูก่อนลูกหญิง บุคคลผู้สามารถเพื่อจะนำ
วิธุรบัณฑิตมาในสำนักของเราได้ก็ไม่มี เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาเถิด จงไป
แสวงหาภัสดาผู้สามารถนำดวงหทัยของวิธุรบัณฑิตมาให้ได้ เมื่อจะส่งธิดาไป
จึงตรัสกึ่งคาถาว่า
เจ้าจงไปเที่ยวแสวงหาภัสดา ซึ่งสามารถนำ
วิธุรบัณฑิตมาในนาคพิภพนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จร แปลว่า จงเที่ยวไป.
พระยานาคนั้นได้ตรัสถ้อยคำ แม้ที่ไม่สมควรแก่ธิดา เพราะถูกกิเลส
ครอบงำด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า

ก็นางนาคมาณวิกานั้นได้สดับพระดำรัสของพระ
บิดาแล้ว เป็นผู้มีจิตชุ่มด้วยกิเลส ออกเที่ยวแสวงหา
สามีในเวลากลางคืน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวสฺสตี จริ ความว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย นางนาคมาณวิกานั้น ได้สดับคำพระบิดาแล้ว จึงปลอบโยนพระ-
บิดาให้เบาพระทัยแล้วไปสู่สำนักพระมารดาแล้ว ไปยังห้องอันประกอบด้วยสิริ
ของตน ประดับพร้อมสรรพนุ่งผ้าสีดอกดำผืนหนึ่ง ทำเฉวียงบ่าผืนหนึ่ง แหวก
น้ำเป็นสองส่วน ออกจากนาคพิภพไปในคืนนั้นเอง เหาะไปสู่กาฬคิรีบรรพต
มีแท่งทึบเป็นอันเดียว มีสีดังดอกอัญชันสูงได้ 60 โยชน์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ฝั่ง
สมุทร ณ หิมวันตประเทศ เป็นผู้มีจิตชุ่มด้วยอำนาจกิเลส ได้เทียวแสวงหา
ภัสดาแล้ว.
นางอิรันทตีนาคกัญญานั้น เก็บดอกไม้ในหิมวันตประเทศนั้น ที่
สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น มาประดับยอดบรรพตทั้งสิ้น ให้เป็นดุจพนมแก้วมณี
ลาดดอกไม้ที่พื้นเบื้องบนแห่งบรรพตนั้น ฟ้อนรำด้วยท่าทางอันงามเพริศพริ้ง
ขับร้องเพลงขับไพเราะจับใจ ได้กล่าวคาถาที่ 7 ว่า
คนธรรพ์ รากษส นาค กินนร หรือมนุษย์
คนไหนเป็นผู้ฉลาดสามารถจะให้สิ่งทั้งปวงได้ คนนั้น
จักได้เป็นสามีของเราตลอดกาลนาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เก คนฺธพฺเพ จ รกฺขเส นาเค ความว่า
คนธรรพ์ รากษส หรือนาคก็ตาม. บทว่า เก ปณฺฑิเต สพฺพกามทเท
ในบรรดาคนธรรพ์เป็นต้นนั้น คนไหนเป็นผู้ฉลากสามารถเพื่อจะให้สมบัติ
อันน่าใคร่ทุกอย่าง เมื่อนำมโนรถของมารดาของเราผู้ปรารถนาดวงหทัยของ
วิธุรบัณฑิตมา ผู้นั้นจักได้เป็นภัสดาของเราตลอดกาลนาน.

ขณะนั้น ปุณณกยักษ์เสนาบดี หลานของท้าวเวสวัณมหาราช เผ่น
ขึ้นม้ามโนมัยสินธพสูงประมาณ 3 คาวุต เหาะไปสู่ยักษ์สมาคมที่พื้นมโนศิลา
เหนือยอดกาฬาคิรีบรรพต ได้ยินเสียงแห่งนางอิรันทตีนาคกัญญานั้น เสียง
ขับร้องของนางอิรันทตี ได้ตัดผิวหนังเป็นต้นของปุณณกยักษ์ เข้าไปกระทั่ง
ถึงเยื่อในกระดูก เพราะเคยอยู่ร่วมกันในอัตภาพถัดมา ปุณณกยักษ์นั้นมี
จิตปฏิพัทธ์ ชักม้ากลับคืน นั่งอยู่บนหลังม้าสินธพนั้นแล เล้าโลมนางให้
ยินดีว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ พี่เป็นผู้สามารถนำดวงหทัยของวิธุรบัณฑิตมาให้
ได้โดยชอบธรรมด้วยปัญญาของพี่ อย่าคิดวิตกไปเลย แล้วกล่าวคาถาที่ 8 ว่า
ดูก่อนนางผู้มีนัยน์ตาหาที่ติไม่ได้ เธอจงเบาใจ
เถิด เราจักเป็นสามีของเธอ จักเป็นผู้เลี้ยงดูเธอเพราะ
ปัญญาของเรา อันสามารถจะนำเนื้อหทัยของวิธุรบัณ-
ฑิตมาให้ จงเบาใจเถิด เธอจักเป็นภรรยาของเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนินฺทโลจเน แปลว่า ผู้มีขนตางาม
ที่จะพึงตำหนิมิได้. บทว่า ตถาวิธาหิ ความว่า อันสามารถนำนาซึ่งเนื้อ
หทัยของวิธุรบัณฑิตมาได้. บทว่า อสฺสาส ความว่า เจ้าจงได้ความดีใจไว้
วางใจเถิด. บทว่า เหสฺสสิ ความว่า เจ้าจักเป็นภรรยาของพี่.
เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
นางอิรันทตีผู้มีใจกำหนัดรักใคร่ เพราะเคยร่วม
อภิรมย์กันมาในภพก่อน ได้กล่าวกะปุณณกยักษ์ว่า
มาเถิดท่าน เราจักไปในสำนักพระบิดาของดิฉัน พระ
บิดาของดิฉันจักตรัสบอกเนื้อความนั้นแก่ท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น พระคาถาว่า ปุพฺพปถานุคเตน เจตสา
ความว่า นางมีใจกำหนัดรักใคร่ในปุณณกยักษ์นั้น ผู้เคยเป็นสามีมาในอัต-
ภาพถัดมา เพราะเคยร่วมอภิรมย์กันมาในกาลก่อนนั่นแล. บทว่า เอหิ คจฺฉาม
ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุณณกยักษ์เสนาบดีนั้นครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว
จึงคิดว่า เราจักขึ้นหลังม้านี้ นำไปลงเหนือยอดบรรพต จึงเหยียดมือออกจับ
มือนางอิรันทตีนั้น ฝ่ายนางอิรันทตีนั้นไม่ให้จับมือตน จับมือปุณณกยักษ์ที่
เหยียดออกไปเสียเองแล้วกล่าวว่า ข้าแต่นาย ดิฉันมิใช่คนไร้ที่พึ่ง พระยานาค
นามว่าวรุณเป็นบิดาของดิฉัน พระนางวิมลาเทวีเป็นมารดาของดิฉัน มาเถิด
ท่าน ดิฉันจะพาไปสู่สำนักแห่งบิดาของดิฉัน เราทั้งสองจะควรทำมงคลด้วย
ประการใด ท้าวเธอคงตรัสบอกเนื้อความนั้นแก่ท่านด้วยประการนั้น.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
นางอิรันทตีประดับประดานุ่งผ้าเรียบร้อย ทัด
ทรงดอกไม้ ประพรมด้วยจุรณแก่นจันทน์ จูงมือ
ปุณณกยักษ์เข้าไปสู่สำนักแห่งพระบิดา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิตุ สนฺติกมุปาคมิ ความว่า เข้าไปสู่
สำนักพระบิดา.
ฝ่ายปุณณกยักษ์ ติดตามไปยังสำนักแห่งพระยานาค เมื่อจะทูลขอ
นางอิรันทตีจึงทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นาค ขอพระองค์
ได้ทรงโปรดสดับถ้อยคำของข้าพระองค์ ขอพระองค์
จงทรงรับสินสอดตามสมควร ข้าพระองค์ปรารถนา
พระนางอิรันทตี ขอพระองค์ได้ทรงโปรดกรุณาให้

ข้าพระองค์ได้ทรงอยู่ร่วมกับพระนางอิรันทตีเถิด ข้า
แต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอได้ทรงพระกรุณารับสิน
สอดนั้นคือ ช้าง 100 ม้า 100 รถเทียมม้า 100 เกวียน
บรรทุกของเต็ม ล้วนแก้วต่าง ๆ 100 ขอได้โปรด
พระราชทานพระราชธิดาอิรันทตี แก่ข้าพระองค์เถิด
พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุงฺกยํ ความว่า ขอพระองค์จงทรงรับ
เอาทรัพย์คือสินสอดเพื่อพระราชา ตามสมควรแก่ตระกูลและประเทศของพระ-
องค์เถิด. บาทพระคาถาว่า ตาย สมงฺคึ กโรหิ มํ ตุวํ ความว่า ขอพระองค์
จงทรงพระกรุณากระทำข้าพระองค์ให้เป็นผู้อยู่ร่วมกับพระนางอิรันทตีราชธิดา
นั้นเถิด. บทว่า พลภิยฺโย แปลว่า เกวียนอันเต็มไปด้วยสิ่งของ. บทว่า
นานารตนสฺส เกวลา ความว่า ล้วนเต็มไปด้วยแก้วนานาชนิด.
ลำดับนั้น พระยานาคราชจึงตรัสกะปุณณกยักษ์นั้น ด้วยพระคาถาว่า
ขอท่านจงรออยู่จนกว่าเราจะได้ปรึกษาหารือกับ
บรรดาญาติมิตรและเพื่อนสนิทเสียก่อนกรรมที่กระทำ
ด้วยการไม่ปรึกษาหารือ ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาว อามนฺตเย ความว่า ดูก่อนยักษ์-
เสนาบดีผู้เจริญ เราจะให้ธิดาแก่ท่าน หรือจะไม่ให้ก็หามิได้ แต่ว่าท่านจง
รอก่อน เราจะปรึกษาหารือกะพวกญาติมิตรและเพื่อนที่สนิทดูก่อน. บาท
พระคาถาว่า ตํ ปจฺฉา อนุตปฺปติ ความว่า พระยาวรุณนาคราชกล่าวว่า
เพราะว่าหญิงทั้งหลายบางทีก็ยินดีรักใคร่กัน บางทีก็ไม่ยินดีรักใคร่กัน กรรม
ที่เราทำลงไปโดยมิได้ปรึกษาหารือใคร เมื่อเวลาเขาไม่ยินดีรักใคร่ต่อกัน เพราะ
ฉะนั้นพวกญาติมิตรและเพื่อนสนิทย่อมจะไม่ช่วยกระทำความขวนขวาย ด้วย

เหตุที่กรรมที่เราทำโดยมิได้ปรึกษาหารือกับเขา จึงเป็นเช่นนี้ กรรมนั้นย่อม
จะนำมาซึ่งความเดือดร้อนในภายหลัง
ลำดับนั้น ท้าววรุณนาคราชเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์
ปรึกษากะพระชายาเป็นพระคาถาความว่าปุณณยักษ์
มาขอลูกอิรันทตีกะเรา เราจะให้ลูกอิรันทตี ซึ่งเป็น
ที่รักของเราแก่ปุณณกยักษ์นั้น เพราะได้ทรัพย์เป็น
จำนวนมากหรือ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปวิสิตฺวา ความว่า ปล่อยปุณณกยักษ์
ไว้ในที่นั้นนั่นเอง พระองค์ก็เสด็จลุกขึ้นเข้าไปยังพระนิเวศน์ที่ชายาของพระองค์
บรรทมอยู่ทันที. บทว่า ปิยํ มมํ ความว่า พระองค์ตรัสถามว่า เราจะให้
ธิดาซึ่งเป็นที่รักของเรา โดยได้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจเป็นอันมากหรือ ?
พระนางวิมลาเทวี ตรัสว่า
ปุณณกยักษ์ไม่พึงได้ลูกอิรันทตีของเราเพราะ
ทรัพย์ เพราะสิ่งที่ปลื้มใจ ถ้าปุณณกยักษ์ได้หทัยของ
วิธุรบัณฑิตนำมาในนาคพิภพนี้โดยชอบธรรม เพราะ
ความชอบธรรมนั่นแล เขาจะพึงได้ลูกสาวของเรา
หม่อมฉันปรารถนาทรัพย์อื่น ยิ่งกว่าหทัยของวิธุร-
บัณฑิตหามิได้
.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมฺหํ อิรนฺทตี ความว่า อิรันทตีธิดา
ของเรา. บทว่า เอเตน จิตฺเตน ความว่า ด้วยอาการที่ยินดีนั้นนั่นแล.
ลำดับนั้น ท้าววรุณนาคราชเสด็จออกจากนิเวศน์
ตรัสเรียกปุณณยักษ์มาตรัสว่า ท่านไม่พึงได้ลูก

อิรันทตีของเรา เพราะทรัพย์ เพราะสิ่งเครื่องปลื้มใจ
ถ้าท่านได้หทัยของวิธุรบัณฑิตนำมา ในนาคพิภพนี้โดย
ชอบธรรม ท่านจะพึงได้ลูกสาวของเรา เราปรารถนา
ทรัพย์อื่นยิ่งไปกว่าหทัยของวิธุรบัณฑิตหามิได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ปุณฺณกามนฺตยิตฺวาน ความ
ว่า เรียกปุณณกยักษ์มา.
ปุณณกยักษ์ทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ในโลกนี้คนบางพวก
ย่อมเรียกคนใดว่าเป็นบัณฑิต คนบางพวกกลับเรียก
คนนั้นนั่นแลว่าเป็นพาล ในเรื่องนี้ คนทั้งหลายยัง
กล่าวแย้งกันอยู่ ขอได้ตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ พระ-
องค์ทรงเรียกใครว่าเป็นบัณฑิต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ปณฺฑิโต ความว่า ได้ยินว่า ปุณณก-
ยักษ์ได้สดับว่าให้นำหทัยวิธุรบัณฑิตมาดังนี้ คิดว่า คนบางพวก เรียกคนใด
ว่า เป็นบัณฑิต แต่คนพวกอื่นก็เรียกคนนั้นแหละว่าเป็นพาล. ทั้งที่แม่นาง
อิรันทตีบอกเราว่า วิธุรบัณฑิตแม้โดยแท้ ถึงกระนั้นเราจักทูลถามท้าวเธอให้
รู้แน่นอนกว่านั้น เพราะเหตุดังนี้นั้นจึงได้กล่าวอย่างนั้น.
พระยานาคราชตรัสว่า
บัณฑิตชื่อว่าวิธุระ ผู้ทำการสั่งสอนอรรถธรรม
แก่พระเจ้าธนัญชัยโกรพยราช ถ้าท่านได้ยินได้ฟังมา
แล้ว ท่านจงไปนำบัณฑิตนั้นมา ครั้นท่านได้มาโดย
ธรรมแล้ว อิรันทตีธิดาของเรา จงเป็นภรรยาของ
ท่านเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมลทฺธา แปลว่า ได้มาแล้วโดย
ธรรม. บทว่า ปาทจราว แปลว่า เป็นหญิงบำเรอ.
ฝ่ายปุณณกยักษ์ ได้สดับพระดำรัส ของท้าว
วรุณนาคราชดังนี้แล้ว ยินดียิ่งนัก ลุกขึ้นแล้ว ไปสั่ง
บุรุษ คนใช้ของตน ผู้อยู่ในที่นั้นว่า เจ้าจงนำม้า
อาชาไนยที่ประกอบไว้แล้ว มา ณ ที่นี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสํสิ ได้แก่ สั่งบังคับคนใช้ของตน.
บทว่า อาชญฺญํ ได้แก่ ม้าสินธพผู้รู้เหตุ และมิใช่เหตุ. บทว่า ยุตฺตํ
แปลว่า ประกอบเสร็จแล้ว.
พระโบราณาจารย์ กล่าวพรรณนาม้าสินธพนั้นไว้ว่า
ม้าสินธพอาชาไนยนั้น มีหูทั้งสองประดับด้วย
ทองคำ กีบหุ้มด้วยแก้วแดง มีเครื่องประดับอก ล้วน
แล้วด้วยทองชมพูนุทอันสุกใส.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชาตรูปมยา ความว่า เมื่อจะกล่าว
พรรณนาม้าสินธพนั้นนั่นแล จึงได้กล่าวอย่างนั้น จริงอยู่ม้าสินธพมโนมัยนั้น
มีหูทั้งสองล้วนแล้วด้วยทองคำ. บทว่า กาจมหิจมยา ขุรา ความว่า ม้า
สินธพนั้น มีกีบล้วนแล้วด้วยแก้วมณี. บทว่า ชมฺโพนทสฺส ปากสฺส
ความว่า มีเครื่องประดับอก ล้วนแล้วด้วยทองชมพูนุท มีสีแดงสุกปลั่ง.
บุรุษคนใช้นั้น นำม้าสินธพมาในขณะนั้นนั่นเอง ปุณณกยักษ์ ขึ้นขี่
ม้าสินธพอาชาไนยนั้น เหาะไปสู่สำนักของท้าวเวสวัณโดยทางอากาศ แล้ว
พรรณนาภพแห่งนาค แล้วบอกเรื่องนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงประกาศความนั้นจึงได้ตรัสว่า

ปุณณยักษ์ผู้ประดับประดาแล้ว แต่งผมและ
หนวดดีแล้ว ขึ้นม้าอันเป็นพาหนะของเทวดา เหาะ
ไปในอากาศกลางหาว ปุณณกยักษ์นั้น กำหนัดแล้ว
ด้วยกามราคะ ปรารถนานางอิรันทตีนาคกัญญา ไป
ทูลท้าวกุเวรเวสวัณผู้เรืองยศ ซึ่งเป็นใหญ่แห่งหมู่ยักษ์
ว่า ภพนาคนั้นเขาเรียกชื่อว่าโภควดีนครบ้าง วาส-
นครบ้าง หิรัญญวดีนครบ้าง เป็นเมืองที่บุญกรรม
นิรมิต ล้วนแต่ทองคำ สำเร็จแก่พระยานาคผู้บริบูรณ์
ด้วยโภคทรัพย์ทุกอย่าง ป้อมและเชิงเทิน สร่างโดย
สัณฐานคออูฐ ล้วนแล้วด้วยแก้วแดงและแล้วลาย ใน
นาคพิภพนั้น มีปราสาทล้วนแล้วด้วยหิน มุงด้วย
กระเบื้องทองในนาคพิภพนั้น มีไม้มะม่วง ไม้หมาก
เม่า ไม้หว้า ไม้ตีนเป็ด ไม้จิก ไม้การะเกด ไม้
ประยงค์ ไม้ราชพฤกษ์ ไม้มะม่วงหอม ไม้ชะเบา
ไม้ยางทราย ไม่จำปา ไม้กากะทิง มะลิซ้อน มะลิ
ลา และไม้ละเบา ต้นไม้ในนาคพิภพเหล่านี้มีกิ่งต่อ
กันและกัน งามยิ่งนัก ในนาคพิภพนั้น มีต้นอินท-
ผาลัม อันสำเร็จด้วยแก้วอินทนิล มีดอกและผลล้วน
ไปด้วยทองเนืองนิตย์ ท้าววรุณนาคราชผู้มีฤทธิ์มาก
เป็นผู้ผุดขึ้นเกิดอยู่ในนาคพิภพนั้น มเหสีของพระ
ยานาคราชนั้น กำลังรุ่นสาว ทรงพระนามว่าวิมลา
มีพระรูป พระโฉมอันประกอบด้วยสิริ งดงามดังก้อน
ทองคำ สะโอดสะองดังหน่อเถาจิงจ้อดำ พระถันทั้ง

คู่มีสัณฐานดังผลมะพลับ น่าดูยิ่งนัก พระฉวีวรรณ
แดงดังน้ำครั่ง เปรียบเหมือนดอกกรรณิการ์อันแย้ม
บาน เปรียบดังนางอัปสร ผู้อยู่ในสวรรค์ชั้นไตรทศ
หรือเปรียบเหมือนสายฟ้าอันแลบออกจากกลีบเมฆ
ข้าพระองค์ผู้เป็นใหญ่ พระนางวิมลานั้น ทรงแพ้พระ-
ครรภ์ ทรงปรารถนาดวงหทัยของวิธุรบัณฑิต ข้า-
พระองค์ จะถวายดวงหทัยของวิธุรบัณฑิต แก่ท้าว
วรุณนาคราชและพระนางวิมลา เพราะการนำดวงหทัย
ของวิธุรบัณฑิตไปถวายแล้ว ท้าววรุณนาคราช และ
พระนางวิมลา จะพระราชทานพระนางอิรันทตีราช
ธิดาแก่ข้าพระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เทววาหวหํ ความว่า พาหนะที่จะพึง
นำไป ย่อมนำพาหนะ กล่าวคือเทวดาไป เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เทววาหวหะ
นำไปด้วยพาหนะเทวดา. บทว่า ยานํ ความว่า ชื่อว่ายาน เพราะเป็นเครื่อง
นำไป คือเป็นเครื่องไป. บทว่า กปฺปิตเกสมสฺสุ ความว่า แต่งผมและ
หนวดดีแล้ว ด้วยอำนาจประดับ ถามว่า ก็ธรรมดาการแต่งผมและหนวด
ของเทวดาทั้งหลายย่อมไม่มี แต่ก็กล่าวถ้อยคำให้วิจิตรไป. บทว่า ชิคึสํ
แปลว่า ผู้ปรารถนา. บทว่า เวสฺสวณํ ได้แก่ พระราชาผู้เป็นอิสระแห่ง
ราชธานีประจำทิศอีสาน. บทว่า กุเวรํ ได้แก่ ผู้มีชื่อว่า กุเวร อย่างนั้น.
บทว่า โภควตี นาม ได้แก่ ผู้ได้ชื่ออย่างนั้น เพราะเป็นมีโภคสมบัติ
สมบูรณ์ บทว่า มนฺทิเร ความว่า พระราชมนเทียรคือพระราชวัง บทว่า
วาสา หิรญฺญวตี ความว่า ท่านเรียกว่า ที่ประทับ เพราะเป็นที่ประทับ
ของพระยานาค และกล่าวว่า หิรญฺญวตี เพราะพระที่นั่งหิรัญญวดี แวด

ล้อมไปด้วยกำแพงทอง. บทว่า นครํ นิมิตฺตํ แปลว่า มีนครเป็นเครื่อง
หมาย. บทว่า กาญฺจนมเย แปลว่า สำเร็จแล้วด้วยทอง. บทว่า มณฺฑลสฺส
ได้แก่ ประกอบด้วยโภคมณฑล. บทว่า นิฏฺฐิตํ แปลว่า สำเร็จในเพราะ
การทำ. บทว่า โอฏฺฐคีวิโย ได้แก่ กระทำโดยสัณฐานดังคออูฐ. บาทคาถาว่า
โลหิตงฺคสฺส มสารคลฺลิโน ได้แก่ ป้อมและคอหอย อันสำเร็จด้วยแก้ว
แดง สำเร็จด้วยแก้วตาแมว. บทว่า ปาสาเทตฺถ นี้ ได้แก่ ปราสาทใน
นาคพิภพนี้. บทว่า สิลามยา แปลว่า สำเร็จด้วยแก้วมณี. บทว่า โสวณฺณ-
รตเนน ความว่า มุงด้วยรัตนะ กล่าวคือทอง คือด้วยอิฐอันสำเร็จด้วย
ทองคำ. บทว่า สห แปลว่า ทำพร้อมกัน. บทว่า อุปริ ภณฺฑกา
ได้แก่ ต้นปาริฉัตตกะ. บทว่า อุทฺทาลกา ได้แก่ ต้นจำปา ต้นกากะทิง
และต้นมะลิวัลย์. บาทพระคาถาว่า ภคินิมาลา อตฺเถตฺถ โกลิยา ความว่า
ไม้มะลิลา และต้นกระเบา ย่อมมีในนาคพิภพนี้. บทว่า เอเต ทุมา ปรินามิตา
ความว่า ต้นไม้ที่เผล็ดดอก ออกผลเหล่านั้น มีกิ่งเกี่ยวพันน้อมหากันและกัน
นุงนัง. บทว่า ขชฺชุเรตฺถ ได้แก่ ต้นอินทผาลัม มีในนาคพิภพนี้. บทว่า
สิลามยา แปลว่า สำเร็จด้วยแก้วอินทนิล. บทว่า โสวณฺณธุวปุปฺผิตา
ความว่า ก็ต้นไม้เหล่านั้น มีดอกอันสำเร็จด้วยทองบานอยู่เป็นนิตย์. บทว่า
ยตฺถ วสโตปปาติโก ความว่า พระยานาคผู้เกิดอยู่ในภพนาคใด. บทว่า
กาญฺจนเวลฺลิวิคฺคหา ได้แก่ มีพระสรีระเช่นกับหน่อทองคำ. บาทพระคาถา
ว่า กาฬา ตรุณาว อุคฺคตา ความว่า ผุดขึ้นแล้ว ดังแก้วกาฬวัลลีและแก้ว
ประพาฬ เพราะประกอบด้วยความงาม. บทว่า ปิจุมณฺฑตฺถนี มีพระถัน
ทั้งสองมีสัณฐานดังผลมะพลับ. บทว่า ลาขารสรตฺตสุจฺฉวี นี้ ท่านกล่าว
หมายถึงพระฉวีวรรณ แห่งพื้นพระหัตถ์และพระบาท. บทว่า ติทิโวกฺ-
กจรา
แปลว่า เปรียบเหมือนนางอัปสรในสวรรค์ชั้นไตรทศ. บทว่า วิชฺชุ-

วพฺภฆนา ความว่า เปรียบเหมือนสายฟ้า ที่แลบออกจากกลีบเมฆ คือจาก
ภายในแห่งกลีบเมฆอันหนาทึบ. บทว่า ตํ เนสํ ททามิ ความว่า เราจะ
ให้ดวงหทัยของวิธุรบัณฑิตแก่พวกเขา ท่านจงรู้อย่างนี้. ปุณณกยักษ์เรียก
พระเจ้าลุงว่า อิสฺสร ผู้เป็นใหญ่.
ปุณณกยักษ์นั้น ท้าวเวสวัณยังไม่ทรงอนุญาต ก็ไม่อาจจะไปได้
จึงได้กล่าวคาถามีประมาณเท่านี้ เมื่อเขาทูลท้าวเวสวัณให้ทรงอนุญาต ด้วย
ประการฉะนี้ ส่วนท้าวเวสวัณ ไม่ทรงได้ยินถ้อยคำของปุณณกยักษ์นั้น มี
คำถามสอดเข้ามาว่า เพราะเหตุไร ท้าวเวสวัณ จึงไม่ทรงได้ยินถ้อยคำของ
ปุณณกยักษ์ ? แก้ว่า เพราะว่า ท้าวเวสวัณ กำลังตัดสินคดีของเทวบุตร
2 องค์ เรื่องที่พิพาทกันด้วยวิมาน ปุณณกยักษ์ทราบว่า ท้าวเธอมิได้ยิน
ถ้อยคำของตน จึงไปยืนใกล้เทวบุตรผู้ชนะ ท้าวเวสวัณ ทรงตัดสินคดีแล้ว
บังคับเทวบุตร ผู้แพ้มิให้ลุกขึ้น ตรัสกะเทวบุตรผู้ชนะว่า ท่านจงไปอยู่ใน
วิมานของท่าน ในขณะที่ท้าวเวสวัณตรัสว่า ท่านจงไปดังนี้นั่นแล ปุณณก-
ยักษ์บอกเทวบุตร 2-3 องค์ ให้เป็นพยานว่า ท่านทั้งหลายจงทราบว่า
พระเจ้าลุงของเราส่งเราไป แล้วสั่งให้นำม้าสินธพมา เผ่นขึ้นม้าสินธพนั้น
เหาะไป โดยนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
ปุณณยักษ์นั้น ทูลลาท้าวกุเวรเวสวัณผู้เรืองยศ
เป็นใหญ่ในหมู่ยักษ์ แล้วไปสั่งบุรุษคนใช้ของตนผู้อยู่
ในที่นั้นว่า เจ้าจงเอาน้ำอาชาไนยที่ประกอบแล้วมา ณ
ที่นี้ ม้าสินธพนั้นมีหูทั้งสองประดับด้วยทองคำ กีบ
หุ้มด้วยแก้วแดง เครื่องประดับอกล้วนด้วยทองคำ
ชมพูนุทอันสุกใส ปุณณกยักษ์ผู้ประดับประดาแล้ว

แต่งผม และหนวดดีแล้ว ขึ้นม้าอันเป็นยานพาหนะ
ของเทวดา เหาะไปในอากาศกลางหาว

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อามนฺตย แปลว่า เรียกมาแล้ว.
ปุณณกยักษ์นั้น เหาะไปทางอากาศนั้นเองคิดว่า วิธุรบัณฑิตมีบริวาร
มาก เราไม่อาจจับเอาเธอได้ แต่ว่าพระเจ้าธนัญชัยโกรพยราช พอพระทัย
ในการทรงสกา เราชนะท้าวเธอด้วยสกาแล้ว จักจับเอาวิธุรบัณฑิต เออก็แก้ว
ในพระคลังข้างที่ ของท้าวเธอมีเป็นจำนวนมาก ท้าวเธอคงไม่ทรงสกาด้วย
แก้วที่เป็นของพนันมีค่าเล็กน้อย บุคคลผู้ชนะพระราชาได้ควรจะนำเอาแก้ว
มณีมีค่ามากมา พระราชาจักไม่ทรงรับแก้วชนิดอื่น แก้วมณีเป็นเครื่องใช้สอย
ของพระเจ้าจักรพรรดิราช มีอยู่ในระหว่างแห่งวิบุลบรรพตใกล้กรุงราชคฤห์
เราต้องเอาแก้วมณี ซึ่งมีอานุภาพมากนั้นมาโลมล่อพระราชาจึงจะชนะพระราชา
ได้ ปุณณกยักษ์ได้ทำอย่างนั้นแล้ว.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความนั้น จึงได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
ปุณณยักษ์นั้น ได้เหาะไปสู่กรุงราชคฤห์อันน่า
รื่นรมย์ยิ่งนัก เป็นนครของพระเจ้าอังคราช อันพวก
ข้าศึกไม่กล้าเข้าใกล้ มีภักษาหาร และข้าวน้ำมากมาย
ดังมสักกสารพิภพของท้าววาสวะ เป็นนครกึกก้องด้วย
หมู่นกยูงและนกกะเรียน อื้ออึงด้วยฝูงนกต่าง ๆ ชนิด
เป็นที่เสพอาศัยของฝูงทิชาชาติ มีนกต่าง ๆ ส่งเสียง
ร้องอยู่ อึงมี่ ภูมิภาคราบเรียบ ดารดาษไปด้วยบุปผ-
ชาติ ดังขุนเขาหิมวันต์ ปุณณกยักษ์นั้น ขึ้นสู่วิบุล-
บรรพตอันเป็นภูเขาศิลาล้วน เป็นที่อาศัยอยู่ของหมู่
กินนร เที่ยวแสวงหาแก้วมณีดวงประเสริฐอยู่ ได้เห็น
ดวงแก้วมณีนั้น ณ ท่ามกลางยอดภูเขา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า องฺคสส รญฺโญ ความว่า ในกาลนั้น
พระเจ้าอังคราช ได้ครองมคธรัฐ ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสไว้. บทว่า ทุราสทํ
ความว่า อันข้าศึกจะเข้าไปหาได้ยาก. บทว่า มสกฺกสารํ วิย วาสวสฺส
ความว่า ดุจพิภพแห่งท้าววาสวะ อันได้นามว่า มสักกสาระ เพราะสร้างไว้
ใกล้ภูเขาสิเนรุ กล่าวคือ มสักกสาระ. บทว่า ทิชาภิสํฆุฏฺฐํ ความว่า
เป็นที่อยู่กึกก้องลือลั่นไปด้วยฝูงนกอื่น ๆ. บทว่า นานาสกุณาภิรุทํ ความว่า
ฝูงนกนานาชนิด ส่งเสียงร้องด้วยเสียงอันไพเราะ เซ็งแซ่ อื้ออึงอยู่. บทว่า
สุวงฺคณํ ความว่า มีเนินอันสวยงาม มีภาคพื้นราบเรียบเป็นที่น่าฟูใจ. บทว่า
หิมวํวํ ปพฺพตํ แปลว่า เหมือนภูเขาหิมันต์. บทว่า วิปุลมาภิรุยฺห ความว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุณณกยักษ์นั้นขึ้นสู่วิบุลบรรพตเห็นปานนั้น. บทว่า
ปพฺพตกูฏมชฺเฌ ความว่า ได้เห็นแก้วมณีนั้นในระหว่างยอดแห่งภูเขา.
ปุณณกยักษ์ครั้นเห็นแก้วมณีมีรัศมีอันผุดผ่อง
เป็นแก้วมณีดีเลิศด้วยยศ รุ่งโรจน์โชติช่วงด้วยแก้วมณี
เป็นอันมาก สว่างไสวดังสายฟ้าแลบในอากาศ สามารถ
นำทรัพย์มาให้ดังใจหวัง แล้วถือเอาแก้วมโนหรจินดา
มีค่ามาก มีอานุภาพมากนั้น เผ่นขึ้นม้าสินพอาชาไนย
เหาะไปในอากาศกลางหาว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธนาหรํ ความว่า สามารถนำทรัพย์มา
ได้ตามใจหวัง. บทว่า ททฺทลฺลมานํ แปลว่า รุ่งโรจน์ชัชวาล. บทว่า
ยสสา แปลว่า ด้วยหมู่แก้วมณีมีบริวารมาก. บทว่า โอภาสตี ความว่า
แก้วมณีนั้นสว่างไสว เหมือนสายฟ้าแลบในอากาศฉะนั้น. บทว่า ตมคฺคหี
ความว่า ได้ถือเอาแก้วมณีนั้น. บทว่า มโนหรนฺนาม ความว่า ได้นาม
อย่างนี้ว่า สามารถนำมาซึ่งทรัพย์ดังใจนึก.

ยักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า กุมภิระ มีพวกยักษ์กุมภัณฑ์แสนหนึ่งเป็นบริวาร
รักษาแก้วมณีนั้นอยู่ แต่กุมภิรยักษ์นั้น เมื่อปุณณกยักษ์ทำท่าโกรธถลึงตาดู
เท่านั้น ก็สะดุ้งกลัวตัวสั่นหนีไปแอบเขาจักวาลแลดูอยู่. ปุณณกยักษ์นั้นขับไล่
กุมภิรยักษ์ให้หนีไปแล้ว จึงถือเอาแก้วมณีเหาะไปโดยทางอากาศถึงนครนั้น.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
ปุณณกยักษ์นั้น ได้เหาะไปยังอินทปัตตนคร
ลงจากหลังม้าแล้วเข้าไปสู่ที่ประชุมของชาวกุรุรัฐ ไม่
กลัวเกรงพระราชา 101 พระองค์ ที่ประชุมพร้อม
เพรียงกันอยู่ ณ ที่นั้น กล่าวท้าทายด้วยสกาว่า บรรดา
พระราชาในราชสมาคมนี้ พระองค์ไหนหนอจะทรง
ชิงเอาแก้วอันประเสริฐ ของข้าพระองค์ได้ หรือว่า
ข้าพระองค์จะพึงชนะพระราชาพระองค์ไหน ด้วย
ทรัพย์อันประเสริฐ อนึ่ง ข้าพระองค์จะชิงแก้วอัน
ประเสริฐยิ่ง กะพระราชาพระองค์ไหน หรือพระราชา
พระองค์ไหนจะทรงชนะข้าพระองค์ด้วยทรัพย์อัน
ประเสริฐ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอรุยฺหุปาคญฺฉิ สภํ กุรูนํ ความว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุณณกยักษ์นั้นลงจากหลังม้าแล้ว พักม้าที่มีรูปอันใครไม่
เห็นแล้วเข้าไปสู่สภาแห่งชาวกุรุรัฐ ด้วยเพศแห่งมาณพน้อย. บทว่า เอกสตํ
ความว่า เป็นผู้ไม่เกรงกลัวพระราชา 101 พระองค์ ได้กล่าวท้าทายด้วยสกา
โดยนัยมีอาทิว่า พระราชาพระองค์ไหนหนอ. บทว่า โกนีธ ความว่า พระราชา
พระองค์ไหนหนอในราชสมาคมนี้. บทว่า รญฺญํ ความว่า ในระหว่างพระราชา
ทั้งหลาย. บทว่า วรมาภิเชติ ความว่า พระราชาพระองค์ไหนที่จะชิงเอาแก้ว

อันประเสริฐของข้าพเจ้าได้ คืออาจกล่าวได้ว่าเราชนะดังนี้. บทว่า กมาภิเชยฺ-
ยาม
ความว่า หรือว่า พวกเราจะพึงชนะใคร ?. บทว่า วรทฺธเนน แปลว่า
ด้วยทรัพย์อันสูงสุด. บทว่า กมนุตฺตรํ ความว่า ก็พวกเรา เมื่อจะชนะ
จงชนะทรัพย์อันประเสริฐกะพระราชาพระองค์ไหน ?. บทว่า โก วาปิ โน
เชติ
ความว่า ก็หรือว่า พระราชาพระองค์ไหนจะชนะพวกเราด้วยทรัพย์อัน
ประเสริฐ ปุณณกยักษ์นั้น พูดเคาะพระเจ้าโกรพยราชนั่นแลด้วยบท 4 บท
ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระเจ้าโกรพยราชทรงพระดำริว่า ก่อนแต่นี้ เรายังไม่
เคยเห็นใครที่พูดกล้าหาญเช่นนี้ นี่จะเป็นใครหนอแล เมื่อจะรับสั่งถามจึง
ตรัสพระคาถาว่า
ชาติภูมิของท่านอยู่ในแว่นแคว้นไหน ? ถ้อยคำ
ของท่านนี้ ไม่ใช่ถ้อยคำของชาวกุรุรัฐเลย ท่านมิได้
กลัวเกรงเราทั้งปวง ด้วยรัศมีแห่งผิวพรรณ ท่านจง
บอกชื่อและพวกพ้องของท่านแก่เรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกรพฺยสฺเสว ความว่า ถ้อยคำของ
ท่าน ไม่ใช่ถ้อยคำของคนผู้อยู่ในแว่นแคว้นกุรุรัฐเลย.
ฝ่ายปุณณกยักษ์ได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า พระราชานี้ ย่อมถามชื่อของ
เราด้วย ทาสชื่อปุณณกะมีอยู่คนหนึ่ง ถ้าเราจะทูลบอกว่าชื่อปุณณกะไซร้
ท้าวเธอจักดูหมิ่นได้ว่า เพราะเหตุไรทาสจึงพูดกะข้าด้วยความคะนองอย่างนี้
อย่าเลย เราจักทูลบอกชื่อของเราในชาติอดีตเป็นลำดับแก่ท้าวเธอ แล้วกล่าว
คาถาว่า
ข้าแต่พระราชา ข้าพระองค์เป็นมาณพกัจจายน-
โคตร ชื่อปุณณกะ ญาติและพวกพ้องของข้าพระองค์

อยู่ในนครกาลจัมปากะ แคว้นอังคะย่อมเรียกข้าพระ-
องค์อย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ข้าพระองค์
มาถึงในนี้ด้วยต้องการจะเล่นพนันสกา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนูนนาโม ความว่า ได้กล่าวปกปิด
เฉพาะชื่อเต็มเท่านั้นโดยชื่อที่บกพร่องนั้น. บทว่า อิติ มาหุยนฺติ ความว่า
พวกญาติย่อมกล่าวย่อมเรียกข้าพเจ้าดังนี้. บทว่า องฺเคสุ ความว่า อยู่ใน
นครกาลจัมปากะ ในอังครัฐ. บทว่า อตฺเถน เทวสฺมิ ความว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์มาถึงในที่นี้ด้วยประสงค์จะเล่นสกา.
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะตรัสถามปุณณกยักษ์นั้นว่า ดูก่อนมาณพ
ท่านผู้ที่พระราชาชำนะด้วยสกา จักถวายอะไรแก่พระราชาท่านมีอะไรหรือ
จึงตรัสพระคาถาว่า
พระราชาผู้ทรงชำนาญการเล่นสกา เมื่อชนะ
ท่านจึงพึงนำเอาแก้วเหล่าใดไป แก้วเหล่านั้นของ
มาณพมีอยู่หรือ แก้วของพระราชามีอยู่จำนวนมาก
ท่านเป็นคนเข็ญใจ จะมาพนันกะพระราชาเหล่านั้นได้
อย่างไร.

คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายดังนี้ แก้วเหล่านั้นของมาณพผู้เจริญมีอยู่
หรือ. บทว่า เย ตํ ชินนฺโต ความว่า พระราชตรัสว่า ท่านผู้ชำนาญ
เล่นสกา เมื่อท่านชำนะเขาแล้ว ท่านกล่าวว่า จงนำมา ดังนี้แล้ว พึงนำไป
แต่แก้วเป็นอันมากมีอยู่ในพระนิเวศน์ของพระราชาทั้งหลาย ท่านเป็นคนจน
ท่านจะเอาทรัพย์เป็นค่าเดิมพันพนันกะพระราชาเหล่านั้น ผู้มีทรัพย์มากอย่างนี้
ได้อย่างไร ?
ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์ทูลว่า

แก้วมณีของข้าพระองค์ดวงนี้ ชื่อว่า สามารถนำ
ทรัพย์มาให้ได้ดังใจปรารถนา นักเลงเล่นสกาชนะ
ข้าพระองค์แล้ว พึงนำแก้วมณีดวงประเสริฐสามารถ
นำทรัพย์มาให้ได้ดังใจปรารถนา และม้าอาชาไนย
เป็นที่เกรงขามของศัตรูนี้ไป.

ก็ในบาลีโปตถกะ ท่านลิขิตไว้ว่า แก้วมณีของข้าพระองค์นี้ มีสีแดง
ก็แก้วมณีนั้นเป็นแก้วไพฑูรย์ เพราะฉะนั้นคำนี้แหละจึงสมกัน. บรรดาบท
เหล่านั้น. บทว่า อาชญฺญํ ความว่า นักเลงผู้ชำนาญเล่นสกาชนะแล้วพึงนำสิ่ง
ทั้งสองของเรานี้คือ ม้าอาชาไนยและแก้วมณีนี้ไป เพราะฉะนั้น ปุณณกยักษ์
เมื่อจะแสดงม้าจึงได้กล่าวอย่างนั้น.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วจึงตรัสพระคาถาว่า
ดูก่อนมาณพ แก้วมณีดวงเดียวจักทำอะไรได้
อนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเดียวจักอะไรได้ แก้วของ
พระราชามีเป็นอันมาก ม้าอาชาไนยมีกำลังรวดเร็วดัง
ลมของพระราชามีมิใช่น้อย.

จบโทหฬินีกัณฑ์
ปุณณกยักษ์นั้นได้สดับพระดำรัสของพระราชาดังนั้นแล้ว จึงกราบทูล
ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เพราะเหตุไรพระองค์จึงตรัสดังนั้น ม้าของข้าพระองค์ตัว
เดียวเท่ากับม้าพันตัว แก้วมณีของข้าพระองค์ดวงเดียวเท่ากับแก้วพันดวง ม้า
ทั้งปวงจะเทียมเท่าม้าของข้าพระองค์ตัวเดียวหามิได้ ขอพระองค์ทอดพระเนตร
ดูความว่องไวของม้าตัวนี้ก่อน แล้วเผ่นขึ้นม้าขับไปโดยเบื้องบนแห่งกำแพง
พระนครที่กว้าง 7 โยชน์ ได้ปรากฏประหนึ่งว่าม้าเอาคอจดกันเรียงล้อม

พระนคร ถ้าม้าวิ่งเร็วกว่าลำดับนั้นไปก็ไม่ปรากฏ. แม้ยักษ์ก็ไม่ปรากฏ มีแต่
ผ้าแดงคาดพุงเท่านั้น ได้ปรากฏดังผ้าแดงผืนเดียววงรอบพระนคร ปุณณกยักษ์
ลงจากหลังม้ากราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกำลัง
เร็วแห่งม้าแล้วหรือ เมื่อท้าวเธอตรัสบอกว่า เออมาณพเราเห็นแล้ว จึงกราบทูล
ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์จงทอดพระเนตรดูอีกในกาลบัดนี้ แล้วขับม้าไป
บนหลังน้ำในสระโบกขรณีที่อุทยานภายในพระนคร ม้าได้วิ่งไปมิได้ให้ปลาย
กีบเปียกเลย. ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์ให้ม้าวิ่งควบไปบนใบบัว ตบมือแล้ว
เหยียดมือออก ม้าวิ่งเผ่นมาหยุดอยู่ที่ฝ่ามือ. ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์กราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งนรชน ม้าเห็นปานนี้ ควรจะจัดเป็นม้าแก้ว
หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า เมื่อพระองค์ตรัสว่า ควรมาณพ จึงกราบทูลอีกว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ม้าแก้วยกไว้ก่อนเถิด พระองค์จงทอดพระเนตรดู
อานุภาพแห่งแก้วมณี ดังนี้แล้วเมื่อจะประกาศอานุภาพแห่งแก้วมณีนั้น จึง
กล่าวคาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดในทวีป ขอพระองค์จง
ทอดพระเนตรดูแล้วมณีของข้าพระองค์นี้ รูปหญิง
และรูปชาย รูปเนื้อและรูปนกมิใช่น้อย ย่อมปรากฏ
อยู่ในแก้วมณีนี้ หมู่เนื้อและหมู่นกต่างชนิด ย่อม
ปรากฏอยู่ในแก้วมณีนี้ พระยานาคและพระยาครุฑก็
ปรากฏอยู่ในแล้วมณีนี้ เชิญพระองค์ทอดพระเนตร
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีนี้
พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิตฺถีนํ ความว่า รูปหญิงมิใช่น้อย ที่
ประดับตกแต่งในแก้วมณีนั้น รูปชายก็เหมือนกัน หมู่เนื้อและนกมีประการ
ต่างๆ หมู่เสนาเป็นต้นย่อมปรากฏ เมื่อจะประกาศสิ่งเหล่านั้น จึงได้ทูลอย่างนั้น.

ด้วยบทว่า นิมฺมิตํ นี้ ปุณณกยักษ์กล่าวว่า ขอพระองค์จงทอดพระเนตร
ดูสิ่งอันน่าอัศจรรย์เห็นปานนี้อันธรรมดาสร้างไว้ในแก้วมณีนี้ เมื่อจะแสดงแม้
สิ่งอื่น ๆ อีกจึงกล่าวคาถาว่า
ขอพระองค์จงทอดพระเนตรจตุรงคินีเสนาคือ
กองช้าง กองม้า กองรถ และ กองเดินเท้าอันสวม
เกราะ อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้ เชิญ
ทอดพระเนตรพลทหารที่จัดไว้เป็นกรม ๆ คือกองช้าง
กองม้า กองรถ กองราบ อันธรรมดาสร้างสรรไว้ใน
แก้วมณีดวงนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พลคฺคานิ แปลว่า กองพลนั้นเอง.
บทว่า วิยูหานิ ได้แก่ ตั้งด้วยอำนาจกระบวน.
ขอเชิญทอดพระเนตรพระนครอันสมบูรณ์ด้วย
ป้อม มีกำแพงและค่ายเป็นอันมาก มีถนนสามแพร่ง
สี่แพร่ง มีพื้นราบเรียบ อันธรรมดาสร้างสรรไว้ใน
แก้วมณีดวงนี้ ขอเชิญทอดพระเนตรเสาระเนียด เสา
เขื่อน กลอนประตู ซุ้มประตูกับประตู อันธรรมดา
สร้างสรรไว้ในแก้วมณีดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรํ แปลว่า พระนคร. บทว่า
อฏฺฏาลสมฺปนฺนํ ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยป้อมและเชิงเทิน. บทว่า พหุปาการ-
โตรณํ
แปลว่า มีกำแพงรั้วค่ายอันสูง. บทว่า สีฆาฏเก แปลว่า ถนน
สี่แพร่ง. บทว่า สุภูมิโย ความว่า มีพื้นอันน่ารื่นรมย์วิจิตรด้วยอุปจารแห่ง
นคร. บทว่า เอสิกา ได้แก่เสาระเนียดที่ตั้งขึ้นที่ประตูพระนคร, บทว่า
ปลีฆํ ได้แก่ กลอนเหล็ก อีกอย่างหนึ่งบาลีก็อย่างนี้แล. บทว่า อคฺคฬานิ

ได้แก่ ประตูพระนครและหน้าต่าง. บทว่า อฏฺฏาลเก จ แปลว่า ซุ้ม
ประตู.
ขอเชิญทอดพระเนตรฝูงนก นานาชนิดมากมาย
ที่เขาค่ายและหนทาง คือ ฝูงหงส์ นกกะเรียน นกยูง
นกจากพราก และนกเขา อันธรรมดาสร้างสรรไว้ใน
แก้วมณีดวงนี้ ขอเชิญทอดพระเนตรพระนครอัน
เกลื่อนกล่น ไปด้วยฝูงนกต่างๆ คือ นกดุเหว่าดำ
ดุเหว่าลาย ไก่ฟ้า นกโพระดก เป็นจำนวนมาก อัน
ธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โตรณมคฺเคสุ ได้แก่ ที่เสาค่ายและหน
ทางในพระนครนี้. บทว่า กุณาลกา แปลว่า นกดุเหว่าดำ. บทว่า จิตฺรา
ได้แก่ นกดุเหว่าลาย.
ขอเชิญทอดพระเนตรพระนครอันแวดล้อมไป
ด้วยกำแพง เป็นนครน่าอัศจรรย์ ขนพองสยองเกล้า
เขาชักธงขึ้นประจำ ลาดด้วยทรายทองอันน่ารื่นรมย์
อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้ เชิญทอด
พระเนตรร้านตลาดอันบริบูรณ์ด้วยสินค้าต่าง ๆ เรือน
สิ่งของในเรือน ถนนซอย ถนนใหญ่ อันธรรมดา
สร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุปาการํ ได้แก่ แวดล้อมไปด้วยกำแพง
แก้ว. บทว่า ปณฺณสาลาโย ได้แก่ ร้านตลาดอันพรั่งพร้อมไปด้วยสินค้า
นานาชนิด. บทว่า นิเวสเน นิเวเส จ ได้แก่ เรือน และสิ่งของในเรือน.

บทว่า สนฺธิพฺยูฬเห1 ได้แก่ ที่ต่อแห่งเรือน และตรอกน้อย. บพว่า
นิพฺพิทฺธวีถิโย ได้แก่ ถนนใหญ่.
ขอเชิญทอดพระเนตรโรงขายสุรา นักเลงสุรา
พ่อครัว โรงครัว พ่อค้า และหญิงแพศยา อันธรรม-
ดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้ ขอเชิญทอดพระเนตร
ช่างดอกไม้ ช่างย้อม ช่างปรุงของหอม ช่างทอผ้า
ช่างทอง และช่างแก้วอันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้ว
มณีดวงนี้ ขอเชิญทอดพระเนตร ช่างของหวาน ช่าง
ของคาว นักมหรสพ บางพวกฟ้อนรำขับร้อง บาง
พวกปรบมือ บางพวกตีฉิ่ง อันธรรมดาสร้างสรรไว้
ในแก้วมณีดวงนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสณฺเฑ จ ความว่า โรงสุราอันประ-
กอบด้วยเครื่องประดับคอและเครื่องประดับหูอันสมควรแก่ตน และนักเลงสุรา
ผู้นั่งจัดแจงที่ดื่มสุรา. บทว่า อาฬาริเก แปลว่า พ่อครัว. บทว่า สูเท
แปลว่า ผู้ปรุงอาหาร. บทว่า ปาณิสฺสเร ความว่า ขับร้องด้วยการตบมือ.
บทว่า กุมฺภถูนิเก แปลว่า พวกตีฉิ่ง.
ขอเชิญทอดพระเนตรกลอง ตะโพน สังข์
บัณเฑาะว์ มโหรทึก และเครื่องดนตรีทุกอย่าง อัน
ธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้ ขอเชิญทอด
พระเนตรเปิงมาง กังสดาล พิณ การฟ้อนรำขับร้อง
เครื่องดนตรีดีดสีตีเป่า อันเขาประโคมครึกครื้น อัน
ธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้ ขอเชิญทอด
พระเนตรนักกระโดด นักมวยปล้ำ นักเล่นกล หญิง


1. บาลีว่า สนฺธิพฺยูเห.

งาม ชายงาม คนเฝ้ายาม และช่างตัดผม อัน
ธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺมตาลํ ได้แก่ ตะโพน ที่ทำด้วยไม้
ตะเคียนเป็นต้นและกังสดาล. บทว่า ตุริยตาฬิตสํฆุฏฺฐํ ได้แก่ เครื่องดนตรี
ต่างๆ ที่เขาประโคมไว้อย่างครึกครื้นเป็นอันมาก. บทว่า มุฏฺฐิกา ได้แก่นก
มวยปล้ำ. บทว่า โสภิยา ได้แก่ หญิงงามเมือง และชายรูปงาม. บทว่า
เวตาลิเก ได้แก่ ผู้ทำกาลเวลาให้ปรากฏขึ้น. บทว่า ชลฺเล ได้แก่ ช่างตัด
ผมกำลังปลงผมและหนวดอยู่.
ในแก้วมณีดวงนี้ มีงามมหรสพอันเกลื่อนกล่น
ไปด้วยชายหญิง ขอเชิญทอดพระเนตรพื้นที่เป็นที่เล่น
มหรสพ บนเตียงที่ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ อันธรรมดา
สร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มญฺจาติมญฺเจ ได้แก่ เตียงที่ผูกไว้ข้างบน
แห่งเตียงใหญ่. บทว่า ภูมิโย ได้แก่ ภูมิที่แสดงมหรสพ อันน่ารื่นรมย์.
ขอพระองค์จงทอดพระเนตรดูพวกนักมวย ซึ่ง
ต่อยกันด้วยแขนทั้งสองอยู่ในสนามเล่นมหรสพ ทั้งผู้
ชนะและผู้แพ้ อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณี
ดวงนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺมชฺชสฺมึ แปลว่า ในสนามมวย.
บทว่า นีหเต แปลว่า ผู้กำจัด คือชนะตั้งอยู่. บทว่า นีหตมาเน แปลว่า
ผู้แพ้.
ขอเชิญทอดพระเนตรฝูงเนื้อต่าง ๆ เป็นอันมาก
ที่เชิงภูเขา คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง ช้าง หมี หมาใน

เสือดาว แรด โคลาน กระบือ ละมั่ง กว้าง เนื้อ
ทราย ระนาด วัว สุกรบ้าน ชะมด แมวป่า
กระต่าย และกระแต ซึ่งมีอยู่มากมายหลายหลาก
ขอเชิญทอดพระเนตรฝูงเนื้อต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่เกลื่อน-
กลาด อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปลสตา แปลว่า เนื้อแรด. บาลีว่า
พลสตา ดังนี้ก็มี. บทว่า ควชา แปลว่า โคลาน. บทว่า สรภา ได้แก่ เนื้อ
ชนิดหนึ่ง ระมาดและสุกรบ้าน. บทว่า พหู จิตฺรา ได้แก่ เนื้ออันวิจิตรโดย
ประการต่างๆ. บทว่า วิฬารา แปลว่า แมวป่า. บทว่า สสกณฺณกา
ได้แก่ กระต่ายและกระแต.
ในแก้วมณีดวงนี้ มีแม่น้ำอันมีท่า อันราบเรียบ
ลาดด้วยทรายทอง มีน้ำใสสะอาดไหลไปไม่ขาดสาย
เป็นที่อาศัยแห่งฝูงปลา อนึ่ง ในแม่น้ำนี้มีฝูงจระเข้
มังกร ปลาฉลาม เต่า ปลาสลาด ปลากระบอก
ปลากด ปลาเค้า ปลาตะเพียน ท่องเที่ยวไปมา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นชฺชาโย แปลว่า แม่น้ำ. บทว่า
โสวณฺณพากุลสณฺฐิตา ความว่า มีพื้นตั้งอยู่ราบเรียบลาดด้วยทรายทอง.
บทว่า กุมฺภิลา ความว่า สัตว์เหล่านี้ มีรูปเห็นปานนี้เที่ยวสัญจรไปมาใน
แม่น้ำ เชิญทอดพระเนตรสัตว์แม้เหล่านั้นที่ธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีนี้.
เชิญทอดพระเนตร ขอบสระโบกขรณี อันก่อ
สร้างด้วยแผ่นแก้วไพฑูรย์ เกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงนก
นานาชนิดดารดาษไปด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ อัน
ธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวฬุริยผลกโรทาโย ความว่า ฝูงนก
ป่าพากันเคาะแผ่นหินอันล้วนแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ส่งเสียงร้องเพราะเสียง
แก้วมณีนั้น.
ขอเชิญทอดพระเนตรดูสระโบกขรณีในแก้วมณี
ดวงนี้ อันธรรมดาสร้างสรรไว้เรียบร้อยทั้ง 4 ทิศ
เกลื่อนกล่นด้วยฝูงนกต่างชนิด เป็นที่อยู่อาศัยของ
ปลาใหญ่ ๆ ขอเชิญทอดพระเนตรแผ่นดิน อันมีน้ำ
ล้อมโดยรอบ เป็นกุณฑลแห่งสาครประกอบด้วยทิว
ป่า (เขียวขจี) อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุถุโลมจฺฉเสวิตา แปลว่า เป็นที่อยู่
อาศัยของฝูงปลา. บทว่า วนราเชภิ แปลว่า ด้วยทิวป่าเป็นดังเทริดประดับ.
อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้.
เชิญทอดพระเนตรบุพวิเทหทวีป อมรโคยาน
ทวีป อุตรกุรุทวีป และชมพูทวีป ขอเชิญทอดพระ-
เนตรสิ่งอัศจรรย์ อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณี
ดวงนี้ พระเจ้าข้า ขอเชิญทอดพระเนตรพระจันทร์
และพระอาทิตย์ อันเวียนรอบสิเนรุบรรพต ส่องสว่าง
ไปทั่ว 4 ทิศ ขอเชิญทอดพระเนตรสิ่งอัศจรรย์ อัน
ธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้ ขอเชิญทอด
พระเนตรสิเนรุบรรพต หิมวันตบรรพต สมุทรสาคร
แผ่นดินใหญ่ และท้าวมหาราชทั้ง 4 อันธรรมดา
สร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้ ขอเชิญทอดพระเนตร
พุ่มไม้ในสวน แผ่นหินและเนินหินอันน่ารื่นรมย์เกลื่อน

กล่นไปด้วยพวกกินนร อันธรรมดาสร้างสรรไว้ใน
แก้วมณีดวงนี้ ขอเชิญทอดพระเนตรสวนสวรรค์ คือ
ปารุสกวัน จิตตลดาวัน มิสสกวันและนันทวัน ทั้ง
เวชยันตปราสาท อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณี
ดวงนี้ ขอเชิญทอดพระเนตรสุธรรมเทวสภา ต้นปาริ-
ฉัตตกพกฤษ์อันมีดอกแย้มบาน และพระยาช้าง
เอราวัณซึ่งมีอยู่ในดาวดึงส์พิภพ อันธรรมดาสร้างสรร
ไว้ในแก้วมณีดวงนี้ ขอเชิญทอดพระเนตรเถิด พระ-
เจ้าข้า ขอเชิญทอดพระเนตรดูเหล่านางเทพกัญญาอัน
ทรงโฉมล้ำเลิศ ดังสายฟ้าแลบออกจากกลีบเมฆเที่ยว
เล่นอยู่ในนันทวันนั้น อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้ว
มณีดวงนี้ ขอเชิญทอดพระเนตรเถิดพระเจ้าข้า ขอ
เชิญทอดพระเนตรเหล่าเทพกัญญาผู้ประเล้าประโลม
เทพบุตร อภิรมย์เหล่าเทพกัญญาอยู่ในนันทนวันนั้น
อันธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิเทเห ได้แก่ บุพวิเทหทวีป. บทว่า
โคยานิเย จ ได้แก่ อมรโคยานทวีป. บทว่า กุรุโย ชมฺพูทีปญฺจ ได้แก่
อุตรกุรุทวีปและชมพูทวีป. บทว่า อนุปริยายนฺเต ความว่า ซึ่งพระจันทร์
และพระอาทิตย์เหล่านั้น เวียนรอบภูเขาสิเนรุ. บทว่า ปาฏิเย ความว่า
หลังแผ่นหินดุจตั้งลาดไว้.
ขอเชิญทอดพระเนตรปราสาทมากกว่าพัน ใน
ดาวดึงส์พิภพ พื้นลาดด้วยแผ่นแก้วไพฑูรย์ มีรัศมี
รุ่งเรือง อันธรรมสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้ ขอ

เชิญทอดพระเนตรสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้น
ดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้นปรนิมมิตวสวัสดี อัน
ธรรมดาสร้างสรรไว้ในแก้วมณีดวงนี้ ขอเชิญทอด
พระเนตรสระโบกขรณีในสวรรค์ชั้นนั้น ๆ อันมีน่าใส
สะอาดดารดาษไปด้วยมณฑาลกะ ดอกปทุมและอุบล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปโรสทสฺสํ ความว่า ในปราสาทมาก
กว่าพัน ในภพชั้นดาวดึงส์.
ลายขาว 10 แห่งอันน่ารื่นรมย์ใจ ลายเหลือง
อ่อน 21 แห่ง ลายเหลืองขมิ้น 14 แห่ง ลายสีทอง
21 แห่ง ลายสีน้ำเงิน 20 ลายสีแมลงค่อมทอง 30
แห่ง มีปรากฏในแก้วมณีนี้ แก้วมณีดวงนี้มีลายดำ
16 แห่ง และลายแดง 25 แห่ง อันเจือด้วยดอกชะบา
วิจิตรด้วยนิลุบล ข้าแต่มหาราชผู้สูงสุดกว่าปวงชน
ขอเชิญทอดพระเนตรแก้วมณีดวงนี้ อันสมบูรณ์ด้วย
องค์ทั้งปวงมีรัศมีรุ่งเรืองผุดผ่องอย่างนี้ ผู้ใดจักชนะ
ข้าพระองค์ด้วยการเล่นสกา แก้วมณีดวงนี้ จักเป็น
ส่วนค่าพนันของผู้นั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทเสตฺถ ราชิโย ความว่า ลายขาว 10
แห่ง มีอยู่ในแท่งแก้วมณีนั้น. บทว่า ฉ ปิงฺคลา ปณฺณรส แปลว่า ลายเหลือง
อ่อน 21 แห่ง. บทว่า หลิทฺทา แปลว่า ลายเหลืองขมิ้น 14 แห่ง. บทว่า
ตึสติ ความว่า ลายสีแมลงค่อมทอง 30 แห่ง. บทว่า ฉ จ ความว่า ลาย
สีดำ 16 แห่ง. บทว่า มญฺเชฏฺฐา ปญฺจวีสติ ความว่า โปรดทอดพระ-
เนตรลายสีแดง 25 แห่ง. บทว่า มิสฺสา พนฺธุกปุปฺเผหิ ความว่า ขอจง

ทอดพระเนตรลายสีดำอันวิจิตร ลายสีแดงเจือด้วยดอกเหล่านั้นอันวิจิตร จริง
อยู่ในแก้วมณีนี้มีลายดำลายสีแดงเจือด้วยดอกชะบาวิจิตรด้วยดอกอุบลเขียว.
บทว่า โอธิสุงฺกํ แปลว่า เป็นส่วนค่าพนัน. ปุณณกยักษ์กล่าวว่า ผู้ชำนะเรา
ด้วยการเล่นสกา แก้วมณีนี้จะเป็นส่วนค่าพนันของผู้นั้น. ก็บาลีในอรรถกถาว่า
โหตุ สุงฺกํ มหาราช จงเป็นส่วยของพระมหาราช ดังนี้ก็มี คำนั้นมีอธิบาย
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่าสัตว์สองเท้า พระองค์จงทอดพระเนตร แก้วมณี
นี้คือเห็นปานนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า แก้วมณีนี้เป็นส่วยของข้าพระองค์ ผู้ใดชนะ
ข้าพระองค์ด้วยการเล่นสกา แก้วมณีนี้เป็นส่วยของผู้นั้น.
จบมณิกัณฑ์
ปุณณกยักษ์ ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า
แม้ถ้าพระองค์ทรงชนะข้าพระองค์ด้วยสกาก่อน ข้าพระองค์จักถวายแก้วมณีนี้
แต่หากข้าพระองค์ชนะ พระองค์จะประทานอะไรแก่ข้าพระองค์. พระเจ้า
ธนัญชัยตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ยกเว้นตัวของเราและเศวตฉัตรกับพระมเหสีเสีย ของ
ที่เหลือซึ่งเป็นของ ๆ เรา เรายกให้เป็นส่วยสำหรับท่าน. ปุณณกยักษ์ทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ถ้าอย่างนั้น พระองค์อย่าชักช้าเลย เพราะข้าพระองค์
มาแต่ไกล โปรดให้จัดแจงโรงสกาเสียเถิด พระราชารับสั่งให้พวกอำมาตย์จัด
แจงแล้ว. อำมาตย์เหล่านั้นจัดแจงโรงเล่นสกาโดยเร็ว ปูพระที่นั่งด้วยเครื่อง
ลาดอันวิจิตรงดงามสำหรับพระราชา ตกแต่งอาสนะถวายพระราชาที่เหลือ และ
ตกแต่งอาสนะอันสมควรแก่ปุณณกยักษ์ เสร็จแล้วกราบบังคมทูลกำหนดกาล
แด่พระราชา.
ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์ได้กราบทูลพระราชาด้วยคาถาว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า กรรมในโรงเล่นสกา
สำเร็จแล้ว เชิญพระองค์ไปทรงเล่นสกา แก้วมณีเช่น
นี้ ของพระองค์ไม่มี เราพึงชนะกันโดยธรรม อย่า
ชนะกันโดยไม่ชอบธรรม ถ้าข้าพระองค์ชนะพระองค์
ไซร้ ขอพระองค์อย่าได้ทรงทำให้เนิ่นช้า.

คำเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า กรรมในโรงสกาถึงเข้าแล้ว
คือสำเร็จแล้ว แก้วมณีเช่นนี้นี่ ไม่มีแก่พระองค์ ขอพระองค์อย่าได้ทรงทำ
ให้เนิ่นช้า. บทว่า อุเปหิ ลกฺขํ ความว่า ขอพระองค์จงทรงเข้าไปสู่โรง-
สกา อันเป็นสถานที่เล่นด้วยสกาทั้งหลาย และเมื่อเล่น เราทั้งหลายพึงชนะ
กันโดยชอบธรรมเท่านั้น ความชนะจงมีแก่เราทั้งหลายโดยสงบเถิด ก็ถ้า
ข้าพระองค์พึงชนะไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์จงอย่าชักช้าจงรีบกระทำทีเดียว
เพราฉะนั้นพระองค์ไม่พึงกระทำให้เนิ่นช้า พึงให้ทรัพย์ที่ข้าพระองค์ชนะแล.
ลำดับนั้นพระราชาจึงตรัสกะปุณณกยักษ์นั้นว่า ดูก่อนมาณพ ท่าน
อย่ากลัวเราว่าเป็นพระราชา ชัยชนะหรือปราชัยจักมีโดยธรรมเท่านั้น ความ
ชนะและแพ้ของเราจักมีโดยสงบ.
ปุณณกยักษ์ได้สดับดังนั้น จึงทูลว่า ขอพระองค์ทั้งหลายจงทรงทราบ
ความชนะและแพ้ของเราทั้งสองก็โดยธรรมเท่านั้น ดังนี้แล้ว เมื่อจะกระทำ
พระราชาเหล่านั้นให้เป็นพยานจึงกล่าวคาถาว่า
ข้าแต่พระสุรเสนผู้ปรากฏในกรุงปัญจาละ พระ-
เจ้ามัจฉราชและพระเจ้ามัททราช ทั้งพระเจ้าเกกกะราช
พร้อมด้วยชาวชนบท ขอจงทอดพระเนตรดู ข้าพเจ้า
ทั้งสองจะสู้กันด้วยสกา กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี

ไม่ได้ทำสักขีพยานไว้แล้ว ย่อมไม่ทำกิจอะไร ๆ ใน
ที่ประชุม.
บรรดาบทเหล่านั้น ปุณณกยักษ์เรียกพระเจ้าปัญจาลราชนั่นแลว่า
ปัจจุคคตา เพราะเป็นผู้เลื่องชื่อคือผู้ปรากฏ ลือเด่น. บทว่า มจฺฉา จ
ความว่า ข้าแด่พระสหาย ก็พระองค์เป็นพระราชาในมัจฉรัฐ. บทว่า มทฺทา
ความว่า ข้าแต่พระเจ้ามัททราช. บทว่า สห เกกเกภิ ความว่า ข้าแต่พระเจ้า
วัตตมานเกกกะราชพระองค์พร้อมด้วยชาวชนบทชื่อเกกกะ อีกอย่างหนึ่ง
บัณฑิตวาง สห ศัพท์ ไว้หลังบทว่า เกกเกภิ และกระทำศัพท์ว่า ปจฺจุคฺคต
ให้เป็นบทวิเสสนะ ของบทว่า สูรเสน แล้วพึงทราบความในคาถานี้อย่างนี้ว่า
พระเจ้าสูรเสนมัจฉะผู้ปรากฏในแคว้นปัญจาละและพระเจ้ามัททะ พระเจ้าเกกกะ
และพระราชาที่เหลือพร้อมด้วยขาวชนบทชื่อว่า เกกกะ. บทว่า ปสฺสตุ โน เต
ความว่า ขอพระราชเหล่านั้นจงดูการต่อสู้กันเป็นคะแนนด้วยสกาของเราทั้ง
สอง. บทว่า โน ในบทว่า น โน สภายํ กโรนฺติ กญฺจิ นี้ เป็นเพียงนิบาต.
ความว่า กษัตริย์ทั้งหลายก็ดี พราหมณ์ทั้งหลายก็ดี ย่อมไม่กระทำใคร ๆ ให้
เป็นพยานในที่ประชุม แต่ย่อมกระทำตามธรรมเนียม เพราะฉะนั้น ปุณณกยักษ์
จึงได้กระทำยักษ์เสนาบดีให้เป็นพยานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจักไม่ได้กล่าวว่า
เหตุอันไม่สมควรอะไรจะเกิดว่า ที่เราไม่ยอมรับฟัง เราไม่ยอมรับเห็น พวก
ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด
ลำดับนั้น พระเจ้าธนัญชัยโกรพยราช มีพระราชา 101 พระองค์
แวดล้อมเป็นบริวาร ทรงพาปุณณกยักษ์เสด็จเข้าสู่โรงเล่นสกา พระราชาแม้
ทั้งหมดและปุณณกยักษ์ต่างก็ประทับนั่งและนั่งบนอาสนะอันสมควรแล้ว. เจ้า
พนักงานก็ยกกระดานสกาที่ทำด้วยเงิน และลูกบาศก์ที่ทำด้วยทองมาตั้งลงใน
ท่ามกลาง. ฝ่ายปุณณกยักษ์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรง

ทอดสกาเร็ว ๆ ลูกบาศก์สกาทั้งหลายจัดเป็น 24 ลูก มีชื่อว่า มาลี สาวดี พหุลี
และสันติภัทรเป็นต้น ในลูกบาศก์สกาเหล่านั้น ขอพระองค์ทรงถือลูกบาศก์
ลูกที่ชอบพระทัยของพระองค์เถิด. พระราชาตรัสว่า ดีละ แล้วทรงถือเอาลูก
บาศก์ที่ชื่อว่า พหุลี ปุณณกยักษ์ถือเอาลูกบาศก์ที่ชื่อว่า สาวดี ขณะนั้นพระ
ราชาตรัสกะปุณณกยักษ์ว่า ดูก่อนมาณพ ถ้ากระนั้นท่านจงทอดลูกสกาก่อน.
ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า วาระที่ข้าพระองค์จะทอดยังไม่
ถึง ขอพระองค์ทรงทอดก่อนเถิดพระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับว่า ดีละ. ก็
อารักขเทวดาที่เคยเป็นพระชนนีของท้าวเธอในอัตภาพที่ 3 มีอยู่ พระราชา
ทรงชนะด้วยสกา เพราะอานุภาพแห่งอารักขเทวดานั้น. อารักขเทวดานั้น
ได้สถิตอยู่ในที่ใกล้แห่งพระราชานั้น. พระราชาทรงระลึกถึงนางเทพธิดานั้น
เมื่อจะทรงทอดสกาจึงตรัสพระคาถาว่า
ข้าแต่มารดา ขอมารดาจงดูแลข้าพเจ้าด้วย
โปรดช่วยให้ความชนะปรากฏแก่ข้าพเจ้า ข้าแต่มารดา
ขอมารดาจงช่วยอนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้า เพราะเดชแห่ง
มารดา ความชนะมากจะมีแก่ข้าพเจ้า ลูกบาศก์ที่ทำ
ด้วยทองชมพูนุท 4 เหลี่ยมจตุรัส กว้างและยาว 8 นิ้ว
รุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางบริษัทดุจแก้วมณีมีรัศมีสว่าง
ไสว ที่ข้าพเจ้าจะทอดลง ณ บัดนี้ ขอให้พลิกขึ้นตาม
ใจหวัง ข้าแต่เทวดา จงให้ความชนะแก่ข้าพเจ้า จง
เห็นแก่ข้าพเจ้าผู้มีโภคสมบัติน้อย อันคนที่มารดาคอย
ช่วยอนุเคราะห์อยู่แล้ว ย่อมจะเห็นแต่ความเจริญทุก
เมื่อ ลูกบาศก์สกาชื่อมาลี ท่านกล่าวว่ามี 8 แต้ม ลูก
บาศก์สกาชื่อสาวดี ท่านกล่าวว่ามี 6 แต้ม ลูกบาศก์

สกาชื่อพหุลรทราบว่ามี 4 แต้ม ลูกบาศก์สกาชื่อสันติ-
ภัทรทราบว่า มี 2 แต้ม และกระดานสกานั้น ท่าน
ผู้รู้ประกาศว่ามี 24 ตา.

พระราชาครั้นทรงขับเพลงสกาแล้ว ทรงพลิกลูกบาศก์ด้วยพระหัตถ์
โยนขึ้นไปในอากาศ ด้วยอานุภาพแห่งปุณณกยักษ์ ลูกบาศก์จะยังพระราชา
ปราชัย ย่อมตกลงไม่ดี. พระราชทรงฉลาดในศิลปศาสตร์สกา เมื่อทราบว่า
ลูกบาศก์หมุนตกลงจะทำพระองค์ให้ปราชัย ทรงรับไว้เสียก่อนในอากาศ ทรง
จับโยนขึ้นไปใหม่ในอากาศ. แม้ครั้งที่ 2 ก็ทรงทราบลูกบาศก์ตกลงจะทำให้
พระองค์ปราชัย จึงทรงรับไว้อย่างนั้นเหมือนกัน. ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์ดำริ
ว่า พระราชาองค์นี้เล่นสกากับยักษ์ผู้เช่นเรา ยังมายื่นมือรับลูกบาศก์อัน
กำลังตกลงไว้ได้ นี่เพราะเหตุอะไรหนอ เมื่อทราบว่าเพราะอานุภาพของ
อารักขเทวดาแล้ว จึงถลึงตาดูอารักขเทวดานั้น แสดงดุจดังว่าโกรธ. อารักข-
เทวดาพอปุณณกยักษ์เพ่งดูเท่านั้น ก็สะดุ้งกลัว วิ่งหนีไปถึงที่สุดเขาจักรวาล
ได้ยืนแอบตัวสั่นอยู่รัว ๆ. พระราชา ทรงโยนลูกบาศก์ขึ้นไปครั้งที่ 3 แม้จะ
ทรงทราบว่า ลูกบาศก์ตกลงแล้วจะทำพระองค์ให้ปราชัยก็หาสามารถจะทรง
เหยียดพระหัตถ์ออกรับไว้ได้ไม่ เพราะอานุภาพแห่งปุณณกยักษ์. ลูกบาศก์นั้น
ตกลงไม่ดี ยังพระราชาให้ปราชัย. ลำดับนั้นปุณณกยักษ์ทราบว่า ท้าวเธอ
ทรงปราชัย มีใจยินดีตบมือหัวเราะด้วยเสียงอันดัง 3 ครั้งว่า ข้าพเจ้าชนะแล้ว
ข้าพเจ้าชนะแล้ว ข้าพเจ้าชนะแล้วดังนี้. เสียงนั้นได้แผ่ไปทั่วชมพูทวีป.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความนั้นจึงตรัสพระคาถาว่า
พระราชาของกุรุรัฐและปุณณกยักษ์ ผู้มัวเมาใน
การเล่นสกาเข้าไปสู่โรงเล่นสกาแล้ว พระราชทรง
เลือกได้ลูกบาศก์ ที่มีโทษ ทรงปราชัย ส่วนปุณณก-

ยักษ์ชนะ พระราชาและปุณณกยักษ์ทั้งสองนั้น เมื่อ
เจ้าพนักงานเอาสกามารวมพร้อมแล้ว ได้เล่นสกากัน
อยู่ในโรงสกานั้น ปุณณกยักษ์ได้ชัยชนะ พระราชา
ผู้แกล้วกล้าประเสริฐกว่านรชน ท่านกลางพระราชา
101 พระองค์ และพยานที่เหลือ เสียงบันลือลั่นได้มี
ขึ้น ในสนามสกานั้น 3 ครั้ง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาวิสุํ ความว่า เข้าไปในโรงสกา.
บทว่า วิจินํ ความว่า พระราชา ทรงเลือกใน 24 ตา ได้ยึดในทางที่มี
โทษ คือยึดเอาทางปราชัย. บทว่า กฏมคฺคหิ ความว่า ส่วนปุณณกยักษ์
ยึดเอาชัยชนะ พระราชากับปุณณกยักษ์ทั้งสองนั้น เมื่อเจ้าพนักงานเอาสกามา
พร้อมกันในโรงเล่นสกานั้น ท่านทั้งสองได้เล่นสกาแล้ว. บทว่า รญฺญํ ความ
ว่า ครั้นปุณณกยักษ์นั้น ชนะพระราชา ผู้แกล้วกล้าประเสริฐกว่านรชนใน
ท่ามกลางแห่งพระราชา 101 และท่านผู้เป็นสักขีพยานที่เหลือ. บทว่า ตตฺถปฺ-
ปนาโท ตุมุโล พภูว
ความว่า เสียงบันลือลั่นได้มีขึ้นในมณฑลสกานั้น
3 ครั้งว่า ขอพระองค์จงทราบความที่พระราชาทรงปราชัยแล้ว ข้าพเจ้าชนะ
แล้ว ข้าพเจ้าชนะแล้ว ข้าพเจ้าชนะแล้ว.
พระราชา ครั้นทรงปราชัยแล้ว ทรงเสียพระทัยเป็นกำลัง. ลำดับ
นั้นปุณณกยักษ์เมื่อจะปลอบโยนท้าวเธอให้เบาพระทัย จึงทูลเป็นคาถาว่า
ข้าแต่พระมหาราชา เราทั้งสองผู้พยายามเล่น
สกา ความชนะและความแพ้ย่อมมีแก่คนใดคนหนึ่ง
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมชน ข้าพระองค์ชนะพระองค์
ด้วยทรัพย์อันประเสริฐแล้ว ข้าพระองค์ชนะแล้ว ขอ
พระองค์ทรงพระราชทานเสียเร็ว ๆ เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อายูหตํ ความว่า บรรดาเราทั้งสองผู้
พยายามเล่นสกา ความชนะและความแพ้ย่อมมีแก่คนใดคนหนึ่งเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น ท่านอย่าคิดว่า เราเป็นผู้แพ้แล้ว. บทว่า ฆินฺโนสิ1 ความว่า
ท่านเป็นผู้เสื่อมแล้ว. บทว่า วรนฺธเนน แปลว่า ด้วยทรัพย์อันประเสริฐ.
บทว่า ขิปฺปมาวากโรหิ ความว่า ขอพระองค์โปรดพระราชทานทรัพย์สำหรับ
เป็นค่าชัยชนะโดยฉับพลันเถิดพระเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะตรัสกะปุณณกยักษ์ว่า จงรับเอาซิ พ่อ
จึงตรัสพระคาถาว่า
ดูก่อนท่านกัจจานะ ช่าง ม้า โค แก้วมณี
กุณฑล และแก้วอันประเสริฐกว่าทรัพย์ทั้งหลายมีอยู่
ในแผ่นดินของเรา ท่านจงรับเอาเถิด เชิญขนเอาไป
ตามปรารถนาเถิด.
ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า
ช้าง ม้า โค แก้วมณี กุณฑล และแก้วอื่นใด
ที่มีอยู่ในแผ่นดินของพระองค์ บัณฑิตมีนามว่าวิธุระ
เป็นแก้วมณีอันประเสริฐกว่าทรัพย์เหล่านั้น ข้าพระ-
องค์ชนะพระองค์แล้ว โปรดพระราชทานวิธุรบัณฑิต
แก่ข้าพระองค์เถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส เม ชิโต ความว่า ข้าพระองค์ก็
ชนะพระองค์แล้ว ผู้เป็นรัตนะอันสูงสุด และพระองค์ก็เป็นผู้ประเสริฐกว่ารัตนะ
ทั้งปวง เพราะฉะนั้น เป็นอันชื่อว่า ข้าพระองค์ชนะพระองค์แล้ว พระองค์
โปรดจงทรงพระราชทานวิธุรบัณฑิตแก่ข้าพระองค์เถิด.

1. บาลีเป็น ชินฺโนสิ- ท่านเป็นผู้ชนะแล้ว.

พระราชาตรัสพระคาถาว่า
วิธุรบัณฑิตนั้นเป็นตัวของเรา เป็นที่พึ่งเป็นคติ
เป็นเกาะ เป็นที่เร้น และเป็นที่ไปในเบื้องหน้าของเรา
ท่านไม่ควรจะเปรียบวิธุรบัณฑิตนั้นกับทรัพย์ของเรา
วิธุรบัณฑิตนั้นเช่นกับชีวิตของเรา คือ เป็นตัวเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺตา จ เ ม โส ความว่า ก็วิธุร-
บัณฑิตนั้น ชื่อว่าเป็นตัวของเรา และเราได้พูดแล้วว่า เว้น ตัวเรา เศวตฉัตร
และอัครมเหสีเสีย นอกนั้นเราให้แก่ท่าน เพราะเหตุนั้น ท่านอย่ายึดวิธุร-
บัณฑิตนั้นไว้ และวิธุรบัณฑิตนั้นไม่ใช่เพียงแต่เป็นตัวของเราอย่างเดียว โดย
ที่แท้วิธุรบัณฑิตนั้น ทั้งเป็นที่พึ่ง เป็นคติ เป็นเกาะ เป็นที่เร้น และเป็นที่
ไปในเบื้องหน้าของเราอีกด้วย. บทว่า อสนฺตุเลยฺโย มม โส ธเนน
ความว่า ท่านไม่ควรเปรียบวิธุรบัณฑิตกับด้วยทรัพย์ 7 ประการของเรา.
ปุณณกยักษ์กล่าวคาถาว่า
การโต้เถียงกันของข้าพระองค์และของพระองค์
จะพึงเป็นการช้านาน ขอเชิญเสด็จไปถามวิธุรบัณฑิต
กันดีกว่า ให้วิธุรบัณฑิตนั้นแลชี้แจงเนื้อความนั้น
วิธุรบัณฑิตจักกล่าวเท่าใด คำนั้นจงเป็นอย่างนั้นแก่
เราทั้งสอง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิวรตุ เอตมตฺถํ ความว่า ขอวิธุร-
บัณฑิตนั้นนั่นแล จงประกาศว่า ท่านเป็นตัวของท่านหรือไม่. บทว่า โหตุ
กถา อุภินฺนํ ถ้อยคำที่วิธุรบัณฑิตนั่นแล จงเป็นประมาณแก่เราทั้งสอง.
พระราชาตรัสพระคาถาว่า
ดูก่อนมาณพ ท่านพูดจริงแต่ทีเดียวและไม่ผลุน
ผลัน เราถามวิธุรบัณฑิตกันเถิดนะ เราทั้งสองจงยินดี

ตามคำที่วิธุรบัณฑิตพูดนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น จ มาณว สาหสํ ความว่า ท่าน
อย่าใช้คำอำนาจกล่าวคำผลุนผลันออกไป.
ก็แลพระราชาครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงร่าเริงพระทัยพาพระราชา
101 พระองค์ และปุณณกยักษ์เข้าไปโรงธรรมสภาโดยเร็ว. วิธุรบัณฑิตลง
จากอาสนะถวายบังคมพระราชาแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ลำดับนั้น
ปุณณกยักษ์เจรจาปราศรัยกะพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่บัณฑิต เกียรติศัพท์ของ
ท่านได้ปรากฏไปในสากลโลกว่า ท่านตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่พูดเท็จแม้เพราะ
เหตุแห่งชีวิตเช่นนี้ ก็ข้าพเจ้าจักทราบความที่ท่านเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรมได้ใน
วันนี้แล แล้วกล่าวคาถาว่า
เทวดาทั้งหลายย่อมรู้จักอำมาตย์ในแคว้นกุรุรัฐ
ชื่อวิธุรบัณฑิตผู้ตั้งอยู่ในธรรม จริงหรือ การบัญญัติ
ชื่อว่าวิธุระในโลกนั้น ท่านเป็นอะไร คือเป็นทาส
หรือเป็นพระประยูรญาติของพระราชา.

ในคาถานั้น ข้าพเจ้าขอถามว่าเทวดาทั้งหลายเรียก คือกล่าวประกาศถึง
ท่านวิธุระ. ผู้เป็นอำมาตย์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมแห่งแคว้นกุรุอย่างนี้ว่า อำมาตย์ชื่อว่า
วิธุระผู้ตั้งอยู่ในธรรม ไม่พูดมุสาวาทแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต. เทพเหล่านั้น
เมื่อทราบชัดอย่างนี้ จึงได้กล่าวแต่คำสัตย์ หรือว่าเทพเหล่านั้นพูดแต่ความ
ไม่เป็นจริงเท่านั้นแล. บทว่า วิธุโรติ สํขฺยํ กตโมสิ โลเก ความว่า
ชื่อของท่านปรากฏอยู่ในโลกว่าวิธุระ ท่านประกาศเป็นไฉน คือเป็นทาสเป็น
คนชนต่ำ หรือเป็นเสมอ หรือยิ่งกว่า หรือเป็นพระประยูรญาติของพระราชา
คำที่เราถามมาแล้วนี้ท่านจงบอกแก่เราก่อนว่า ท่านเป็นทาส หรือเป็นพระ
ประยูรญาติของพระราชา.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า มาณพนี้ถามเราอย่างนี้ เราจะบอก
เขาว่าเราเป็นญาติของพระราชา เราเป็นคนสูงกว่าพระราชา หรือไม่ได้เป็น
อะไรเลยของพระราชาเช่นนี้ก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าชื่อว่าที่พึ่งในโลกนี้ จะเสมอ
ด้วยคำจริงย่อมไม่มี เราควรจะพูดคำจริงเท่านั้น เพื่อจะแสดงว่า ข้าพเจ้าไม่
ได้เป็นพระประยูรญาติของพระราชา และมิได้เป็นคนสูงกว่าพระราชา แต่ว่า
ข้าพเจ้าเป็นทาสคนใดคนหนึ่งแห่งทาส 4 จำพวก จึงกล่าว 2 คาถาว่า
ในหมู่นรชน ทาสมี 4 จำพวกคือ ทาสครอก
จำพวก 1 ทาสไถ่จำพวก 1 ทาสที่ยอมตัวเป็นข้าเฝ้า
จำพวก 1 ทาสเชลยจำพวก 1 แม้ข้าพเจ้าก็เป็นทาส
โดยกำเนิดแท้ทีเดียว ความเจริญก็ตาม ความเสื่อมก็
ตาม จะมีแก่พระราชา แม้ข้าพเจ้าจะไปยังที่อื่น ก็
คงเป็นทาสของสมมติเทพนั่นเอง ดูก่อนมาณพ พระ
ราชาเมื่อจะพระราชทานข้าพเจ้าให้เป็นค่าพนันแก่ท่าน
ก็พึงพระราชทานโดยชอบธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อามายทาสา ได้แก่ ทาสที่เกิดในท้อง
ของนางทาสีผู้มีสามีเป็นทาส. บทว่า สยํปิ เหเก อุปยนฺติ ทาสา ความ
ว่า คนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เกิดมาเป็นคนใช้เขาทั้งหมดนั้น ชื่อว่า ทาสผู้เข้า
ถึงความเป็นทาสเอง. บทว่า ภยา ปนุนฺนา ความว่า คนผู้เป็นเชลยถูก
ไล่ออกจากที่อยู่ของตน โดยราชภัยหรือโจรภัยแม้ไปสู่แดนแห่งข้าศึก ก็ชื่อ
ว่าเป็นทาสเหมือนกัน . บทว่า อทฺธา หิ โยนิโต อหํปิ ทาโส ความว่า
ดูก่อนมาณพ แม้เราก็เป็นทาสเกิดจากกำเนิดทาสเอง รวมอยู่ในกำเนิดทาส
4 จำพวกโดยส่วนเดียวแท้ๆ. บทว่า ภโว จ รญฺโญ อภโว จ ความว่า
ความเจริญหรือความเสื่อม จงมีแก่พระราชาก็ตาม ข้าพเจ้าไม่สามารถจะพูด

เท็จได้เลย. บทว่า ปรํปิ ความว่า ข้าพเจ้าแม้ไปสู่ที่ไกล ก็ต้องเป็นทาส
ของสมมติเทพอยู่ตามเดิม. บทว่า ทชฺชา ความว่า พระราชาทอดทิ้งข้าพเจ้า
เพราะทรัพย์ในการชนะแล้ว ประทานข้าพเจ้าเป็นค่าพนันแก่ท่าน จึงพึง
พระราชทานโดยธรรม คือ โดยความเป็นจริงนั่นเอง.
ปุณณกยักษ์ได้ยินดังนั้น ก็ยินดีร่าเริงปรบมืออีก แล้วกล่าวคาถาว่า
วันนี้ ความชนะได้มีแก่ข้าพระองค์เป็นครั้งที่ 2
เพราะว่าวิธุรบัณฑิตผู้เป็นปราชญ์ อันข้าพระองค์ถาม
แล้ว ได้ชี้แจงปัญหาอย่างแจ่มแจ้ง พระราชาผู้ประ-
เสริฐไม่ทรงตั้งอยู่ในธรรมหนอ ไม่ทรงยอมให้วิธุร-
บัณฑิตแก่ข้าพระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชเสฏฺโฐ ความว่า พระราชาผู้
ประเสริฐนี้ ไม่ทรงตั้งอยู่ในธรรมหนอ. บทว่า สุภาสิตํ ความว่า อัน
วิธุรบัณฑิตกล่าวดีแล้ว คือวินิจฉัยดีแล้ว. บทว่า นานุชานาสิ มยฺหํ ความ
ว่า ปุณณกยักษ์กล่าวว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ยอมให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับ
วิธุรบัณฑิต ท่านไม่ให้เพื่ออะไร.
พระราชา ได้ทรงสดับดังนั้น ทรงโทมนัสว่า วิธุรบัณฑิตนี้ ไม่
เห็นแก่ผู้มีอุปการะคุณ ผู้ให้ลาภให้ยศเช่นเรา เห็นแก่มาณพที่พึงเห็นกันเดี๋ยวนี้
แล้วทรงพระพิโรธแก่พระมหาสัตว์ ตรัสกะปุณณกยักษ์ว่า แน่ะมาณพ ถ้า
วิธุรบัณฑิตเป็นทาส ท่านจงเอาเขาไปเสีย ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาว่า
ดูก่อนกัจจานะ ถ้าวิธุรบัณฑิตชี้แจงปัญหาแก่เรา
ทั้งหลายอย่างนี้ว่า เราเป็นทาส เราหาได้เป็นญาติไม่
ท่านจงรับเอาวิธุรบัณฑิต ผู้เป็นทรัพย์อันประเสริฐกว่า
ทรัพย์ทั้งหลาย พาไปตามที่ท่านปรารถนาเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวญฺจ โน โส วิวเรตฺถ ปญฺหํ
ความว่า ถ้าวิธุรบัณฑิตเปิดเผยปัญหาอย่างนี้ว่า เราเป็นทาสหาได้เป็นญาติไม่
เลย ขอท่านจงรับเอาวิธุรบัณฑิตผู้เป็นแก้วอันประเสริฐ กว่าทรัพย์ทั้งหลาย
พาไปตามปรารถนาในบริษัทมณฑลของท่านเถิด.
จบอักขขัณฑกัณฑ์
ก็แลพระราชา ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงทรงพระดำริว่า มาณพลักพา
วิธุรบัณฑิตไปตามชอบใจ นับตั้งแต่วันที่เธอจากไป ยากที่เราจะได้ฟัง
ธรรมกถาอันไพเราะ ถึงอย่างไรเราควรขอให้เธอพักอยู่ในถิ่นของตน ถาม
ปัญหาในฆราวาสธรรมเสียก่อน ลำดับนั้นท้าวเธอทรงอาราธนาพระมหาสัตว์
นั้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่บัณฑิต เมื่อท่านจากไปแล้ว ยากที่ข้าพเจ้าจักได้ฟัง
ธรรมกถาอันไพเราะ ขอท่านพักอยู่ในถิ่นของตนเองก่อน เชิญนั่งบนธรรมาสน์
อันประดับแล้วแสดงปัญหาในฆราวาสธรรมแก่ข้าพเจ้า ณ บัดนี้ พระมหาสัตว์
รับพระบรมราชโองการว่า ดีละ พระเจ้าข้า แล้วนั่งบนธรรมาสน์ที่ประดับ
แล้ว วิสัชนาปัญหาที่พระราชาตรัสถาม ปัญหาคาถาในฆราวาสธรรมนั้น
มีดังต่อไปนี้.
ท่านวิธุรบัณฑิต คฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือนจะพึงมี
ความประพฤติอันปลอดภัยได้อย่างไร จะพึงมีความ
สงเคราะห์ได้อย่างไร จะพึงมีความไม่เบียดเบียนได้
อย่างไร และอย่างไรมาณพจึงจะชื่อว่ามีปกติกล่าวคำ
สัตย์ จากโลกนี้ไปยังโลกหน้าแล้วจะไม่เศร้าโศกได้
อย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เขมา วุตฺติ กถํ อสฺส ความว่า
คฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือน จะพึงประพฤติตนให้ปลอดภัยได้อย่างไร. บทว่า

กถนฺน อสฺส สงฺคโห ความว่า อย่างไรหนอ เขาจะพึงมีการสงเคราะห์
กล่าวคือ สังคหวัตถุ 4 ประการใด. บทว่า อพฺยาปชฺฌํ แปลว่า ความ
เป็นผู้ปราศจากทุกข์. บทว่า สจฺจวาที จ ความว่า ก็อย่างไร มาณพจะพึง
ชื่อว่ากล่าวแต่คำสัตย์. บทว่า เปจฺจ แปลว่าไปสู่ ปรโลก.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
วิธุรบัณฑิตผู้มีคติ มีความเพียร มีปัญญาเห็น
อรรถธรรมอันสุขุม กำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ได้กราบทูล
พระราชาในโรงธรรมสภานั้นว่า ผู้ครองเรือนไม่ควร
คบหญิงสาธารณะเป็นภริยา ไม่ควรบริโภคอาหารมีรส
อร่อยแต่ผู้เดียว ไม่ควรซ่องเสพถ้อยคำอันให้ติดอยู่ใน
โลก ไม่ให้สวรรค์และนิพพาน เพราะถ้อยคำเช่นนั้น
ไม่ทำให้ปัญญาเจริญได้เลย ผู้ครองเรือนพึงเป็นผู้มีศีล
สมบูรณ์ด้วยวัตร ไม่ประมาท มีปัญญาเครื่องสอดส่อง
เหตุผล มีความประพฤติถ่อมตน ไม่พึงเป็นคนตระหนี่
เหนียวแน่น เป็นผู้สงบเสงี่ยม มีวาจาน่าคบเป็นสหาย
อ่อนโยน ผู้ครองเรือนพึงเป็นผู้สงเคราะห์มิตร จำแนก
แจกทาน รู้จักจัดทำ พึงบำรุงสมณพราหมณ์ด้วย
ข้าวน้ำทุกเมื่อ ผู้ครองเรือนพึงเป็นผู้ใคร่ต่อธรรม จำ
ทรงอรรถธรรมที่ได้สดับมาแล้ว หมั่นไต่ถาม พึงเข้า
ไปหาท่านผู้มีศีล เป็นพหูสูตโดยเคารพ คฤหัสถ์ผู้
ครองเรือนจะพึงมีความประพฤติอันปลอดภัยได้อย่างนี้
จะพึงมีความสงเคราะห์ได้อย่างนี้ จะพึงมีความไม่

เบียดเบียนกันได้อย่างนี้ และมาณพพึงปฏิบัติอย่างนี้
จึงจะชื่อว่ามีปกติกล่าวคำสัตย์ จากโลกนี้แล้วไปยัง
โลกหน้า จะไม่เศร้าโศกด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ตตฺถ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
วิธุรบัณฑิตได้แสดงฆราวาสธรรมถวายพระราชาในโรงธรรมสภานั้น. บทว่า
คติมา ความว่า ชื่อว่า ผู้มีคติด้วยญาณคติอันประเสริฐ. บทว่า ธิติมา ได้แก่
ผู้มั่นคงเพราะมีความเพียรไม่ขาดสาย. บทว่า มติมา ความว่า ชื่อว่า ผู้มีปัญญา
เพราะมีปัญญาอันไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน. บทว่า อตฺถทสฺสินา ความว่า
ชื่อว่า ผู้เห็นอรรถด้วยญาณอันเห็นอรรถอันละเอียดสุขุม. บทว่า สงฺขาตา
ความว่า วิธุรบัณฑิต กำหนดรู้ธรรมได้ทั้งหมดด้วยปัญญา คือญาณเครื่องรู้
แล้ว กราบทูลคำมีอาทิว่า อย่าคบหาภริยาอันสาธารณะ ในฆราวาสธรรมนั้น
ผู้ใดผิดภรรยาของชนเหล่าอื่น ผู้นั้นชื่อว่ามีภริยาเป็นสาธารณะ ผู้เช่นนั้น
อย่าพึงมีภริยาอันเป็นสาธารณะเลย. บทว่า สาธุเมกโก ความว่า ผู้อยู่
ครองเรือน ไม่ให้โภชนะอันประณีตมีรสอร่อยแก่ชนเหล่าอื่น ไม่พึงบริโภค
แต่ผู้เดียว. บทว่า โลกายติกํ ความว่า ไม่ควรซ่องเสพวาทะอันเกี่ยวใน
ทางหายนะ อันเป็นคำพูดให้เขาหลงเชื่อ ไม่อาศัยประโยชน์ ไม่เป็นทางให้
ไปสวรรค์. บทว่า เนตํ ปญฺญาย วฑฺฒนํ ความว่า ก็ข้อนั้น เป็นทาง
ทำโลกให้ปั่นป่วน ไม่ทำให้ปัญญาเจริญ. บทว่า สีลวา ได้แก่ ประกอบ
ด้วยศีล 5 ข้อ ไม่ขาด. บทว่า วตฺตสมฺปนฺโน ความว่า ผู้อยู่ครอบครอง
เรือน ต้องเข้าถึงความประพฤติอนุวัตรตามพระราชา. บทว่า อปฺปมตฺโต
ความว่า เป็นผู้ไม่ประมาทในกุศลธรรม. บทว่า นิวาตวุตฺติ ความว่า ไม่
กระทำความเย่อหยิ่งประพฤติตนตกต่ำ รับโอวาทานุศาสนี. บทว่า อตฺถทฺโธ

ความว่า เว้นจากความตระหนี่เหนียวแน่น. บทว่า สุรโต ความว่า ประกอบ
ด้วยความสงบเสงี่ยม. บทว่า สขิโล แปลว่า ผู้มีวาจาเป็นที่ตั้งแห่งความ
รัก. บทว่า มุทุ ได้แก่ ผู้ไม่หยาบคายด้วยกายวาจาและจิต. บทว่า
สงฺคเหตา จ มิตฺตานํ ความว่า ผู้อยู่ครองเรือนพึงเป็นผู้ทำการสงเคราะห์
มิตรอันดีงาม คือ พึงสงเคราะห์ในบรรดาทานเป็นต้น อันเป็นเครื่องสงเคราะห์
กันนั้น. บทว่า สํวิภาคี ได้แก่ ทำการจำแนกทาน แก่สมณพราหมณ์ผู้
ตั้งอยู่ในธรรมเป็นต้น และแก่คนกำพร้าเป็นต้น. บทว่า วิธานวา ความว่า
พึงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยการจัดแจง ในกิจทั้งหมดอย่างนี้ว่า ในเวลานี้ควรจะไถ
เวลานี้ควรจะหว่าน. บทว่า ตปฺเปยฺย ความว่า พึงบรรจุภาชนะที่ตนรับ
แล้ว ๆ ให้เต็มแล้ว เมื่อให้พึงพอใจ. บทว่า ธมฺมกาโม ความว่า ผู้ครอง
เรือน พึงเป็นผู้ใคร่ปรารถนาประเพณีธรรมบ้างสุจริตธรรมบ้าง. บทว่า
สุตาธาโร ความว่า เป็นผู้ทรงสุตะ. บทว่า ปริปุจฺฉโก ความว่า ผู้อยู่ครอง
เรือนพึงเข้าไปหาสมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรม แล้วมีปกติ ไต่ถามด้วยคำมีอาทิว่า
อะไรเป็นกุศลนะขอรับ. บทว่า สกฺกจฺจํ แปลว่า โดยความเคารพ. บทว่า
เอวํ นุ อสฺส สงฺคโห ความว่า ผู้อยู่ครองเรือน แม้การสงเคราะห์ก็สมควร
ทำเช่นนั้น. บทว่า สจฺจวาที ความว่า ผู้อยู่ครองเรือนปฏิบัติได้อย่างนี้
ชื่อว่าเป็นผู้กล่าวคำสัตย์.
พระมหาสัตว์ แสดงปัญหาในฆราวาสธรรมถวายแด่พระราชาอย่างนี้
แล้ว ลงจากบัลลังก์ถวายบังคมพระราชา ฝ่ายพระราชาทรงกระทำมหาสักการะ
แก่พระมหาสัตว์นั้น มีพระราชา 101 พระองค์แวดล้อมเป็นบริวาร เสด็จ
กลับไปสู่พระนิเวศน์ของพระองค์
จบฆราวาสธรรมปัญหา

ส่วนพระมหาสัตว์ กลับเรือนของตนแล้ว. ลำดับนั้นปุณณกยักษ์ จึง
กล่าวคาถาว่า
ท่านมาไปด้วยกัน ณ บัดนี้ พระเจ้าแผ่นดิน
ธนัญชัย ผู้เป็นอิสราธิบดี พระราชทานท่านให้แก่
ข้าพเจ้าแล้ว ขอท่านจงปฏิบัติประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
ธรรมนี้เป็นของเก่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โน ในบทว่า ทินฺโน โน นี้เป็น
เพียงนิบาต. อธิบายว่า ท่านอันพระเจ้าธนัญชัยผู้เป็นอิสราธิบดี ได้พระรา-0
ทานแล้ว. บทว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ความว่า เพราะเมื่อท่านปฏิบัติ ให้
เป็นประโยชน์แก่เรา ชื่อว่าเป็นอันปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่นายของตน การ
ทำให้เป็นประโยชน์แก่นายของตนนั้น ชื่อว่าเป็นธรรมของเก่าคือ เป็นแบบ
ของบัณฑิตในปางก่อนอย่างแท้จริง.
วิธุรบัณฑิตกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมาณพ ข้าพเจ้าย่อมรู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้อัน
ท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้อันพระราชาผู้เป็นอิสราธิบดี
พระราชทานแก่ท่านแล้ว แต่ข้าพเจ้าขอให้ท่านพักอยู่
ในเรือนสัก 3 วัน ขอให้ท่านยับยั้งอยู่ตลอดเวลาที่
ข้าพเจ้าสั่งสอนบุตรภรรยาก่อน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตยาหมสฺมิ ความว่า ข้าพเจ้าย่อมรู้ว่า
ท่านได้ข้าพเจ้าแล้ว คือ เมื่อได้ข้าพเจ้า ไม่ใช่ได้โดยประการอื่น. บทว่า
ทินฺโนหมสฺมิ ตว อิสฺสเรน ความว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้อันพระราชาผู้เป็น
อิสราธิบดีของข้าพเจ้า ได้พระราชทานแก่ท่านแล้ว. บทว่า ตีหญฺจ ความว่า

ดูก่อนมาณพ เราเป็นผู้มีอุปการะมากแก่ท่าน เพราะไม่เห็นคล้อยตามพระราชา
พูดไปตามความจริงเท่านั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้อันท่านได้แล้ว
ท่านจงรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นใหญ่แก่ตน พวกเราจะพักอยู่ในเรือนของตน 3 วัน
เพราะฉะนั้นท่านจงยับยั้งอยู่ ให้ข้าพเจ้าสั่งสอนบุตรและภรรยาก่อน.
ปุณณกยักษ์ ได้ฟังดังนั้นแล้วคิดว่า บัณฑิตนี้พูดจริง เธอมีอุปการะ
แก่เราเป็นอย่างมาก แม้หากว่าเมื่อเธอจะขอให้เราพักอยู่ 7 วันก็ดี ครึ่งเดือน
ก็ดี เราก็จะยับยั้งอยู่โดยแท้ ดังนี้แล้วจึงกล่าวคาถาว่า
คำที่ท่านกล่าวนั้น จงมีแก่ข้าพเจ้าเหมือนอย่าง
นั้น ข้าพเจ้าจักพักอยู่ 3 วัน ตั้งแต่วันนี้ ท่านจงทำ
กิจในเรือนทั้งหลาย ท่านจงสั่งสอนบุตรภริยาเสียแต่
วันนี้ ตามที่บุตรภริยาของท่านจะพึงมีความสุขในภาย
หลัง ในเมื่อท่านไปแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมฺเม ความว่า คำที่ท่านขอนั้นทั้งหมด
ข้าพเจ้าตามใจท่าน. บทว่า ภวชฺช ความว่า ท่านผู้เจริญ จงสั่งสอนบุตร
และภริยา 3 วันตั้งแต่วันนี้ไป. บทว่า ตยี เปจฺจ ความว่า ท่านจงสั่งสอน
โดยประการที่เมื่อท่านไปแล้ว ภายหลังบุตรและภริยาของท่านจะพึงมีความสุข.
ปุณณกยักษ์ ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว เข้าไปสู่นิเวศน์ของพระมหา-
สัตว์นั้นแล.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
ปุณณกยักษ์ ผู้มีสมบัติน่าใคร่มากมายกล่าวว่า
ดีละ แล้วหลีกไปกับวิธุรบัณฑิต เป็นผู้มีมารยาทอัน
ประเสริฐสุด เข้าไปในบ้านของวิธุรบัณฑิต อัน
บริบูรณ์ด้วยช้างและม้าอาชาไนย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหูตกาโม แปลว่า ผู้มีโภคทรัพย์
มากมาย. บทว่า ตํ กุญฺชราชญิญหยานุจิณฺณํ ความว่า สั่งสมคือบริบูรณ์
ด้วยช้างและม้าอาชาไนย. บทว่า อริยเสฏฺโฐ ความว่า เป็นผู้สูงสุดในมารยาท
อันประเสริฐสุด.
ปุณณกยักษ์ เข้าไปในบ้านแห่งวิธุรบัณฑิตแล้ว ก็พระมหาสัตว์ได้มี
ปราสาท 3 หลัง เพื่อเป็นที่พักแรม 3 ฤดู. ในปราสาท 3 หลังนั้น หลัง
หนึ่งชื่อว่าโกญจะ หลังหนึ่งชื่อว่ามยูระ. หลังหนึ่งชื่อว่าปิยเกต. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงหมายเอาปราสาท 3 หลังนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ปราสาทของพระมหาสัตว์มีอยู่ 3 หลังคือ โกญจ-
ปราสาท 1 มยูรปราสาท 1 ปิยเกตปราสาท 1 ใน
ปราสาททั้ง 3 นั้น พระมหาสัตว์ได้พาปุณณกยักษ์เข้า
ไปยังปราสาทอันเป็นที่น่ารื่นรมย์ยิ่งนักมีภักษาหาร
บริบูรณ์ มีข้าวน้ำเป็นอันมาก ดังหนึ่งมสักกสารวิมาน
ของท้าววาสวะ ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ ความว่า บรรดาปราสาททั้ง 3
นั้น พระมหาสัตว์พาปุณณกยักษ์เข้าไปยังปราสาท อันเป็นที่ที่ตนอยู่ในสมัย
นั้น ซึ่งเป็นที่ที่น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก ก็แลครั้นเข้าไปแล้ว ให้จัดแจงห้องอันเป็น
ที่นอน และห้องโถงใหญ่ ในชั้นที่ 7 แห่งปราสาทที่ได้ตบแต่งไว้ แล้ว
ให้ปูที่นอนอันทรงสิริบำรุงวิธีมีข้าวและน้ำเป็นต้นทั้งหมด แล้วมอบให้แก่
ปุณณกยักษ์นั้นด้วยสั่งว่า หญิง 500 ดุจนางเทพกัญญาเหล่านี้ จงเป็นหญิง
บำรุงบำเรอท่าน ท่านอย่าเบื่อหน่ายจงอยู่ในที่นี้เถิด ครั้นมอบให้แล้ว จึงได้
ไปสู่ที่อยู่ของตน. เมื่อพระมหาสัตว์ไปแล้ว หญิงบำเรอเหล่านั้น จับเครื่อง
ดนตรีต่าง ๆ เริ่มการประโคมมีฟ้อนรำขับร้องเป็นต้น เพื่อบำเรอปุณณกยักษ์.

พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
นารีทั้งหลายผู้ประดับประดางดงามดังเทพอัปสร
ในเทวโลก ฟ้อนรำขับเพลงอันไพเราะจับใจ กล่อม
ปุณณกยักษ์อยู่ในปราสาทหลังนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวฺหยนฺติ แปลว่า ย่อมร้องเรียก.
บทว่า วราวรํ ความว่า นางบำเรอเหล่านั้นประดับองค์ทรงเครื่องอันงดงาม
พากันฟ้อนรำและขับกล่อมประสานเสียงกันอยู่.
พระมหาสัตว์ ผู้รักษาธรรม รับรองปุณณก-
ยักษ์ ด้วยนางบำเรอที่น่ายินดี ทั้งข้าวและน้ำแล้ว
คิดถึงประโยชน์ส่วนตน ได้เข้าไปในสำนักของภริยา
ในกาลนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปมุทาหิ ความว่า พระมหาสัตว์ รับ
รองปุณณกยักษ์ ด้วยเหล่านางบำเรอที่น่ายินดีชื่นใจ และด้วยข้าวและน้ำ.
บทว่า ธมฺมปาโล แปลว่า ผู้รักษาธรรม คือ ผู้คุ้มครองธรรม. บทว่า
อคฺคตฺถเมว ได้แก่ ซึ่งประโยชน์อันเลิศนั่นเอง. บทว่า ปาเวกฺขิ ภริยาย
ความว่า ได้เข้าไปใกล้ภริยาผู้ประเสริฐกว่าสตรีทั้งปวง.
ได้กล่าวกะภริยาผู้มีผิวพรรณอันผุดผ่อง ดุจแท่ง
ทองชมพูนุท มีองค์อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทร์และของ
หอมว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ ผู้มีเนตรอันแดงงาม เจ้า
จงมา จงเรียกบุตรธิดาของเรามาฟังคำสั่งสอน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภริยํ อวจ แปลว่า ได้กล่าวกะภริยา.
บทว่า อามนฺตย แปลว่า ได้เรียก.

นางอโนชาได้สดับถ้อยคำของสามี ได้กล่าวกะ
ลูกสะใภ้ ผู้มีเล็บอันแดง มีตาอันงดงามว่า ดูก่อน
ยอดดวงใจ ผู้มีดวงตาอันงดงามหาที่ติมิได้ เจ้าจงเรียก
บุตรทั้งหลายของเราผู้ทรงเครื่องปกปิดหนังผู้แกล้ว
กล้าสามารถมา ณ บัดนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโนชา ได้แก่ ภรรยาผู้มีชื่ออย่างนั้น.
บทว่า สุณิสํ อวจ ตมฺพนขึ สุเนตฺตํ ความว่า นางอโนชาได้สดับถ้อย
คำของสามี เป็นผู้มีหน้านองด้วยน้ำตาร้องไห้อยู่ คิดว่า เราไม่ควรจะไปเรียก
บุตรด้วยตนเอง เราจักสั่งลูกสะใภ้ไป ดังนี้แล้วไปสู่ที่อยู่ของลูกสะใภ้นั้น ได้
กล่าวกะลูกสะใภ้ผู้มีเล็บอันแดง มีดวงตางดงาม. บทว่า อามนฺตย แปลว่า
จงเรียก. บทว่า จมฺมธรานิ ความว่า ผู้ทรงซึ่งเครื่องปกปิดหนัง ผู้แกล้วกล้า
สามารถ. ก็เครื่องอาภรณ์นั่นเอง ท่านประสงค์เอาว่า จมฺม เครื่องปกปิดหนึ่ง
ในที่นั้น เพราะฉะนั้นจึงมีความว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งเครื่องอาภรณ์ดังนี้ก็มี. บทว่า
เจเต ความว่า ลูกสะใภ้เรียกเขาโดยชื่อ. บทว่า ปุตฺตานิ ได้แก่ บุตรและ
ธิดาของเรา. บทว่า อินฺทีวรปุปฺผสาเม ความว่า ย่อมร้องเรียกเขา.
ลูกสะใภ้รับคำว่า ดีละ แล้วเที่ยวไปตามปราสาท ร้องเรียกเพื่อนสนิท
ของพระมหาสัตว์บุตรและธิดาหมดทุกคนให้ไปประชุมกันว่า ดูก่อนท่านทั้ง
หลาย บิดาต้องการจะให้โอวาท จึงเรียกท่านทั้งหลายมา ได้ยินว่า ท่านทั้ง
หลาย เห็นบิดาครั้งนี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย. ส่วนว่า ธรรมปาลกุมารได้
ยินคำนั้นแล้ว จึงพาพี่น้องร้องไห้ไปสู่สำนักของท่านบิดา. ฝ่ายวิธุรบัณฑิต

เห็นบุตรธิดาเหล่านั้น ก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ตามปกติ มีเนตรเต็มไปด้วยน้ำตา
สวมกอดและจูบศีรษะบุตรธิดาเหล่านั้น ให้บุตรคนโตนอนบนตัก สักครู่หนึ่ง
แล้วก็ยกลงจากตัก ออกจากห้องอันประกอบด้วยสิริ ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ ที่พื้น
ปราสาทหลังใหญ่ ได้ให้โอวาทแก่บุตรพันหนึ่ง
พระศาสดาเมื่อประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
พระมหาสัตว์ผู้รักษาธรรม ได้จุมพิตบุตรธิดา
ผู้มาแล้วนั้นที่กระหม่อมไม่หวั่นไหว ครั้นเรียกบุตร
ธิดามาพร้อมแล้ว ได้กล่าวสั่งสอนว่า พระราชาใน
พระนครอินทปัตตะนี้ พระราชทานพ่อให้แก่มาณพ
แล้วพ่อพึงมีความสุขของตนเองได้เพียง 3 วัน ตั้งแต่
วันนี้ไป พ้นจากนั้นไป พ่อก็ต้องเป็นไปในอำนาจของ
มาณพนั้น เขาจะพาพ่อไปตามที่เขาปรารถนา ก็พ่อ
มาเพื่อจะสั่งสอนลูกทั้งหลาย พ่อยังไม่ได้ทำเครื่อง
ป้องกันให้แก่ลูกทั้งหลายแล้ว จะพึงไปได้อย่างไร ถ้า
พระราชาผู้ปกครองกุรุรัฐ ผู้มีพระราชสมบัติอันน่า
ใคร่เป็นอันมาก ทรงต้องการกัลยาณมิตร จะพึงตรัส
ถามลูกทั้งหลายว่า เมื่อก่อนเจ้าทั้งหลายย่อมรู้เหตุเก่า ๆ
อะไรบ้าง พ่อของเจ้าทั้งหลายได้พร่ำสอนอะไรไว้ใน
กาลก่อนบ้าง ถ้าแหละพระราชาจะพึงมีพระราชโอง
การตรัสว่า เจ้าทั้งปวงเป็นผู้มีอาสนะเสมอกัน กับเรา
ในราชตระกูลนี้ มนุษย์คนไรซึ่งจะมีชาติตระกูลคู่ควร
กับพระราชาไม่มี ลูกทั้งหลายพึงถวายบังคมกราบทูล

อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์อย่าได้
รับสั่งอย่างนั้นเลยพระเจ้าข้า เพราะข้อนี้มิใช่ธรรม
เนียม ขอเดชะ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีชาติต่ำต้อย ไม่
สมควรมีอาสนะเสมอด้วยพระองค์ผู้สูงศักดิ์ เหมือน
สุนัขจิ้งจอกผู้มีชาติต่ำต้อย จะพึงมีอาสนะเสมอด้วย
พระยาไกรสรราชสีห์อย่างไรได้พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมปาโล ได้แก่ พระมหาสัตว์.
บทว่า ทินฺนาหํ ความว่า เราเป็นผู้อันพระราชาทอดทิ้งทรัพย์ในชัยชนะ
พระราชทานแก่มาณพ. บทว่า ตสฺสชฺชหํ อตฺตสุขี วิเธยฺโย ความว่า
บิดามีความสุขในอำนาจแห่งตนได้ชั่ว 3 วัน แต่วันนี้ไป พ้นจาก 3 วันนี้ไป
บิดาก็เป็นไปในอำนาจแห่งมาณพ ก็ในวันที่ 4 มาณพนั้นจะพาบิดาไปในที่
ไหน ๆ ที่เขาปรารถนาโดยส่วนเดียว. บทว่า อปริตฺตาย ความว่า ก็บิดา
มาเพื่อจะสอนเจ้าทั้งหลายว่า บิดาหากยังมิได้ทำเครื่องป้องกันแก่พวกเจ้าจะพึง
ไปได้อย่างไร เหตุนั้น บิดาจะต้องมาเพื่อสั่งสอนพวกเจ้า. บทว่า ชนสณฺโฐ
ความว่า พระราชาผู้ทำความมั่นคงแก่ชนผู้เป็นมิตรด้วยการผูกมิตร. บทว่า
ปุเร ปุราณํ ความว่า ในกาลก่อนแต่นี้พวกเจ้าย่อมรู้เหตุการณ์เก่า ๆ อะไรบ้าง
บิดาของพวกเจ้าสั่งสอนพร่ำสอนไว้อย่างไรบ้าง เจ้าทั้งหลายที่พระราชาตรัสถาม
อย่างนี้พึงทูลว่า บิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ให้โอวาทอย่างนี้ ๆ. บทว่า
สมานาสนา โหถ ความว่า ก็ถ้าว่า เมื่อพวกเจ้าทูลบอกโอวาทที่บิดาให้นี้
พระราชาจะพึงมีพระราชโองการตรัสว่า พวกเจ้าทั้งปวงมานั่งบนอาสนะเสมอ
กันกับเราในวันนี้. บทว่า โกนีธ รญฺโญ อพฺภุติโก มนุสฺโส ความว่า
ในตระกูลนี้ มนุษย์คนไรนอกจากพวกเจ้า ซึ่งจะมีชาติสกุลสูงศักดิ์เสมอด้วย

พระราชาหามิได้ เพราะฉะนั้น จงให้นั่งบนอาสนะของตน. บทว่า ตมญฺชลึ
ความว่า ถ้าพวกเจ้าพึงกระทำอัญชลีถวายบังคมทูลอย่างนี้ไซร้ ขอเดชะ ขอ
พระองค์อย่าได้ตรัสอย่างนั้น เพราะข้อนั้นหาได้ถูกธรรมเนียมไม่. บทว่า
วิยคฺฆราชสฺส ได้แก่ ไกรสรราชสีห์. บทว่า นิหีนชจฺโจ ความว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์มีชาติต่ำต้อยเหมือนสุนัขจิ้งจอกแก่ จะพึงมี
อาสนะเสมอด้วยพระองค์ได้อย่างไร สุนัขจิ้งจอกย่อมเป็นผู้มีอาสนะเสมอด้วย
ราชสีห์แม้ฉันใด พวกข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ควรมีอาสนะเสมอด้วย
พระองค์
ส่วนพวกบุตรธิดาญาติผู้มีใจดีและทาสกรรมกรทั้งหมดนั้น ได้สดับ
ถ้อยคำของพระมหาสัตว์ดังนี้ ไม่อาจดำรงอยู่ได้ตามปกติ ต่างพากันร้องไห้
พิไรร่ำไปตามกัน. พระมหาสัตว์ได้ตักเตือนชนเหล่านั้น ให้คลายโศกาดูรมีสติ
รู้สึกตัวได้แล้ว ด้วยประการฉะนี้.
จบลักขกัณฑ์
ลำดับนั้น วิธุรบัณฑิตเห็นบุตรธิดาและพวกญาติเข้าไปหาตนนั่ง
นิ่งเงียบอยู่ จึงกล่าวว่า ดูก่อนพ่อและแม่ทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าวิตกไปเลย
อย่าเศร้าโศก อย่าพิไรร่ำร่ำพันไปเลย สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนมีความ
แปรปรวนไปเป็นธรรมดา สมมติธรรมอันได้นามว่ายศ ย่อมมีวิบัติเป็นที่สุด
อนึ่ง เราจักแสดงจริยาวัตรของพระราชเสวกนามว่า ราชวสดีธรรม อันเป็น
เหตุให้เกิดยศแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจงตั้งใจสดับราชวสดีธรรมนั้น ครั้นกล่าวดัง
นี้แล้วจึงเริ่มแสดงราชวสดีธรรมด้วยพุทธลีลา.
พระศาสดาเมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ก็วิธุรบัณฑิตนั้น มีความดำริแห่งใจอันหดหู่
กล่าวกะบุตร ธิดา ญาติมิตรและเพื่อนสนิทว่า ดูก่อน

ลูกรักทั้งหลาย ลูกทั้งหลายจงมานั่งฟังราชวสดีธรรม
อันเป็นเหตุให้บุคคลผู้เข้าไปสู่ราชสกุลได้ยศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุหทชฺชเน แปลว่า คนมีหทัยดี. บทว่า
เอถยฺยา ความว่า วิธุรบัณฑิตนั้น เรียกบุตรและธิดา ด้วยคำร้องเรียกอัน
น่ารักว่า แม่และพ่อจงมาดังนี้. บทว่า ราชวสตึ ความว่า พวกเจ้าจงพึง
การบำรุงพระราชาที่เราจะกล่าว. บทว่า ยถา แปลว่า ด้วยเหตุใด. บทว่า
ราชกุลมฺปตฺโต ความว่า บุคคลผู้เข้าไปสู่ราชสกุล คืออยู่ในสำนักพระราชา
ย่อมประสพยศ พวกเจ้าจงพึงเหตุนั้น ดังที่เราจะกล่าวต่อไปนี้
ผู้เข้าสู่ราชสกุล พระราชายังไม่ทรงทราบ ย่อม
ไม่ได้ยศ ราชเสวกไม่ควรกล้าเกินไป ไม่ควรขลาด
เกินไป ควรเป็นผู้ไม่ประมาทในกาลทุกเมื่อ เมื่อใด
พระราชาทรงทราบความประพฤติปรกติ ปัญญา และ
ความบริสุทธิ์ของราชเสวกนั้น เมื่อนั้น ย่อมทรงวาง
พระทัยและไม่ทรงรักษาความลับ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺญาโต ได้แก่ ผู้มีคุณยังไม่ปรากฏ
ผู้ยังไม่รับพระราชทานยศศักดิ์อันแจ่มชัด. บทว่า นาติสูโร แปลว่า ผู้ไม่
แกล้วกล้า. บทว่า นาติทุมฺเมโธ แปลว่า ไม่ใช่ผู้มีชาติแห่งบุคคลผู้ขลาด.
บทว่า ยทาสฺส สีลํ ความว่า เมื่อใดพระราชาทรงประสบศีล ปัญญา ความ
สะอาดและทรงทราบอาจารสมบัติ กำลังแห่งญาณ และความเป็นผู้สะอาดของ
เสวกนั้น. บทว่า อถ วิสฺสาสเต ตมฺหิ ความว่า เมื่อนั้น พระราชาทรงไว้วาง
ใจในเสวกนั้น คือทรงกระทำความคุ้นเคย ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องปกปิดความ
ลับของพระองค์ ย่อมทรงเปิดเผย.

ราชเสวกอันพระราชามิได้ตรัสใช้ ไม่พึงหวั่น
ไหวด้วยอำนาจฉันทาคติเป็นต้น ดังตราชูที่บุคคล
ประคองให้มีคันเสมอ เที่ยงตรงฉะนั้น ราชเสวกนั้น
พึงอยู่ในราชสำนักได้ ราชเสวกพึงตั้งใจกระทำราชกิจ
ทุกอย่างให้เสมอต้นเสมอปลาย เหมือนตราชูที่บุคคล
ประคองให้มีคันเสมอเที่ยงตรงฉะนั้น ราชเสวกนั้น
พึงอยู่ในราชสำนักได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตุลา ยถา ความว่า ราชเสวกอันพระ
ราชาตรัสใช้ว่า เจ้าจงทำกรรมนี้ในราชกิจบางอย่าง เป็นผู้ไม่หวั่นไหวด้วย
อำนาจการถึงอคติมีฉันทาคติเป็นต้น คือ พึงเป็นผู้เสมอในกิจทั้งปวง เหมือน
ตราชูที่มีประการดังกล่าวแล้วนี้ ย่อมไม่ยุบลง ไม่ฟูขึ้นฉะนั้น. บทว่า
ส ราชวสตึ ความว่า ราชเสวกเห็นปานนี้นั้น พึงอยู่ในราชตระกูล พึงปรน-
นิบัติพระราชา ก็แลเมื่อปรนนิบัติอย่างนี้ พึงได้ยศ. บทว่า สพฺพานิ อภิสมฺ-
โภนฺโต
ความว่า เมื่อทำราชกิจทุกอย่าง.
ราชเสวกต้องเป็นคนฉลาดในราชกิจ อันพระ-
ราชาตรัสใช้ กลางวันหรือกลางคืนก็ตามไม่พึงหวาด
หวั่นไหวในการกระทำราชกิจนั้น ๆ ราชเสวกนั้นพึง
อยู่ในราชสำนักได้ ทางใดที่เขาตกแต่งไว้เรียบร้อยดี
สำหรับเสด็จพระราชดำเนิน ถึงพระราชาทรงอนุญาต
ราชเสวกก็ไม่ควรเดินโดยทางนั้น ราชเสวกนั้นพึง
อยู่ในราชสำนักได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น วิกมฺเปยฺย ความว่า ราชเสวกไม่
พึงหวั่นไหวปฏิบัติราชกิจเหล่านั้น. บทว่า โย จสฺส ความว่า หนทางที่
เขาตบแต่งไว้เป็นอันดี เพื่อเป็นมรรควิถีเสด็จพระราชดำเนิน. บทว่า สุปฏิยา-
ทิโต
ความว่า เป็นราชเสวกแม้จะได้พระราชานุญาติ ก็ไม่ควรเดินไปทาง
นั้น.
ราชเสวกไม่พึงบริโภคสมบัติที่น่าใคร่ ทัดเทียม
กับพระราชาในกาลไหน ๆ ควรเดินหลังในทุกสิ่ง
ทุกอย่าง ราชเสวกนั้น พึงอยู่ในราชสำนักได้ ราช-
เสวกไม่ควรใช้สอยประดับประดาเสื้อผ้า มาลา เครื่อง
ลูบไล้ทัดเทียมกับพระราชาไม่พึงประพฤติอากัปกิริยา
หรือพูดจาทัดเทียมกับพระราชา ควรทำอากัปกิริยา
เป็นอย่างหนึ่ง ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น รญฺโญ ความว่า เป็นราชเสวก
ไม่พึงบริโภคโภคสมบัติที่น่าใคร่ ทัดเทียมกับพระราชา เพราะพระราชาย่อม
ทรงกริ้วต่อบุคคลเช่นนั้น. บทว่า สพฺพตฺถ ความว่า พึงเดินตามหลัง ปฏิบัติ
ให้ต่ำกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ในกามคุณมีรูปเป็นต้น. บทว่า อญฺญํ กเรยฺย
ความว่า พึงกระทำอากัปกิริยาอย่างอื่น จากราชอากัปกิริยา. บทว่า ส ราชวสตึ
วเส
ความว่า บุคคลนั้น พึงเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วพึงอยู่.
เมื่อพระราชาทรงพระสำราญอยู่กับหมู่อำมาตย์
อันพระสนมกำนัลในเฝ้าแหนอยู่ เสวกามาตย์เป็นผู้
ฉลาด ไม่พึงทำการทอดสนิท ในพระสนมกำนัลใน

ราชเสวกไม่ควรเป็นคนฟุ้งซ่าน ไม่คะนองกายวาจา มี
ปัญญาเครื่องรักษาตน สำรวมอินทรีย์ สมบูรณ์ด้วย
การตั้งใจไว้ดี ราชเสวกนั้น พึงอยู่ในราชสำนักได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาวํ ได้แก่ ความประสงค์ด้วยอำนาจ
ความคุ้นเคย. บทว่า อจปโล ได้แก่ ไม่เป็นผู้ตบแต่งประดับเป็นปกติ. บทว่า
นิปโก ได้แก่ ผู้มีญาณแก่กล้า. บทว่า สํวุตินฺทฺริโย ได้แก่ ผู้สำรวม
ปิดกั้นอินทรีย์ 6 ได้แล้ว คืออย่าพึงมองดูอวัยวะน้อยใหญ่ของพระราชา และ
ไม่พึงมองดูตำหนักนางสนมกำนัลของพระราชานั้น. บทว่า มโนปณิธิ
สมฺปนฺโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยจิตอันไม่หวั่นไหว คือตั้งไว้ด้วยดี.
ราชเสวกไม่ควรเล่นหัว เจรจาปราศรัยในที่ลับ
กับพระสนมกำนัลใน ไม่ควรถือเอาทรัพย์จากพระคลัง
หลวง ราชเสวกนั้น พึงอยู่ในราชสำนักได้ ราชเสวก
ไม่พึงเห็นแก่การหลับนอนมากนัก ไม่พึงดื่มสุราจน
เมามาย ไม่พึงฆ่าเนื้อในสถานที่พระราชทานอภัย ราช
เสวกนั้น พึงอยู่ในราชสำนักได้ ราชเสวกไม่พึงขึ้น
ร่วมพระตั่ง ราชบัลลังก์ พระราชอาสน์ เรือและรถ
พระที่นั่ง ด้วยอาการทนงตนว่าเป็นคนโปรดปราน
ราชเสวกนั้น พึงอยู่ในราชสำนักได้ ราชเสวกต้อง
เป็นผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา ไม่ควรเข้าเฝ้าให้ไกลนัก
ใกล้นัก ควรยืนเฝ้าพอให้ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็น
ถนัด ในสถานที่ที่พอจะได้ยินพระราชดำรัสเบื้องพระ-
พักตร์ของพระราชา ราชเสวกไม่ควรทำความวางใจว่า

พระราชาเป็นเพื่อนของเรา พระราชาเป็นคู่กันกับเรา
พระราชาทั้งหลาย ย่อมทรงพระพิโรธได้โดยเร็วไว
เหมือนนัยน์ตาอันผงกระทบ ราชเสวกไม่ควรถือตนว่า
เป็นนักปราชญ์ ราชบัณฑิต พระราชาทรงบูชา ไม่
ควรเพ็ดทูลถ้อยคำหยาบคายกับพระราชา ซึ่งประทับ
อยู่ในราชบริษัท.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น มนฺเตยฺย ความว่า เป็นราชเสวก
ไม่ควรเล่นหัวกับพระสนมกำนัลใน ไม่พึงเจรจาปราศรัยในที่ลับ. บทว่า
โกสา ธนํ ความว่า อย่าลักลอบเอาพระราชทรัพย์จากพระคลังหลวง. บทว่า
น มทาย ความว่า ดูก่อนพ่อและแม่ทั้งหลาย ราชเสวกไม่พึงดื่มสุราจนเมา
มาย. บทว่า ทาเย ความว่า ไม่พึงฆ่า ไม่พึงเบียดเบียนมฤคที่พระราชทาน
อภัย. บทว่า โกจฺฉํ ได้แก่ พระแท่นภัทรบิฐ. บทว่า สมฺมโตมฺหิ ความว่า
ราชเสวกอย่าทนงตนว่า เราเป็นคนโปรดปรานแล้วจะขึ้นร่วม. บทว่า สเมกฺ-
ขญฺจสฺส ติฏฺเฐยฺย
ความว่า เป็นราชเสวก พึงยืนข้างหน้าของพระราชาในที่ไม่
ไกลนัก ไม่ใกล้นัก พอที่จะได้ยินพระดำรัสที่ตรัสใช้. บทว่า สนฺทิสฺสนฺโต
สภตฺตุโน ความว่า ราชเสวกนั้น พึงยืนอยู่ในที่ที่ท้าวเธอจะทอดพระเนตรเห็น
ได้. บทว่า สุเกน ความว่า เป็นราชเสวกอย่าชะล่าใจว่า พระราชาเป็นเพื่อน
ของเรา และเป็นคู่กันกับเรา อันพระราชาทั้งหลายย่อมทรงพระพิโรธเร็วไว
ดุจนัยน์ตาถูกผงกระทบฉะนั้น. บทว่า น ปูชิโต มญฺญมาโน ความว่า เป็น
ราชเสวกไม่พึงถือตนว่า เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต พระราชาทรงนับถือบูชา
ชะล่าใจจ้วงจาบเพ็ดทูลถ้อยคำที่หยาบคาย. บทว่า ผรุสํ ความว่า ไม่พึงเจรจา
ปราศรัยถ้อยคำ อันเป็นเหตุให้พระราชาทรงพระพิโรธ.

ราชเสวก ผู้ได้รับพระราชทานพระทวารเป็น
พิเศษ ไม่ควรวางใจในพระราชาทั้งหลาย พึงเป็นผู้
สำรวมดำรงตนไว้เพียงดังไฟ ราชเสวกนั้น พึงอยู่ใน
ราชสำนักได้ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงยกย่องพระราชโอรส
หรือพระราชวงศ์ด้วยบ้าน นิคม แว่นแคว้น หรือ
ชนบท ราชเสวกควรนิ่งดูก่อน ไม่ควรเพ็ดทูลคุณ
หรือโทษ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลทฺธทฺวาโร ลเภ ทฺวารํ ความว่า
เราเป็นราชเสวก เราไม่ใช่คนเฝ้าประตู แต่ได้ประตูเป็นพิเศษ ไม่ทรง
อนุญาตอย่าพึงเข้าไป แม้ได้ประตูอีกต่อเมื่อได้รับอนุญาตจึงเข้าไป. บทว่า
สโต ได้แก่ เป็นผู้ไม่ประมาท. บทว่า ภาตรํ สํ วา ได้แก่ พระราชโอรส
หรือพระราชวงศ์. บทว่า สมฺปคฺคณฺหาติ ความว่า ในกาลใดพระราชาตรัส
กับเสวกทั้งหลายว่า เราจะให้บ้านโน้น หรือนิคมโน้นแก่ผู้โน้น. บทว่า
ภเณ เฉกปาปกํ
ความว่า เป็นเสวกไม่พึงกล่าวสรรเสริญคุณหรือโทษใน
กาลนั้น.
พระราชาทรงปูนบำเหน็จรางวัลให้แก่กรมช้าง
กรมม้า กรมรถ กรมเดินเท้า ตามความชอบใน
ราชการของเขา ราชเสวกไม่ควรทัดทานเขา ราชเสวก
นั้น พึงอยู่ในราชสำนักได้ ราชเสวยผู้เป็นนักปราชญ์
พึงโอนไปเหมือนคันธนู และพึงไหวไปตามเหมือน
ไม้ไผ่ ไม่ควรทูลทัดทาน ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราช-
สำนักได้ ราชเสวกพึงเป็นผู้มีท้องน้อยเหมือนคันธนู

พึงเป็นผู้ไม่มีลิ้นเหมือนปลา พึงเป็นผู้รู้จักประมาณใน
โภชนะ มีปัญญาเครื่องรักษาตน แกล้วกล้า ราชเสวก
นั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เตสํ อนฺตรํ คจฺเฉ ความว่า เป็น
ราชเสวก ไม่ควรทูลขัดตัดลาภผลของคนเหล่านั้น. บทว่า วํโส วา ความว่า
พึงเป็นผู้มีจิตอ่อนโยนโอนไปในกาลที่พระราชาตรัส เหมือนยอดไม้ไผ่ลำที่สูง
กว่าทุกลำในกอไผ่ ย่อมไหวในคราวที่ต้องลมพัดฉะนั้น. บทว่า จาโปวูโนทโร
ความว่า เป็นราชเสวก ไม่พึงเป็นผู้มีท้องใหญ่เหมือนคันธนู ฉะนั้น. บทว่า
อชิวฺหตา ความว่า พึงเป็นผู้ไม่มีลิ้นด้วยการพูดแต่น้อย เหมือนปลาย่อมไม่
พูดเพราะไม่มีลิ้น. บทว่า อปฺปาสิ ความว่า พึงเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ.
ราชเสวกไม่พึงสัมผัสหญิงนัก ซึ่งเป็นเหตุให้สิ้น
เดช ผู้สิ้นเดชย่อมได้ประสบโรคไอม่องคร่อ ความ
กระวนกระวาย ความอ่อนกำลัง ราชเสวกไม่ควรพูด
มากเกินไปไม่ควรนิ่งทุกเมื่อ เมื่อถึงเวลาพึงเปล่งวาจา
พอประมาณ ไม่ควรพร่ำเพรื่อ เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่
กระทบกระเทียบ เป็นคนพูดจริง อ่อนหวาน ไม่ส่อ-
เสียด ไม่ควรพูดถ้อยคำเพ้อเจ้อ ราชเสวกนั้นพึงอยู่
ในราชสำนักได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น พาฬฺหํ ความว่า เสวกไม่พึงมัวเมา
ด้วยสตรีบ่อยๆ. บทว่า เตชสํขฺยํ ความว่า เพราะว่าบุรุษเมื่อถึงอย่างนี้
ย่อมจะถึงความสิ้นไปแห่งเดช เมื่อสัมผัสซึ่งเหตุให้สิ้นเดชนั้น อย่าพึง
มัวเมามากนัก. บทว่า ทรํ แปลว่า ความกระวนกระวายแห่งกาย. บทว่า

พาลฺยํ แปลว่า ซึ่งความเป็นผู้อ่อนกำลัง. บทว่า ขีณเมโธ ความว่า บุรุษ
ผู้สิ้นปัญญา ด้วยอำนาจความยินดีด้วยกิเลสบ่อย ๆ ย่อมถึงความเป็นโรคไอ
เป็นต้น. บทว่า นาติเวลํ ความว่า ดูก่อนพ่อและแม่ทั้งหลาย เสวก ไม่พึง
พูดมากเกินประมาณ ในสำนักของพระราชาทั้งหลาย. บทว่า ปตฺเต กาเล
ความว่า เมื่อถึงเวลาที่ตนจะต้องพูด. บทว่า อสํฆฏฺโฏ แปลว่า ไม่พูด
กระทบกระทั่งบุคคลอื่น. บทว่า สมฺผํ แปลว่า คำไร้ประโยชน์. บทว่า
คิรํ แปลว่า ถ้อยคำ.
ราชเสวกพึงเลี้ยงดูมารดาบิดา พึงประพฤติอ่อน
น้อมต่อยู่เจริญที่สุดในตระกูล สมบูรณ์ด้วยหิริโอต-
ตัปปะ ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้ ราชเสวก
พึงเป็นผู้ได้รับแนะนำดีแล้ว มีศิลปฝึกตนแล้ว เป็นผู้
ทำประโยชน์ เป็นผู้คงที่ อ่อนโยน ไม่ประมาท
สะอาดหมดจด เป็นคนขยัน ราชเสวกนั้น ควรอยู่ใน
ราชสำนักได้ ราชเสวกพึงเป็นผู้มีความประพฤติอ่อน
น้อม มีความเคารพยำเกรงในท่านผู้เจริญ เป็นผู้สงบ
เสงี่ยม มีการอยู่ร่วมเป็นสุข ราชเสวกนั้นควรอยู่ใน
ราชสำนักได้ ราชเสวกพึงเว้นให้ห่างไกล ซึ่งทูตที่
ส่งมาเกี่ยวด้วยความลับ พึงดูแลแต่เจ้านายของตนไม่
ควรพูด (เรื่องลับ) ในสำนักของพระราชาอื่น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วินีโต ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยมารยาท.
บทว่า สิปฺปวา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยศิลปะที่จะพึงศึกษาในตระกูลของ
ตน. บทว่า ทนฺโต ได้แก่ ผู้หมดพยศในทวารทั้ง 6. บทว่า กตตฺโต
ได้แก่ ผู้มีตนถึงพร้อมแล้ว (ทั้งวิทยาและจริยาสมบัติ). บทว่า นิยโต ได้แก่

ผู้มีสภาวะไม่หวั่นไหวเหตุอาศัยยศเป็นต้น. บทว่า มุทุ ได้แก่ ผู้อ่อนโยน
ไม่เย่อหยิ่ง. บทว่า อปฺปมตฺโต ได้แก่ ผู้เว้นแล้วจากความเลินเล่อใน
ราชกิจที่ควรทำ. บทว่า ทกฺโข ได้แก่ เป็นผู้ฉลาดในตำแหน่งการบำรุง.
บทว่า นิวาตวุตฺติ ได้แก่ มีความประพฤติอ่อนน้อม. บทว่า สปฺปติสฺโส
ได้แก่ ผู้มีปกติอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพ. บทว่า สณฺหิตุํ ปหิตํ ความ
ว่า ทูตที่พระราชาอื่นส่งไปยังราชสำนักด้วยอำนาจรักษาความลับ และกระทำ
ความลับให้ปรากฏ. ราชเสวกเมื่อจะกล่าวทูลเช่นนั้น พึงกล่าวต่อพระพักตร์
กับพระราชา. บทว่า ภตฺตารญฺเญ วุทิกฺเขยฺย ความว่า พึงดูแลเอาใจใส่
แต่เฉพาะเจ้านายของตนเท่านั้น. บทว่า น อญฺญสฺส จ ราชิโน ความว่า
ราชเสวกไม่พึงพูดในสำนักของพระราชาอื่น.
ราชเสวก พึงเข้าหาสมาคมสมณะและพราหมณ์
ผู้มีศีลเป็นพหูสูตโดยเคารพ ราชเสวกนั้นควรอยู่ใน
ราชสำนักได้ ราชเสวกเมื่อได้เข้าหาสมาคมกับสมณะ
และพราหมณ์ผู้มีศีลเป็นพหูสูตแล้ว พึงสมาทาน
รักษาอุโบสถศีลโดยเคารพ ราชเสวยพึงบำรุงเลี้ยง
สมณะและพราหมณ์ผู้มีศีลเป็นพหูสูต ด้วยข้าวและน้ำ
ราชเสวกนั้น ควรอยู่ในสำนักได้ ราชเสวก ผู้หวัง
ความเจริญแก่ตน พึงเข้าไปสมาคมคบหากับสมณะ
และพราหมณ์ผู้มีศีล เป็นพหูสูต มีปัญญา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺกจฺจํ ปยิรูปาเสยฺย ความว่า
ราชเสวก พึงเข้าไปทาบ่อย ๆ ด้วยความเคารพ. บทว่า อนุวาเสยฺย ความว่า
พึงเข้าจำอุโบสถประพฤติ. บทว่า ตปฺเปยฺย ความว่า พึงเลี้ยงดูด้วยการให้

จนพอแก่ความต้องการ. บทว่า อาสชฺช แปลว่า เข้าไปใกล้. บทว่า
ปญฺเญ ได้แก่ ผู้เป็นบัณฑิต. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า อาลชฺช ปญฺหํ ดังนี้
ก็มี. บทว่า ปญฺหํ ความว่า พึงถามถึงเหตุที่เป็นกุศลและอกุศล ที่บัณฑิต
ทั้งหลาย พึงกระทำด้วยปัญญา.
ราชเสวก ไม่พึงทำทาน ที่เคยพระราชทานใน
สมณะและพราหมณ์ให้เสื่อมไป อนึ่ง เห็นพวกวณิพก
ซึ่งมาในเวลาพระราชทานไม่ควรท่านอะไรเลย ราช-
เสวกพึงเป็นผู้มีปัญญา สมบูรณ์ด้วยความรู้ ฉลาด
ในวิธีจัดราชกิจ รู้จักกาล รู้จักสมัย ราชเสวกนั้นควร
อยู่ในราชสำนักได้ ราชเสวกพึงเป็นคนขยันหมั่นเพียร
ไม่ประมาท มีปัญญาสอดส่องพิจารณาในการงานที่
ตนพึงทำ จัดการงานให้สำเร็จด้วยดี ราชเสวกนั้น
ควรอยู่ในราชสำนักได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทินฺนปุพพํ ได้แก่ ทานวัตรที่ตกแต่ง
ไว้โดยปกติ. บทว่า สมณพฺราหฺมเณ ได้แก่ สมณะหรือพราหมณ์. บทว่า
วนิพฺพเก ราชเสวกเห็นพวกวณิพกมาในเวลาที่พระราชทาน ไม่พึงห้าม
อะไรๆ เลย. บทว่า ปญฺญวา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณา
สอดส่อง. บทว่า พุทฺธิสมฺปนฺโน ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้ไม่บกพร่อง.
บทว่า วิธานวิธิโกวิโท ได้แก่ ผู้ฉลาดในส่วนเครื่องจัดแจงทาส กรรมกร
และบุรุษ เป็นต้น มีประการต่างๆ. บทว่า กาลญฺญู ความว่า ราชเสวก
พึงรู้ว่า กาลนี้เป็นกาลควรเพื่อจะให้ทาน กาลนั้นเป็นกาลเพื่อจะรักษาศีล
กาลนี้เป็นกาลเพื่อจะกระทำอุโบสถกรรม. บทว่า สมยญฺญู ความว่า ราชเสวก

พึงรู้ว่า สมัยนี้เป็นสมัยที่ควรไถ สมัยนี้เป็นสมัยที่ควรหว่าน สมัยนี้เป็นสมัย
ที่ควรค้าขาย สมัยนี้เป็นสมัยที่ควรบำรุง. บทว่า กมฺมเธยฺเยสุ ได้แก่ ใน
การงานที่ตนควรกระทำ.
อนึ่ง ราชเสวก พึงไปตรวจตราดูลานข้าวสาลี
ปศุสัตว์และนาเสมอๆ พึงตวงข้าวเปลือกให้รู้ประมาณ
แล้วให้เก็บไว้ในฉาง พึงนับบริวารชนในเรือนแล้ว
ให้หุงต้มพอประมาณ ไม่ควรตั้งบุตรธิดา พี่น้อง หรือ
วงศ์ญาติ ผู้ไม่ตั้งอยู่ในศีลให้เป็นใหญ่ เพราะคน
เหล่านั้นเป็นคนพาล ไม่จัดว่าเป็นพี่น้องคนเหล่านั้น
เป็นเหมือนคนที่ตายไปแล้ว แต่เมื่อเขาเหล่านั้น มา
หาถึงสำนัก ก็ควรให้ผ้านุ่งผ้าห่ม และอาหารควรตั้ง
พวกทาสหรือกรรมกร ผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีล เป็นคนขยัน
หมั่นเพียรให้เป็นใหญ่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสุํ เขตฺตํ ได้แก่ ตระกูลปศุสัตว์ และ
สถานที่หว่านข้าวกล้า. บทว่า คนฺตฺวา แปลว่า มีการไปเป็นปกติ. บทว่า
มิตํ ความว่า ควรตวงให้รู้ว่าข้าวเปลือกมีประมาณเท่านี้ แล้วเก็บไว้ในยุ้งฉาง.
บทว่า ฆเร ความว่า พึงนับบริวารชนในเรือนให้หุงต้มพอประมาณเหมือน
กัน. บทว่า สีเลสุ อสมาหิตํ ความว่า บุตรหรือพี่น้องวงศ์ญาติผู้ไม่ตั้ง
อยู่ในศีลาจารวัตรควรตั้งไว้โดยฐานะที่ควรยกย่องให้ปกครองอะไรๆ. บทว่า
อนงฺควา หิ เต พาลา ความว่า คำว่า องค์ นี้ ชาวโลกกล่าวหมายถึง
ความเป็นญาติพี่น้องของมนุษย์ ญาติพี่น้อง แม้บางคน เหล่านั้น ที่กล่าวว่า
องคาพยพ เพราะมีส่วนเสมอญาติ แต่ผู้ทุศีล ฉะนั้น จึงย่อมไม่เป็นเสมอญาติ

เพราะแต่งตั้งคนเช่นนั้น เหล่านั้นไว้ให้เป็นใหญ่ ก็เหมือนแต่งตั้งคนตายที่เขา
ทิ้งไว้ในป่าช้า ฉะนั้น. เพราะพวกเหล่านั้นย่อมผลาญทรัพย์ให้พินาศ และผู้
ผลาญทรัพย์หรือคนจนย่อมไม่ยังราชกิจให้สำเร็จบริบูรณ์ได้. บทว่า อาสีนานํ
ความว่า แต่ว่า ครั้น เขามาถึงแล้ว ควรให้วัตถุสักว่า อาหารและเครื่องนุ่งห่ม
เหมือนให้มตกภัตเพื่อคนตายฉะนั้น. บทว่า อุฏฺฐานสมฺปนฺเน ได้แก่ ผู้
ประกอบด้วยความขยันหมั่นเพียร.
ราชเสวกพึงเป็นผู้มีศีล ไม่โลภมากพึงประพฤติ
ตามเจ้านาย ประพฤติประโยชน์แก่เจ้านาย ทั้งต่อหน้า
และลับหลัง ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้
ราชเสวกพึงเป็นผู้รู้จักพระราชอัธยาศัยและพึงปฏิบัติ
ตามพระราชประสงค์ ไม่ควรประพฤติขัดต่อพระราช-
ประสงค์ ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้ ราช
เสวกพึงก้มศีรษะลงชำระพระบาท ในเวลาผลัดพระ
ภูษาทรง และในเวลาสรงสนาน แม้ถูกกริ้วก็ไม่ควร
โกรธตอบ ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโลโภ แปลว่า ผู้ไม่โลภ. บทว่า
อนุวตฺโต จสฺส ราชิโน ความว่า พึงเป็นผู้ประพฤติตามใจเจ้านาย. บทว่า
จิตฺตตฺโถ ได้แก่ ตั้งอยู่ในจิต อธิบายว่า อยู่ในอำนาจแห่งจิตของเจ้านาย.
บทว่า อสํกุสกวุตฺติสฺส แปลว่า พึงประพฤติตามเจ้านายไม่เข้ากับคนผิด.
บทว่า อโธสิรํ ความว่า ราชเสวก แม้เมื่อล้างพระบาท พึงก้มศีรษะลง พึง
ก้มหน้าลงล้าง ไม่พึงแลดูหน้าพระราชา.

บุรุษผู้หวังหาความเจริญ พึงกระทำอัญชลีใน
หม้อน้ำและพึงกระทำประทักษิณนกแอ่นลม อย่างไร
เขาจักไม่พึงนอบน้อม พระราชาผู้เป็นนักปราชญ์สูงสุด
พระราชทานสมบัติอันน่าใคร่ทุกอย่างเล่า เพราะพระ
ราชาพระราชทานที่นอน ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ยวดยานที่
อยู่อาศัย บ้านเรือน ยังโภคสมบัติให้ตกทั่วถึง เหมือน
มหาเมฆยังน้ำฝนให้ตก เป็นประโยชน์แก่หมู่สัตว์ทั่ว
ไปฉะนั้น ดูก่อนเจ้าทั้งหลาย นี้ชื่อว่าราชวัสดี เป็น
อนุศาสน์สำหรับราชเสวก นรชนประพฤติตาม ย่อม
ยังพระราชาให้โปรดปราน และย่อมได้การบูชาใน
เจ้านายทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุมฺภิมฺหิ อญฺชลึ กยิรา วายสํ วาปิ
ปทกฺขิณํ
ความว่า ก็บุรุษผู้หวังความเจริญ (แก่ตน) เห็นหม้อที่เต็มด้วยน้ำ
พึงทำอัญชลีแก่หม้อน้ำนั้น แม้เพียงแก่นกแอ่นลมเขายังทำประทักษิณได้ เมื่อ
เขาทำอัญชลีแล้วทำประทักษิณแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้น ย่อมไม่สามารถจะให้
อะไรได้. บทว่า กิเมว ความว่า พระราชาผู้เป็นนักปราชญ์ พระราชทาน
สมบัติที่น่าใคร่ทุกอย่าง เหตุไฉนจึงไม่นมัสการพระราชานั้นเล่า. พระราชาเท่า
นั้น ที่พึงนมัสการ และพึงให้โปรดปราน. บทว่า ปชฺชุนฺโนริว แปลว่า
ดุจเมฆ. บทว่า เอเสยฺยา ราชวสดี ความว่า นี่แน่ะเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่า
ราชวสดีที่เรากล่าวแล้วนี้ เป็นอนุสาสนีสำหรับราชเสวกทั้งหลาย. บทว่า ยถา
ความว่า ราชวสดีนี้อันนรชนประพฤติตามอยู่ ย่อมเป็นเหตุให้พระราชาทรง
โปรดปราน และย่อมได้รับการบูชาจากสำนักพระราชาทั้งหลายแล.

พระวิธุรบัณฑิตผู้มีธุรกิจหาผู้อื่นเสมอเหมือนมิได้ ได้แสดงราชวสดี-
ธรรมสอนบุตรภรรยาญาติและมิตรด้วยพุทธลีลา จบลงด้วยประการฉะนี้แล.
จบราชสวดีกัณฑ์
เมื่อพระมหาสัตว์พร่ำสอนบุตรภรรยาญาติและมิตรเป็นต้น อย่างนี้นั่น
แลจบลง ก็เป็นวันที่ 3. พระมหาสัตว์นั้น ครั้นทราบว่าครบกำหนดวันแล้ว
อาบน้ำแต่เช้าตรู่ บริโภคโภชนาหารที่รสเลิศต่าง ๆ คิดว่า เราพร้อมด้วย
มาณพจักทูลลาพระราชาไป ดังนี้แล้วแวดล้อมด้วยหมู่ญาติไปสู่พระราชนิเวศน์
ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กรามทูลถ้อยคำอันสมควรที่
ตนจะพึงกราบทูล.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสพระคาถาว่า
วิธุรบัณฑิตผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา ครั้นพร่ำ
สอนหมู่ญาติอย่างนี้แล้ว หมู่ญาติมิตรพากันห้อมล้อม
เข้าไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคมพระยุคลบาทด้วยเศียร
เกล้า และทำประทักษิณท้าวเธอ แล้วประคองอัญชลี
กราบบังคมทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงปราบศัตรู
มาณพนี้ปรารถนาจะทำตามความประสงค์จึงจะนำข้า-
พระองค์ไป ข้าพระองค์จะกราบทูลประโยชน์แห่งญาติ
ทั้งหลาย ขอเชิญพระองค์ทรงสดับประโยชน์นั้น ขอ
พระองค์ ได้ทรงพระกรุณาเอาพระทัยใส่ดูแลบุตร
ภรรยาของข้าพระองค์ทั้งทรัพย์อื่น ๆ ที่อยู่ในเรือน
โดยที่หมู่ญาติของข้าพระองค์ จะไม่เสื่อมในภายหลัง
ในเมื่อข้าพระองค์ถวายบังคมลาไปแล้ว ความพลั้ง
พลาดของข้าพระองค์นี้ เหมือนบุคคลพลาดล้มบน

แผ่นดิน ย่อมกลับตั้งอยู่บนแผ่นดินนั้นเอง ฉะนั้น
ข้าพระองค์ย่อมเห็นโทษนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุหเทหิ ได้แก่ อันญาติและมิตรเป็น
ต้นผู้มีใจดี. บทว่า ยญฺจมญฺญํ ความว่า ขอพระองค์เท่านั้น จงดูแลทรัพย์
สมบัติอย่างอื่นทั้งหมดนั้น อันจะนับจะประมาณมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
และพระราชาเหล่าอื่น พระราชทานไว้สำหรับเรือนของข้าพระองค์. บทว่า
เปจฺจ แปลว่า ในภายหลัง. บทว่า ขลติ แปลว่า ย่อมพลาดล้ม. บทว่า
เอเวตํ ตัดบทเป็น เอวํ เตตํ เพราะความพลั้งพลาดในใต้ฝ่าละอองธุลี
พระบาทแล้ว ข้าพระองค์ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในพระองค์ตามเดิม
เหมือนบุคคลพลาดล้มบนแผ่นดิน ย่อมตั้งขึ้นบนแผ่นดินนั้นนั่นแหละ. บท
ว่า เอตํ ปสฺสามิ ความว่า เมื่อข้าพระองค์ ถูกมาณพถามว่า พระราชาเป็น
อะไรแก่ท่านหรือ จึงไม่มองพระองค์ ปรารถนาแต่ความสัตย์จริงกล่าวว่า
ข้าพระองค์เป็นทาส นี้เป็นโทษของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เห็นแต่โทษนี้
แต่โทษของข้าพระองค์อย่างอื่นไม่มี ขอพระองค์จงอดโทษนั้น แก่ข้าพระองค์
เถิด ขออย่าได้การทำโทษนั้นไว้ในพระหฤทัย จับผิดในบุตรและภริยาของ
ข้าพระองค์ในภายหลัง.
พระราชาครั้นทรงสดับดังนั้นแล้ว เมื่อจะทรงแสดงว่า ดูก่อนบัณฑิต
การไปของท่านไม่ถูกใจเราเลย เราจักทำอุบายเรียกมาณพสั่งบังคับให้เอาไปฆ่า
แล้วปิดเนื้อความเสียมิให้ใครได้รู้ ข้อนั้นแหละจะชอบใจเรา ดังนี้ จึงได้ตรัส
คาถาว่า.
ท่านไม่อาจจะไปนั่นแล เป็นความพอใจของเรา
เราจะสั่งให้ฆ่าตัดออกเป็นท่อน ๆ แล้วหมกไว้ให้มิด
ชิดในเมืองนี้ ท่านอยู่ในที่นี้แหละ การทำดังนี้เราชอบ

ใจ ดูก่อนบัณฑิตผู้มีปัญญาอันสูงสุด กว้างขวางดุจ
แผ่นดิน ท่านอย่าไปเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆตฺวา ความว่า เราจะโบยท่านให้ตาย
แล้วปกปิดไว้ในกรุงราชคฤห์นี้เอง.
พระมหาสัตว์ ได้สดับดังนั้น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติ-
เทพ พระราชอัธยาศัยเห็นปานนี้ มิบังควรแก่พระองค์เลย ดังนี้แล้ว กล่าว
คาถาว่า.
ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อย่าทรงตั้งพระ-
ราชหฤทัยไว้ในอธรรมเลย ขอจงทรงประกอบพระองค์
ไว้ในอรรถและในธรรมเถิด กรรมอันเป็นอกุศลไม่
ประเสริฐ บัณฑิตติเตียนว่า ผู้ทำกรรมอันเป็นอกุศล
พึงเข้าถึงนรกในภายหลัง นี้มิใช่ธรรมเลย ไม่เข้าถึง
กิจที่ควรทำ ข้าแต่พระจอมประชาชน ธรรมดาว่านาย
ผู้เป็นใหญ่ของทาส จะทุบตีก็ได้ จะเผาก็ได้ จะฆ่า
เสียก็ได้ ข้าพระองค์ไม่มีความโกรธเลย และข้าพระ-
องค์ขอกราบทูลลาไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา เหว ธมฺเมสุ ความว่า ขอใต้ฝ่า
ละอองธุลีพระบาท อย่าทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ในอธรรมคือในอนัตถะได้แก่
ในความชั่วของพระองค์เลย. บทว่า ปจฺฉา ความว่า ความไม่แก่และไม่ตาย
ย่อมไม่มีเพราะการทำกรรมใด โดยที่แท้ บุคคลผู้การทำกรรมนั้น ย่อมเข้า
ถึงนรกในภายหลังทีเดียว. บทว่า ธิรตฺถุ กมฺมํ ความว่า กรรมนั้น น่า
ติเตียน คือเป็นกรรมที่บัณฑิตในปางก่อนติเตียนแล้ว. บทว่า เนเวส ความ
ว่า นี้มิใช่เป็นสภาวะธรรมของโปราณกบัณฑิต. บทว่า อยิโร แปลว่า นาย.
บทว่า ฆาเตตุํ ความว่า ธรรมดาว่า นายผู้เป็นใหญ่แห่งทาส เพื่อจะทำ

การฆ่าเป็นต้นนั้นย่อมไม่ได้ เพื่อจะทำกรรมทั้งหมดนั้นได้ ดูก่อนมาณพ
ความโกรธของเราแม้มีประมาณน้อย ย่อมไม่มี นับตั้งแต่เวลาพระราชทาน
ข้าพระองค์ให้แก่มาณพนี้ ควรที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะทรงตั้งพระราช
หฤทัยไว้ให้เที่ยงตรง ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งนรชน ข้าพระองค์ขอลาไป.
พระมหาสัตว์ ครั้นกราบทูลอย่างนั้นแล้วจึงถวายบังคมลาพระราชาไป
สั่งสอนพระสนมกำนัลใน และราชบริษัท เมื่อชนเหล่านั้น แม้อดกลั้นความ
โศกไว้ตามปกติไม่ได้ ร้องไห้คร่ำครวญอย่างใหญ่หลวง ได้ออกจากพระราช-
นิเวศน์ไป. ชนชาวพระนครทั้งสิ้นพูดกันเซ็งแซ่ว่า ข่าวว่า วิธุรบัณฑิต
จะไปกับมาณพ พวกเราจงมาไปเยี่ยมท่านเถิด ดังนี้แล้ว จึงไปประชุมกัน
เยี่ยมพระมหาสัตว์ที่หน้าพระลานหลวง. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ ได้สั่งสอน
ชาวพระนครเหล่านั้นว่า พวกท่านอย่าคิดวิตกไปเลย สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
สรีระไม่ยั่งยืน สมมติธรรมอันได้นามว่า ยศ ย่อมมีความวิบัติเป็นที่สุด
อนึ่งท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่ประมาทในบุญกุศลมีทานเป็นต้น ดังนี้แล้ว
ได้บ่ายหน้ากลับสู่เรือนของตน. ขณะนั้น ธรรมปาลกุมารพาหมู้น้องชายน้อง
หญิงออกไป ด้วยหวังว่า จะทำการต้อนรับบิดา ได้พร้อมกันคอยบิดาอยู่ที่
ประตูบ้าน. พระมหาสัตว์เห็นธรรมปาลกุมารนั้นแล้วไม่อาจกลั้นความโศกไว้
ได้ สวมกอดธรรมปาสกุมารเข้าไว้กันทรวงแล้วอุ้มไปสู่เรือน.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสพระคาถาว่า
พระมหาสัตว์นั้น มีเนตรทั้งสองนองด้วยน้ำตา
กำจัดความกระวนกระวายในหทัยแล้ว สวมกอดบุตร
คนโตแล้วเข้าไปยังเรือนหลังใหญ่.

ก็พระมหาสัตว์นั้น มีบุตรพันหนึ่ง มีธิดาพันหนึ่ง ภริยาพันหนึ่ง
นางวรรณทาสีเจ็ดร้อย และทั้งทาสกรรมกรญาติและมิตรที่เหลือ บรรดามีอยู่

ในเรือนของท่าน ต่างก็พากันร้องไห้ ล้มฟุบลงทับกันไปประดุจป่าไม้รัง ถูก
ลมยุคันต์พัดให้หักทับล้มลงไปฉะนั้น
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
บุตรพันหนึ่ง ธิดาพันหนึ่ง ภริยาพันหนึ่ง และ
ทาสเจ็ดร้อย ในนิเวศน์ของวิธุรบัณฑิต ต่างประคอง
แขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญ กลิ้งเกลือกกลับทับกันไป
เหมือนป่าไม้รังถูกลมพัดล้มระเนระนาดทับกันไป
ฉะนั้น พระสนมกำนัลใน พระราชกุมาร พวกพ่อค้า
ชาวนา และพราหมณ์ทั้งหลาย ต่างก็มาประคองแขน
ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในนิเวศน์ของวิธุรบัณฑิต พวกกอง
ช้าง กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ชาวชนบทและ
ชาวนิคม ต่างมาประชุมประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญ
อยู่ในนิเวศน์ของวิธุรบัณฑิต ภริยาพันหนึ่ง และทาสี
เจ็ดร้อยต่างพากันประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า
เพราะเหตุไร ท่านจึงจะละดิฉันทั้งหลายไปเสีย พระ-
สนมกำนัล พระราชกุมาร พ่อค้า ชาวนา และ
พราหมณ์ทั้งหลาย พวกกองช้าง กองม้า กองรถ
กองเดินเท้า ชาวชนบท และชาวนิคม ต่างมาประชุม
ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า เพราะเหตุไร ท่าน
จึงจักละข้าพเจ้าทั้งหลายไปเสีย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสนฺติ ความว่า บุตรพันหนึ่ง ธิดา
พันหนึ่ง ภริยาพันหนึ่ง และนางวรรณทาสีเจ็ดร้อย บรรดามีอยู่ในเรือนของ
วิธุรบัณฑิต ต่างกอดแขนทั้งสองข้างร้องไห้คร่ำครวญ กลิ้งเกลือกล้มระเน

ระนาดทับกันไป ดังป่าไม้รังใหญ่ที่ถูกลมพัดหักทับทอดพื้นแผ่นดินใหญ่ฉะนั้น.
บทว่า ภริยานํ ได้แก่ หญิงคือภริยาพันหนึ่ง. บทว่า กสฺมา โน ความ
ว่า พากันคร่ำครวญว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงจักละพวกเราไป.
พระมหาสัตว์ ปลอบโยนมหาชนทั้งหมดนั้นให้สร่างโศก ทำกิจที่ยัง
เหลือให้เสร็จ สั่งสอนอันโตชนและพาหิรชน บอกเรื่องที่ควรจะบอกทุกอย่าง
แก่บุตรและภริยาเสร็จแล้ว ไปสู่สำนักของปุณณกยักษ์ บอกกิจของตนที่ทำ
เสร็จแล้วแก่ปุณณกยักษ์นั้น
พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
พระมหาสัตว์ กระทำกิจทั้งหลายในเรือนสั่งสอน
คนของตน คือมิตร สหาย คนใช้ บุตร ธิดา ภริยา
และพวกพ้อง จัดการงาน บอกมอบทรัพย์ในเรือน
ขุมทรัพย์และการส่งหนี้เสร็จแล้ว ได้กล่าวกะปุณณก-
ยักษ์ว่า ท่านได้พักอยู่ในเรือนของข้าพเจ้า 3 วันแล้ว
กิจที่จะพึงทำในเรือนของข้าพเจ้าทำเสร็จแล้ว อนึ่ง
บุตรและภริยาข้าพเจ้าได้สั่งสอนแล้ว ข้าพเจ้าย่อมทำ
กิจตามอัธยาศัยของท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมฺมนฺตํ สํวิเธตฺวาน ความว่า จัด
กิจที่ควรทำในเรือนว่า ควรทำอย่างนี้และอย่างนี้. บทว่า นิธึ ได้แก่ ทรัพย์
ที่ฝังไว้ในที่นั้น ๆ. บทว่า อิณทานํ ได้แก่ ทรัพย์ที่ประกอบไว้ด้วยอำนาจหนี้.
บทว่า ยถามตึ เต ความว่า บัดนี้ท่านจงกระทำตามอัธยาศัยของท่าน.
ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์กล่าวกะพระมหาสัตว์ว่า
ดูก่อนมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชกิจทั้งปวง ถ้าว่า
ท่านสั่งสอนบุตรภริยาและคนอาศัยแล้ว เชิญท่านมา

รีบไปในบัดนี้ เพราะในทางข้างหน้ายังไกลนัก ท่าน
อย่ากลัวเลย จงจับหางม้าอาชาไนย การเห็นชีวโลก
ของท่านนี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตฺเต ความว่า ปุณณกยักษ์ถึงโสมนัส
เรียกมหาสัตว์ว่า กตฺเต. บทว่า อทฺธาปิ ความว่า แม้เพียงหนทางที่จะพึง
ไปก็ยังไกลนัก. บทว่า อสมฺภีโตว แปลว่า เป็นทางปลอดภัย. ปุณณกยักษ์
นั้น ไม่หยั่งลงสู่ภายใต้ปราสาท ประสงค์จะหลีกไปจากนั้น จึงได้กล่าวอย่างนั้น.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะปุณณกยักษ์นั้นว่า
ข้าพเจ้าจักสะดุ้งกลัวทำไปทำไม ข้าพเจ้าไม่มีกรรม
ชั่วทางกาย ทางวาจาและทางใจ อันเป็นเหตุให้ไปสู่
ทุคติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสหํ กิสฺสานุภายิสฺสํ ความว่า พระ
มหาสัตว์ ถูกปุณณกยักษ์กล่าวว่า อย่ากลัวเลย ท่านจงถือเอาเถิดดังนี้ จึงได้
กล่าวอย่างนั้น.
พระมหาสัตว์บันลือสีหนาทด้วยประการอย่างนี้ จะได้สะดุ้งกลัวหามิได้
เป็นผู้หมดภัยองอาจดังพระยาไกรสรราชสีห์ ทำอธิษฐานบารมีให้เป็นปุเรจาริก
ว่าผ้าสาฎกของอาตมาผืนนี้ จงอย่าหลุดลุ่ยออกจากร่างกายของอาตมา แล้วนุ่ง
ผ้าให้แน่นจับหางม้าด้วยมือทั้งสองกระหวัดหางม้าไว้ให้มั่น เอาเท้าทั้งสองเกี่ยว
ขาม้าไว้ให้แน่นกล่าวว่า ดูก่อนมาณพ ข้าพเจ้าจับทางม้าแล้ว ท่านจงไปตาม
ความชอบใจเถิด ขณะนั้นปุณณกยักษ์ได้ให้สัญญาแก่ม้ามโนมัยสินธพ ส่วน
ม้ามโนมัยสินธพนั้น ได้พาวิธุรบัณฑิตเหาะไปในอากาศ.

พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงได้ตรัสพระคาถาว่า
พระยาม้านั้น นำวิธุรบัณฑิตเหาะไปในอากาศ
กลางหาว ไม่กระทบที่กิ่งไม้หรือภูเขา วิ่งเข้าไปสู่
กาฬาคิรีบรรพตโดยฉับพลัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาขาสุ เสเลสุ อสชฺชมาโน ความ
ว่า ได้ยินว่า ปุณณกยักษ์คิดว่า เรามาไกลแล้ว เราควรจะทุบวิธุรบัณฑิตนี้
ให้ตายที่ต้นไม้และภูเขาในหิมวันตประเทศ ถือเอาแต่เนื้อหทัย ทิ้งทรากศพ
เสียในซอกแห่งภูเขา แล้วไปสู่นาคพิภพ ถวายเนื้อหทัยนั้นแก่พระนางวิมลา
เทวีในนาคพิภพ แล้วจักรับเอานางอิรันทตีกลับมา.
ปุณณกยักษ์นั้น ทุบพระมหาสัตว์ที่ต้นไม้และภูเขา ขับม้าไปในระหว่าง
ทางแห่งต้นไม้และภูเขานั้นแล ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาสัตว์ ต้นไม้ก็ดี
ภูเขาก็ดี ได้แหวกช่องหลีกออกห่างจากสรีระของพระมหาสัตว์ข้างละศอก
ปุณณกยักษ์เหลียวกลับหลังมองดูหน้าพระมหาสัตว์ เพื่ออยากทราบว่าตายแล้ว
หรือยัง เห็นหน้าพระมหาสัตว์ผ่องใสดุจแว่นทอง รู้ว่าแม้ทำเพียงนี้เธอก็ยัง
ไม่ตาย จึงทุบตีพระมหาสัตว์ที่ต้นไม้และภูเขา 3 ครั้ง ขับม้าไปในระหว่าง
แห่งต้นไม้และภูเขาในหิมวันตประเทศนั้นอีก ต้นไม้ก็ดี ภูเขาก็ดี ย่อมแหวก
ช่องหลีกออกให้ห่างไกลเช่นกับหนก่อนนั่น และพระมหาสัตว์ได้รับความลำบาก
กายเป็นอย่างยิ่ง ปุณณกยักษ์ดำริว่า เราจักทำเธอให้เป็นจุณวิจุณไปที่กองลม
ในบัดนี้ แล้วขับม้าไปในกองลม เหลียวกลับดูด้วยคิดว่า เธอตายแล้วหรือยัง
ไม่ตาย เห็นหน้าพระมหาสัตว์เบิกบานดังดอกปทุมที่แย้มบานก็โกรธเหลือกำลัง
ควบม้าไปสู่กองลมแล่นกลับไปกลับมาสิ้น 7 ครั้ง. ด้วยอานุภาพแห่งพระโพธิ-
สัตว์ กองลมได้แยกออกเป็น 2 ภาคให้ช่องแก่พระมหาสัตว์. ลำดับนั้น
ปุณณกยักษ์ขับม้าไปให้กระทบสมแม้ที่ลมเวรัมภะ. แม้อันว่าลมเวรัมภะก็มี

เสียงดังครืน ดุจเสียงฟ้าฟาดตั้งแสนครั้ง ได้แยกช่องให้แก่พระโพธิสัตว์ ฝ่าย
ปุณณกยักษ์เมื่อเห็นว่าพระโพธิสัตว์ไม่เป็นอันตรายด้วยลมเวรัมภะนั้น ได้ขับ
ม้าไปสู่กาฬาคิรีบรรพต. เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสพระคาถาว่า
พระยาม้านั้น นำวิธุรบัณฑิตเหาะไปในอากาศ
กลางหาว ไม่กระทบที่กิ่งไม้หรือภูเขา วิ่งเข้าไปสู่
กาฬาคิรีบรรพตโดยฉับพลัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสชฺชมาโน ความว่า ไม่ติดขัด ไม่
กระทบกระทั่ง นำวิธุรบัณฑิตเข้าไปสู่ยอดแห่งกาฬาคิรีบรรพต.
ในเวลาที่ปุณณกยักษ์พาพระมหาสัตว์ไปอย่างนั้น ปิยชนทั้งหลายมี
บุตรและภรรยาเป็นต้นของวิธุรบัณฑิต ไปสู่ที่พักแห่งปุณณกยักษ์ ไม่เห็น
พระมหาสัตว์จึงล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาดุจมีเท้าขาดไป ต่างคนต่างพากันร้องไห้
ร่ำไรด้วยเสียงอันดัง
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
ภรรยาพันหนึ่ง และทาสีเจ็ดร้อย ประคองแขน
ร้องไห้คร่ำครวญว่า ยักษ์แปลงเพศเป็นพราหมณ์มา
พาเอาวิธุรบัณฑิตไป พระสนมกำนัลใน พระราช-
กุมาร พ่อค้า ชาวนา และพราหมณ์ กองช้าง กอง
ม้า กองรถ กองเดินเท้า ชาวชนบท และชาวนิคม
ต่างมาประชุมพร้อมกัน ประคองแขนทั้งสองร้องไห้
คร่ำครวญว่า ยักษ์แปลงเพศเป็นพราหมณ์มาพาเอา
วิธุรบัณฑิตไป ภรรยาพันหนึ่งและทาสีเจ็ดร้อย ต่าง
ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า วิธุรบัณฑิตนั้น ไป
แล้ว ณ ที่ไหน พระสนมกำนัลใน พระราชกุมาร

พ่อค้า ชาวนาและพราหมณ์ กองช้าง กองม้า กอง
รถ กองเดินเท้า ชาวชนบท และชาวนิคม ต่างมา
ประชุมพร้อมกัน ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า
วิธุรบัณฑิตไปแล้ว ณ ที่ไหน.

ชนเหล่านั้นทั้งหมด เห็นและได้ทราบว่าปุณณกยักษ์พาพระมหาสัตว์
ไปทางอากาศพากันคร่ำครวญแล้วแม้อย่างนี้ พากันคร่ำครวญพร้อมด้วยชน
พระนครทั้งสิ้น ได้พากันไปยังพระราชวัง. พระราชาทรงสดับเสียงคร่ำครวญ
อันดัง ทรงเปิดสีหบัญชรทอดพระเนตรดู จึงตรัสถามว่า พวกเจ้าร้องไห้พิไร
ร่ำรำพัน เพราะเหตุไร. ลำดับนั้น ชนชาวพระนครเหล่านั้นทูลบอกเนื้อความ
นั้นแด่ท้าวเธอว่า ข้าแต่สมมติเทพ นัยว่ามาณพนั้นไม่ใช่พราหมณ์ เป็นยักษ์
จำแลงเพศเป็นพราหมณ์มาเอาวิธุรบัณฑิตไป ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายพลัดพราก
จากวิธุรบัณฑิตนั้นเสียแล้วชีวิตเห็นจะหาไม่ ถ้าวิธุรบัณฑิตจักไม่กลับมาใน
วันที่ 7 แต่วันนี้ไปไซร้ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวง จักขนเอาฟืนมาด้วย
เกวียน 100 เล่ม 1,000 เล่ม ก่อไฟให้เป็นเปลวลุกรุ่งโรจน์ แล้วเข้าไปสู่
กองไฟ ดังนี้แล้ว ทูลด้วยคาถานี้ว่า
ถ้าวิธุรบัณฑิตนั้น จักไม่มาโดย 7 วัน ข้าพระ
พุทธเจ้าจักพากันเข้าไปสู่กองไฟ ข้าพระพุทธเจ้าทั้ง
หลาย ไม่มีความต้องการด้วยชีวิต.

แม้ในกาลเป็นที่ปรินิพพานแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทวยเทพและ
มนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีใครพูดว่าพวกเราจะเข้ากองไฟตายเช่นนี้ หาได้มีเหมือน
ครั้งเสวยพระชาติเป็นวิธุรบัณฑิตไม่ เหตุนั้น ผู้มีปัญญาจึงเข้าใจว่า ในพระนคร
พระมหาสัตว์ครอบครองด้วยแล้วแล. พระราชาทรงสดับถ้อยคำของชนเหล่า

นั้นแล้ว จึงมีพระราชดำริว่า พวกเจ้าอย่าพากันวิตก อย่าเศร้าโศกร่ำไรไป
นักเลย วิธุรบัณฑิตเป็นผู้แสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดจะ
เล้าโลมมาณพด้วยธรรมกถา ให้หมอบลงแทบบาทของตนไม่กี่วันก็จักมาเช็ด
หน้าของพวกเราที่เต็มไปด้วยน้ำตาให้เบิกบาน พวกเจ้าอย่าละห้อยสร้อยเศร้า
ไปเลย ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาว่า
วิธุรบัณฑิตเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลมสามารถแสดง
ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์แจ้งชัด มีปัญญาเครื่อง
พิจารณา คงจะเปลื้องตนได้โดยพลัน ท่านทั้งหลาย
อย่ากลัวไปเลย วิธุรบัณฑิตปลดเปลื้องตนแล้วก็จักรีบ
กลับมา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิยตฺโต ความว่า ประกอบด้วยความ
เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลมคือด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา. บทว่า วิภาวี
ความว่า เป็นผู้สามารถแสดงถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ เหตุและมิใช่เหตุ
ให้แจ่มชัด. บทว่า วิจกฺขโณ ความว่า ประกอบด้วยปัญญาอันเป็นเครื่องรู้แจ้ง
ถึงเหตุที่เกิดขึ้นตามฐานะในขณะนั้นนั่นเอง. บทว่า มา ภายิตฺถ ความว่า
ท่านสั่งสอนว่า พวกท่านอย่ากลัวเลย วิธุรบัณฑิตปลดเปลื้องตนให้พ้นแล้วจัก
กลับมาโดยเร็วพลัน.
ฝ่ายชาวพระนครกลับได้ความอุ่นใจว่า วิธุรบัณฑิตจักทูลบอกกับ
พระราชาแล้วจึงไปด้วยประการฉะนี้แล
จบกัณฑ์ว่าด้วยการปลดเปลื้องโทษ
ฝ่ายปุณณกยักษ์พักพระมหาสัตว์ไว้บนยอดกาฬาคิรีบรรพตแล้ว จึง
คิดว่า เมื่อวิธุรบัณฑิตนี้ยังมีชีวิตอยู่ ชื่อว่าความเจริญย่อมไม่มีแก่เรา จำเรา

ต้องฆ่าวิธุรบัณฑิตนี้ให้ตายเสีย ถือเอาเนื้อหทัยไปถวายพระนางวิมลาที่นาค-
พิภพจักรับนางอิรันทตีไปสู่เทวโลก.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้นได้ตรัสพระคาถาว่า
ปุณณกยักษีนั้น ไปยืนคิดอยู่บนยอดกาฬาคีรี
บรรพต ความคิดย่อมเป็นความคิดสูง ๆ ต่ำ ๆ ประ-
โยชน์อะไร ๆ ด้วยความเป็นอยู่ของวิธุรบัณฑิตนี้ หามี
แก่เราไม่ เราจักฆ่าวิธุรบัณฑิตนี้เสียแล้วนำเอาแต่ดวง
ใจไปเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส ได้แก่ ปุณณกยักษ์นั้น. บทว่า
ตตฺถ คนฺตฺวาน ความว่า ไปยืนอยู่ที่บนยอดกาฬาคีรีบรรพตนั้น. บทว่า
เจตนกา ความว่า ความคิดที่เกิดขึ้นทุกขณะจิต ย่อมเป็นความคิดสูงบ้างต่ำบ้าง
แต่ว่า ความคิดเป็นเหตุให้ชีวิตแก่พระมหาสัตว์เป็นฐานะอันจะพึงเกิดขึ้นบ้างมิ
ได้มีเลย ได้ทำตามความตกลงใจว่า เรามิต้องการด้วยความเป็นอยู่ของวิธุร-
บัณฑิตนี้แม้แต่น้อยหนึ่งเลย เราจักฆ่าวิธุรบัณฑิตนี้ นำเอาไปแต่ดวงหทัยของ
เธอนี้เท่านั้น.
ลำดับนั้นปุณณกยักษ์คิดว่า ถ้าอย่างไรเราไม่พึงฆ่าวิธุรบัณฑิตนี้ให้
ตายด้วยมือของตน จะให้ถึงซึ่งความสิ้นชีวิต ด้วยการแสดงรูปอันน่าสะพึงกลัว
แล้วจึงแปลงกายเป็นยักษ์น่าสะพึงกลัวมาขู่พระมหาสัตว์ ผลักพระมหาสัตว์นั้น
ให้ล้มลง จับเท้าทั้งสองใส่เข้าในระหว่างแห่งฟัน ทำอาการเหมือนประสงค์จะ
เคี้ยวกิน ถึงทำอาการอย่างนั้น ความสะดุ้งกลัวแม้เพียงเป็นเครื่องทำให้ขนลุกก็
มิได้มีแก่พระมหาสัตว์ ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์จำแลงเพศเป็นพระยาไกรสร-
ราชสีห์เป็นช้างตกมันตัวใหญ่บ้าง วิ่งมาทำดังจะทิ่มแทงด้วยเขี้ยวและงา เมื่อ
พระมหาสัตว์ไม่สะดุ้งกลัวแม้ด้วยอาการอย่างนั้น จึงนฤมิตเพศเป็นงูใหญ่ประ-

มาณเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง เลื้อยมาพันสรีระร่างกายของพระมหาสัตว์กระหวัดรัด
ให้รอบแล้วแผ่พังพานไว้บนศีรษะ แม้เหตุทำให้กลัวเพียงความแสยงขนก็มิได้
มีแก่พระมหาสัตว์ ลำดับนั้นปุณณกยักษ์จึงพักพระมหาสัตว์ไว้บนยอดบรรพต
บันดาลให้พายุใหญ่พัดมา ด้วยหมายว่าจักทำให้มหาสัตว์ตกลงเป็นจุณวิจุณไป
พายุใหญ่นั้นมิอาจพัดแม้สักว่าปลายเส้นผมให้ไหวได้ ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์
จึงพักพระมหาสัตว์ไว้บนยอดบรรพตนั่นแหละ. เขย่าบรรพตให้ไหวไปมา ดุจ
ช้างเขย่าต้นเป้งฉะนั้น ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจทำพระมหาสัตว์ให้เคลื่อนจากที่ยืน
แม้ประมาณเท่าเส้นผมได้ ขณะนั้นจึงชำแรกเข้าไปภายในแห่งบรรพตร้องขึ้น
ด้วยเสียงอันดังทำแผ่นดินและนภากาศให้มีเสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหวเป็นอัน
เดียวกัน ด้วยหมายใจว่าจักชำแหละหทัยของพระมหาสัตว์ให้ตายด้วยความ
สะดุ้งหวาดเสียวแต่เสียง ถึงทำอาการอย่างนั้น เหตุทำให้กลัวแม้เพียงแต่ความ
แสยงขนก็มิได้มีแก่พระมหาสัตว์ แท้จริงพระมหาสัตว์ย่อมทราบว่าที่แปลงเพศ
เป็นยักษ์เป็นราชสีห์เป็นช้าง และเป็นพระยานาคมาก็ดี ทำให้ลมพัดและเขย่า
บรรพตก็ดี ชำแรกเข้าไปยังภายในบรรพตแล้วเปล่งสีหนาทก็ดี คือมาณพนั้น
เองหาเป็นคนอื่นไม่ ลำดับนั้นปุณณกยักษ์คิดว่า เราไม่สามารถให้วิธุรบัณฑิต
นี้ตายด้วยความพยายามภายนอกได้ อย่าเลยเราจะให้เธอตายด้วยมือของเรา
นี่แหละ คิดดังนี้แล้วจึงพักพระมหาสัตว์ไว้บนยอดบรรพตลงไปสู่เชิงบรรพต
ชำแรกขึ้นไปโดยภายในแห่งบรรพต ดังบุคคลร้อยด้ายแดงเข้าไปในดวงแก้ว-
มณี ร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง จับพระมหาสัตว์เข้าให้มั่นกวัดแกว่งให้ศีรษะ
ลงเบื้องต่ำ แล้วขว้างไปในอากาศซึ่งไม่มีที่ยึดเหนี่ยว.
เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสพระคาถาว่า
ปุณณกยักษ์นั้นมีจิตคิดประทุษร้ายลงจากยอดเขา
วางพระมหาสัตว์ไว้ในระหว่างภูเขา ชำแรกเข้าไป

ภายในภูเขานั้น จับพระมหาสัตว์เอาศีรษะลงเบื้องต่ำ
ขว้างลงไปที่พื้นดิน ไม่มีอะไรกีดกั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คนฺตฺวา ความว่า ปุณณกยักษ์ลงจากยอด
บรรพตไปสู่เชิงบรรพต แล้วพักวิธุรบัณฑิตไว้ที่ระหว่างแห่งบรรพต ชำแรก
ไปในภายใต้แห่งที่ ๆ พระมหาสัตว์ผู้ยืนอยู่บนยอดแห่งบรรพต จับพระมหาสัตว์
ขว้างลงไปที่พื้นแผ่นดินที่ไม่มีอะไรกีดขวาง. บทว่า ธารยิ ความว่า ครั้งแรก
ให้พระมหาสัตว์นั้นยืนอยู่บนยอดบรรพตนั่นเอง.
ก็ปุณณกยักษ์ ยืนอยู่บนยอดบรรพตนั่นเองขว้างพระมหาสัตว์ลงไปที่
พื้นแผ่นดิน ครั้งแรกพระมหาสัตว์ตกลงไกลประมาณ 15 โยชน์ แล้วยื่นมือ
ออกไปจับเท้าทั้ง 2 ของพระมหาสัตว์ ยกขึ้นให้มีศีรษะลงเบื้องต่ำ มองดู
หน้าทราบว่ายังไม่ตายจึงขว้างพระมหาสัตว์ไปอีก แม้ครั้งที่ 2 พระมหาสัตว์
ตกไปไกลประมาณ 30 โยชน์ แล้วยื่นมือออกไปจับพระมหาสัตว์ยกขึ้นโดย
ทำนองนั้นเหมือนกัน แลดูหน้าเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่. จึงคิดว่าคราวนี้เธอตกไป
แม้ไกลได้ประมาณ 60 โยชน์จักไม่ตายไซร้ เราจักจับเท้าของเธอฟาดลงบน
ยอดบรรพตนี้ให้ตาย ลำดับนั้นปุณณกยักษ์ได้ขว้างพระมหาสัตว์เป็นครั้งที่ 3
ในเวลาที่พระมหาสัตว์ตกลงไปไกลได้ 60 โยชน์ แล้วจึงยื่นมือออกไปจับเท้า
พระมหาสัตว์ยกขึ้นมองดูหน้า ฝ่ายพระมหาสัตว์คิดว่า มาณพนี้ขว้างอาตมาไป
ครั้งแรกไกล 15 โยชน์ แม้ครั้งที่ 2 ก็ไกลได้ 30 โยชน์ ครั้งที่ 3 ไกลได้
60 โยชน์ บัดนี้มาณพนี้จักไม่ขว้างอาตมาไปอีก แต่ว่าเขาจักยกอาตมาขึ้นฟาด
บนยอดบรรพตนี้ให้ตายโดยแท้ อาตมาซึ่งมีศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำอยู่อย่างนี้จัก
ถามถึงเหตุแห่งการจะฆ่าอาตมา ในเวลาที่ปุณณกยักษ์จะยกพระมหาสัตว์ขึ้น
ฟาดลงกับยอดบรรพต พระมหาสัตว์มิได้สะดุ้งกลัวและครั่นคร้ามเลย ได้กระ-
ทำอย่างนั้นแล้ว

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสพระคาถาว่า
วิธุรบัณฑิตผู้เป็นอำมาตย์ประเสริฐสุดของชาว
กุรุรัฐ เมื่อถูกห้อยศีรษะลงในเหวอันชัน อันเป็นที่น่า
กลัว น่าสยดสยอง น่าหวาดเสียวมาก ก็ไม่สะดุ้ง ได้
กล่าวกะปุณณกยักษ์ว่า ท่านเป็นผู้มีรูปดังผู้ประเสริฐ
แต่หาเป็นคนประเสริฐไม่ คล้ายจะเป็นคนสำรวม แต่
ไม่สำรวม กระทำกรรมอันหยาบช้า ไร้ประโยชน์
ส่วนกุศลแม้แต่น้อยย่อมไม่มีในจิตของท่าน ท่านจะ
โยนข้าพเจ้าลงไปในเทวประโยชน์อะไร ด้วยการตาย
ของข้าพเจ้า จะพึงมีแก่ท่านหนอ วันนี้ ผิวพรรณของ
ท่านเหมือนอมนุษย์ ท่านจงบอกข้าพเจ้า ท่านเป็น
เทวดาชื่ออะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส ลมฺพมาโน ความว่า วิธุรบัณฑิต
ผู้เป็นปราชญ์ประเสริฐสุดของชนชาวกุรุ เมื่อมีศีรษะห้อยลงไปในเหวอันชัน
เป็นวาระที่ 3. บทว่า อริยาวกาโส ความว่า ท่านมีผู้มีรูปเช่นกับผู้ประเสริฐ
มีวรรณะดังเทพบุตรเที่ยวไปอยู่. บทว่า อสญฺญโต ความว่า ท่านเป็นผู้ไม่
สำรวมกายเป็นต้น เป็นผู้ทุศีล. บทว่า อจฺจาหิตํ แปลว่า ซึ่งกรรมอันล่วง
เสียซึ่งประโยชน์ หรือกรรมอันไม่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง. บทว่า ภาเว จ เต
ความว่า กรรมอันกุศลแม้น้อยหนึ่งก็ย่อมไม่มีในจิตของท่าน. บทว่า อมา-
นุสสฺเสว เต อชฺช วณฺโณ
ความว่า วันนี้เหตุของท่านที่จะบวงสรวง
อมนุษย์มีอยู่. บทว่า กตมาสิ เทวตา ความว่า ท่านเป็นเทวดาชื่ออะไรใน
ระหว่างแห่งเทวดาทั้งหลาย.

ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์กล่าวกับพระมหาสัตว์ด้วยคาถาว่า
ข้าพเจ้าเป็นยักษ์ชื่อปุณณกะ และเป็นอำมาตย์
ของท้าวกุเวร ถ้าท่านได้ฟังมาแล้ว พระยานาคใหญ่
นามว่าวรุณ ผู้ครอบครองนาคพิภพมีรูปงามสะอาด
สมบูรณ์ด้วยผิวพรรณและกำลัง ข้าพเจ้ารักใคร่อยาก
ได้นางนาคกัญญานามอิรันทตีธิดาของพระยานาคนั้น
ดูก่อนท่านผู้เป็นปราชญ์ เพราะเหตุแห่งนางอิรันทตีผู้
มีเอวอันงามน่ารักนั้น ข้าพเจ้าจึงตกลงใจจะฆ่าท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สชีโว ได้แก่ เป็นอำมาตย์ชื่อว่า สชีวะ.
บทว่า พฺรหา ความว่า สมบูรณ์ด้วยส่วนยาวและส่วนกว้าง. บทว่า สุจิ
ได้แก่ เช่นรูปทองอันยกขึ้นแล้ว. บทว่า วณฺณพลูปปนฺโน ความว่า ผู้เข้า
ถึงด้วยความงามแห่งเรือนร่าง และด้วยกำลังกาย. บทว่า ตสฺสานุชํ ได้แก่
ธิดาผู้เกิดแต่พระยานาคนั้น. บทว่า ปตารยึ ความว่า ข้าพเจ้ายังจิตให้เป็นไป
แล้วคือได้กระทำการตกลงใจแล้ว .
พระมหาสัตว์ได้สดับดังนั้น จึงคิดว่า โลกนี้ย่อมฉิบหายเพราะความ
ถือผิด ปุณณกยักษ์เมื่อปรารถนานางนาคมาณวิกา จะฆ่าอาตมาประโยชน์อะไร
อาตมาถามให้รู้เหตุนั้นโดยถ่องแท้เสียก่อน แล้วกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนปุณณกยักษ์ ท่านอย่าได้มีความลุ่มหลง
นักเลย สัตว์โลกเป็นอันมากฉิบหายแล้วเพราะความ
ถือผิด เพราะเหตุไรท่านจึงทำความรักใคร่ในนางอิ-
รันทตี ผู้มีเอวอันงามน่ารัก ท่านจะมีประโยชน์อะไร
ด้วยความตายของข้าพเจ้า เชิญท่านจงบอกเหตุทั้งปวง
แก่ข้าพเจ้าด้วย.

ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์เมื่อจะบอกแก่พระมหาสัตว์จึงกล่าวคาถาว่า
ข้าพเจ้าปรารถนาธิดาของพระยาวรุณนาคราช
ผู้มีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าชื่อว่าเป็นผู้รับอาสาญาติของ
นางอิรันทตีมา ญาติเหล่านั้นได้สำคัญข้าพเจ้าว่า ถูก
ความรักใคร่ครอบงำโดยส่วนเดียว เหตุนั้น พระยา
วรุณนาคราชได้ตรัสกะข้าพเจ้า ผู้ทูลขอนางอิรันทตี
นาคกัญญาว่า เราทั้งหลายพึงให้ธิดาของเรา ผู้มีร่าง
กายอันสลวย มีเนตรงามอย่างน่าพิศวงลูบไล้ด้วยจุรณ
แก่นจันทน์ ถ้าท่านพึงได้ดวงหทัยของวิธุรบัณฑิต
นำมาในนาคพิภพนี้โดยธรรม เพราะความดีความชอบ
นี้ ท่านก็จะได้ธิดาของเรา เราทั้งหลายมิได้ปรารถนา
ทรัพย์อื่นยิ่งไปกว่านั้น ดูก่อนท่านอำมาตย์ ข้าพเจ้า
ไม่ได้เป็นคนหลง ท่านจงพึงให้ทราบเรื่องอย่างนี้ อนึ่ง
ข้าพเจ้ามิได้มีความถือผิดอะไรๆ เลย เพราะดวงหทัย
ท่าน ที่ข้าพเจ้าได้ไปโดยชอบธรรม ท้าววรุณนาคราช
และพระนางวิมาลาจะประทานนางอิรันทตีนาคกัญญา
แก่ข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าพึงพยายามเพื่อจะ
ฆ่าท่าน ข้าพเจ้ามีประโยชน์ด้วยการตายของท่าน จึง
จะผลักท่านให้ตกลงไปในเหวนี้ ฆ่าเสียแล้วนำดวง
หทัยไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธีตุกาโม ความว่า ข้าพเจ้าอยากได้คือ
ปรารถนาธิดา จึงเที่ยวไปเพื่อต้องการธิดา. บทว่า ญาติภโตหมสฺมิ ความว่า
ข้าพเจ้าเป็นผู้รับอาสาพวกญาติของนางอิรันทตีนั้นมา. บทว่า ตํ แปลว่า ซึ่ง

นางนาคมาณวิกานั้น. บทว่า ยาจมานํ แปลว่า ซึ่งข้าพเจ้าผู้ขออยู่. บทว่า
ยถา มํ ความว่า เพราะเหตุนั้น พระยาวรุณนาคราชจึงได้ตรัสกะข้าพเจ้า ผู้ทูล
ขออยู่. บทว่า สุกามนีตํ ความว่า ญาติเหล่านั้นได้สำคัญ คือรู้ว่าเราถูกความ
รักใคร่นำไปด้วยดีคือโดยส่วนเดียว เพราะเหตุนั้นพระยาวรุณนาคราชผู้เป็นพ่อ
ตา จึงได้รับสั่งกะข้าพเจ้าผู้ไปสู่ขอนางอิรันทตีนาคกัญญานั้นว่า เราทั้งหลายจะ
พึงให้ลูกสาวแก่ท่านแลเป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทชฺเชมุ แปลว่า
ข้าพเจ้าทั้งหลายพึงให้. บทว่า สุตนุํ แปลว่า ผู้มีรูปร่างอันสวยงาม. บทว่า
อิธ มาหเรสิ ความว่า ท่านพึงนำมาในที่นี้
พระมหาสัตว์ได้สดับถ้อยคำของปุณณกยักษ์นั้นจึงคิดว่า พระนางวิมลา
จะต้องการดวงหทัยของเราหามิได้ แต่ว่าพระยาวรุณนาคราชฟังธรรมกถา
ของเราเกิดความเลื่อมใส เอาแก้วมณีบูชาเรา กลับไปถึงนาคพิภพ
นั้นแล้ว จักพรรณนาความที่เราเป็นธรรมกถึกแก่พระนางเป็นแน่ เมื่อเป็น
อย่างนั้น ความปรารถนาด้วยธรรมกถาของเรา จักเกิดขึ้นแก่พระนางวิมลา
พระยาวรุณนาคราชจักถือผิดไป จึงทรงบังคับปุณณกยักษ์นี้ที่ถือผิดไปตาม
พระองค์มาเพื่อฆ่าเราให้ตาย ภาวะที่เราเป็นบัณฑิต เป็นผู้สามารถใน
อันค้นคว้าหาเหตุที่ตั้งและเกิดขึ้นได้นั้น ได้ทำเราให้ได้รับทุกข์ถึงเพียงนี้
เมื่อปุณณกยักษ์ฆ่าเราให้ตายเสียจักทำประโยชน์อะไรได้ เอาเถอะเรา
จักเตือนมาณพนั้นให้รู้สึกตัว ดังนี้แล้วกล่าวว่า ดูก่อนมาณพ ข้าพเจ้าย่อม
ทราบสาธุนรธรรม ในขณะที่ข้าพเจ้ายังไม่ตาย ท่านจงยังข้าพเจ้าให้นั่งลงบน
ยอดบรรพต แล้วตั้งใจฟังสาธุนรธรรมก่อน พึงทำกิจที่ท่านปรารถนาจะทำ
ในภายหลัง แล้วคิดว่าเราพึงพรรณนาสาธุนรธรรม ยังปุณณกยักษ์ให้มอบ
ชีวิตคืนแก่เรา พระมหาสัตว์ มีศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ
กล่าวคาถาว่า

จงยกข้าพเจ้าขึ้นโดยเร็ว ถ้าท่านมีกิจที่ต้องทำ
ด้วยหทัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแสดงสาธุนรธรรมทั้ง
ปวงนี้แก่ท่านในวันนี้.

ปุณณกยักษ์ได้ฟังดังนั้น จึงดำริว่า ได้ยินว่า ธรรมนี้จักเป็นธรรมที่
บัณฑิตยังมิเคยแสดงแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เอาเถอะเราจักยกบัณฑิตขึ้น
ฟังสาธุนรธรรมเสียก่อน ดังนี้แล้วจึงยกพระมหาสัตว์ขึ้นเชิญให้นั่งบนยอดเขา
บรรพต
พระศาสดาเมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสพระคาถาว่า
ปุณณกยักษ์นั้น รีบยกวิธุรบัณฑิตอำมาตย์ผู้
ประเสริฐที่สุดของชาวกุรุรัฐวางลงบนยอดเขา เห็น
วิธุรบัณฑิตผู้มีปัญญาไม่ทรามนั่งอยู่ จึงถามว่าท่านอัน
ข้าพเจ้ายกขึ้นจากเหวแล้ว วันนี้ข้าพเจ้ามีกิจที่จะต้อง
ทำด้วยหทัยของท่าน ท่านจงแสดงสาธุนรธรรมทั้งหมด
นั้นให้ปรากฏแก่ข้าพเจ้าในวันนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสฎฺฐํ แปลว่า เป็นผู้ได้ความโล่งใจ.
บทว่า สเมกฺขิยาน แปลว่า เห็นแล้ว. บทว่า สาธุ นรสฺส ธมฺมา
ได้แก่ ธรรมดีของนรชน คือ ธรรมงาม.
พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า
ข้าพเจ้าอันท่านยกขึ้นจากเหวแล้ว ถ้าท่านมีกิจที่
จะต้องทำด้วยหทัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแสดงสาธุ-
นรธรรมทั้งหมดนี้แก่ท่านในวันนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมุฏฺฐิโต1 ตฺยสฺมิ ความว่า ข้าพเจ้า
เป็นผู้อันท่านยกขึ้นแล้ว.

1. บาลีว่า สมุทฺธโต.

ลำดับนั้นพระมหาสัตว์พูดกับปุณณกยักษ์นั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีสรีระ
อันเศร้าหมอง จะขออาบน้ำชำระกายเสียก่อน ปุณณกยักษ์รับคำว่า ดีละ แล้วไป
นำน้ำสำหรับอาบมา ในเวลาพระมหาสัตว์อาบน้ำเสร็จ ได้ให้ผ้าทิพย์ของหอม
และดอกไม้ทิพย์ แก่พระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์บริโภคโภชนาหารแล้วให้
ประดับยอดกาฬาคีรีบรรพตและตกแต่งอาสนะแล้ว จึงนั่งบนอาสนะที่ปุณณก-
ยักษ์ประดับแล้ว เมื่อจะแสดงสาธุนรธรรมจึงได้กล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมาณพ ท่านจงเดินไปตามทางที่ท่านเดิน
ไปแล้ว 1 จงอย่าเผาฝ่ามืออันชุ่ม 1 อย่าประทุษร้ายใน
หมู่มิตร ในกาลไหน ๆ 1 อย่าตกอยู่ในอำนาจของ
หญิงอสติ 1.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลฺลญฺจ ปาณึ ปริวชฺชยสฺสุ ความ
ว่า ท่านจงอย่าเผาฝ่ามือที่ชุ่มเสีย.
ปุณณกยักษ์ไม่อาจหยั่งรู้สาธุนรธรรม 4 ข้อที่พระมหาสัตว์แสดงโดย
ย่อได้จึงถามโดยพิศดารว่า
บุคคลผู้ชื่อว่า เป็นผู้เดินไปตามทางที่ท่านเดินไป
แล้วอย่างไร บุคคลผู้ชื่อว่าเผาฝ่ามืออันชุ่มอย่างไร
บุคคลเช่นไร ชื่อว่าประทุษร้ายมิตร หญิงเช่นไรชื่อ
ว่าอสติ ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้น.
ฝ่ายพระมหาสัตว์ได้แสดงสาธุนรธรรมแก่ปุณณกยักษ์ว่า
ผู้ใดพึงเชื้อเชิญคนที่ไม่คุ้นเคยกัน ไม่เคยพบเห็น
กันด้วยอาสนะ บุรุษพึงกระทำประโยชน์แก่บุคคลนั้น
โดยแท้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุรุษนั้นว่า ผู้เดินไป
ตามทางที่ท่านเดินแล้ว บุคคลพึงอยู่ในเรือนของผู้ใด

แม้คืนเดียว ได้ข้าวน้ำด้วย ไม่ควรคิดร้ายแก่ผู้นั้นแม้
ด้วยใจ ผู้คิดร้ายต่อบุคคลเช่นนั้น ชื่อว่าเผาฝ่ามืออัน
ชุ่มและชื่อว่าประทุษร้ายมิตร บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่ม
เงาของต้นไม้ใด ไม่ควรหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะ
ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนชั่วช้า หญิงที่สามียกย่องอย่าง
ดี ถึงแก่ให้แผ่นดินนี้อันบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ ได้โอกาส
แล้วพึงดูหมิ่นสามีนั้นได้ บุคคลไม่ควรตกอยู่ในอำนาจ
ของหญิงเหล่านั้น ผู้ชื่อว่าอสติ บุคคลชื่อว่าเดินไป
ตามทางที่ท่านเดินแล้วอย่างนี้ ชื่อว่าเผาฝ่ามืออันชุ่ม
อย่างนี้ ชื่อว่าตกอยู่ในอำนาจของหญิงผู้ชื่อว่าอสติ
อย่างนี้ ชื่อว่าประทุษร้ายมิตรอย่างนี้ ท่านจงเป็นผู้ตั้ง
อยู่ในธรรม จงละอธรรมเสีย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสณฺฐตํ ความว่า ไม่เคยอยู่ร่วมกัน
แม้เพียงหนึ่งหรือสองวัน . บทว่า โย อาสเนนาปิ ความว่า ผู้ใดไม่พึงเชื้อเชิญ
ผู้ไม่คุ้นเคยกันเห็นปานนี้ แม้ด้วยอาสนะ จะป่วยกล่าวไปใยถึงการเชื้อเชิญด้วย
ข้าวและน้ำเล่า. บทว่า ตสฺเสว ความว่า เป็นบุรุษย่อมทำประโยชน์ตอบแทน
แก่ปุพพการีบุคคลนั้นโดยแท้. บทว่า ยาตานุยายี ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมกล่าวอย่างนี้ว่า เป็นผู้เดินตามทางที่ปุพพการีบุคคลเดินไปแล้ว ก็ผู้กระทำ
ก่อนชื่อว่าผู้เดินทาง ส่วนผู้กระทำภายหลังชื่อว่าผู้เดินตาม ดูก่อนเทวราชเจ้า
นี้ชื่อว่า สาธุนธรรมที่ 1. บทว่า อลฺลญฺจ ปาณึ ความว่า จริงอยู่ บุคคล
เผาเฉพาะมือเครื่องใช้สอยของตนที่นำภัตตาหารมาแต่ไกล ชื่อว่าเป็นผู้ประทุษ-
ร้ายมิตร. ชื่อว่าการไม่เผามืออันชุ่ม นี้ชื่อว่าสาธุนรธรรมที่ 2 ด้วยประการ
ฉะนี้. บทว่า น ตสฺส ความว่า ไม่พึงทำลายกิ่ง ใบ หน่อของต้นไม้นั้น

เพราะเหตุไร เพราะผู้ประทุษร้ายต่อมิตรเป็นผู้ลามก ดังนั้นผู้ทำชั่วแม้ต่อ
ต้นไม้ที่ไม่มีเจตนา ที่ได้บริโภคและอาศัยร่มเงา ชื่อว่า เป็นผู้ประทุษร้ายต่อ
มิตร จะป่วยกล่าวไปไยถึงผู้เป็นมนุษย์. การไม่ประทุษร้ายต่อมิตรอย่างนี้
ชื่อว่า สาธุนรธรรมที่ 3. บทว่า ทชฺชิตฺถิยา ความว่า พึงให้แก่หญิง.
บทว่า สมฺมตาย ความว่า หญิงที่สามียกย่องด้วยดีอย่างนี้ว่า เราเท่านั้นจะให้
ความสุขแม้แก่หญิงนี้ ชายอื่นไม่เป็นเหมือนเราเลย หญิงนั้นย่อมปรารถนา
แต่เราเท่านั้น. บทว่า ลทฺธา ขณํ ความว่า ได้โอกาสแห่งการล่วงเกิน. บทว่า
อสตีนํ ได้แก่ หญิงผู้ประกอบด้วยอสัทธรรม ดังนั้นการอาศัยมาตุคามแล้ว
ไม่กระทำความชั่ว นี้ชื่อว่า สาธุนรธรรมที่ 4. บทว่า โส ธมฺมิโก โหหิ
ความว่า ดูก่อนเทวราชเจ้า ท่านนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยสาธุนรธรรม 4 เหล่านี้
ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรมแล.
พระมหาสัตว์แสดงสาธุนรธรรมแก่ปุณณกยักษ์ ด้วยพุทธลีลาด้วย
ประการฉะนี้. ปุณณกยักษ์เมื่อฟังสาธุนรธรรม 4 ประการนั้นแหละ กำหนด
ใจว่า บัณฑิตขอชีวิตของตนในที่ 4 สถานและรู้สึกความผิดของตนได้ว่า ก็
บัณฑิตนี้ได้กระทำสักการะเราที่ตนไม่คุ้นเคยในกาลก่อน เราได้เสวยใหญ่
อยู่ในเรือนของบัณฑิตนั้นตลอด 3 วัน แต่เมื่อเราจะทำกรรมชั่วเช่นนี้ลงไป
ก็เพราะอาศัยมาตุคามจึงกระทำ หากว่าเราประทุษร้ายต่อบัณฑิต ชื่อว่าประทุษ-
ร้ายมิตรแม้ในที่ทุกสถานทีเดียว จัดว่าไม่ประพฤติตามสาธุนรธรรมเราจะ
ประโยชน์อะไรด้วยนาคมาณวิกา เราจักเช็ดหน้าอันเต็มด้วยน้ำตาของชนชาว
อินทปัตตนครให้เบิกบาน นำบัณฑิตนี้ไปส่งโดยเร็ว ให้ลงที่โรงธรรมสภา
ดำริดังนี้แล้วจึงกล่าวคาถาว่า
ข้าพเจ้าได้อยู่ในเรือนท่าน 3 วัน ทั้งเป็นผู้ที่
ท่านบำรุงด้วยข้าวและน้ำ ท่านเป็นผู้พ้นจากข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าขอปล่อยท่าน ดูก่อนผู้มีปัญญาอันสูงสูด เชิญ
ท่านกลับไปเรือนของท่านตามปรารถนาเถิด ความต้อง
การของตระกูลพระยานาคจะเสื่อมไปก็ตามที่ เหตุที่
จะให้ได้นางนาคกัญญาข้าพเจ้าเลิกละ ดูก่อนท่านผู้มี
ปัญญา เพราะคำสุภาษิตของตนนั่นแล ท่านจึงพ้นจาก
ข้าพเจ้าผู้จะฆ่าท่านในวันนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฏฐิโตสฺมิ ความว่า เราเป็นผู้อัน
ท่านบำรุงแล้ว. บทว่า วิสชฺชามหํ ตํ ความว่า ข้าพเจ้าย่อมปล่อยท่าน.
บทว่า กามํ แปลว่า โดยส่วนเดียว. บทว่า วธาย แปลว่า เพื่อจะฆ่า. บทว่า
ปญฺญ แปลว่า ดูก่อนท่านผู้มีปัญญา.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะปุณณกยักษ์นั้นว่า ดูก่อนมาณพ ท่าน
อย่าเพ่อส่งข้าพเจ้าไปเรือนก่อนเลย จงนำข้าพเจ้าไปยังนาคพิภพโน่นเถิด จึง
กล่าวคาถาว่า
ดูก่อนปุณณกยักษ์ เชิญท่านนำข้าพเจ้าไปใน
สำนักของพ่อตาของท่าน จงประพฤติประโยชน์ใน
ข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้าก็อยากเห็นท้าววรุณผู้เป็นอธิบดี
ของนาคและวิมานของท้าวเธอซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเห็น.

บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิบาตใช้ในอรรถแห่งอุปสรรค.
บทว่า สสุรนฺติเก อตฺถํ มยิ จรสฺสุ ความว่า จงนำข้าพเจ้าไปยังสำนัก
ของพ่อตาของท่าน จงประพฤติประโยชน์ในข้าพเจ้า คืออย่ายังประโยชน์นั้นให้
เสียหาย. บทว่า นาคาธิปตีวิมานํ ความว่า ข้าพเจ้าควรจะเห็นท้าววรุณผู้
เป็นอธิบดีแห่งนาคและวิมานของท้าวเธอ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเห็น.

ปุณณกยักษ์กล่าวคาถาว่า
คนมีปัญญา ไม่ควรจะดูสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูลแก่นรชนนั้นเลย ดูก่อนท่านผู้มี
ปัญญาอันสูงสุด เออก็เพราะเหตุไรหนอท่านจึง
ปรารถนาจะไปยังที่อยู่ของศัตรูเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมิตฺตคามํ ความว่า เป็นที่อยู่ของศัตรู
คือสมาคมของอมิตร.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะปุณณกยักษ์นั้นว่า
แม่ข้าพเจ้าก็รู้ชัด ซึ่งข้อที่ผู้มีปัญญาไม่ควรเห็น
สิ่งที่ไม่เป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่นรชนนั้นแน่
แท้ แต่ข้าพเจ้า ไม่มีความชั่วที่จะกระทำไว้ในที่ ๆ
ไหนเลย เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่รังเกียจต่อความ
ตายอันจะมาถึงตน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มรณาคมาย ความว่า ต่อมรณะที่จะมา
ถึงตน. ดูก่อนเทวราชเจ้า อีกอย่างหนึ่งท่านเป็นคนหยาบช้ากล้าแข็งถึงเพียงนี้
ข้าพเจ้าเล้าโลมด้วยธรรมกถาทำให้อ่อนโยนได้ ดังท่านพูดกับข้าพเจ้าเมื่อกี้นี้เอง
ว่า เราจะหยุดด้วยการพยายามให้ได้นางนาคมาณวิกา จะได้หรือไม่ได้ก็ตามที่
ไม่ต้องการละ เชิญท่านกลับไปเรือนของตนเถิดดังนี้ การทำพระยานาคให้
อ่อนโยน เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า ท่านจงพาข้าพเจ้าไปในนาคพิภพนั้นให้ได้.
ปุณณกยักษ์ ได้สดับดังนั้น รับคำของพระมหาสัตว์ว่า ดีละ แล้ว
กล่าวคาถาว่า
ดูก่อนบัณฑิต เชิญเถิด ท่านกับข้าพเจ้ามาไป
ดูพิภพของพระยานาคราช ซึ่งมีอานุภาพหาที่เปรียบ

มิได้ เป็นที่อยู่อันมีการฟ้อนรำขับร้องตามปรารถนา
เหมือนนิฬิญญราชธานี เป็นที่ประทับอยู่ของท้าวเวส-
วัณ ฉะนั้น นาคพิภพนั้น เป็นที่ไปเที่ยวเล่นเป็น
หมู่ ๆ ลงนางนาคกัญญา ตลอดวันและคืนเป็นนิตย์
มีดอกไม้ดารดาษอยู่มากมายหลายชนิด สว่างไสวดัง
สายฟ้าในอากาศ บริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ เพียบ
พร้อมด้วยการฟ้อนรำขับร้องและประโคม พร้อมมูล
ไปด้วยนางนาคกัญญาที่ประดับประดาสวยงาม งาม
สง่าไปด้วยผ้านุ่งห่มและเครื่องประดับ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หนฺท จ นี้ เป็นเพียงนิบาตเท่านั้น.
บทว่า ฐานํ ได้แก่ สถานที่เป็นที่ประทับของพระนาค. บทว่า นิฬิญฺญํ
ได้แก่ ราชธานีชื่อว่า นิฬิญญา. บทว่า จริตํ คเณน ความว่า ที่ประทับ
ของพระยานาคนั้น เป็นที่ ๆ หมู่นางนาคกัญญาเที่ยวไป. บทว่า นิกีฬิตํ
ความว่า อันเหล่านางนาคกัญญาเที่ยวเล่นเป็นหมู่ตลอดวันและคืนเป็นนิตย์.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
ปุณณกยักษ์นั้น เชิญให้วิธุรบัณฑิตผู้ประเสริฐ
สุดของชาวกุรุ นั่งเหนืออาสนะข้างหลัง ได้พาวิธุร-
บัณฑิตผู้มีปัญญาไม่ทรามเข้าไปสู่ภพของพระยานาค-
ราช วิธุรบัณฑิตได้สถิตอยู่ข้างหลังแห่งปุณณกยักษ์
จนถึงพิภพของพระยานาคซึ่งมีอานุภาพหาเปรียบมิได้
ก็พระยานาคทอดพระเนตรเห็นลูกเขยผู้มีความจงรัก
ภักดี ได้ตรัสทักทายปราศรัยก่อนทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส ปุณฺณโก ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย ปุณณกยักษ์นั้น พรรณนานาคพิภพอย่างนี้แล้ว จึงยกบัณฑิตผู้ประเสริฐ
ขึ้นสู่ม้าอาชาไนยของตน นำไปสู่นาคพิภพ. บทว่า ฐานํ ได้แก่ สถานที่
เป็นที่ประทับของพระยานาค. บทว่า ปจฺฉโต ความว่า ได้ยินว่า ปุณณกยักษ์
ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ถ้าว่าพระยานาคทอดพระเนตรเห็นบัณฑิตแล้ว จักมี
พระทัยอ่อนน้อม นั่นเป็นการดี หากว่าท้าวเธอไม่มีพระทัยอ่อนน้อมเล่า เมื่อ
ท้าวเธอไม่ทันทอดพระเนตรบัณฑิตนั้น เราจักยกบัณฑิตขึ้นสู่ม้าอาชาไนยไปเสีย
ลำดับนั้น จึงพักเธอไว้ข้างหลัง. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เบื้องหลังแห่ง
ปุณณกยักษ์ดังนี้. บทว่า สามคฺคิเปกฺขิ ความว่า เพ่งถึงความสามัคคี.
บาลีว่า สามํ อเปกฺขิ ดังนี้ก็มี. ส่วนพระยานาคทอดพระเนตรเห็นปุณณก-
ยักษ์ลูกเขยของตน จึงได้ตรัสทักทายปราศรัยก่อนทีเดียว.
พระยานาคตรัสเป็นคาถาว่า
ท่านได้ไปยังมนุษยโลก เที่ยวแสวงหาดวงหทัย
ของบัณฑิต กลับมาถึงในนาคพิภพนี้ด้วยความสำเร็จ
หรือ หรือว่าท่านได้พาเอาบัณฑิตผู้มีปัญญาไม่ต่ำทราม
มาด้วย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กจฺจิ สมิทฺเธน ความว่า ท่านได้ไป
ยังมนุษยโลกแล้ว กลับมาในนาคพิภพนี้ด้วยความสำเร็จตามมโนรถของท่าน
หรือ.
ปุณณกยักษ์ทูลว่า
ท่านผู้นี้แหละ คือวิธุรบัณฑิต ที่พระองค์ทรง
ปรารถนานั้น มาแล้วพระเจ้าข้า ท่านวิธุรบัณฑิตผู้
รักษาธรรม ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้วโดยธรรม เชิญ

ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททอดพระเนตรวิธุรบัณฑิต ผู้
แสดงธรรมถวายด้วยเสียงอันไพเราะ เฉพาะพระพักตร์
ณ บัดนี้ การสมาคมด้วยสัปบุรุษทั้งหลาย ย่อมเป็น
เหตุนำความสุขมาให้โดยแท้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ตวมิจฺฉสิ แปลว่า ท่านปรารถนา
สิ่งใด. บาลีว่า ยํ ตุวมิจฺฉสิ ดังนี้ก็มี. บทว่า ภาสมานํ ความว่า ขอ
พระองค์จงทอดพระเนตรวิธุรบัณฑิตนั้น ผู้รักษาธรรมปรากฏในโลก ผู้
แสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะเฉพาะพระพักตร์ในกาลบัดนี้ ก็ธรรมดาว่าการ
สมาคมด้วยสัตบุรุษคนดีทั้งหลายในฐานะเป็นอันเดียวกัน ย่อมเป็นเหตุนำความ
สุขมาให้แล.
จบกาฬาคิรีบรรพตกัณฑ์
พระยานาคทอดพระเนตรเห็นพระมหาสัตว์แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
ท่านผู้เป็นมนุษย์มาเห็นนาคพิภพที่ตนได้เคยเห็น
แล้ว เป็นผู้ถูกภัยคือความตายคุกคามแล้ว เป็นผู้ไม่
กลัวและไม่อภิวาท อาการเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่มีแก่ผู้
มีปัญญา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺยมฺหิโต แปลว่า ถูกความกลัวคุกคาม.
ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ดูก่อนบัณฑิต ท่านเห็นนาคพิภพที่ตนไม่เคยเห็น
เป็นผู้ถูกภัยคือความตายคุกคามแล้ว จึงไม่ถวายโอวาทข้าพเจ้า เหตุเช่นนี้ไม่
ใช่อาการของบุคคลผู้มีปัญญาเลย.
เมื่อพระยานาคทรงประสงค์จะให้ถวายบังคมอย่างนั้น พระมหาสัตว์หา
ได้ทูลตรง ๆ ว่า ข้าพระองค์ไม่ควรถวายบังคมพระองค์ดังนี้ไม่ เป็นผู้ฉลาด

ในอุบายทูลด้วยปรีชาญาณของตนว่า ข้าพเจ้าไม่ถวายบังคมพระองค์ เพราะ
ข้าพเจ้าต้องโทษก็บุคคลจะพึงแทงด้วยลูกศรเสียแล้ว ดังนี้ แล้วจึงทูลด้วย 2
คาถาว่า
ข้าแต่พระยานาคราช ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่กลัว
และไม่เป็นผู้อันภัยคือความตายคุกคาม นักโทษประ-
หารไม่พึงกราบไหว้เพชฌฆาต หรือเพชฌฆาต ก็ไม่
พึงให้นักโทษประหารกราบไหว้ตน อย่างไรหนอ
นรชนจะกราบไหว้บุคคลผู้ปรารถนาจะฆ่าตน และผู้
ปรารถนาจะฆ่า เขาจะพึงให้บุคคลผู้ที่ตนจะฆ่า กราบ
ไหว้ตนอย่างไรเล่า กรรมนั้นย่อมไม่สำเร็จ ประโยชน์
เลย พระเจ้าข้า.

คำเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ข้าแต่พระยานาค ข้าพเจ้ามาเห็นนาคพิภพ
ที่ตนยังไม่เคยเห็น ย่อมไม่กลัว และภัยคือความตายคุกคามไม่ได้ด้วย เพราะ
ขึ้นชื่อว่าภัยคือความตาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เช่นข้าพเจ้า อนึ่ง นักโทษที่ต้อง
ถูกฆ่าไม่พึงกราบไหว้เพชฌฆาตผู้จะฆ่าตน หรือเพชฌฆาตไม่พึงยังนักโทษที่
จะต้องถูกฆ่าให้กราบไหว้ตน นรชนจะพึงกราบไหว้บุคคลผู้ปรารถนาจะฆ่าตน
อย่างไรหนอ หรือว่าผู้ปรารถนาจะฆ่าเขา จะพึงยังบุคคลผู้ที่ตนจะฆ่าให้กราบ-
ไหว้ตนอย่างไรเล่า เพราะกรรมคือกราบไหว้ของผู้ต้องถูกฆ่า และการไห้กราบ-
ไหว้ของผู้จะฆ่านั้น ย่อมไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขาเลย ก็ข้าพระองค์ได้ทราบ
แล้วว่า พระองค์รับสั่งจะให้ฆ่าข้าพเจ้าในที่นี้ เหตุนั้นข้าพเจ้าจะถวายบังคม
พระองค์อย่างไรได้.
พระยานาคราชทรงสดับดังนั้น ทรงพอพระทัย เมื่อจะทรงทำความ
ชมเชยพระมหาสัตว์ ได้ทรงภาษิต 2 คาถาว่า

ดูก่อนบัณฑิต คำนั้นถูกอย่างที่ท่านพูด ท่าน
พูดจริง นักโทษประหารไม่พึงกราบไหว้เพชฌฆาต
หรือเพชฌฆาตก็ไม่พึงให้นักโทษประหารกราบไหว้ตน
อย่างไรหนอ นรชนพึงกราบไหว้บุคคลผู้ปรารถนาจะ
ฆ่าตน และผู้ปรารถนาจะฆ่าเขา จะพึงให้บุคคลผู้ที่
ตนจะฆ่ากราบไหว้ตนอย่างไรเล่า ธรรมนั้นย่อมไม่
สำเร็จประโยชน์เลย.

บัดนี้ พระมหาสัตว์เมื่อทำปฏิสันถารกับพระยานาคราชจึงทูลว่า
ข้าแต่พระยานาคราช วิมานของฝ่าพระบาทนี้
เป็นของไม่เที่ยง แต่เป็นเช่นกับของเที่ยง ฤทธิ์ ความ
รุ่งเรือง พระกำลังกาย พระวิริยภาพและการเสด็จ
อุบัติในนาคพิภพ ได้มีแล้วแก่ฝ่าพระบาท ข้าพระองค์
ขอทูลถามเนื้อความนั้นกะฝ่าพระบาท วิมานนี้ทรงได้
มาอย่างไรหนอ วิมานนี้ฝ่าพระบาทได้มาเพราะอะไร
หรือเป็นของเกิดขึ้นตามฤดูกาล ฝ่าพระบาททรงกระ-
ทำเอง หรือเทวดาทั้งหลายถวายแก่พระองค์ ข้าแต่
พระยานาคราช ขอฝ่าพระบาทตรัสบอกเนื้อความนี้แก่
ข้าพระองค์ ตามที่ฝ่าพระบาทได้วิมานมาเถิด พระเจ้า
ข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตว อิทํ ความว่า วิมานอันเกิดแต่ยศ
สำหรับเป็นพระเกียรติยศของพระองค์นี้ ซึ่งเป็นของไม่เที่ยง แต่ปรากฏเสมือน
ของเที่ยง ท่านอย่ากระทำความชั่วเพราะอาศัยยศเลย เพราะฉะนั้นด้วยบทนี้

พระมหาสัตว์จึงขอชีวิตของตนไว้. บทว่า อิทฺธิ ความว่า ฤทธิ์ของนาคก็ดี
ความรุ่งเรืองแห่งนาคก็ดี กำลังกายก็ดี ความเพียรอันเป็นไปทางจิตก็ดี การ
เสด็จอุบัติในนาคพิภพก็ดี ได้มีแก่พระองค์ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพระองค์ขอทูลถาม
เนื้อความนั้น ข้าแต่พระยานาค ข้าพระองค์ขอทูลถามเนื้อความนั้นกะพระองค์
วิมานนี้พระองค์ทรงได้ด้วยอาการอย่างไรหนอ พระองค์อาศัยใครจึงได้ หรือ
เป็นของเกิดขึ้นตามฤดูกาล หรือพระองค์ทรงทำด้วยมือของพระองค์เอง หรือ
ว่าเทวดาทั้งหลายถวายพระองค์ ข้าแต่พระยานาคผู้ทรงเป็นเจ้าพิภพบาดาล
วิมานนี้พระองค์ทรงได้ด้วยประการใด ขอพระองค์ตรัสบอกเนื้อความนั้นแก่
ข้าพระองค์ด้วยประการนั้น พระเจ้าข้า.
พระยานาคตรัสพระคาถาว่า
วิมานนี้ เราได้มาเพราะอาศัยอะไรก็หามิได้
เกิดขึ้นตามฤดูกาลก็หามิได้ เรามิได้ทำเอง แม้เทวดา
ทั้งหลายก็มิได้ ให้แต่วิมานนี้ เราได้มาด้วยบุญกรรม
อันไม่ลามกของตนเอง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปาปเกหิ แปลว่า ไม่ลามก.
พระมหาสัตว์ทูลถามว่า
ข้าแต่พระยานาค อะไรเป็นวัตรของพระองค์
และอะไรเป็นพรหมจรรย์ของพระองค์ ฤทธิ์ ความ
รุ่งเรือง พระกำลังกาย พระวิริยภาพ และการเสด็จ
อุบัติในนาคพิภพ ทั้งวิมานใหญ่ของพระองค์นี้ เป็น
ผลแห่งกรรมอะไร อันพระองค์ทรงประพฤติดีแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กินฺเต วตฺตํ ความว่า ข้าแต่พระยานาค
ในภพก่อน อะไรเป็นวัตรของพระองค์ อนึ่ง อะไรเป็นการอยู่พรหมจรรย์
ของพระองค์ อิฏฐวิบุลผลมีความเป็นผู้มีฤทธิ์เป็นต้นนี้ เป็นวิบากสุจริตเช่นไร
พระยานาคตรัสพระคาถาว่า
เราและภรรยา เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกเป็นผู้มี
ศรัทธาเป็นทานบดี ในครั้งนั้นเรือนของเราเป็นดังบ่อ
น้ำของสมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย และเราได้บำรุง
สมณะและพราหมณ์ให้อิ่มหนำสำราญ เราทั้งสองได้
ถวายทานคือ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ เครื่อง
ประทีป ที่นอนที่พักอาศัย ผ้านุ่งผ้าห่ม ผ้าปูนอน
ข้าวและน้ำโดยเคารพ ทานที่ได้ถวายแล้วโดยเคารพ
นั้น เป็นวัตรของเรา และการสมาทานวัตรนั้นเป็น
พรหมจรรย์ของเรา ดูก่อนท่านผู้เป็นปราชญ์ ฤทธิ์
ความรุ่งเรือง กำลังกาย ความเพียร การเกิดในนาค-
พิภพ และวิมานใหญ่ของเรานี้ เป็นวิบากแห่งวัตรและ
พรหมจรรย์นั้น อันเราประพฤติดีแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มนุสฺสโลเก ได้แก่ ในกาลจัมปาก-
นคร แคว้นอังคะ. บทว่า ตํ เม วตฺตํ ความว่า ทานที่เราให้โดยเคารพ
นั้นนั่นแล การสมาทานวัตร และพรหมจรรย์ของเรา อิฏฐวิบุลผลมีฤทธิ์
เป็นต้นนี้ เป็นวิบากแห่งสุจริตที่ข้าพเจ้าประพฤติดีแล้วนั้น.
พระมหาสัตว์ทูลเป็นคาถาว่า
ถ้าวิมานนี้ ฝ่าพระบาททรงได้ด้วยอานุภาพแห่ง
ทานอย่างนี้ ฝ่าพระบาทก็ชื่อว่าทรงทราบผลแห่งบุญ

และทรงทราบการเสด็จอุบัติในนาคพิภพ เพราะผล
แห่งบุญ เพราะเหตุนั้นแล ขอฝ่าพระบาททรงเป็นผู้
ไม่ประมาทประพฤติธรรม ตามที่จะได้ทรงครอบครอง
วิมานนี้ต่อไปฉะนั้นเถิด พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชานาสิ ความว่า ถ้าว่าวิมานนั้นพระ-
องค์ทรงได้ด้วยอานุภาพแห่งทานอย่างนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์ชื่อว่าทรงทราบ
ผลแห่งบุญทั้งหลาย และทรงทราบการเสด็จอุบัติในวิมานอันเกิดขึ้นด้วยผล
แห่งบุญ. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่วิมานนี้พระองค์ได้มาเพราะเหตุ
แห่งบุญ. บทว่า ปุน มาวเสสิ ความว่า ขอพระองค์จงประพฤติธรรมให้
ได้เสด็จอยู่ครองนาคพิภพนี้แม้ต่อไปอีก.
พระยานาคตรัสพระคาถาว่า
ดูก่อนบัณฑิต ในนาคพิภพนี้ ไม่มีสมณ-
พราหมณ์ที่เราจะพึงถวายข้าวและน้ำเลย เราตามแล้ว
ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่เรา ตามที่เราจะพึงได้
ครอบครองวิมานต่อไปเถิด.

พระมหาสัตว์ทูลเป็นคาถาว่า
ข้าแต่พระยานาค ก็นาคทั้งหลายที่เป็นพระโอรส
พระธิดา พระชายา ทั้งพระญาติ พระมิตร และข้า
เฝ้าของฝ่าพระบาท ซึ่งเกิดในนาคพิภพนี้มีอยู่ ขอฝ่า
พระบาททรงเป็นผู้ไม่ประทุษร้ายในนาค มีพระโอรส
เป็นต้นเหล่านั้น ด้วยพระกายและพระวาจาเป็นนิตย์

ฝ่าพระบาททรงรักษาความไม่ประทุษร้าย ด้วยพระกาย
และพระวาจาอย่างนี้ ฝ่าพระบาททรงสถิตอยู่ในวิมาน
นี้ตลอดพระชนมายุ แล้วจักเสด็จไปสู่เทวโลกอันสูง
กว่านาคพิภพ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โภคี ความว่า นาคผู้มีโภคสมบัติ.
บทว่า เตสุ ความว่า ขอพระองค์จงอย่าประทุษร้ายเป็นนิตย์ด้วยกายกรรม
และวจีกรรมในนาคผู้มีโภคสมบัติมีพระโอรสและพระธิดาเป็นต้นนั้น. บทว่า
อนุปาลย ความว่า จงตามรักษาความไม่ประทุษร้าย กล่าวคือความมี
เมตตาจิต ในพระโอรสและพระธิดาเป็นต้น และในสัตว์ที่เหลืออย่างนี้.
บทว่า อุทฺธํ อิโต ความว่า พระองค์จักเสด็จไปสู่เทวโลกที่สูงกว่านาคพิภพนี้
เพราะเมตตาจิตจัดว่าเป็นบุญยิ่งกว่าทาน.
พระยานาคได้ทรงสดับธรรมกถาของพระมหาสัตว์อย่างนี้แล้ว ทรง
พอพระทัยแล้ว จึงทรงดำริว่า บัณฑิตไม่อาจจะทำการเนิ่นช้าอยู่ภายนอก เรา
ควรจะแสดงเธอแก่พระนางวิมลา ให้พระนางเธอได้ฟังสุภาษิตสงบรำงับความ
ปรารถนา แล้วส่งบัณฑิตกลับไปเพื่อให้พระเจ้าธนัญชัยทรงชื่นชมโสมนัสดังนี้
จึงตรัสพระคาถาว่า
ท่านเป็นอำมาตย์ของพระราชาผู้ประเสริฐสุด
พระองค์ใด พระราชาผู้ประเสริฐสุดพระองค์นั้น พราก
จากท่านแล้ว ย่อมจะทรงเศร้าโศกแน่แท้ทีเดียว คนที่
ถูกความทุกข์ครอบงำก็ดี คนผู้ป่วยหนักก็ดี ได้สมาคม
กับท่านแล้วพึงได้ความสุข.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สชีโว แปลว่า อำมาตย์. บทว่า
สเมจฺจ ความว่า มาพร้อมกับท่าน. บทว่า อาตุโรปิ ความว่า แม้เป็น
ไข้หนัก.
พระมหาสัตว์สดับพระกระแสรับสั่งดังนั้นแล้ว เมื่อจะทรงทำความ
ชมเชยพระยานาคจึงทูลเป็นคาถาอีกว่า
ข้าแต่พระยานาคราช ฝ่าพระบาทตรัสธรรมของ
สัตบุรุษทั้งหลาย ซึ่งเป็นบทอันแสดงประโยชน์อย่าง
ล้ำเลิศ ที่นักปราชญ์ประพฤติดีแล้วโดยแท้ ก็คุณวิเศษ
ของบุคคลผู้มีปัญญาเช่นข้าพระองค์ย่อมปรากฏในเมื่อ
มีภยันตรายเช่นนี้แหละ พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตํ ความว่า ท่านแสดงธรรมแก่สัตบุรุษ
คือบัณฑิตทั้งหลายแน่แท้. บทว่า อตฺถปทํ ได้แก่ ส่วนที่เป็นประโยชน์.
บทว่า เอตาทิสิยาสุ ความว่า คุณวิเศษของบุคคลผู้มีปัญญาเช่นข้าพเจ้า
ย่อมปรากฏในเมื่อได้ประสพภัยอันตรายเป็นเช่นนี้ ๆ แหละ พระเจ้าข้า.
พระยานาคทรงสดับดังนั้น ทรงยินดีร่าเริงเป็นนักหนา แล้วตรัส
พระคาถาว่า
ขอท่านจงบอกแก่เรา ปุณณกยักษ์มิได้ท่านมา
เปล่า ๆ หรือ ขอท่านจงบอกแก่เรา ปุณณกยักษ์นี้ชนะ
ในการเล่นสกาจึงได้ท่านมา ปุณณกยักษ์นี้กล่าวว่า
ได้มาโดยธรรม ท่านถึงเงื้อมมือของปุณณกยักษ์นี้
ได้อย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกฺขาหิ โน ความว่า ท่านจงบอก
แก่ข้าพเจ้า. บทว่า ตายํ ตัดเป็น ตํ อยํ. บทว่า มุธานุลทฺโธ ความ

ว่า ปุณณกยักษ์นี้ได้ท่านมาเปล่า ๆ หรือชนะด้วยเล่นสกาจึงได้ท่านมา. บทว่า
อติมายมาห ความว่า ปุณณกยักษ์นี้ พูดว่าเราได้บัณฑิตมาโดยชอบธรรม.
บทว่า กถํ ตุวํ หตฺถมิมสฺสมาคโต ความว่า ท่านมาถึงเงื้อมมือปุณณก-
ยักษ์นี้ได้อย่างไร.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลพระนาคนั้นด้วยคาถาว่า
ปุณณกยักษ์นี้เล่นสกาชนะพระราชาของข้าพระ-
องค์ผู้เป็นอิสราธิบดีในอินทปัตตนครนั้น พระราชา
พระองค์นั้น อันปุณณกยักษ์ชนะแล้ว ได้พระราช-
ทานข้าพระองค์แก่ปุณณกยักษ์นี้ ข้าพระองค์เป็นผู้อัน
ปุณณกยักษ์นี้ ได้มาแล้วโดยธรรม มิใช่ได้มาโดย
กรรมอันสาหัส พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย มิสฺสโร ความว่า พระราชาพระ-
องค์ใดเป็นอิสราธิบดี ของข้าพระองค์. บทว่า อิมสฺสทาสิ ความว่า ได้ให้
แก่ปุณณกยักษ์นี้.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ในกาลนั้น พระยานาคผู้ประเสริฐทรงสดับคำ
สุภาษิตของวิธุรบัณฑิตผู้เป็นนักปราชญ์แล้ว ทรงชื่น
ชมโสมนัส มีพระทัยเต็มตื้นด้วยปีติ ทรงจึงมือวิธุร-
บัณฑิตผู้มีปัญญาไม่ทราม เสด็จเข้าไปในที่อยู่ของ
พระชายาตรัสว่า ดูก่อนพระน้องวิมลา เพราะเหตุใด
พระน้องจึงดูผอมเหลืองไป เพราะเหตุใด พระน้อง
จึงไม่เสวยกระยาหาร ก็คุณงามความดีของวิธุรบัณฑิต

ผู้ที่พระน้องต้องประสงค์ดวงหทัย เป็นผู้บรรเทาความ
มืดของโลกทั้งปวง เช่นนี้นั้นของเราไม่ ผู้นี้คือวิธุร-
บัณฑิต มาถึงแล้วจะทำความสว่างไสวให้แก่พระน้อง
เชิญพระน้องตั้งหทัยฟังถ้อยคำของท่าน การที่จะ
ได้เห็นท่านอีกเป็นการหาได้ยาก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาเวกฺขิ แปลว่า เข้าไปแล้ว. บทว่า
เยน ความว่า ดูก่อนพระน้องวิมลา ผู้เจริญ เจ้าซูบผอมเหลืองไปเพราะเหตุไร
และเพราะเหตุไรเจ้าจึงไม่เสวยกระยาหาร. บทว่า น จ เม ตาทิโส วณฺโณ
ความว่า ก็เกียรติคุณของวิธุรบัณฑิตเช่นนี้ อย่างที่เราและใคร ๆ อื่นมิได้มี
ได้แผ่กระฉ่อนไปตลอดพื้นปฐพีและเทวโลก วิธุรบัณฑิตผู้ที่เจ้าต้องการดวง
หทัยนั้น เป็นผู้บรรเทาความมืดของชาวโลกทั้งสิ้นมาถึงแล้ว จะทำความสว่าง
ไสวในอรรถธรรมแก่เจ้า ณ บัดนี้. ด้วยบทว่า ปุน นี้ท่านกล่าวว่า ชื่อว่า
การเห็นวิธุรบัณฑิตนี้อีก หาได้ยาก.
พระนางวิมลา ทอดพระเนตรเห็นวิธุรบัณฑิต
ผู้มีปัญญากว้างขวางดังแผ่นดินนั้นแล้ว มีพระทัยยินดี
โสมนัส ทรงยกพระองค์คุลีทั้ง 10 ขึ้นอัญชลี และตรัส
กะวิธุรบัณฑิตผู้เป็นนักปราชญ์ประเสริฐสุดของชาว
กุรุรัฐ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หฏเฐน ภาเวน แปลว่า ผู้มีจิตยินดี.
บทว่า ปตีตรูปา ได้แก่ เกิดความโสมนัส.
เบื้องหน้าแต่นี้ พระนางวิมลาเทวี จึงตรัสว่า
ดูก่อนบัณฑิต ท่านเป็นมนุษย์มาเห็นนาคพิภพที่
ตนยังไม่เคยเห็น เป็นผู้ถูกมรณภัยคุกคามแล้ว เพราะ

เหตุไรจึงไม่กลัวและไม่ถวายบังคมดิฉันเล่า อาการที่
ทำเช่นนี้ ดูเหมือนไม่ใช่อาการของผู้มีปัญญา.
วิธุรบัณฑิตกราบทูลเป็นคาถาว่า
ข้าแต่พระนางเจ้านาคี ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่กลัว
และไม่เป็นผู้อันภัยคือความตายคุกคาม นักโทษประ-
หารไม่พึงไหว้เพชฌฆาต หรือเพชฌฆาตก็ไม่พึงให้นัก
โทษประหารกราบไหว้ตน อย่างไรหนอ นรชนจะ
กราบไหว้บุคคลผู้ที่ปรารถนาจะฆ่าตน และผู้ปรารถนา
จะฆ่าเขา จะพึงให้บุคคลผู้ที่ตนจะฆ่ากราบไหว้ตน
อย่างไรเล่า กรรมนั้นย่อมไม่สำเร็จประโยชน์ พระ-
เจ้าข้า.
พระนางวิมลาตรัสว่า
ดูก่อนบัณฑิต คำนั้นถูกอย่างที่ท่านพูด ท่านพูด
จริง นักโทษประหารไม่พึงกราบไหว้เพชฌฆาต หรือ
เพชฌฆาตก็ไม่พึงให้นักโทษประหารกราบไหว้ตน
อย่างไรหนอนรชน จึงจะกราบไหว้บุคคลผู้ปรารถนา
จะฆ่าตน และผู้ปรารถนาจะฆ่าเขา จะพึงให้บุคคลผู้
ที่ตนจะฆ่ากราบไหว้เล่า กรรมนั้น ย่อมไม่สำเร็จ
ประโยชน์เลย.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะทำปฏิสันถารกับพระนางวิมลาเทวี
จึงทูลเป็นคาถาว่า

ข้าแต่พระนางเจ้านาคกัญญา วิมานของพระองค์
นี้ เป็นของไม่เที่ยงแต่เป็นเช่นกับของเที่ยง ฤทธิ์ ความ
รุ่งเรือง พระกำลังกาย พระวิริยภาพ และการเสด็จ
อุบัติในนาคพิภพ ได้มีแล้วแก่ฝ่าพระบาท ข้าพระองค์
ขอทูลถามเนื้อความนั้นกะฝ่าพระบาท วิมานนี้ ฝ่า
พระบาทได้มาอย่างไรหนอ วิมานนี้ ฝ่าพระบาทได้
มาเพราะอาศัยอะไร หรือเป็นของเกิดขึ้นตามฤดูกาล
ฝ่าพระบาททรงกระทำเอง หรือเทวดาทั้งหลายถวาย
ฝ่าพระบาท ข้าแต่พระนางเจ้านาคกัญญา ขอฝ่าพระ-
บาท ตรัสบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพระองค์ ตามที่
ฝ่าพระบาทได้วิมานมาเถิด พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระนางวิมลาเทวี ตรัสบอกแก่พระมหาสัตว์ว่า
วิมานนี้ ดิฉันได้มาเพราะอะไรก็หามิได้ เกิดขึ้น
ตามฤดูกาลก็หามิได้ ดิฉันมิได้กระทำเอง แม้เทวดาทั้ง
หลายก็มิได้ให้ แต่วิมานนี้ ดิฉันได้มาด้วยบุญกรรม
อันไม่ลามกของตนเอง.
พระมหาสัตว์กล่าวว่า
ข้าแต่พระนางเจ้านาคี อะไรเป็นวัตรของฝ่า
พระบาท และอะไรเป็นพรหมจรรย์ของฝ่าพระบาท
ฤทธิ์ ความรุ่งเรือง พระกำลังกาย พระวิริยภาพ และ
การเสด็จอุบัติในนาคพิภพ ทั้งวิมานอันใหญ่ของฝ่า
พระบาทนี้ เป็นผลแห่งกรรมอะไร อันฝ่าพระบาท
ทรงประพฤติดีแล้ว พระเจ้าข้า.

ลำดับนั้น พระนางวิมลาเทวีตรัสบอกพระมหาสัตว์ว่า
ดูก่อนเจ้านักปราชญ์ ดิฉันและพระสวามีของ
ดิฉันเป็นผู้มีศรัทธา เป็นทานบดี ในครั้งนั้น เรือนของ
ดิฉันเป็นดังบ่อน้ำของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย และ
ดิฉันได้บำรุงสมณพราหมณ์ให้อิ่มหนำสำราญ ดิฉัน
และพระสวามี เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกนั้น ได้ถวายทาน
คือ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้เครื่องประทีป ที่
นอน ที่พักอาศัยผ้านุ่งห่ม ผ้าปูนอน ข้าวและน้ำโดย
เคารพ ทานที่ดิฉันได้ถวายโดยเคารพนั้น เป็นวัตร
ของดิฉันและการสมาทานนั้น เป็นพราหมจรรย์ของ
ดิฉัน ดูก่อนท่านผู้เป็นนักปราชญ์ ฤทธิ์ ความรุ่งเรือง
กำลังกาย ความเพียร การเกิดในนาคพิภพ และวิมาน
ใหญ่ของเรานี้ เป็นวิบากแห่งวัตรและพรหมจรรย์นั้น
อันเราประพฤติดีแล้ว.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กราบทูลพระนางวิมลาเทวีนั้นว่า
ถ้าวิมานนี้ ฝ่าพระบาททรงได้ด้วยอานุภาพแห่ง
ทานอย่างนี้ ฝ่าพระบาทก็ชื่อว่า ทรงทราบผลแห่งบุญ
และทรงทราบการเสด็จอุบัติในนาคพิภพเพราะผลแห่ง
บุญ เพราะเหตุนั้นแล ขอฝ่าพระบาท จงเป็นผู้ไม่
ประมาท ประพฤติธรรม ตามที่จะได้ ทรงครอบครอง
วิมานนี้ต่อไป ฉะนั้นเถิด พระเจ้าข้า.

พระนางวิมลาเทวีตรัสว่า
ดูก่อนบัณฑิต ในนาคพิภพนี้ไม่มีสมณพราหมณ์
ที่เราจะพึงถวายข้าวและน้ำเลย ดิฉันถามแล้ว ขอ
ท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่ฉัน ตามที่ดิฉันจะพึงได้
ครอบครองวิมานนี้ ต่อไปเถิด.

พระมหาสัตว์ทูลว่า
ข้าแต่พระนางเจ้านาคี ก็นาคทั้งหลายที่เป็น
พระโอรส พระธิดา พระสวามี ทั้งพระญาติ พระมิตร
และข้าเฝ้าของฝ่าพระบาท ซึ่งเกิดในนาคพิภพนี้ มี
อยู่ ขอฝ่าพระบาทจงเป็นผู้ไม่ประทุษร้าย ในนาคมี
พระโอรสเป็นต้นเหล่านั้น ด้วยพระกาย และพระวาจา
เป็นนิตย์ ฝ่าพระบาทจงทรงรักษาความไม่ประทุษร้าย
ด้วยพระกายและพระวาจาอย่างนี้ ฝ่าพระบาททรง
สถิตอยู่ในวิมานนี้ ตลอดพระชนมายุแล้ว จักเสด็จไป
สู่เทวโลก อันสูงส่งกว่านาคพิภพนี้ พระเจ้าข้า.

พระนางวิมลาเทวีตรัสว่า
ท่านเป็นอำมาตย์ของพระราชาผู้ประเสริฐสุด
พระองค์ใด พระราชาผู้ประเสริฐสุด พระองค์นั้น
พรากจากท่านแล้ว ย่อมจะทรงเศร้าโศกแน่แท้ทีเดียว
คนผู้ถูกความทุกข์ครอบงำก็ดี คนผู้ป่วยหนักก็ดี ได้
สมาคมกับท่านแล้ว พึงได้รับความสุข.

พระมหาสัตว์ทูลว่า
ข้าแต่พระนางเจ้านาคี ฝ่าพระบาทตรัสถึงธรรม
ของสัตบุรุษทั้งหลาย ซึ่งเป็นบทอันแสดงประโยชน์
ล้ำเลิศที่นักปราชญ์ ประพฤติดีแล้วโดยแท้ ก็คุณวิเศษ
ของบุคคลผู้มีปัญญาเช่นข้าพระองค์ ย่อมปรากฏใน
เมื่อมีภยันตรายเช่นนี้แหละพระเจ้าข้า.

พระนางวิมลาเทวีตรัสว่า
ขอท่านจงบอกแก่ดิฉัน ปุณณกยักษ์นี้ ได้ท่าน
มาเปล่า ๆ หรือ ขอท่านจงบอกแก่ดิฉัน ปุณณกยักษ์
นี้ชนะในการเล่นสกา จึงได้ท่านมา ปุณณกยักษ์นี้
กล่าวว่าได้มาโดยธรรม ท่านถึงเงื้อมมือของปุณณก-
ยักษ์นี้ได้อย่างไร.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลกะพระนางวิมลาเทวีนั้นว่า
ปุณณกยักษ์นี้ เล่นสกาชนะพระราชาขอข้า-
พระองค์ผู้เป็นอิสราธิบดี ในอินทปัตตนครนั้น พระ-
ราชาพระองค์นั้น อันปุณณกยักษ์ชนะแล้ว ได้พระ-
ราชทานข้าพระองค์แก่ปุณณกยักษ์นี้ ข้าพระองค์เป็น
ผู้อันปุณณกยักษ์มิได้มาแล้วโดยธรรม มิใช่ได้มาด้วย
กรรมอันสาหัส พระเจ้าข้า.

บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งคาถาเหล่านี้ โดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวมา
แล้วในหนหลังนั้นเถิด.

พระนางวิมลาเทวี ทรงสดับถ้อยคำของพระมหาสัตว์ทรงยินดีเป็นที่
ยิ่ง ทรงพาพระมหาสัตว์ไปให้สรงด้วยน้ำหอมเป็นจำนวนพันหม้อ ในเวลา
สรงเสร็จ ทรงประทานเครื่องประดับมีผ้าทิพย์และของหอมระเบียบทิพย์เป็นต้น
ในเวลาประดับตกแต่งเสร็จแล้ว ได้ประทานทิพยโภชน์ พระมหาสัตว์บริโภค
โภชนาหารแล้ว สั่งให้ปูอาสนะที่เขาประดับไว้แล้ว นั่งเหนือธรรมาสน์ที่เขา
ประดับแล้วแสดงธรรมด้วยพุทธลีลา.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
ท้าววรุณนาคราช ตรัสถามปัญหากะวิธุรบัณฑิต
ฉันใด แม้พระนางวิมลานาคกัญญา ก็ตรัสถามปัญหา
กะวิธุรบัณฑิต ฉันนั้น วิธุบัณฑิตผู้เป็นปราชญ์ อัน
ท้าววรุณนาคราชตรัสถามแล้ว ได้พยากรณ์ปัญหาให้
ท้าววรุณนาคราชทรงยินดี ฉันใด วิธุรบัณฑิตผู้เป็น
นักปราชญ์ แม้พระนางวิมลานาคกัญญาตรัสถามแล้ว
ก็พยากรณ์ให้พระนางวิมาลานาคกัญญาทรงยินดีฉันนั้น
วิธุรบัณฑิตผู้เป็นนักปราชญ์ ทราบว่า พระยานาคราช
ผู้ประเสริฐ และพระนางนาคกัญญาทั้งสองพระองค์
นั้น ทรงมีพระทัยชื่นชมโสมนัส ไม่ครั่นคร้าม ไม่
กลัว ไม่ขนพองสยองเกล้า ได้กราบทูลท้าววรุณนาค
ราชว่า ข้าแต่พระยานาคราช ฝ่าพระบาทอย่าทรง
พระวิตกว่า ทรงกระทำกรรมของคนผู้ประทุษร้ายมิตร
และอย่าทรงพระดำริว่า จักฆ่าบัณฑิตนี้ ขอฝ่าพระ-
บาทจงกระทำกิจด้วยเนื้อหทัยของฝ่าพระองค์ ตามที่

ฝ่าพระบาททรงพระประสงค์เถิด ถ้าฝ่าพระบาทไม่
ทรงสามารถจะฆ่าข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะทรงทำ
ถวายตามพระอัธยาศัยของฝ่าพระบาทเอง พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อฉมฺภี แปลว่า ไม่ครั่นคร้าม. บทว่า
อโลมหฏฺโฐ ได้แก่ ไม่หวาดเสียวเพราะความกลัวเลย. บทว่า อิจฺจพฺรวิ
ความว่า ได้กล่าวดังนั้น ด้วยอำนาจการพิจารณา. บทว่า มา เภถยิ ความว่า
พระองค์อย่ากลัวไปเลยว่า เราจะทำกรรมคือการประทุษร้ายต่อมิตร และอย่าคิด
สงสัยไปเลยว่า บัดนี้ เราจักฆ่าบัณฑิตนี้ หรืออย่างไรหนอ. วิธุรบัณฑิต
เรียกวรุณนาคราชว่า นาค. บทว่า อยาหมสฺมิ ตัดเป็น อยํ อหมสฺมิ
บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ยํ กริสสามิ ความว่า ถ้าท่านไม่อาจจะ
ฆ่าเรา ด้วยคิดว่า เราได้ฟังธรรมในสำนักของบัณฑิตนี้ไซร้ ข้าพเจ้าจัก
กระทำถวายเองให้สมกับพระอัธยาศัยของพระองค์.
พระยานาคราชตรัสว่า
ปัญญานั่นเอง เป็นดังใจของบัณฑิตทั้งหลาย เรา
ทั้งสองนั้นยินดีด้วยปัญญาของท่านยิ่งนัก ปุณณกยักษ์
จงไปส่งท่านให้ถึงแคว้นกุรุรัฐในวันนี้ทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ตฺยมฺห ความว่า ข้าพเจ้าทั้งสอง
คนนั้น ยินดีนักหนาด้วยปัญญาของท่าน ยักษ์เสนาบดีผู้มีชื่อไม่บกพร่อง
ซึ่งได้แก่ปุณณกยักษ์นี้. บทว่า ลภตชชทารํ ความว่า วันนี้ขอปุณณกยักษ์
เสนาบดี จงได้ภริยา เราจะให้อิรันทตีธิดาแก่ท่าน. บทว่า ปาปยาตุ ความว่า
ในวันนี้ปุณณกยักษ์ จงไปส่งท่านให้ถึงอินทปัตตนครแคว้นกุรุนั้นแล.
ก็แล พระยาวรุณนาคราช ครั้นตรัสอย่างนี้แล้วจึงได้พระราชทานนาง
อิรันทตีให้แก่ปุณณกยักษ์ ปุณณกยักษ์นั้นได้นางอิรันทตีสมปรารถนา ดังนั้น
จึงมีจิตยินดี ได้เจรจาปราศรัยกับพระมหาสัตว์เจ้าแล้ว.

พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ปุณณกยักษ์นั้น ได้นางอิรันทตีนาคกัญญาแล้ว
มีใจชื่นชมโสมนัสปีติปราโมทย์ ได้กล่าวกะวิธุรบัณฑิต
ผู้ประเสริฐสุดของชาวกุรุรัฐว่า ข้าแต่ท่านวิธุรบัณฑิต
ท่านได้ทำให้ข้าพเจ้ามีความพร้อมเพรียงกันกับภริยา
ข้าพเจ้าจะทำกิจตอบแทนท่าน ข้าพเจ้าจะให้แก้วมณี
ดวงนี้แก่ท่าน และจะนำท่านไปส่งให้ถึงแคว้นกุรุรัฐ
ในวันนี้ทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มณิรตนํ ความว่า ดูก่อนบัณฑิต
เราเลื่อมใสในอุปการะคุณของท่าน เราควรจะทำกิจอันสมควรแก่ท่าน เพราะ
ฉะนั้น ข้าพเจ้าจะให้แก้วมณี อันเป็นของบริโภคแห่งพระเจ้าจักรพรรดินี้แก่
ท่าน และข้าพเจ้าจะไปส่งท่านให้ถึงอินทปัตตนครแคว้นกุรุในวันนี้ด้วย.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะกระทำความชมเชยแก่ปุณณกยักษ์นั้น
ได้กล่าวคาถานอกนี้ว่า
ดูก่อนกัจจานะ ท่านจงมีความไมตรีสนิทสนม
กับภรรยาที่น่ารัก อันไม่มีใครทำให้แตกแยกตลอดไป
ท่านจงเป็นผู้มีจิตเบิกบาน มีปีติโสมนัส ท่านได้ให้
แก้วมณีแก่ข้าพเจ้าแล้ว ขอจงนำข้าพเจ้าไปยังอินท-
ปัตตนครด้วยเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อชฺเชยฺยเมสา ความว่า ดูก่อนท่านผู้
กัจจายนโคตร ท่านพร้อมกับภริยาเป็นที่รักของท่าน จงเป็นผู้มีความพร้อม
เพรียงปรองดองมีความรักใคร่กันตลอดไป จงเป็นผู้มีความสุขสวัสดี มีชัยชนะ

แก่ข้าศึกศัตรู. พระมหาสัตว์กล่าวความที่ปุณณกยักษ์นั้นมีความพรั่งพร้อมด้วย
ปีติ ด้วยคำมีอาทิว่า อานนฺทจิตฺโต เป็นผู้มีจิตบันเทิง ดังนี้. บทว่า
นยินฺทปตฺตํ ตัดเป็น นย อินฺทปตฺตํ แปลว่า จงนำไปสู่อินทปัตตนคร.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ปุณณยักษ์นั้น เชิญวิธุรบัณฑิตผู้ประเสริฐสุด
ของชาวกุรุรัฐ ผู้มีปัญญาไม่ทราม ให้นั่งบนอาสนะ
กลางหน้าของตน ขึ้นม้าอาชาไนยเหาะไปในอากาศ
กลางหาว ปุณณกยักษ์นั้นได้นำวิธรบัณฑิตผู้ประเสริฐ
สุดของชาวกุรุรัฐ ไปถึงอินทปัตตนคร เร็วยิ่งกว่าใจ
ของมนุษย์พึงไปถึง.

ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์กล่าวกะพระมหาสัตว์ว่า
อินทปัตตนครปรากฏอยู่โน้น และป่ามะม่วงอัน
น่ารื่นรมย์ ก็เห็นอยู่เป็นหย่อม ๆ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความ
พร้อมเพรียงกับภริยา และท่านก็ได้ถึงที่อยู่ของตน
แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาปิ คจฺเฉ ความว่า ขึ้นชื่อว่าใจ
ย่อมไม่ไป แต่เมื่อใจถือเอาอารมณ์ในที่ไกล เขาจึงเรียกว่าใจไปแล้ว เพราะ
ฉะนั้น พึงเห็นเนื้อความในบทนี้อย่างนี้ว่า การไปของม้าสินธพมโนมัยนั้นได้
เป็นการไปที่เร็วกว่าใจที่ถือเอาอารมณ์. บทว่า เอตินฺทปตฺตํ ความว่า เมื่อ
แสดงแก่เธอผู้นั่งอยู่บนหลังม้านั่นแล จึงได้กล่าวอย่างนั้น. ด้วยบทว่า สกํ
นิเกตํ ปุณณกยักษ์กล่าวว่า ท่านถึงที่อยู่ของท่านแล้ว.
ก็ในวันนั้น เวลาใกล้รุ่ง พระเจ้าธนัญชัยโกรพยราชได้ทรงพระสุบินว่า
มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้พระทวารพระราชนิเวศน์ ลำต้นประกอบด้วย

ปัญญา กิ่งแล้วไปด้วยศีล ผลเต็มไปด้วยปัญจโครส ห้อมล้อมไปด้วยช้างและ
ม้าที่ประดับประดาแล้ว มหาชนพากันมาทำสักการะอย่างใหญ่ ประคองอัญชลี
แก่ต้นไม้นั้นเป็นอันมาก. ลำดับนั้น ยังมีบุรุษดำคนหนึ่งนุ่งผ้าแดง ทัดดอก-
ไม้แดง ถืออาวุธมาตัดรากต้นไม้นั้นให้ขาดแล้ว เมื่อมหาชนร้องไห้ปริเทวนา-
การอยู่ ได้ลากเอาต้นไม้นั้นไป ไม่กี่วันก็นำเอามาส่งคืนไว้ในที่เดิมอีก แล้ว
หลีกไปดังนี้ พระราชาทรงพิจารณาพระสุบินนั้นอยู่ ทรงสันนิษฐานว่า ใคร ๆ
คนอื่นที่เป็นดุจต้นไม้ใหญ่มิได้มี ต้องเป็นวิธุรบัณฑิต ใคร ๆ คนอื่นที่
เปรียบกับบุรุษผู้มาตัดรากต้นไม้นั้น เมื่อมหาชนร้องไห้ปริเทวนาการอยู่ ลาก
เอาไปแล้วมิได้มี ต้องเป็นมาณพผู้เอาวิธุรบัณฑิตไป วันพรุ่งนี้มาณพจัก
นำวิธุรบัณฑิตมาประดิษฐานไว้ที่ทวารแห่งโรงธรรมสภาแล้ว จักหลีกไป
เปรียบกับบุรุษผู้นำเอาต้นไม้นั้นมาคืนไว้ ณ ที่เดิมอีกแล้วไปเสีย วันนี้เรา
จักได้เห็นวิธุรบัณฑิตแน่นอน ครั้นทรงสันนิษฐานดังนี้แล้ว ทรงมี
พระหทัยโสมนัส จึงมีพระดำรัสสั่งให้ประดับพระนครทั้งสิ้น และให้จัดแจง
โรงธรรมสภา ตั้งธรรมาสน์ในอลงกตรัตนมณฑป ครั้นเสร็จแล้ว ท้าวเธอ
เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงธรรมสภา มีพระราชา 101 พระองค์และ
หมู่อำมาตย์ราษฎรชาวพระนครทั้งสิ้นแวดล้อม ทรงรอคอยการมาของวิธุร-
บัณฑิตอยู่ ทรงปลอบโยนมหาชนให้สบายใจไปพลางว่า พวกท่านจักเห็น
บัณฑิตในวันนี้ อย่าพากันวิตกไปนักเลย. ฝ่ายปุณณกยักษ์พาบัณฑิตลงประ-
ดิษฐาน ณ ท่ามกลางบริษัทที่ประตูแห่งโรงธรรมสภา ลาพระมหาสัตว์แล้ว
พานางอิรันทตีไปสู่เทวนครของตนแล้วแล.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ปุณณยักษ์ผู้มีวรรณะดี วางวิธุรบัณฑิตผู้ประ-
เสริฐสุดของชาวกุรุรัฐ ลงในท่ามกลางสภา แล้วขึ้น

ม้าอาชาไนยเหาะไปในอากาศกลางหาว พระราชา
ทอดพระเนตรเห็นวิธุรบัณฑิตนั้น ทรงพระปรีดา-
ปราโมทย์เป็นอย่างยิ่งเสด็จลุกขึ้นสวมกอดวิธุรบัณฑิต
ด้วยพระพาหาทั้งสอง ไม่ทรงหวั่นไหว ทรงเชื้อเชิญ
ให้นั่งบนอาสนะท่ามกลางสภา ตรงพระพักตร์ของ
พระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโนมวณฺโณ แปลว่า ผู้มีวรรณะ
ไม่ต่ำ คือผู้มีวรรณะอันสูงสุด. บทว่า อวิกมฺปยํ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระราชานั้น ทรงประคองวิธุรบัณฑิต ไม่หวั่นไหว ไม่ย่อท้อ ในท่าม
กลางมหาชน จับมือทั้งสองให้นั่งบนอาสนะที่ตบแต่งไว้ ให้บ่ายหน้าตรง
พระพักตร์ของพระองค์.
ลำดับนั้น พระราชาทรงบันเทิงกับพระมหาสัตว์นั้น เมื่อจะทำปฎิ-
สันถารด้วยพระวาจาอันไพเราะ จึงตรัสพระคาถาว่า
ท่านเป็นผู้แนะนำเราทั้งหลาย เหมือนนายสารถี
นำรถที่หายไปแล้วกลับมาได้ฉะนั้น ชาวกุรุรัฐทั้งหลาย
ย่อมยินดี เพราะได้เห็นท่าน ฉันถามแล้ว ขอท่าน
จงบอกเนื้อความนั้นแก่ฉัน ท่านหลุดพ้นจากมาณพมา
ได้อย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นฏฐํ ความว่า ท่านช่วยแนะนำเรา
ในอันทำประโยชน์เกื้อกูล โดยเหตุคือ โดยนัย เหมือนนายสารถีนำรถที่หาย
ไปแล้วให้กลับเข้ามาได้ฉะนั้น. บทว่า นนฺทนฺติ ตํ ความว่า ชนชาวกุรุรัฐ
เหล่านี้ พอเห็นท่าน ย่อมยินดีเพราะการได้เห็นท่าน. บทว่า มาณวสฺส

ความว่า ท่านได้พ้นจากสำนักของมาณพได้อย่างไร หรือว่าการที่มาณพปล่อย
ให้ท่านพ้นไปเป็นเพราะเหตุอะไร
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กราบทูลพระราชานั้นว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน ผู้ทรงแกล้ว
กล้าประเสริฐกว่านรชน บุรุษที่ฝ่าพระบาทตรัสเรียก
มาณพนั้นไม่ใช่มนุษย์ เป็นยักษ์ชื่อปุณณกะ พระเจ้าข้า
ฝ่าพระบาททรงเคยได้ยินชื่อมาแล้ว ก็ปุณณกยักษ์นั้น
เป็นอำมาตย์ของท้าวกุเวร พระยานาคทรงพระนาม
ว่าวรุณผู้ครองนาคพิภพ มีพระกายใหญ่โตสะอาด
ทรงสมบูรณ์ด้วยวรรณะและกำลัง ปุณณกยักษ์รักใคร่
นางนาคกัญญานามว่าอิรันทตี พระธิดาของพระยา
นาคราชนั้น จึงตกลงใจจะฆ่าข้าพระองค์ เพราะเหตุ
แห่งนางอิรันทตีผู้มีเอวบางร่างน้อยน่ารักใคร่ แต่
ปุณณกยักษ์เป็นผู้พร้อมเพรียงกับภรรยา ส่วนข้า-
พระองค์เป็นผู้อันพระยานาคทรงอนุญาตให้มา และ
ปุณณกยักษ์ให้แก้วมณีมาด้วย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ มาณโว ตฺยภิวทิ ความว่า พระมหา
สัตว์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งหมู่ชน พระองค์ทรง
เรียกคนใดว่ามาณพ คนนั้นไม่ใช่มนุษย์เลย เป็นยักษ์ชื่อว่าปุณณกะ. บทว่า
ภูมินฺธโร แปลว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาเพียงดังว่าแผ่นดิน อยู่ในนาคพิภพ. บทว่า
สา นาคกญฺญา ความว่า ปุณณกยักษ์นั้น รักใคร่นางอิรันทตีนาคกัญญา
ผู้เป็นธิดาของพระยานาคนั้น พยายามเพื่อฆ่าข้าพระองค์ให้ตาย. บทว่า ปิยาย

เหตุ ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้าก็พระยานาคนั้น เลื่อมใสในการแก้ปัญหา
ในเรื่องอุโบสถ 4 บูชาข้าพระองค์ด้วยแก้วมณี แล้วเสด็จกลับไปยังนาคพิภพ
เมื่อพระนางวิมลาเทวีทูลถามว่า แก้วมณีของพระองค์หายไปไหน พระเจ้าข้า
จึงทรงพรรณนาความที่ข้าพระองค์เป็นธรรมกถึก. พระนางวิมลาเทวีนั้น มีพระ
ประสงค์จะสดับธรรมกถาของข้าพระองค์ ได้ยังความปรารถนาด้วยดวงหทัย
ของข้าพเจ้าให้เกิดขึ้น. พระยานาคทรงเข้าใจผิด ตรัสกะนางอิรันทตีผู้เป็น
ธิดาของตนว่า มารดาของเจ้าปรารถนาดวงหทัยของวิธุรบัณฑิต เจ้าจงไป
แสวงหาสามีผู้สามารถจะนำดวงหทัยของวิธุรบัณฑิตนั้นมาให้ได้ นางอิรันทตี
เที่ยวแสวงหาสามีอยู่ ได้พบปุณณกยักษ์ผู้เป็นหลานของท้าวกุเวรเวสวัณ
ทราบว่าปุณณกยักษ์นั้นมีความปฏิพัทธ์ในตน จึงนำไปสู่สำนักพระบิดา. ลำดับ
นั้น พระยานาคตรัสกะปุณณกยักษ์ว่า เมื่อเจ้าสามารถนำดวงหทัยของวิธุร-
บัณฑิตมาให้ จักได้นางอิรันทตีลูกสาวของเรา. ปุณณกยักษ์จึงนำเอาแก้วมณี
อันเป็นของบริโภคแห่งพระเจ้าจักรพรรดิจากเวปุลบรรพตมาพนันเล่นสกากับ
พระองค์ ได้ข้าพระองค์แล้วพักอยู่ที่เรือนของข้าพระองค์ 3 วัน บอกให้ข้า-
พระองค์จับทางม้าแล้วพาไป ทุบตีข้าพระองค์ที่ต้นไม้บ้างที่ภูเขาบ้าง ในหิมวันต์
ประเทศ เมื่อไม่อาจให้ข้าพระองค์ตายได้ จึงบ่ายหน้าต่อลมเวรัมภะ ควบม้า
ไปในกองลม 7 ครั้ง แล้ววางข้าพระองค์ไว้บนยอดเขากาฬาคิรีบรรพตที่สูงได้
60 โยชน์ ทำกรรมอย่างนี้บ้างอย่างโน้นบ้าง ด้วยอำนาจแห่งเพศแห่งราชสีห์
เป็นต้น ก็ไม่อาจทำให้ข้าพระองค์ตายได้ ข้าพระองค์ถามถึงเหตุที่เขาจะฆ่า เขา
บอกเหตุนั้นให้ทราบโดยตลอด เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จึงได้แสดงสาธุนร-
ธรรมแก่เขา เขาได้สดับสาธุนรธรรมนั้น มีจิตเลื่อมใส ใคร่จะนำข้าพระองค์
มาส่ง ณ ที่นี้ ครั้น เขามีความประสงค์จะมาส่งเช่นนั้น ข้าพระองค์จึงพาเขาไปสู่
นาคพิภพ แสดงธรรมถวายพระยานาคและพระนางวิมลาเทวี นาคบริษัททั้งหมด

พากันเลื่อมใสในธรรมเทศนาทั้งนั้น พระยานาคในเวลาท้าวเธอทรงยินดีใน
ธรรมเทศนาของข้าพระองค์ ได้ประทานนางอิรันทตีแก่ปุณณกยักษ์ ๆ ได้นาง
อิรันทตีแล้วมีจิตเลื่อมใสจึงบูชาข้าพระองค์ด้วยแก้วมณี อันพระยานาคทรงบังคับ
ให้มาส่งข้าพระองค์ จึงยกข้าพระองค์ขึ้นขี่ม้ามโนมัยสินธพ ส่วนตนเองนั่งบน
อาสนะท่ามกลางให้ข้าพระองค์นั่งอาสนะข้างหน้า ให้นางอิรันทตีนั่งอาสนะข้าง
หลัง นำมาส่งในที่นี้ ยังข้าพระองค์ให้ลงที่ท่ามกลางบริษัทแล้ว พานางอิรันทตี
ไปสู่นครของตนแล้วแล ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เพราะเหตุแห่งนางอิรันทตีผู้
มีเอวอันงดงามน่ารักนั้น ปุณณกยักษ์จึงได้พยายามจะฆ่าข้าพระองค์ด้วย
ประการอย่างนี้ ก็แต่ว่าปุณณกยักษ์ได้อาศัยข้าพระองค์ ในครั้งนั้นแล จึงได้
เป็นผู้พร้อมเพรียงสมัครสังวาสกันกับภรรยา พระยานาคทรงสดับธรรมเทศนา
ของข้าพระองค์ทรงเลื่อมใสแล้ว ทรงอนุญาตให้ส่งข้าพระองค์กลับคืน และ
ข้าพระองค์ได้แก้วมณีอันเป็นของบริโภคแห่งพระเจ้าจักรพรรดิอันสามารถให้
สิ่งน่าใคร่ได้ทุกอย่าง ข้าพระองค์ได้มาจากสำนักแห่งปุณณกยักษ์ ข้าแต่
พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอพระองค์ทรงรับแก้วมณีดวงนี้ ครั้นกราบทูลดังนี้
แล้ว ได้ถวายแก้วมณีแก่พระราชา. แต่นั้นพระราชาเมื่อจะตรัสเล่าพระสุบิน
ที่พระองค์ทรงเห็นในเวลาจวนรุ่งแก่ชาวพระนคร จึงตรัสว่า ดูก่อนทวยราษฎร์
ผู้เจริญทั้งหลาย พวกเจ้าจงฟังสุบินนิมิตที่เราเห็นในเวลานี้ แล้วตรัสเป็น
คาถาว่า
มีต้นไม้ต้นหนึ่ง เกิดริมประตูวังของเรา ลำต้น
ประกอบด้วยปัญญา กิ่งแล้วด้วยศีล ต้นไม้นั้น ตั้งอยู่
ในอรรถและธรรม มีผลเต็มไปด้วยปัญจโครส ดารดาษ
ไปด้วยช้างม้าและโคที่ประดับประดาแล้ว เมื่อมหาชน
ทำสักการะบูชาต้นไม้นั้น เล่นเพลิดเพลินด้วยฟ้อน


รำขับร้องและดนตรีอยู่ ครั้นบุรุษดำคนหนึ่ง มาไล่
เสนาที่ยืนล้อมอยู่ให้หนีไป จึงถอนต้นไม้นั้นลากไป
ไม่กี่วัน ต้นไม้นั้นกลับมาประดิษฐานอยู่ที่ประตูวังของ
เราอีกตามเดิม ต้นไม้ใหญ่นั้น ก็ได้แก่วิธุรบัณฑิตนี้
ซึ่งกลับมาสู่ที่อยู่ของเรา บัดนี้พวกท่านทั้งปวง จงพา
กันทำสักการะเคารพนบนอบแก่ต้นไม้ คือวิธุรบัณฑิต
นี้ขอเชิญบรรดาอำมาตย์ผู้มีจิตยินดี ด้วยยศที่ตนอาศัย
เราได้แล้วทั้งหมดทีเดียว จงทำจิตของตนให้ปรากฏ
ในวันนี้ ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านจง
กระทำบรรณาการให้มาก พากันนำนาทำสักการะ
เคารพนบนอบแก่ต้นไม้ คือวิธุรบัณฑิตนี้ สัตว์เหล่าใด
เหล่าหนึ่ง ที่ผูกไว้ชั้นที่สุดมฤคและปักษีที่ขังไว้เพื่อดู
เล่น อันมีอยู่ในแคว้นของเรา สัตว์เหล่านั้นทุกจำพวก
จงให้ปล่อยจากเครื่องผูก และที่ขังเสียทั้งหมด บัณฑิต
นี้พ้นจากเครื่องผูกฉันใดแล สัตว์เหล่านั้น จงพ้นจาก
เครื่องผูกและที่ขังฉันนั้นเหมือนกัน พวกชาวไร่ชาวนา
ทั้งปวง จงเลิกทำไร่ทำนาทั้งปวง พักเสียตลอดเดือนนี้
ให้พวกกลองดีกลองเที่ยวประกาศชาวพระนครพร้อม
กันมาทำการสมโภชเป็นการใหญ่ จงอัญชลีพราหมณ์
ทั้งหลายมาบริโภคข้าวสุกเจือด้วยเนื้อ พวกนักเลงสุรา
จงเว้นการเที่ยวดื่มสุรา จงเอาหม้อใส่ให้เต็มปรี่ไปนั่ง
ดื่มอยู่ที่ร้านของตน ๆ พวกหญิงแพศยาที่อยู่ประจำทาง
จงเล้าโลมลวงล่อชายผู้มีความต้องการ ด้วยกิเลสเป็น
นิตย์ อนึ่งจงจัดการรักษาในแว่นแคว้นให้แข็งแรง

อย่างที่พวกชนจะพึงเบียดเบียนกันไม่ได้ พวกท่านจง
ทำสักการเคารพนบนอบ ต้นไม้คือบัณฑิตนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลมยสฺส ความว่า กิ่งของต้นไม้นี้ ล้วน
แล้วด้วยศีล. บทว่า อตฺเถ จ ธมฺเม จ ความว่า ต้นไม้นั้น ตั้งอยู่ในความ
เจริญและในสภาวธรรม. บทว่า นิปาโก ความว่า ต้นไม้นั้นแล้วด้วย
ปัญญาประดิษฐานอยู่แล้ว. บทว่า ควปฺผโล ความว่า ต้นไม้นั้น มีผล
ล้วนแล้วด้วยปัญจโครส. บทว่า หตฺถิควาสฺสฉนฺโน ความว่า ต้นไม้นั้น
ดารดาษไปด้วยฝูงช้างฝูงโค และฝูงม้าที่ประดับประดาแล้ว. บทว่า นจฺจคีต-
ตุริยาภินาทิเต
ความว่า ครั้นเมื่อมหาชนกระทำการบูชาต้นไม้นั้น เล่น
เพลิดเพลินไปด้วยการฟ้อนรำขับร้องเป็นต้นที่ต้นไม้นั้นอยู่. ครั้งนั้นบุรุษดำคน
หนึ่งมาไล่ขับเสนาที่ยืนล้อมถอนต้นไม้นั้นหนีไป ต้นไม้นั้นกลับมาประดิษ-
ฐานอยู่ ที่ประตูของเราตามเดิม ต้นไม้ใหญ่นั้นก็ได้แก่บัณฑิตนี้ ซึ่งกลับมา
สู่ที่อยู่ของเรา บัดนี้พวกท่านทั้งปวง จงพากันทำสักการะ ยำเกรง เคารพ แก่
ต้นไม้คือบัณฑิตนี้ให้มาก. บทว่า มม ปจฺจเยน ความว่า บรรดาอำมาตย์
ผู้มีจิตยินดีด้วยยศที่ตนอาศัยเราได้มาแล้วทั้งหมดนั้นจงทำกิจของตนให้ปรากฏ
ในวันนี้. บทว่า ติพฺพานิ ได้แก่ มากคือใหญ่. บทว่า อุปายนานิ ได้
แก่ เครื่องบรรณาการทั้งหลาย. บทว่า เยเกจิ ความว่า โดยชั้นที่สุดหมาย
เอามฤคและปักษีที่ขังไว้เพื่อดูเล่น. บทว่า มุญฺจเร แปลว่า จงให้ปล่อย.
บทว่า อุนฺนงฺคลา มาสมิมํ กโรนฺตุ ความว่า ขอพวกชาวนา ชาวไร่
ทั้งปวง จงเลิกทำไร่ทำนาเสียตลอดเดือนนี้ ให้คนตีกลองเที่ยวประกาศไป.
ชาวพระนคร พร้อมกันมาทำการสมโภชเป็นการใหญ่. บทว่า ภกฺขยนฺตุ
ความว่า จงเชิญบริโภค. อักษรในบทว่า อมชฺชปา นี้เป็นเพียงนิบาต
อธิบายว่า พวกนักเลงสุรา เมื่อควรจะดื่มสุรา ย่อมมาประชุมกันดื่มอยู่ที่ร้าน

ดื่มของตน ๆ. บทว่า ปุณฺณาหิ ถาลาหิ แปลว่า ด้วยหม้ออันเต็ม. บทว่า
ปลิสฺสุตาหิ ความว่า ไหลล้นออกจากหม้อเพราะมีสุราเต็มปรี่. บทว่า มหาปถํ
นิจฺจํ สมวฺหยนฺตุ ความว่า พวกหญิงแพศยา ที่อยู่ประจำทางใหญ่ที่ตบ
แต่งไว้ คือที่ทางหลวง จงประเล้าประโลมลวงล่อชายผู้มีความต้องการด้วย
กิเลสเป็นนิตย์. บทว่า ติพฺพํ แปลว่า แข็งแรง. บทว่า ยถา ความว่า
ขอท่านทั้งหลายจัดการรักษาต้นไม้ อย่างที่พวกชาวนาจัดแจงรักษาต้นไม้ด้วย
ดี กระทำความยำเกรงต่อต้นไม้ ไม่เบียดเบียนกันและกัน. พวกท่านจักทำ
สักการะเคารพนบนอบต้นไม้คือบัณฑิตนี้.
เมื่อพระราชาตรัสดังนั้นแล้ว
พวกพระสนมกำนัลใน พระราชกุมาร พวกพ่อ
ค้าชาวนา พราหมณาจารย์ พวกกรมช้าง กรมราช
องครักษ์ กรมม้า กรมรถ กรมเดินเท้า และชาวชน
บท ชาวนิคมทุกหมู่เหล่า ที่พระราชาทรงบังคับแล้ว
พร้อมกันสั่งมหาชนให้ปล่อยสัตว์จากเครื่องผูกและที่ขัง
จัดแจงบรรณาการมีประการต่าง ๆ ส่งข้าวและน้ำกบ
เครื่องบรรณาการเป็นอันมากไปถวายบัณฑิต ชนเป็น
อันมากเมื่อบัณฑิตมาแล้ว ได้เห็นบัณฑิตก็มีใจเลื่อม
ใส เมื่อบัณฑิตมาถึงแล้ว ก็พากันยกผ้าขาวโห่ร้องขึ้น
ด้วยความยินดีปราโมทย์เป็นที่ยิ่ง ด้วยประการฉะนี้แล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิหารยุํ ความว่า พระสนมกำนัลใน
เป็นต้นเหล่านั้นที่พระราชาบังคับแล้วอย่างนี้ พร้อมกันสั่งมหาชนให้ปล่อยสัตว์
ทั้งปวง จากที่คุมขังและที่ผูก จัดแจงบรรณาการมีประการต่างๆ ส่งข้าวและน้ำ
พร้อมด้วยเครื่องบรรณาการนั้นไปถวายบัณฑิต. บทว่า ปณฺฑิตมาคเต
ความว่า ชนเป็นอันมาก เมื่อบัณฑิตมาถึงแล้ว ได้เห็นบัณฑิตก็มีจิตเลื่อมใส.

ได้มีงานมหรสพสมโภชตลอดกาลล่วงไปเดือนหนึ่ง จึงสำเร็จเสร็จสิ้น.
พระมหาสัตว์ แสดงธรรมแก่มหาชน สั่งสอนพระราชา เหมือนกับว่าบำเพ็ญ
พุทธกิจให้สำเร็จ บำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น และรักษาอุโบสถกรรม ตั้งอยู่
ตลอดอายุ เมื่อสิ้นอายุ ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ชนชาวกุรุรัฐทั้ง
หมด ตั้งต้นแต่พระราชา ตั้งอยู่ในโอวาทของพระมหาสัตว์ พากันรักษาศีล
บำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น บำเพ็ญทางสวรรค์ให้บริบูรณ์ ครั้นสิ้นอายุแล้วได้
ไปตามกรรมของตนนั้นแล.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้ง
หลายไม่ใช่แต่ในบัดนี้ อย่างเดียวเท่านั้น แม้ในกาลก่อนเราตถาคตก็ถึงพร้อม
ด้วยปัญญา ฉลาดในอุบายเหมือนกัน ดังนี้แล้วจึงประกาศสัจจะ ประชุมชาดก.
มารดาบิดาของบัณฑิตในกาลนั้น ครั้นกลับชาติมาได้เป็นมหาราชสกุล
ในบัดนี้ ภริยาใหญ่ของบัณฑิตในกาลนั้นได้เป็นมารดาของพระราหุลในบัดนี้
บุตรคนโตของบัณฑิตในกาลนั้น ได้เป็น พระราหุล ในบัดนี้ พระนางวิมลา
ในกาลนั้นได้เป็น พระนางอุบลวรรณา ในบัดนี้ พระยาวรุณนาคราชในกาล
นั้นได้เป็น พระสารีบุตรในบัดนี้ พระยาครุฑในกาลนั้นได้เป็น พระโมค-
คัลลานะ
ในบัดนี้ ท้าวสักกะเทวราชในกาลนั้นได้เป็น พระอนุรุทธะ ใน
บัดนี้ พระเจ้าโกรพยราชในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ในบัดนี้ ปุณณก-
ยักษ์ในกาลนั้นได้เป็น พระฉันนะ ในบัดนี้ ม้ามโนมัยสินธพในกาลนั้น
ได้เป็น พระยาม้ากัณฐกะ ในบัดนี้ บริษัทนอกจากนั้น ในกาลนั้นได้เป็น
พุทธบริษัทในกาลนี้ ส่วนวิธุรบัณฑิตในกาลนั้น ครั้นกลับชาติมาได้เป็นเรา
ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้แล.
จบอรรถกถาวิธุรชาดกที่ 9

10. เวสสันตรชาดก


พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี


ท้าวสักกเทวราช ตรัสว่า
[1045] ดูก่อนผุสดีผู้มีรัศมีแห่งผิวพรรณอัน
ประเสริฐ ผู้มีอวัยวะส่วนเบื้องหน้างาม เธอจงเลือก
เอาพร 10 ประการในปฐพีซึ่งเป็นที่รักแห่งหฤทัยของ
เธอ.

พระผุสดีเทพกัญญากราบทูลว่า
[1046] ข้าแก่ท้าวเทวราช ข้าพระบาทนอบน้อม
แด่พระองค์ ข้าพระบาทได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หรือ
ฝ่าพระบาทจึงให้ข้าพระบาท จุติจากทิพยสถานที่น่า
รื่นรมย์ ดุจลมพัดต้นไม้ใหญ่ให้หักไป ฉะนั้น.

ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า
[1047] บาปกรรมเธอมิได้ทำไว้เลย และเธอ
ไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่ แต่บุญของเธอสิ้นแล้ว
เหตุนั้น เราจึงกล่าวกะเธออย่างนี้ ความตายใกล้เธอ
เธอจักต้องพลัดพรากจากไป จงเลือกรับเอาพร 10
ประการนี้จากเราผู้จะให้.

พระผุสดีเทพกัญญากราบทูลว่า
[1048] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์ทั้ง
ปวง ถ้าฝ่าพระบาทจะประทานพรแก่ข้าพระบาทไซร้