เมนู

อรรถกถาจันทกุมารชาดก


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ทรงปรารภพระเทวทัต
จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ราชาสิ ลุทฺทกมฺโม ดังนี้.
เรื่องของพระเทวทัตนั้น มาแล้วในสังฆเภทกขันกะแล้วนั่นแล.
เรื่องนั้น นับจำเดิมแต่เวลาที่ท่านออกผนวชแล้วตราบเท่าถึงให้ปลงพระชนมชีพ
ของพระเจ้าพิมพิสาร พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในที่นั้นนั่นเอง.
ฝ่ายพระเทวทัต ครั้นให้ปลงพระชนมชีพพระเจ้าพิมพิสารแล้ว ก็เข้า
ไปเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า ดูก่อนมหาราช มโนรถของพระองค์ถึงที่สุด
แล้ว ส่วนมโนรถของของอาตมา ก็ยังหาถึงที่สุดก่อนไม่. พระราชาได้ทรงฟัง
ดังนั้นจึงตรัสถามว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ก็มโนรถของท่านเป็นอย่างไร ?
พระเทวทัต. ดูก่อนมหาราช เมื่อฆ่าพระทสพลแล้วอาตมาจักเป็นพระพุทธเจ้า
มิใช่หรือ ? พระราชาตรัสถามว่า ก็ในเพราะเรื่องนี้ควรเราจะทำอย่างไรเล่า ?
เทวทัต. ดูก่อนมหาราช ควรจะให้นายขมังธนูทั้งหลายประชุมกัน. พระราชา
ทรงรับว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ จึงให้ประชุมนายขมังธนูจำพวกที่ยิงไม่ผิดพลาด
รวม 500 ตระกูล ทรงเลือกจากคนเหล่านั้นไว้ 31 คน ตรัสสั่งว่า พ่อทั้ง
หลาย พวกเจ้าจงทำตามคำสั่งของพระเถระ ดังนี้แล้วจึงส่งไปยังสำนักพระ-
เทวทัต. พระเทวทัตเรียกผู้เป็นใหญ่ ในบรรดาพวกนายขมังธนูเหล่านั้นมา
แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ พระสมณโคดมประทับอยู่ ณ เขาคิมฌกูฏ
เสด็จจงกรมอยู่ในที่พักกลางวันในที่โน้น. ส่วนท่านจงไปในที่นั้น ยิงพระสมณ-
โคดมด้วยลูกศรอาบด้วยยาพิษ ให้สิ้นพระชนมชีพแล้ว จงกลับโดยทางชื่อ
โน้น. พระเทวทัตนั้น ครั้นส่งนายขมังธนูผู้ใหญ่นั้นไปแล้ว จึงพักนายขมังธนู

ไว้ในทางนั้น 2 คน ด้วยสั่งว่า จักมีบุรุษคนหนึ่งเดินทางมาโดยทางที่พวกท่าน
ยืนอยู่ พวกท่านจงปลงชีวิตบุรุษนั้นเสีย แล้วกับมาโดยทางโน้น. ในทางนั้น
พระเทวทัตจึงวางบุรุษไว้สี่คนด้วยสั่งว่า โดยทางที่พวกท่านยืนอยู่ จักมีบุรุษ
เดินมา 2 คน ท่านจงปลงชีวิตบุรุษ 2 คนนั้นเสีย แล้วกลับมาโดยทางชื่อโน้น.
ในทางนั้น พระเทวทัตวางคนไว้ 8 คน ด้วยสั่งว่า โดยทางที่พวกท่านยืนอยู่
จักมีบุรุษ 4 คนเดินทางมา พวกท่านจงปลงชีวิตบุรุษทั้ง 4 คนนั้นเสีย แล้ว
กลับโดยทางชื่อโน้น. ในทางนั้น พระเทวทัตวางบุรุษไว้ 16 คน ด้วยสั่งว่า
โดยทางที่พวกท่านไปยืนอยู่ จักมีบุรุษเดินมา 8 คน ท่านจงปลงชีวิตบุรุษทั้ง
8 คนนั้นเสีย แล้วจงกลับมาโดยทางชื่อโน้น. ถามว่า ก็เพราะเหตุไรพระ-
เทวทัตจึงทำอย่างนั้น. แก้ว่า เพราะปกปิดกรรมชั่วของตน. ได้ยินว่า พระ-
เทวทัตได้ทำดังนั้น เพื่อจะปกปิดกรรมชั่วของตน.
ลำดับนั้น นายขมังธนูผู้ใหญ่ ขัดดาบแล้วทางข้างซ้าย ผูกแล่งและ
ศรไว้ข้างหลังจับธนูใหญ่ทำด้วยเขาแกะ ไปยังสำนักพระตถาคตเจ้า จึงยกธนู
ขึ้นด้วยสัญญาว่า เราจักยิงดังนี้แล้ว จึงผูกสอดลูกศร ฉุดสายมาเพื่อจะยิง ก็
ไม่สามารถจะยิงไปได้. พระศาสดา ได้ทรงให้คร่าธนูมาแล้ว หาได้ประทาน
ให้ยิงไปได้ไม่. นายขมังธนูผู้ใหญ่นั้น เมื่อไม่อาจแม้จะยิงลูกศรไปก็ดี ลดลง
ก็ดี ก็ได้เป็นคนลำบากใจ เพราะสีข้างทั้งสองเป็นเหมือนจะหักลง น้ำลายก็
ไหลนองออกจากปาก. ร่างกายทั้งสิ้นเกิดแข็งกระด้าง ได้เป็นเสมือนถึงอาการ
อันเครื่องยนต์บีบคั้น. นายขมังธนูนั้นได้เป็นคนอันมรณภัยคุกคามแล้วยืนอยู่.
ลำดับนั้น พระศาสดา ทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้นแล้ว ทรงเปล่ง
ด้วยเสียงอันไพเราะ ตรัสปลอบนายขมังธนูว่า พ่อบุรุษผู้โง่เขลาท่านอย่ากล่าว
เลย จงมาที่นี้เถิด. ในขณะนั้น นายขมังธนูก็ทิ้งอาวุธเสีย กราบลงด้วย
ศีรษะแทบพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

โทษได้ล่วงข้าพระพุทธเจ้าแล้ว โดยที่เป็นคนเขลา คนหลง คนชั่วบาป ข้า
พระพุทธเจ้ามิได้รู้จักคุณของพระองค์ จึงได้มาแล้ว เพื่อปลงพระชนมชีพของ
พระองค์ ตามคำเสี้ยมสอนของพระเทวทัตผู้เป็นอันธพาล ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอพระองค์จงอดโทษข้าพระพุทธเจ้า ข้าแต่พระสุคตขอพระองค์
จงอดโทษข้าพระพุทธเจ้า ข้าแต่พระองค์ผู้รู้โลก ขอพระองค์จงอดโทษ
ข้าพระพุทธเจ้า ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดโทษให้ตนแล้วก็นั่งลงในที่สุด
ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย
ยังนายขมังธนูให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ดำรัสสอนว่า ท่านผู้มีอายุ ท่าน
อย่าเดินทางไปตามทางที่พระเทวทัตชี้ให้ จงไปเสียทางอื่น แล้วส่งนายขมังธนู
นั้นไป. ก็แล้วครั้นส่งนายขมังธนูไปแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงจากที่จงกรมไป
ประทับอยู่ ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง.
ลำดับนั้น เมื่อนายขมังธนูผู้ใหญ่มิได้กลับมา นายขมังธนูอีก 2 คน
ที่คอยอยู่ก็คิดว่า อย่างไรหนอเขาจึงล่าช้าอยู่ ออกเดินสวนทางไป ครั้น
เห็นพระทศพล ก็เข้าไปถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สุดส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดา
ครั้นทรงประกาศพระอริยสัจแก่ชนทั้ง 2 ยังเขาให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
แล้วดำรัสสอนว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านอย่าเดินไปทางที่พระเทวทัตบอก จงไป
โดยทางนี้ แล้วก็ส่งเขาไป โดยอุบายนี้ เมื่อทรงประกาศพระอริสัจ ยังนาย
ขมังธนูแม้นอกนี้ ที่มานั่งเฝ้า ให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ก็ทรงส่งไปโดย
ทางอื่น.
ลำดับนั้น นายขมังธนูผู้ใหญ่นั้น กลับมาถึงก่อนก็เข้าไปหาพระเทวทัต
กล่าวว่า ข้าแต่พระเทวทัตผู้เจริญ ข้าพเจ้าหาได้อาจปลงพระชนมชีพพระสัม-
มาสัมพุทธเจ้าไม่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ย่อมทรงฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ ทรง
อานุภาพอันยิ่งใหญ่. ส่วนบรรดานายขมังธนูเหล่านั้น รำพึงว่า เราทั้งหมด

นั้นอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้รอดชีวิตแล้ว ก็ออกบรรพชาในสำนัก
พระศาสดา แล้วทรงบรรลุพระอรหัตทุกท่าน.
เรื่องนี้ได้ปรากฏในภิกษุสงฆ์. ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรม-
สภาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ได้ยินว่าพระเทวทัต ได้กระทำความพยายาม เพื่อ
จะปลงชีวิตชนเป็นอันมาก เพราะจิตก่อเวรในพระตถาคตเจ้าพระองค์เดียว แต่
ชนเหล่านั้น อาศัยพระศาสดาได้รอดชีวิตแล้วทั้งสิ้น. ฝ่ายพระศาสดาเสด็จออก
จากที่บรรทมอันประเสริฐได้ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยพระ-
โสตธาตุอันเป็นทิพย์ เสด็จมายังโรงธรรมสภาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้
ทรงทราบ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ใน
กาลก่อน พระเทวทัต ก็กระทำความพยายามเพื่อจะฆ่าชนเป็นอันมาก อาศัย
เราผู้เดียว เพราะจิตมีเวรในเรา ดังนี้แล้วได้ทรงนิ่งเสีย เมื่อภิกษุเหล่านั้น
ทูลวิงวอนจึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล กรุงพาราณสีนี้ ชื่อว่า เมือง
ปุปผวดี. พระโอรสของพระเจ้าวสวัตดีทรงพระนามว่าเอกราชได้ครองราช
สมบัติในเมืองนั้น . พระราชโอรสของพระองค์ ทรงพระนามว่า พระจันทกุมาร
ได้ดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช. พราหมณ์ชื่อว่า กัณฑหาละ1 ได้เป็นปุโรหิต.
เขาถวายอนุศาสน์ทั้งอรรถและธรรมแด่พระราชา. ได้ยินว่า พระราชา ครั้น
ทรงสดับว่า กัณฑหาละเป็นบัณฑิต ก็ทรงให้ดำรงไว้ในหน้าที่ตัดสินอรรถคดี.
ก็กัณฑหาลพราหมณ์นั้นเป็นคนมีจิตใจฝักใฝ่ในสินบน ครั้นได้รับสินบนแล้ว
ก็ตัดสินให้ผู้มิใช่เจ้าของให้เป็นเจ้าของ ผู้เป็นเจ้าของมิให้ได้เป็นเจ้าของ. ครั้น
ภายหลังวันหนึ่ง มีบุรุษผู้แพ้คดีคนหนึ่ง โพนทนาด่าว่าอยู่ในที่เป็นที่วินิจฉัย
อรรถคดี ครั้นออกมาภายนอก เห็นพระจันทกุมารจะเสด็จมาสู่ที่เฝ้าพระราชา

1.บาลีเป็น ขัณฑหาละ.

ก็กราบลงแทบพระบาทแล้วร้องไห้ พระจันทกุมารนั้นถามเขาว่า เรื่องอะไรกัน
บุรุษผู้เจริญ. เขาทูลว่า กัณฑหาลนี้ปล้นเขาในการตัดสินความ ถึงข้าพระองค์
เมื่อเขารับสินบนแล้ว เขาก็ทำให้ถึงความพ่ายแพ้ในอรรถคดีพระเจ้าข้า.
พระจันทกุมารตรัสปลอบว่า อย่ากลัวไปเลย ดังนี้แล้วก็ทรงพาบุรุษนั้น
ไปสู่โรงเป็นที่วินิจฉัยอรรถคดี กระทำผู้เป็นเจ้าของนั่นแลให้เป็นเจ้าของ ผู้มิ
ใช่เจ้าของให้เป็นผู้มิใช่เจ้าของ. มหาชนพากันแซ่ซ้องสาธุการด้วยเสียงอันดัง.
พระราชา ได้ทรงสดับเสียงนั้นจึงตรัสถามว่า นั่นเสียงอะไร ? มีผู้ทูลว่า ข้าแต่
สมมติเทพ ได้ยินว่า มีอรรถคดีอันพระจันทกุมารทรงตัดสินแล้วโดยชอบธรรม
เสียงนั้นคือเสียงสาธุการของมหาชน. เพราะฟังเสียงนั้นพระราชาจึงเกิดปีติ.
พระจันทกุมารเสด็จมาถวายบังคมพระราชบิดาแล้ว ก็ประทับนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสกะท่านว่า แน่ะ พ่อได้ยินว่า
เจ้าได้ตัดสินความเรื่องหนึ่งหรือ ? พระจันทกุมารทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้า-
พระบาทได้ตัดสินเรื่องหนึ่ง พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ถ้ากระนั้น ตั้งแต่
บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าคนเดียวจงยังการตัดสินอรรถคดีให้ดำเนินไปเถิด. แล้วทรง
ประทานหน้าที่วินิจฉัยอรรถคดีแก่พระกุมาร. ผลประโยชน์ของกัณฑหาล
พราหมณ์ ย่อมขาดไป. เขาก็ผูกอาขาดประพฤติเป็นผู้เพ่งโทษจะจับผิดใน
พระจันทกุมารตั้งแต่นั้นมา.
ส่วนพระราชานั้นเป็นผู้มีปัญญาอ่อน วันหนึ่งเวลาใกล้รุ่ง ได้ทรงสุบิน
เห็นปานนี้ว่า ได้ทอดพระเนตรเห็นดาวดึงส์พิภพ มีซุ้มประตูอันประดับแล้ว
มีกำแพงแล้วไปด้วยแก้ว 7 ประการ มีวิถีอันแล้วไปด้วย ทรายทอง กว้าง
ประมาณ 60 โยชน์ ประดับไปด้วยเวชยันตปราสาทสูงพันโยชน์ เป็นที่
รื่นรมย์ไปด้วยสวนมีนันทวันเป็นต้น ประกอบด้วยสระโบกขรณี อันน่ายินดี

มีนันทโบกขรณีเป็นต้น มีหมู่เทพเกลื่อนกล่น. นางเทพอัสปร เป็นอันมาก
ก็ฟ้อนรำขับร้องและประโคมดนตรี ในเวชยันตปราสาท ในดาวดึงส์
พิภพนั้น. พระราชาได้ทรงเห็นดังนั้น ครั้นทรงตื่นบรรทม ใคร่จะเสด็จไปสู่
พิภพนั้น จึงทรงดำริว่า พรุ่งนี้ในเวลาที่อาจารย์กัณฑหาละมาเฝ้า เราจะถามถึง
หนทางอันเป็นที่ไปยังเทวโลก แล้วเราจักไปสู่เทวโลกโดยทางที่อาจารย์บอกให้
นั้น. พระราชานั้นก็เสด็จสรงสนานแต่เช้าตรู่ ทรงนุ่งห่มภูษา เสวยโภชนาหาร
อันมีรสเลิศต่าง ๆ ทรงไล้ทาเครื่องหอมแล้วเสด็จประทับนั่ง ส่วนกัณฑหาล-
พราหมณ์ อาบน้ำแต่เช้าตรู่ นุ่งผ้า บริโภคอาหาร ไล้ทาเครื่องหอมแล้ว
ไปยังที่บำรุงพระราชา เข้าไปยังพระราชนิเวศน์ แล้วทูลถามถึงพระสำราญ
ในที่พระบรรทม. ลำดับนั้น พระราชาประทานอาสนะแก่กัณฑหาลพราหมณ์
นั่นแล้ว จึงทรงถามปัญหา.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสคาถาว่า
พระราชาพระนามว่า เอกราช เป็นผู้มีกรรมอัน
หยาบช้า อยู่ในพระนคร ปุปผวดี ท้าวเธอตรัสถาม
กัณฑทาลปุโรหิต ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พราหมณ์ เป็นผู้หลง
ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเป็นผู้ฉลาดในธรรมวินัย ขอ
จงบอกทางสวรรค์แก่เรา เหมือนอย่างนรชนทำบุญ
แล้ว ไปจากภพนี้สู่สุคติภพ ฉะนั้นเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชาสิ ความว่า ท่านเป็นพระราชา.
บทว่า ลุทฺทกกมฺโม ได้แก่ ท่านเป็นผู้มีกรรมอันหยาบช้าทารุณ. บทว่า
สคฺคานมคฺคํ ความว่า ทางแห่งสวรรค์. บทว่า ธมฺมวินยกุสโล ความว่า
ด้วยบทว่า ยถา นี้ ท่านถามว่า เหมือนอย่างว่าคนทั้งหลาย ทำบุญแล้วจาก

โลกนี้ไปสุคติด้วยประการใด ขอท่านจงบอกทางแห่งสุคติแก่ข้าพเจ้า โดยประการ
นั้น ก็ปัญหานี้ ท่านควรจะถามกะพระสัพพัญพุทธเจ้า หรือกะพระโพธิสัตว์.
เพราะไม่เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า หรือพระสาวก ส่วนพระราชา
ทรงถามกะกัณฑหาลพราหมณ์ ผู้ไม่รู้อะไร ๆ เหมือนบุรุษผู้หลงทาง 7 วัน
พึงถามกะบุรุษคนอื่นผู้หลงทาง มาประมาณกึ่งเดือน.
กัณฑหาลพราหมณ์ คิดว่า เวลานี้เป็นเวลาที่จะได้เห็นหลังปัจจามิตร
ของเรา บัดนี้เราจักกระทำพระจันทกุมารให้ถึงสิ้นชีวิตแล้ว จักทำมโนรถของ
เราให้สำเร็จบริบูรณ์ ครั้งนั้นกัณฑหาลพราหมณ์ ครั้นกราบทูลพระราชา
แล้วจงกล่าวคาถาที่ 3 ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ คนทั้งหลายให้ทาน
อันล่วงล้ำทาน ฆ่าแล้วซึ่งบุคคลอันไม่พึงฆ่า ชื่อว่า
ทำบุญแล้ว ย่อมไปสู่สุคติด้วยประการฉะนี้.

ความแห่งคำในคาถานั้นมีดังนี้ว่า ดูก่อนมหาราช ชื่อว่า บุคคลผู้
ไปสวรรค์ ย่อมให้ทานล่วงล้ำทาน ย่อมฆ่าบุคคลอันไม่ควรฆ่า ถ้าท่านปรารถนา
จะไปสุคติไซร้ แม้ท่านก็จงทำอย่างนั้นนั่นแล.
ลำดับนั้น พระราชา จึงตรัสถามถึงอรรถแห่งปัญหากะกัณฑหาล-
พราหมณ์นั้นว่า
ก็ทานอันล่วงล้ำทานนั้นอะไร ใครเป็นบุคคลอัน
ไม่พึงฆ่าในโลกนี้ ขอท่านจงบอกข้อนั้นแก่เรา เรา
จักบูชายัญ เราจะให้ทาน.

กัณฑหาลพราหมณ์ ทูลแก้ปัญหาแก่พระราชานั้นว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ยัญพึงบูชาด้วยพระ
ราชบุตรทั้งหลาย ด้วยพระมเหสีทั้งหลาย ด้วยชาว

นิคมทั้งหลาย ด้วยโคอุสภราชทั้งหลาย ด้วยม้าอาชา-
ไนยทั้งหลาย อย่างละ 4 ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ยัญพึงบูชาด้วยหมวด 4 แห่งสัตว์ทั้งปวง.

กัณฑหาลพราหมณ์นั้น เมื่อจะถวายพยากรณ์แก่พระราชานั้น ถูก
พระราชานั้นทรงถามถึงทางไปสู่สวรรค์ แต่กลับพยากรณ์ทางไปนรก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺเตหิ ความว่า พระราชบุตรเป็นที่รัก
ทั้งหลาย พระธิดาทั้งหลายผู้เกิดแล้วแก่พระองค์ด้วย. บทว่า มเหสีหิ ได้แก่
ด้วยพระชายาทั้งหลาย. บทว่า เนคเมหิ แปลว่า ด้วยเศรษฐีทั้งหลาย.
บทว่า อุสเภหิ ความว่า อุสภราชทั้งหลายอันขาวปลอด. บทว่า อาชานีเยหิ
ความว่า ด้วยม้าอันเป็นมงคลทั้งหลาย. บทว่า จตูหิ ความว่า ข้าแต่พระ
องค์ผู้สมมติเทพ พึงบูชายัญด้วยหมู่ 4 แห่ง สัตว์ทั้งปวงอย่างนี้คือ สัตว์
เหล่านี้ และสัตว์เหล่าอื่นทั้งหมด และสัตว์ 4 เหล่ามีช้างเป็นต้น. กัณฑหาล-
พราหมณ์ ให้พระราชาทรงเข้าพระทัยว่า พระราชาทั้งหลาย ผู้ทรงบูชายัญ
เมื่อได้ตัดศีรษะ แห่งสัตว์ทั้งหลาย มีพระราชบุตรเป็นต้นเหล่านั้น ด้วยพระ
ขรรค์ ถือเอาโลหิตในลำคอด้วยถาดทองคำ ทิ้งลงไปในหลุมยัญแล้ว ย่อม
เสด็จไปสู่เทวโลกพร้อมทั้งพระสรีระกายนั่นเอง ข้าแต่มหาราช อันการให้ทาน
มีให้ของกิน และเครื่องนุ่งห่มเป็นต้น แก่สมณพราหมณ์ คนยากไร้ คนเดิน
ทางวณิพกและยาจก จะได้เป็นอติทาน ทานอันล่วงล้ำทานหามิได้เลย ส่วน
การฆ่าบุคคลที่ไม่ควรฆ่า มีบุตรและธิดาเป็นต้น แล้วกระทำยัญบูชาด้วยเลือด
ในลำคอของคนจำพวกนั้น ชื่อว่า อติทาน กัณฑหาลพราหมณ์นั้น คิดดังนี้
ว่า ถ้าเราจักจับแต่พระจันทกุมารคนเดียว คนทั้งหลายจักสำคัญถึงเหตุเพราะ
จิตมีเวร เพราะฉะนั้น เขาจึงรวมพระจันทกุมารเข้าในระหว่างมหาชน.

ฝ่ายชนชาวพระราชวังใน ได้สดับเรื่องที่พระราชาและกัณฑหาละเหล่า
นั้นกล่าวอย่างนี้ จึงตกใจกลัว ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังพร้อมเป็นเสียงเดียวกัน.
พระศาสดา เมื่อจะประกาศความข้อนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
เสียงกึกก้องน่ากลัว ได้เกิดขึ้นในพระราชวัง
เพราะได้สดับว่า พระกุมาร และพระมเหสีทั้งหลาย
จะต้องถูกฆ่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ความว่า เพราะได้ฟังว่า พระราช
กุมาร และพระมเหสีทั้งหลาย จะต้องถูกฆ่า. บทว่า เอโก ความว่า ได้มี
เสียงกึกก้องเป็นอันเดียวกัน ทั่วพระราชนิเวศน์. บทว่า เภสฺมา แปลว่า
น่ากลัว. บทว่า อจฺจุคฺคโต ความว่า ได้เกิดขึ้นอื้ออึง.
ในกาลนั้น ราชตระกูลทั้งสิ้น ได้เป็นดังป่าไม้รัง อันลมยุคันตวาต
พัดต้องหักโค่นลงแล้ว.
ฝ่ายพราหมณ์ ทูลถามพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์อาจ
เพื่อกระทำยัญบูชานี้หรือ ๆ ไม่อาจ. ราชาตรัสว่า ดูก่อนอาจารย์ ท่านกลัว
อย่างไรเราบูชายัญแล้ว จักไปสู่เทวโลก. กัณฑหาลพราหมณ์ ทูลว่า ข้าแต่พระ
มหาราชเจ้า บุรุษทั้งหลาย เกิดมาเป็นคนขลาด มีอัธยาศัยอ่อนกำลัง ไม่ชื่อว่า
เป็นผู้สามารถเพื่อจะบูชายัญได้ ขอพระองค์จงให้ประชุมสัตว์ มีลมปราณทั้ง
ปวงไว้ในที่นี้ ข้าพระองค์จักกระทำกรรมในหลุมยัญ ดังนี้แล้วจึงพาพรรคพวก
ผู้มีกำลังสามารถของตนอันพอเพียง ออกจากพระนคร ไปกระทำหลุมยัญให้
มีพื้นราบเรียบสม่ำเสมอ แล้วล้อมรั้วไว้ เพราะเหตุไร ? เพราะว่า สมณะ
หรือพราหมณ์ผู้ทรงธรรม พึงมาแล้วห้ามการกระทำยัญนั้น เพราะเหตุนั้น
พราหมณ์ในโบราณกาล จึงบัญญัติตั้งไว้ว่า หลุมยัญต้องล้อมรั้วจึงจะเป็นจารีต.

ฝ่ายพระราชา ทรงมีรับสั่งให้เรียกราชบุรุษทั้งหลายมาแล้วสั่งว่า ดู
ก่อนพ่อทั้งหลาย เราฆ่าบุตร ธิดาและภรรยาทั้งหลายของเราบูชายัญแล้ว
เราจักไปสู่เทวโลก เจ้าจงไปทูลพระราชบุตร พระราชธิดา และพระมเหสี
เหล่านั้นแล้วพามาสู่ที่นี้ทั้งสิ้น ดังนี้แล้ว เพื่อจะให้ราชบุรุษนำพระราชบุตร
ทั้งหลายมาก่อน จึงได้ตรัสว่า
พวกเจ้าจงไปทูลพระกุมารทั้งหลาย คือพระจันท-
กุมาร พระสุริยกุมาร พระภัททเสนกุมาร พระสูรกุมาร
พระรามโคตตกุมารว่า ขอท่านทั้งหลายจงอยู่เป็นหมู่
กัน เพื่อประโยชน์แก่ยัญ อันจะพึงบูชา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จนฺทญฺจ สุริยญฺจ ความว่า พระ-
จันทกุมารและพระสุริยกุมารทั้ง 2 เป็นพระราชบุตรของพระนางโคตมีเทวี
พระอัครมเหสี พระภัททเสนกุมาร พระสูรกุมาร พระรามโคตตกุมาร เป็น
พระภาดาต่างมารดาของพระจันทกุมารแลพระสุริยกุมารเหล่านั้น. บทว่า ปสุ
กิร โหถ
ความว่า ขอท่านจงอยู่เป็นเป็นหมู่เป็นกองในที่เดียวกัน อธิบายว่า
จงอย่ากระจัดกระจายกัน.
ราชบุรุษเหล่านั้นไปยังสำนักพระจันทกุมารก่อนแล้วทูลว่า ดูก่อนพ่อ
กุมาร ดังได้สดับมาว่าพระราชบิดาของพระองค์ ทรงพระประสงค์จะฆ่าพระ-
องค์แล้ว เสด็จไปสู่เทวโลก ทรงสั่งพวกข้าพระองค์มาเพื่อคุมพระองค์ไป.
พระจันทกุมารตรัสว่า พระราชานั้นใช้ให้ท่านมาจับเราตามคำของ
ใคร ? ราชบุรุษทูลว่า ตามคำของกัณฑหาลพราหมณ์ พระเจ้าข้า.
จันทกุมาร ตรัสถามว่า อย่างไรพระองค์ทรงใช้ให้ท่านมาจับเรา
คนเดียว หรือว่าให้จับคนอื่นด้วย.

ราชบุรุษทูลว่า พระองค์โปรดให้จับผู้อื่นด้วย ได้ยินว่า พระองค์ทรง
ใคร่จะบูชาด้วยหมวด 4 แห่งสัตว์ทั้งปวง พระจันทกุมารคิดว่า กัณฑหาล
พราหมณ์นี้มิได้จองเวรกัปด้วยผู้อื่น แต่เมื่อไม่ได้กระทำการปล้นทางวินิจฉัย
อรรถคดี ก็จะฆ่าคนเสียเป็นอันมาก เพราะจิตคิดจองเวรในเราแต่ผู้เดียว เมื่อ
เราได้ช่องเฝ้าพระราชบิดา ความพ้นภัยของคนทั้งหมดนี้ จักเป็นภาระของเรา
เป็นแน่. ลำดับนั้น พระจันทกุมารจึงตรัสแก่ราชบุรุษว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจง
ทำตามพระราชบัญชาของพระบิดาเถิด. ราชบุรุษเหล่านั้นนำพระจันทกุมารมา
ให้ประทับที่พระลานหลวง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งนำพระราชกุมารอื่นอีก 3
พระองค์มาประทับใกล้ๆ กันแล้ว ก็ทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่พระสมมติเทพ
ข้าพระองค์ได้นำพระราชโอรสทั้งหลายของพระองค์มาแล้ว. พระราชานั้น ได้
ทรงสดับคำของราชบุรุษเหล่านั้นแล้วตรัสว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย บัดนี้เจ้าจงไป
นำพระราชธิดาทั้งหลายของเรามาแล้ว จึงให้ประทับในที่ใกล้แห่งพระภาดาของ
เธอ. เพื่อจะให้เขานำพระราชธิดาทั้ง 4 มา จึงตรัสพระคาถานอกนี้ว่า
เจ้าทั้งหลายจงไปทูลพระกุมารทั้งหลาย คือพระ
อุปเสนากุมาร พระโกกิลากุมารี พระมุทิตากุมารี
และพระนันทากุมารีว่า ขอท่านหลายจงอยู่เป็นหมู่กัน
เพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญ.

ราชบุรุษเหล่านั้นไปสู่สำนักพระราชธิดาทั้งหลายด้วยคิดว่า เราจัก
กระทำด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้แล้วนำพระธิดาเหล่านั้น ผู้กำลังทรงกรร-
แสงคร่ำครวญให้มาประทับในที่ใกล้พระภาดา. จากนั้นพระราชา เมื่อจะให้
ราชบุรุษไปคุมพระมเหสีทั้งหลายของพระองค์มา จึงตรัสพระคาถานอกนี้ว่า
อนึ่ง เจ้าทั้งหลายจงไปทูลพระนางวิชยา พระ-
นางเอราวดี พระนางเกศินีและพระนางสุนันทา ผู้เป็น

มเหสีของเรา ผู้สมบูรณ์ด้วยพระลักษณะอันประเสริฐ
ว่า ขอท่านทั้งหลายจงอยู่เป็นหมู่กัน เพื่อประโยชน์
แก่การบูชายัญ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลกฺณวรูปปนฺนา ความว่า ท่านทั้งหลาย
จงทูลพระมเหสีแม้เหล่านี้ ผู้เลอโฉม ผู้สมบูรณ์ด้วยลักษณะแห่งสัตว์อันอุดม
64 ประการ
ราชบุรุษเหล่านั้น ก็นำพระนางทั้ง 4 อันกำลังปริเทวนาการคร่ำ
ครวญอยู่แม้เหล่านั้นมา ให้ประทับอยู่ในที่ใกล้พระกุมาร. ลำดับนั้นพระราชา
เมื่อจะทรงให้ราชบุรุษนำเศรษฐีทั้ง 4 มา ตรัสพระคาถานอกนี้ว่า
เจ้าทั้งหลายจงไปบอกคฤหบดีทั้งหลายคือ ปุณณ-
มุขคฤหบดี ภัททิยคฤหบดี สิงคาลคฤหบดี และ
วัฑฒคฤหบดีว่า ขอท่านทั้งหลายจงอยู่เป็นหมู่กัน เพื่อ
ประโยชน์แก่การบูชายัญ.
ราชบุรุษทั้งหลายก็ไปนำคฤหบดีเหล่านั้นมา เมื่อพระราชาให้จับกุม
พระกุมาร และพระมเหสีทั้งหลาย ทั่วพระนคร ไม่มีใคร ๆ ได้กล่าวคำ
อะไรเลย แต่ตระกูลแห่งเศรษฐีทั้งหลาย ย่อมมีเครือญาติเกี่ยวพันกันเป็น
อันมาก เพราะฉะนั้นในกาลที่เศรษฐีเหล่านั้นถูกจับกุม มหาชนจึงพากันกำเริบ
ขึ้นทั่วพระนคร. คนเหล่านั้นพูดกันว่า เราจักไม่ยอมให้พระราชาฆ่าเศรษฐีบูชา
ยัญ ดังนี้แล้วก็พากัน แวดล้อมเศรษฐีไว้. ลำดับนั้น เศรษฐีเหล่านั้น มี
หมู่ญาติห้อมล้อมอยู่รอบด้าน ถวายบังคมพระราชาแล้ว ก็ขอประทานชีวิต
ของตน.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้นจึงตรัสว่า
คฤหบดีเหล่านั้น เกลื่อนกล่นไปด้วยบุตรและ-
ภรรยา มาพร้อมกัน ณ ที่นั้น ได้กราบทูลพระราชา

ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์ทรงกระทำข้าพระองค์
ทุกคนให้เป็นคนมีแหยม หรือขอจงทรงประกาศ
ข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็นข้าทาสเถิด พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺเพ สิขิโน ความว่า ขอพระองค์
จงทรงกระทำให้ข้าพระองค์ทุกคนมุ่นจุกผมบนกระหม่อม จงกระทำให้พวกข้า
พระองค์เป็นคนรับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์จักกระทำหน้าที่เป็นคนรับใช้ของ
พระองค์. บทว่า อถ วา โน ทาเส สาเวหิ ความว่า เมื่อไม่ไว้พระทัย
เชื่อข้าพระองค์ ก็จงให้ประชุมกองทัพทั้งหมด แล้วจงประกาศในท่ามกลาง
กองทัพเหล่านั้น ให้พวกข้าพระองค์เป็นทาส ข้าพระองค์ทั้งหลายก็จักกระทำ
วัตรของทาสแด่พระองค์.
คฤหบดีเหล่านั้น แม้ทูลอ้อนวอนขอชีวิตอยู่อย่างนี้ ก็หาอาจได้ไม่.
ราชบุรุษทั้งหลายให้คฤหบดีทั้งหมดนั้นถอยกลับไปแล้ว ก็คุมเอาพวกเขาไป
ให้นั่งในที่ใกล้พระราชกุมารนั่นแล.
ภายหลังพระราชา เมื่อจะทรงสั่งราชบุรุษเพื่อให้นำสัตว์ทั้งหลายมีช้าง
เป็นต้นจึงตรัสว่า
เจ้าทั้งหลายจงรีบนำช้างของเรา คือช้างอภยังกร
ช้างนาฬาคิรี ข้างอัจจุคคตะ ช้างวรุณทันตะ ช้างเหล่า
นี้จักเป็นไป เพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญ เจ้าทั้งหลาย
จงรีบไปนำมาซึ่งม้าอัสดรของเรา คือม้าเกศี ม้าสุรามุข
ม้าปุณณมุข ม้าวินัตกะ ม้าเหล่านั้น จกเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์แก่การบูชายัญเจ้าทั้งหลายจงรีบไปนำมาซึ่ง
โคอุสุภราชของเรา คือโคยูถปติ โคอโนชะ โคนิสภะ

โคควัมปติ จงต้อนโคเหล่านั้นทั้งหมด เข้าเป็นหมู่
กัน เราจักบูชายัญ จักให้ทาน อนึ่ง จงตระเตรียม
ทุกสิ่งให้พร้อม วันพรุ่งนี้ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เรา
จักบูชายัญ เจ้าทั้งหลายจงนำเอาพวกกุมารมา จง
รื่นรมย์ตลอดราตรีนี้ เจ้าจงตั้งไว้แม้ทุกสิ่ง วันพรุ่งนี้
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เราจะบูชายัญ เจ้าทั้งหลาย จง
ไปทูลพระกุมาร ณ บัดนี้วันนี้เป็นคือสุดท้าย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมุหํ กโรนฺตุ สพฺพํ ความว่า จง
กระทำให้เป็นหมวดละสิ่ง ๆ ไม่ใช่แต่สัตว์ทั้งหมดมีประมาณเท่านี้ แม้สัตว์ทั้ง
ปวงที่เหลือจากนี้ จำพวกสัตว์ 4 เท้าก็ดี จำพวกนกก็ดี ก็จงกระทำให้เป็น
หมวดละ 4 แล้วรวมไว้เป็นกอง เราจักบูชายัญอันประกอบด้วยหมวด 4 แห่ง
สัตว์ทุกชนิด เราจักให้ทานแก่ยาจกทั้งหลาย และสมณพราหมณ์ทั้งหลาย.
บทว่า สพฺพํปิ ปฏิยาเทถ ความว่า จงจัดตั้งสิ่งที่เหลือที่เรากล่าว
แล้วนั้น. บทว่า อุคฺคตมฺหิ ความว่า ส่วนเราจักบูชายัญในวันพรุ่งนี้ แต่
เช้าตรู่ ในเมื่อพระอาทิตย์อุทัย. บทว่า สพฺพํปิ อุปฏฺฐเปถ ความว่า
จงจัดตั้งเครื่องอุปกรณ์แก่ยัญแม้ที่เหลือทั้งหมด.
ส่วนพระราชมารดาและพระราชบิดาของพระราชานั้น ยังมีพระชนม์อยู่
ทั้งสองพระองค์. ลำดับนั้น พวกอำมาตย์จึงไปทูลพระราชมารดาว่า ข้าแต่
พระแม่เจ้า พระลูกเจ้าของพระองค์ทรงใคร่จะฆ่าพระราชบุตร และพระชายา
แล้วบูชายัญ. พระราชมารดาตรัสว่า พ่อเอ๋ย นี่เจ้าพูดอะไรอย่างนี้ แล้วก็
ข้อนพระทรวงเข้าด้วยพระหัตถ์ กรรแสงคร่ำครวญเสด็จมา ตรัสถามว่า
ดูก่อนลูก ได้ยินว่าพ่อจะกระทำยัญบูชาเห็นปานนี้จริงหรือ ?

พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
พระราชมารดาเสด็จมาแต่พระตำหนัก ทรง
กรรแสงพลางตรัสถามพระเอกราชนั้นว่า พระลูกรัก
ได้ยินว่า พ่อจักบูชายัญด้วยพระราชบุตรทั้ง 4 หรือ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ตํ ได้แก่ ซึ่งพระเจ้าเอกราชนั้น.
บทว่า สวิมานโต ได้แก่ จากพระตำหนักของพระองค์.
พระราชากราบทูลว่า
เมื่อต้องฆ่าจันทกุมาร บุตรแม้ทุกคน หม่อม
ฉันก็สละ หม่อมฉันบูชายัญ ด้วยบุตรทั้งหลาย แล้ว
จักไปสู่สุคติสวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตฺตา ความว่า เมื่อต้องฆ่าจันทกุมาร
นั่นแล บุตรแม้ทั้งหมดหม่อมฉันก็สละ เพื่อบูชายัญ.
ลำดับนั้น พระราชมารดาตรัสกะพระราชานั้นว่า
ลูกเอ๋ย พ่ออย่าเชื่อคำนั้น ข่าวที่ว่า สุคติจะมี
เพราะเอาบุตรบูชายัญ ทางนั้นเป็นทางไปนรก ไม่ใช่
ทางไปสวรรค์ ดูก่อนลูกโกณฑัญญะ พ่อจงให้ทาน
อย่าได้เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวงเลย นี่เป็นทางไปสู่สุคติ
ทางไปสู่สุคติ ไม่ใช่เพราะเอาบุตรบูชายัญ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิรยาเนโส ความว่า นั่นเป็นทางแห่ง
อบาย 4 ที่ชื่อว่า นรก เพราะไม่มีความแช่มชื่น. พระราชมารดา เรียกพระ
ราชาด้วยพระโคตรว่า โกณฑัญญะ. บทว่า ภูตภพฺยานํ ความว่า แก่สัตว์
ทั้งหลายที่เกิดมาแล้ว และแก่สัตว์ที่จะพึงเกิด. บทว่า ยญฺเญน ความว่า ชื่อว่า
ทางไปสวรรค์ ย่อมไม่มีด้วยการฆ่าบุตรและธิดาบูชายัญเห็นปานนี้.

พระราชาทูลว่า
คำของอาจารย์ทั้งหลายมีอยู่ หม่อมฉัน จักฆ่า
จันทกุมาร และสุริยกุมาร หม่อมฉันบูชายัญด้วยบุตร
ทั้งหลาย อันสละได้ยากแล้ว จักไปสู่สุคติสวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาจริยานํ วจนํ ความว่า ข้าแต่พระ
แม่เจ้า มตินี้จะเป็นของข้าพระองค์ก็หามิได้ คำกล่าวนี้ คำสั่งสอนนี้ เป็นของ
กัณฑหาลาจารย์ ผู้ยังข้าพระองค์ให้ศึกษาซึ่งความพระพฤติชอบ เพราะฉะนั้น
ข้าพระองค์จักฆ่าบุตรทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อบูชายัญแล้วด้วยบุตรอันสละได้ยาก
ข้าพระองค์จักไปสู่สวรรค์.
ลำดับนั้น พระราชมารดา เมื่อมิอาจจะยังพระราชาให้เชื่อถือพระ
วาจาของพระองค์ได้ ก็เสด็จหลีกไป พระราชบิดา ได้ทรงสดับข่าวนั้นแล้ว
ก็เสด็จมาทรงได้ถามพระเจ้าเอกราชนั้น
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
แม้พระเจ้าวสวัตดีพระราชบิดาได้ตรัสถามพระ-
ราชโอรสของพระองค์นั้นว่า ดูก่อนลูกรัก ทราบว่าพ่อ
จักบูชายัญด้วยโอรสทั้ง 4 หรือ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วสวตฺติ นี้เป็นชื่อของพระราชานั้น.
พระราชาทูลว่า
เมื่อต้องฆ่าจันทกุมาร บุตรแม้ทุกคน หม่อมฉันก็
สละ หม่อมฉันบูชายัญ ด้วยบุตรทั้งหลายแล้ว จักไป
สู่สุคติสวรรค์.

ลำดับนั้น พระราชบิดาตรัสว่า

ลูกเอ๋ย พ่อจงอย่าเชื่อคำนั้น ข่าวที่ว่าสุคติ จะ
มีเพราะฆ่าบุตรแล้วบูชายัญ ทางนั้นเป็นทางไปสู่นรก
หาใช่หนทางไปสู่สวรรค์ไม่ ดูก่อนโกณฑัญญะ พ่อจง
ให้ทาน ไม่เบียดเบียนซึ่งสัตว์ทั้งวง อันเกิดมาแล้ว
และจะพึงเกิด นี้เป็นทางไปสู่สุคติ มิใช่ทางที่ไปด้วย
การฆ่าบุตรบูชายัญ.
พระราชาตรัสว่า
คำของอาจารย์ทั้งหลายมีอยู่ หม่อมฉันจักฆ่า
จันทกุมาร และสุริยกุมาร หม่อมฉันบูชายัญด้วยบุตร
ทั้งหลายอันสละได้ยากแล้ว จักไปสู่สุคติสวรรค์.
ลำดับนั้น พระราชบิดาจึงตรัสกะพระราชาว่า
ดูก่อนโกณฑัญญะ พ่อจงให้ทาน อย่าได้เบียด
เบียนสัตว์ทั้งปวงเลย พ่อจงเป็นอันพระราชบุตรห้อม
ล้อมรักษากาสิกรัฐ. และชนบทเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺตปริวุโต แปลว่า อันบุตรทั้งหลาย
ห้อมล้อมแล้ว. บทว่า รฏฺฐํ ชนปทญฺจ ความว่า ท่านสามารถจะรักษา
กาสิกรัฐทั้งสิ้น และชนบท อันเป็นส่วนนั้น ๆ ของกาสิกรัฐนั้นนั่นแล.
ครั้งนั้นพระราชบิดาก็หาอาจกระทำ ให้พระเจ้าเอกราช ทรงเชื่อถือ
พระราชดำรัสของพระองค์ไม่ ลำดับนั้น พระจันทกุมารทรงพระดำริว่า
อาศัยเราผู้เดียว ทุกข์เกิดขึ้นแล้วแก่คนมีประมาณเท่านี้ เราจะทูลวิงวอนพระ
ราชบิดาของเรา แล้วปล่อยชนมีประมาณเท่านี้เสียให้พ้นจากทุกข์ คือความ
ตาย พระองค์เมื่อจะทรงเจรจากับด้วยพระราชบิดาตรัสว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์อย่าได้ฆ่า
ข้าพระองค์ทั้งหลายเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์
ทั้งหลาย ให้เป็นทาสของกัณฑหาลปุโรหิตเถิด พระ
เจ้าข้า ถึงแม้ข้าพระองค์ทั้งหลาย จะถูกจองจำด้วย
โซ่ใหญ่ ก็จะเลี้ยงช้างและม้าให้เขา ขอเดชะ อย่า
ได้ทรงฆ่าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย โปรดพระราช
ทานข้าพระองค์ทั้งหลาย ให้เป็นทาสของกัณฑหาล-
ปุโรหิตเถิดพระเจ้าข้า ถึงแม่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะ
ก็จองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะขนมูลม้าให้เขา ขอเดชะ
อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสีย โปรดพระราช
ทานข้าพระองค์ทั้งหลาย ให้เป็นทาสของกัณฑหาล-
ปุโรหิต ตามที่พระองค์มีพระประสงค์เถิดพระเจ้าข้า
ถึงแม้ข้าพระองค์ทั้งหลาย จะถูกขับไล่จากแว่นแคว้น
ก็จักเที่ยวภิกขาจารเลี้ยงชีวิต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิคฬพนฺธกาปิ ความว่า ถึงแม้
ข้าพระองค์ทั้งหลาย จะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่. บทว่า ยสฺส โหนฺติ ตว กามา
ความว่า แม้ถ้าท่านปรารถนาจะให้แก่กัณฑหาลปุโรหิต ท่านจงกระทำพวก
ข้าพระองค์ให้เป็นทาสแล้วให้กัณฑหาลปุโรหิตเถิด แล้วกล่าวว่า พวกเราจัก
กระทำกรรมคือ ความเป็นทาสแก่กัณฑหาลปุโรหิต ด้วยบทว่า อปิ รฏฺฐา นี้
ท่านบ่นพร่ำว่า ถ้าพวกข้ามีโทษอะไร ๆ ท่านจงขับพวกข้าพระองค์เสียจาก
แว่นแคว้น อนึ่ง พวกข้าพระองค์ถูกขับไล่จากพระนครแล้ว จักถือกระเบื้อง
เที่ยวขอทาน เหมือนคนกำพร้า ขอเดชะ ขอพระองค์อย่าได้ฆ่าข้าพระองค์
เลย จงให้ชีวิตแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด.

พระราชาได้ทรงฟังคำพร่ำกล่าวมีประการต่าง ๆ นั้น ของพระราช
กุมารแล้ว ถึงซึ่งความทุกข์ ประหนึ่งว่าพระอุระจะแตก มีพระเนตรนองด้วย
พระอัสสุชล ประกาศว่า ใครๆ ย่อมไม่ได้เพื่อฆ่าลูกเรา ความตองการด้วย
เทวโลกไม่มีแก่เราแล้ว เพื่อจะปล่อยคนทั้งปวงนั้น จึงตรัสคาถาว่า
เจ้าพร่ำเพ้ออยู่เพราะรักชีวิต ย่อมให้ทุกข์แก่เรา
นักแล พวกท่านจงปล่อยพระกุมารทั้งหลาย ไป ณ
บัดนี้ เราขอพอกันทีด้วยการเอาบุตรบูชายัญ.

ราชบุรุษทั้งหลายเหล่านั้น ครั้นได้ฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว ก็
ปล่อยสัตว์ที่รวมไว้เป็นหมู่ ๆ นั้นทั้งสิ้น ตั้งต้นแต่พระราชบุตรทั้งหลาย
ตลอดไปถึงหมู่หกเป็นที่สุด.
ฝ่ายกัณฑหาลพราหมณ์กำลังจัดแต่งกรรมอยู่ในหลุมยัญ ลำดับนั้น
บุรุษคนหนึ่งกล่าวกะกัณฑหาละนั้นว่า เฮ้ย กัณฑหาละ คนชั่วร้าย พระราชบุตร
และราชธิดาทั้งหลายนั้น พระราชาทรงปล่อยไปแล้ว เจ้าต้องฆ่าลูกเมียของ
ตนเอง เอาเลือดในลำคอของคนเหล่านั้นบูชายัญ กัณฑหาลพราหมณ์นั้นคิดว่า
นี่พระราชาทรงกระทำอย่างไรหนอ ลุกขึ้นแล่นมาด้วยกำลังเร็ว ประหนึ่งว่า
ถูกไฟประลัยกัลป์เผาอยู่ฉะนั้น จึงกล่าวคาถาว่า
ข้าพระองค์ทูลไว้แล้วในกาลก่อนเทียวว่า การ
บูชายัญนี้ทำได้ยาก ให้เกิดความยินดีได้แสนยาก บัด
นี้ พระองค์ทรงกระทำยัญ ที่ข้าพระองค์ตระเตรียม
ไว้แล้ว ให้กระจัดกระจาย เพราะเหตุไร ชนเหล่าใด
บูชายัญเองก็ดี และชนเหล่าใดให้ผู้อื่น บูชายัญก็ดี
อนึ่งชนเหล่าใดอนุโมทนามหายัญเช่นนี้ ของบุคคล
ผู้บูชาอยู่ก็ดี ชนเหล่านั้นทั้งหลาย ย่อมไปสู่สุคติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ เมสิ วุตฺโต ความว่า ข้าพระองค์
ได้ทูลไว้แล้วในกาลก่อนเทียวมิใช่หรือว่า คนมีชาติขลาดกลัวเช่นพระองค์ ไม่
สามารถจะบูชายัญ ขึ้นชื่อว่า บูชายัญนี้ทำได้ยาก ให้ความยินดีได้ยากิ เมื่อเป็น
เช่นนี้ ท่านชื่อว่ากระทำความซัดส่ายแห่งยัญ ซึ่งถูกทอดทิ้งในบัดนี้ของเรา.
บาลีว่า วิขมฺภํ ดังนี้ ก็มี อธิบายว่า ปฏิเสธ. เขาแสดงว่า ดูก่อนมหาราช
เพราะเหตุไรพระองค์จึงทรงกระทำอย่างนี้ ก็ชนประมาณเท่าใด บูชายัญด้วย
ตนเองก็ดี ให้บุคคลอื่นบูชาก็ดี อนุโมทนาที่ผู้อื่นบูชาแล้วก็ดี ทั้งหมดนั้นย่อม
ไปสู่สุคติอย่างเดียว.
พระราชาผู้บอดเขลา ทรงถือเอาคำของกัณฑหาลพราหมณ์ ผู้เป็น
ไปในอำนาจแห่งความโกรธ ผู้สำคัญว่าเป็นการชอบธรรม ก็ทรงให้ราชบุรุษ
ไปจับกุมพระราชกุมารทั้งหลายกลับมาอีก.
เพราะเหตุนั้น พระจันทกุมาร เมื่อจะยังพระราชบิดาให้ทรงทราบ
จึงทูลว่า
ขอเดชะ เหตุไรในกาลก่อน พระองค์จึงรับสั่ง
ให้พราหมณ์กล่าวคำเป็นสวัสดีแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
มาบัดนี้จะรับสั่งให้ฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเพื่อต้องการ
บูชายัญ โดยหาเหตุมิได้เลย ข้าแต่พระบิดา เมื่อก่อน
ในเวลาที่ข้าพระองค์ยังเป็นเด็ก พระองค์มิได้ทรงฆ่า
และมิได้ทรงสั่งให้ฆ่า บัดนี้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ถึง
ความเจริญวัยเป็นหนุ่มแน่นแล้ว มิได้คิดประทุษร้าย
พระองค์เลย เพราะเหตุไร จึงรับสั่งให้ฆ่าเสีย ข้า
แต่พระมหาราชา ขอพระองค์จงทอดพระเนตรข้า
พระองค์ทั้งหลาย ผู้ขึ้นคอช้าง ขี่หลังม้า ผูกสอด

เครื่องรบในเวลาที่รบมาแล้วหรือเมื่อกำลังรบ ก็บุตร
ทั้งหลายเช่นดังข้าพระองค์ทั้งหลาย ย่อมไม่ควรจะฆ่า
เพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญเลย ข้าแต่พระราชบิดา
เมื่อเมืองชายแดนหรือเมื่อพวกโจรในดงกำเริบ เขา
ใช้คนเช่นดังข้าพระองค์ทั้งหลาย แต่ข้าพระองค์ทั้ง
หลายจะถูกฆ่าให้ตายโดยมิใช่เหตุ ในมิใช่ที่ ขอเดชะ
แม่นกเหล่าไร ๆ เมื่อทำรังแล้วย่อมอยู่ ลูกทั้งหลายเป็น
ที่รักของแม่นกเหล่านั้น ส่วนพระองค์ได้ตรัสสั่งให้ฆ่า
ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะเหตุไร ขอเดชะ อย่าได้
ทรงเชื่อกัณฑหาลปุโรหิต กัณฑหาลปุโรหิตไม่พึงฆ่า
พระองค์ เพราะว่าเขาฆ่าข้าพระองค์แล้ว ก็จะพึงฆ่า
แม้พระองค์ในลำดับต่อไป ข้าแต่พระมหาราวชา พระ-
ราชาทั้งหลายย่อมพระราชทานบ้านอันประเสริฐ นิคม
อันประเสริฐ แม้โภคะ แก่พราหมณ์นั้น อนึ่ง พวก
พราหมณ์ แม้โภคะ แก่พราหมณ์นั้น อนึ่ง พวก
ตระกูลยังปรารถนาจะประทุษร้ายต่อผู้ให้ข้าวน้ำเช่น
นั้นอีก เพราะพวกพราหมณ์เหล่านั้นโดยมากเป็นคน
อกตัญญู ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลาย
เสียเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลาย ให้
เป็นทาสของกัณฑหาลปุโรหิตเถิดพระเจ้าข้า ถึงแม้ว่า
ข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะเลี้ยง
ช้างและม้าให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์

ทั้งหลายเสียเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลาย
ให้เป็นทาสของกัณฑหาลปุโรหิตเถิดพระเจ้าข้า ถึงแม้
ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะ
ขนมูลช้างให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์
ทั้งหลายเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลาย
ให้เป็นทาสของกัณฑหาลปุโรหิตเถิดพระเจ้าข้า ถึง
แม้ว่าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็
จะขนมูลม้าให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์
ทั้งหลายเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลาย
ให้เป็นทาสของกัณฑหาลปุโรหิตตามที่พระองค์มีพระ-
ราชประสงค์เถิดพระเจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้าพระองค์
ทั้งหลายจะถูกขับไล่จากแว่นแคว้น ก็จักเที่ยวภิกขาจาร
เลี้ยงชีวิต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ ความว่า ข้าแต่พระบิดา ถ้า
ข้าพระองค์เป็นบุตรอันพระองค์พึงฆ่าไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้เพราะเหตุไรเล่า ใน
กาลก่อนคือในกาลที่ข้าพระองค์เกิดแล้ว ชนผู้เป็นญาติของข้าพระองค์ทั้งหลาย
จึงได้ให้พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวคำเป็นสวัสดีมงคล ได้สดับมาว่า ในกาลนั้น
กัณฑหาลพราหมณ์เองด้วย ตรวจตราลักษณะทั้งหลายของข้าพระองค์แล้วได้
ทำนายว่า ภัยอันมาในระหว่างใด ๆ จักไม่มีแก่พระราชกุมารองค์นี้ ในกาล
เป็นที่สุดของพระองค์ พระราชกุมารองค์นี้จักยังรัฐให้เป็นไป คำหลังของ
กัณฑหาลพราหมณ์ฟังไม่สมกับคำต้นดังนี้ พราหมณ์คนนี้ย่อมเป็นคนกล่าว
เท็จ แต่บัดนี้พระองค์ทรงถือเอาคำของกัณฑหาลพราหมณ์ จักฆ่าข้าพระองค์

ทั้งหลายเพื่อบูชายัญ โดยหาเหตุอันควรมิได้เลย ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ขอพระองค์อย่าฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมนรชน ขอ
พระองค์จงกำหนดให้จงดีว่า กัณฑหาลพราหมณ์คนนี้แล เป็นผู้ปรารถนาจะ
ฆ่าชนหมู่ใหญ่ เพราะความเป็นเวรในข้าพระองค์คนเดียว. บทว่า ปุพฺเพว โน
ความว่า ข้าแต่พระมหาราชา ถ้าแม้พระองค์ทรงใคร่จะฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลาย
เพราะเหตุไร ในกาลก่อน คือในกาลที่ข้าพระองค์ทั้งหลายยังเยาว์วัย พระ-
องค์จึงมิได้ฆ่าเองหรือให้ผู้อื่นฆ่าซึ่งข้าพระองค์ทั้งหลาย แต่มาบัดนี้ ข้าพระองค์
ทั้งหลายรุ่นขึ้นเป็นหนุ่มตั้งอยู่ในปฐมวัย เจริญพร้อมด้วยบุตรและธิดาทั้งหลาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพระองค์เกิดมามิได้คิดปองร้ายต่อพระองค์เลย พระองค์จัก
ฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะเหตุไรเล่า. บทว่า ปสฺส โน ความว่า ขอ
พระองค์จงพิจารณาดูซึ่งข้าพระองค์ผู้พี่น้องชายทั้ง 4 คน. บทว่า ยุชฺฌมาเน
ความว่า ในการทำศัตรูทั้งหลายล้อมพระนครแล้วตั้งอยู่ ขอพระองค์จงทอด
พระเนตรดูซึ่งพระราชบุตรทั้งหลายเช่นข้าพระองค์ รบอยู่ด้วยข้าศึกเหล่านั้น
ก็พระราชาทั้งหลายอันไร้พระราชบุตร ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีที่พึ่ง. บทว่า
มาทิสา ความว่า พระราชบุตรทั้งหลายอันกล้าหาญ มีกำลัง จึงไม่เป็น
บุคคลที่ควรฆ่าเพื่อบูชายัญ. บทว่า นิโยชนฺติ ความว่า ท่านย่อมใช้เพื่อ
ประโยชน์อันจับกุมปัจจามิตรทั้งหลาย. บทว่า อถ โน แก้เป็น อถ อมฺเห
บทว่า อกรณสฺมา ความว่า เพราะเหตุอันไม่สมควร. บทว่า อภูมิยํ ความว่า
ในโอกาสอันไม่สมควรเลย. อธิบายว่า เพราะเหตุไร พ่อ พวกเราจึงถูกฆ่า. บทว่า
มา ตสฺส สทฺทเหสิ ความว่า ดูก่อนมหาราช กัณฑหาลพราหมณ์มิได้ฆ่า
เรา ท่านอย่าเชื่อกัณฑหาลพราหมณ์แม้นั้น. บทว่า โภคํ ปิสฺส ความว่า
พระราชาทั้งหลายไม่ให้แม้โภคะแก่พราหมณ์นั้น. บทว่า อถคฺคปิณฺฑิกาป
ความว่า ก็พราหมณ์เหล่านั้น เมื่อได้ซึ่งน้ำอันลิศ ก้อนข้าวอันเลิศ จึงชื่อ

ว่า ได้ก้อนข้าวอันเลิศ. บทว่า เตสํปิ ความว่า พวกเขาบริโภคในตระกูล
ของคนเหล่าใด พวกเขาอยากจะทำร้าย แม้คนผู้ให้ซึ่งก้อนข้าวเห็นปานนี้แม้
เหล่านั้น.
พระราชาครั้นทรงสดับคำพร่ำกล่าวของกุมารนั้น จึงตรัสว่า
เจ้าทั้งหลายพร่ำเพ้ออยู่เพราะรักชีวิต ย่อมก่อ
ทุกข์ให้เกิดแก่เรานักแล จงปล่อยกุมารทั้งหลายไป
ณ บัดนี้ เราขอเลิกเอาบุตรบูชายัญ.

พระราชาครั้นทรงกล่าวคาถานี้แล้ว ก็โปรดให้ปล่อยกุมารทั้งหลาย
แม้อีก
กัณฑหาลพราหมณ์มาแล้ว กล่าวอีกว่า
ข้าพระองค์ได้ทูลไว้แล้วก่อนเทียว การบูชายัญ
นี้ ทำได้ยาก ให้ยินดีได้แสนยาก บัดนี้ พระองค์ทรง
กระทำยัญที่ข้าพระองค์เตรียมไว้แล้วให้กระจัดกระจาย
เพราะเหตุไร ชนเหล่าใดบูชายัญเองก็ดี และชนเหล่า
ใดให้ผู้อื่นบูชายัญก็ดี อนึ่ง ชนเหล่าใดอนุโมทนา
มหายัญเช่นนี้ ของบุคคลผู้บูชาอยู่ก็ดี ชนเหล่านั้น
ย่อมไปสู่สุคติ.

ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ให้จับพระราชกุมารเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระกุมารเพื่อต้องการจะกล่าวไปตามกระแสความของกัณฑหาล
พราหมณ์จึงทูลว่า
ข้าแต่พระราชา ถ้าชนทั้งหลายบูชายัญด้วยบุตร
ทั้งหลาย จุติจากโลกนี้ไปสู่เทวโลก ดังที่เล่ากันมา
ไซร้ พราหมณ์จงบูชายัญก่อน พระองค์จักทรงบูชา

ในภายหลัง ถ้าชนทั้งหลายด้วยบุตรทั้งหลาย
จุติจากโลกนี้แล้วย่อมไปสู่เทวโลก ดังที่เล่ากันมา
ไซร้ กัณฑหาลพราหมณ์ผู้นี้แล จงบูชายัญด้วยบุตร
ทั้งหลายของตน ถ้ากัณฑหาลพราหมณ์รู้อยู่อย่างนี้
เหตุไรจึงไม่ฆ่าบุตรทั้งหลาย ไม่ฆ่าคนที่เป็นญาติทุก
คนและตนเองเล่า ชนเหล่าใดบูชายัญเองก็ดี และชน
เหล่าใดให้ผู้อื่นบูชายัญก็ดี อนึ่ง ชนเหล่าใดอนุโมทนา
มหายัญเช่นนี้ ของบุคคลผู้บูชาอยู่ก็ดี ชนเหล่านั้น
ย่อมไปสู่นรกทั้งหมด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺราหฺมโณ ตาว ความว่า จงบูชา
กัณฑหาลพราหมณ์ก่อน. บทว่า สเกหิ ความว่า แปลว่า จงบูชาด้วยบุตร
ทั้งหลายของตน. ลำดับนั้น พระจันทกุมาร เมื่อจะแสดงจึงได้ทูลอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เมื่อกัณฑหาลพราหมณ์นั้นบูชายัญอย่างนี้แล้วไปสู่
เทวโลก พระองค์จึงจักทรงบูชายัญภายหลัง แม้โภชนะมีรสอร่อย พระ-
องค์จะเสวย ต่อเมื่อคนอื่นได้ลองชิมแล้ว ก็นี่ความตายของบุตรทีเดียว
เหตุไร พระองค์จึงไม่โปรดให้คนอื่นทดลองก่อนแล้วจึงทรงกระทำ. บทว่า
เอวํ ชานํ ความว่า เมื่อรู้อย่างนี้ว่า คนทั้งหลายฆ่าบุตรและธิดาแล้วไปสู่
เทวโลก เพราะเหตุไร กัณฑหาลพราหมณ์จึงไม่ฆ่าบุตรทั้งหลายและพวกญาติ
ของตนและตนเองเล่า ถ้าบุคคลใดรู้คุณแห่งการบูชายัญอย่างนี้ว่า ถ้าฆ่าผู้อื่น
แล้วย่อมไปสู่เทวโลก ถ้าฆ่าตนเองแล้วจะได้ไปถึงพรหมโลกดังนี้ไซร้ ก็ไม่พึง
ฆ่าคนอื่น พึงฆ่าตนเองนั้นแล แต่กัณฑหาลพราหมณ์คนนี้ ไม่กระทำอย่างนั้น
กลับจะยังพระองค์ให้ฆ่าข้าพระองค์ ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรง

ทราบซึ่งความกระทำของกัณฑหาลพราหมณ์ แม้ด้วยเหตุนี้ว่า เมื่อไม่ได้เพื่อจะ
กระทำการปล้นลูกความในการวินิจฉัยเขาจึงกระทำดังนี้. บทว่า เอทิสํ ได้แก่
ยัญที่ฆ่าบุตรเห็นปานนี้.
พระราชกุมาร เมื่อทูลความมีประมาณเท่านี้ ก็ไม่อาจจะกระทำให้
พระราชบิดาทรงถือเอาถ้อยคำของพระองค์ จึงทรงปรารภราชบริษัทที่ห้อม
ล้อมพระราชาอยู่นั้น ตรัสว่า
ได้ยินว่า พ่อเจ้าเรือนและแม่เจ้าเรือนทั้งหลายผู้
รักบุตร ซึ่งมีอยู่ในพระนครนี้ ไฉนจึงไม่ทูลพระราชา
อย่าให้ทรงฆ่าพระราชบุตรอันเกิดแต่พระอุระ ได้ยิน
ว่าพ่อเจ้าเรือนและแม่เจ้าเรือนทั้งหลายผู้รักบุตร ซึ่ง
มีอยู่ในพระนครนี้ ไฉนจึงไม่ทูลทัดทานพระราชา
อย่าให้ทรงฆ่าพระราชบุตรอันเกิดแต่พระองค์ เรา
ปรารถนาประโยชน์แก่พระราชาด้วย ทำประโยชน์
แก่ชาวชนบททั้งปวงด้วย ใคร ๆ จะมีความแค้นเคือง
กับเรา ไม่พึงมี ชาวชนบทไม่ช่วยกราบทูลให้ทรง
ทราบเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า ปุตฺตกามาโย ท่านกล่าวหมายเอา
แม่เจ้าเรือนเท่านั้น. อนึ่ง พ่อเจ้าเรือนก็ชื่อว่า เป็นผู้ปรารถนาบุตร. บทว่า
อุปวทนฺติ ความว่า ไม่เข้าไปกล่าวโทษ คือไม่ว่ากล่าว. บทว่า อตฺรชํ
แปลว่า เกิดด้วยตน. แม้เมื่อท่านกล่าวอย่างนี้ ใคร ๆ ชื่อว่าเป็นผู้สามารถเพื่อจะ
ทูลกับพระราชา ไม่ได้มีเลย. บทว่า น โกจิ อสฺส ปฏิฆํ มยา ความ
ว่า ใคร ๆ แม้เพียงคนเดียว ชื่อว่า กระทำความแค้นเคืองกับเราว่า พระ-
ราชกุมารองค์นี้รับสินบนของเรา หรือว่าก่อทุกข์ชื่อนี้ให้แก่เรา เพราะความ

เมาด้วยความเป็นใหญ่ ดังนี้มิได้มีเลย. บทว่า ชนปโท น ปเวเทติ
ความว่า ชาวชนบท ไม่ช่วยกันประกาศ คือกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ
ว่า เราเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ของพระราชาและของชาวชนบท ด้วยประการ
ฉะนี้ ทำไมชาวชนบทนี้จึงไม่กราบทูลพระราชบิดาของเราว่า พระราชบุตร
ของพระองค์เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรม.
แม้เมื่อพระจันทกุมารตรัสอย่างนี้แล้ว ใคร ๆ มิได้พูดอะไรเลย.
เพราะเหตุนั้น พระกุมารเมื่อจะส่งพระชายาของพระองค์ 700 นาง ให้ไปเพื่อ
วิงวอนจึงตรัสว่า
ดูก่อนแม่เจ้าเรือนทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย
จงไปกราบทูลพระราชบิดา และวิงวอนกัณฑหาล
พราหมณ์ว่า ขอจงอย่าฆ่าพระราชกุมารทั้งหลาย ผู้ไม่คิด
ประทุษร้าย ผู้องอาจดังราชสีห์ ดูก่อนแม่เจ้าเรือนทั้ง
หลาย ขอท่านทั้งหลายจงไปกราบทูลพระราชบิดา
และวิงวอนกัณฑหาลพราหมณ์ว่า ขอจงอย่าฆ่าพระ-
ราชกุมารทั้งหลาย ผู้เป็นที่เพ่งที่หวังของโลกทั้งปวง.

แม่เจ้าเรือนเหล่านั้น ไปกราบทูลวิงวอนแล้ว. พระราชาไม่ทอดพระ-
เนตรดูเลย เพราะฉะนั้น พระราชกุมารไร้ที่พึ่งแล้ว จึงพร่ำเพ้อกล่าวคาถาว่า
ไฉนหนอ เราพึงเกิดในตระกูลนายช่างรถ ใน
ตระกูลปุกกุสะ หรือพึงเกิดในหมู่พ่อค้า พระราชาก็
ไม่พึงรับสั่งให้ฆ่าในการบูชายัญวันนี้.

ครั้นกล่าวดังนี้ พระกุมารเมื่อจะส่งพระชายาทั้งหลายไปอีกครั้งหนึ่ง
จึงตรัสว่า

เจ้าผู้มีความคิดแม้ทั้งปวง จงไปหมอบลงแทบ
เท้าของผู้เป็นเจ้ากัณฑหาละ เรียนว่า เรามิได้เห็นโทษ
เลย ดูก่อนแม่เจ้าเรือนแม้ทั้งปวง เจ้าจงไปหมอบลง
แทบเท้าของผู้เป็นเจ้ากัณฑหาละ เรียนว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ถ้าเราทั้งหลายได้ประทุษร้ายอะไรในท่าน ขอ
ท่านจงอดโทษเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปราธาหํ น ปสฺสามิ ความว่า
ข้าแต่อาจารย์กัณฑหาละ ข้าพเจ้าไม่เห็นความผิดของตน. บทว่า กินฺเต
ภนฺเต
ความว่า ข้าแต่ผู้เป็นเจ้ากัณฑทหาละ พวกเราไม่เห็นความผิดอะไร
ของท่าน ก็ถ้าจันทกุมารมีโทษไซร้ ขอท่านจงกล่าวกะจันทกุมารนั้นว่า ขอท่าน
จงอดโทษเถิด.
ลำดับนั้น พระกนิษฐภคินีของพระจันทกุมารทรงนามว่า เสลากุมารี
เมื่อไม่อาจอดกลั้นความโศกเศร้า ก็กราบลงแทบบาทมูลของพระราชบิดาแล้ว
คร่ำครวญ.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความข้อนั้นจึงตรัสว่า
พระเสลาราชกุมารีผู้ควรการุญ ทรงเห็นพระ-
ภาดาทั้งหลาย อันเขานำมาเพื่อบูชายัญ ทรงคร่ำครวญ
ว่า ดังได้สดับมา พระราชธิดาของเรา ทรงปรารถนา
สวรรค์ รับสั่งให้ตั้งยัญขึ้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปนีตตฺเต แปลว่า มีสภาวะอันเขานำ
มาเพื่อบูชายัญ. บทว่า อุกฺขิปิโต ความว่า พระราชบิดารับสั่งให้ยกขึ้นตั้งไว้
คือให้เป็นไปอยู่. ด้วยบทว่า สคฺคถาเมน นี้ พระเสลาคร่ำครวญอยู่ว่า

พระราชบิดาฆ่าพี่ชายทั้งหลายของเราปรารถนาสวรรค์. พระองค์จักฆ่าพี่ชาย
เหล่านี้แล้วไปสวรรค์หรือ ?
พระราชา ไม่ทรงยึดถือถ้อยคำแม้ของนาง. ลำดับนั้น โอรสของ
พระจันทกุมาร ทรงนามว่า วสุละ ครั้นเห็นพระบิดาได้รับทุกข์ คิดว่า เรา
จักเข้าไปทูลวิงวอนพระอัยกา ให้ประทานชีวิตแก่บิดาของเรา ดังนี้แล้ว
หมอบลงแทบบาทมูลแห่งพระราชาแล้วคร่ำครวญ.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้นจึงตรัสว่า
พระวสุลราชนัดดา กลิ้งไปกลิ้งมาเบื้องพระ-
พักตร์พระราชากราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระบาทยัง
เป็นเด็กไม่ถึงความเป็นหนุ่ม ขอพระองค์ได้ทรงโปรด
อย่าได้ฆ่าพระบิดาของข้าพระองค์เลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทหรมฺหา อโยพฺพนปฺปตฺตา ความ
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พวกข้าพระองค์ยังเป็นเด็กอ่อน ยังไม่ถึงความ
เป็นหนุ่มก่อน ขอพระองค์อย่าได้ฆ่าพระบิดาของพวกข้าพระองค์ ด้วยความ
เอ็นดูแม้ในพวกข้าพระองค์ก่อนเถิด.
พระราชาทรงสดับเสียงคร่ำครวญของพระวสุละมีพระอุระประดุจจะแตก
ทำลายแล้ว สวมกอดพระราชนัดดา มีพระเนตรเต็มไปด้วยพระอัสสุชล ตรัส
ว่า หลานรัก เจ้าจงได้คืนลมหายใจเถิด ปู่จะปล่อยพ่อเจ้า แล้วก็ทรงกล่าว
พระคาถาว่า
ดูก่อนวสุละ พ่อเจ้าอยู่นี่ เจ้าจงไปพร้อมกับบิดา
เจ้าพร่ำเพ้ออยู่ในพระราชวัง ย่อมให้เกิดทุกข์แก่ปู่นัก
จงปล่อยพระราชกุมารทั้งหลาย ณ บัดนี้ เราขอเลิก
การเอาบุตรบูชายัญ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺเต ปรสฺมึ ได้แก่ ในภายใน
พระราชวัง.
กัณฑหาลพราหมณ์มากล่าวอีกว่า
ข้าพระองค์ได้ทูลไว้แล้วในกาลก่อนเทียว การ
บูชายัญนี้ทำได้ยาก ให้ยินดีได้แสนยาก บัดนี้พระองค์
ทรงกระทำยัญ ที่ข้าพระองค์ตระเตรียมไว้แล้วให้
กระจัดกระจาย เพราะเหตุไร ชนเหล่าใดบูชายัญเอง
ก็ดี และชนเหล่าใดให้ผู้อื่นบูชายัญก็ดี อนึ่ง ชนเหล่า
ใดอนุโมทนามหายัญเช่นนี้ของบุคคลผู้บูชาอยู่ก็ดี ชน
เหล่านั้นทั้งหมดย่อมไปสู่สุคติ.

ฝ่ายพระราชา ผู้มืดเขลา ก็ให้ราชบุรุษไปจับกุมพระราชบุตรทั้งหลาย
มาอีกครั้งหนึ่ง ตามคำของกัณฑหาลพราหมณ์. เพราะเหตุนั้นกัณฑหาล-
พราหมณ์ จึงคิดว่า พระราชาพระองค์นี้ใจอ่อน ประเดี๋ยวให้ปล่อย ประเดี๋ยว
ก็ให้จับพระราชบุตรทั้งหลาย พระองค์จะปล่อยพระราชบุตรทั้งหลายตามคำของ
ทารกทั้งหลายอีก อย่ากระนั้นเลยเราจะพาพระองค์ไปสู่หลุมยัญเสียเลย. ลำดับ
นั้นจึงกล่าวคาถา เพื่อจะให้พระองค์เสด็จไปในที่นั้นว่า
ข้าแต่สมเด็จพระเอกราช ข้าพระองค์ตระเตรียม
ยัญแล้วด้วยแก้วทุกอย่าง ตกแต่งไว้แล้วเพื่อพระองค์
ขอเดชะ เชิญเสด็จออกเถิด พระองค์ทรงบูชายัญแล้ว
เสด็จสู่สวรรค์ จักทรงบันเทิงพระหฤทัย.

ความแห่งคำเป็นคาถานั้นว่า ข้าแต่มหาราช ยัญข้าพระองค์ตระเตรียม
แล้วด้วยแก้วทุกประการเพื่อพระองค์ บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะเสด็จ

ไป เพราะฉะนั้นจักเสด็จออกไปบูชายัญแล้วไปสู่สวรรค์ทรงบันเทิงพระหฤทัย.
ครั้นในเวลาที่เขาพาพระโพธิสัตว์ไปยังหลุมเป็นที่บูชายัญ นางห้ามทั้งหลาย
ของพระโพธิสัตว์นั้น. ก็ได้ออก (จากที่นี้) โดยพร้อมกัน.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
หญิงสาว 700 นาง ผู้เป็นชายาของพระจันท-
กุมาร ต่างสยายผมแล้วร้องไห้ ดำเนินไปตามทาง
ส่วนพวกหญิงอื่น ๆ ออกไปแล้วด้วยความเศร้าโศก
เหมือนเทวดาในนันทวัน ต่างก็สยายผมร้องไห้ไปตาม
ทาง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นนฺทเน วิย เทวา ความว่า เหมือน
เทวดาทั้งหลาย ห้อมล้อมเทพบุตร ผู้มีอันจุติเป็นธรรมดาในนันทวัน.
พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้น
กาสีอันขาวสะอาด ประดับด้วยกุณฑลไล้ทาด้วย
กฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ ถูกราชบุรุษนำไป เพื่อ
บูชายัญของสมเด็จพระเอกราช พระจันทกุมารและ
พระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสีอันสะอาดประดุจ
กุณฑล ไล้ทาด้วยกฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ ถูกราช
บุตรนำไป ทำความเศร้าพระหฤทัยให้แก่พระชนนี
พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสี
อันขาวสะอาด ประดับกุณฑล ไล้ทาด้วยกฤษณา และ
จุรณแก่นจันทน์ ถูกราชบุรุษนำไป ทำความเศร้าใจให้
แก่ประชุมชน พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร

เสวยกระยาหารอันปรุงด้วยรสเนื้อ ช่างสนานสระสรง
พระกายให้ดีแล้ว ประดับกุณฑล ทำความเศร้าพระ-
หฤทัยให้แก่พระชนกชนนี พระจันทกุมารและพระ-
สุริยกุมาร เสวยพระกระยาหารอันปรุงด้วยรสเนื้อ ช่าง
สนานสระสรงพระกายดีแล้ว ประดับกุณฑล ไล้ทา
ด้วยกฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ ถูกราชบุรุษนำไป ทำ
ความเศร้าใจให้แก่ประชุมชน. ในกาลก่อน พวกพล
ช้างย่อมตามเสด็จพระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร ผู้
เสด็จขึ้นสู่คอช้างเชือกประเสริฐวันนี้ พระจันทกุมาร
และพระสุริยกุมารทั้ง 2 พระองค์เสด็จดำเนินด้วย
พระบาทเปล่า ในกาลก่อน พวกพลม้า ย่อมตามเสด็จ
พระจันทกุมาร และพระสุริยกุมาร ผู้เสด็จขึ้นหลังม้า
ตัวประเสริฐ วันนี้ พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร
ทั้ง 2 พระองค์เสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า ในกาล
ก่อน พวกพลรถย่อมเสด็จตามพระจันทกุมารและพระ-
สุริยกุมารผู้เสด็จขึ้นทรงรถอันประเสริฐ วันนี้ พระ
จันทกุมารและพระสุริยกุมาร ทั้ง 2 พระองค์เสด็จดำ-
เนินด้วยพระบาทเปล่า ในกาลก่อน พระจันทกุมารและ
พระสุริยกุมาร ราชบุรุษนำเสด็จออกด้วยม้าทั้งหลาย
อันตบแต่งด้วยเครื่องทอง วันนี้ทั้งสองพระองค์ต้อง
เสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาสิกสุจิวตฺถธรา ความว่า พระจันท-
กุมารและพระสุริยกุมารทรงผ้าแคว้นกาสีอันขาวสะอาด. บทว่า จนฺทสุริยา
ได้แก่ พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร. บทว่า นหาปกสุนหาตา ชื่อว่า
สนานสระสรงพระกายดี เพราะไล้ทาด้วยจุรณจันทน์ แล้วกระทำการประพรม
ด้วยเครื่องสนานทั้งหลาย. บทว่า เย อสฺสุ ในบท ยสฺสุ นี้เป็นเพียง
นิบาต. อธิบายว่า ซึ่งกุมารเหล่าใด. บทว่า ปุพฺเพ แปลว่า ในกาลก่อน
แต่นี้. บทว่า หตฺถิวรธุรคเต ได้แก่ ผู้เสด็จขึ้นสู่คอช้างเชือกประเสริฐ คือ
ผู้เสด็จขึ้นสู่คอช้างเชือกประเสริฐอันเขาประดับตกแต่งแล้ว. บทว่า อสสวร-
ธุรคเต
แปลว่า ผู้ขึ้นสู่หลังม้าตัวประเสริฐ. บทว่า รถวรธุรคเต แปลว่า
ผู้เสด็จทรงท่ามกลางรถอันประเสริฐ. บทว่า นียึสุ แปลว่า ออกไปแล้ว.
เมื่อหญิงเหล่านั้น ปริเทวนาการอยู่อย่างนี้นั่นแล ราชบุรุษนำพระ-
โพธิสัตว์ออกจากพระนคร ในกาลนั้น ทั่วพระนครก็กำเริบขึ้น. ชาวนคร
ปรารภจะออก. เมื่อมหาชนกำลังออกไป ประตูทั้งหลายไม่เพียงพอ. พราหมณ์
เห็นคนมากเกินไป จึงคิดว่า ใครจะรู้ว่าเหตุอะไรจักเกิดขึ้น ก็สั่งให้ปิดประตู
พระนครเสีย มหาชนเมื่อจะออกไปไม่ได้ ก็พากันร้องอื้ออึ้งอยู่ใกล้ ๆ สวน
แห่งหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ริมประตูภายในพระนคร ฝูงนกทั้งหลายพากันตกใจกลัว
ด้วยเสียงอื้ออึงนั้นก็บินขึ้นสู่อากาศ. มหาชนเรียกนกนั้น ๆ แล้วพร่ำเพ้อกล่าว
ว่า
นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบนไปทาง
ทิศบูรพาแห่งปุปผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราชผู้
หลงใหลจะทรงบูชายัญด้วยราชโอรส 4 พระองค์.
นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทาง
ทิศบูรพาแห่งปุปผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราช
ผู้หลงใหลจะทรงบูชายัญด้วยพระราชธิดา 4 พระองค์.

นกเอ๋ยถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทาง
ทิศบูรพาแห่งปุปผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราช
ผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญด้วยพระมเหสี 4 พระองค์.
นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทาง
ทิศบูรพาแห่งปุปผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราช.
ผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญด้วยคฤหบดี 4 คน.
นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทาง
ทิศบูรพาแห่งปุปผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราช
ผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญด้วยช้าง 4 เชือก.
นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทาง
ทิศบูรพาแห่งปุปผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราช
ผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญด้วยม้า 4 ตัว
นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทาง
ทิศบูรพาแห่งปุปผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราช
ผู้หลงใหลจะทรงบูชายัญด้วยโคอุสุภราช 4 ตัว
นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทาง
ทิศบูรพาแห่งปุปผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราช
ผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญด้วยสัตว์ทั้งปวงอย่างละ 4.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มํสมิจฺฉสิ ความว่า นกผู้เจริญเอ๋ย
ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ. บทว่า อุยฺยสฺสุ ปุพฺเพน ปุปฺผวติยา ความว่า
เจ้าจงบินไปในที่ ๆ มีการปิดกั้นเพื่อบูชายัญ ทางทิศบูรพาแห่งปุปผวดีนคร.
บทว่า ยชเตตฺถ ความว่า ในที่นั้น พระเจ้าเอกราชผู้หลงใหล พระองค์
ทรงเชื่อถ้อยคำของกัณฑหาลพราหมณ์ บูชายัญด้วยพระราชโอรส 4 พระองค์
แม้ในคาถาที่เหลือพึงทราบโดยนัยนี้เหมือนกัน.

มหาชนพากันคร่ำครวญในที่นั้นด้วยอาการอย่างนี้ จึงไปยังสถานที่อยู่
ของพระโพธิสัตว์ เมื่อกระทำประทักษิณปราสาท แลเห็นพระตำหนักเรือน
ยอดในภายในพระนคร และสถานที่ต่าง ๆ มีพระอุทยานเป็นต้น จึงกล่าว
คร่ำครวญอยู่ด้วยคาถาว่า
นี้ปราสาทของท่านล้วนด้วยทองคำภายในพระ-
ราชวัง น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง 4
พระองค์ ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า
นี้เรือนยอดของท่านล้วนแล้วด้วยทองคำ เกลื่อน
กล่นด้วยพวงมาลัย บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง 4 พระองค์
ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า
นี้พระอุทยานของท่าน มีดอกไม้บานสะพรั่ง
ตลอดกาลทั้งปวง น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง 4
พระองค์ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า
นี้ป่าอโศกของท่าน มีดอกบานสะพรั่งตลอดกาล
ทั้งปวง น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง 4 พระองค์
ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า
นี้ป่ากรรณิการ์ของท่าน มีดอกบานสะพรั่ง
ตลอดกาลทั้งปวง น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง 4
พระองค์ ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า
นี้ป่าแคฝอยของท่าน มีดอกบานสะพรั่งตลอด
กาลทั้งปวง น่ารื่นรมย์ใ จ บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง 4
พระองค์ ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า
นี้สวนมะม่วงของท่าน มีดอกบานสะพรั่งตลอด
กาลทั้งปวง น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง 4

พระองค์ ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า
นี้สระโบกขรณีของท่าน ดารดาษไปด้วยดอก-
บัวหลวงและบัวขาบ มีเรือทองอันงดงามวิจิตด้วยลาย
เครือวัลย์ เป็นที่รื่นรมย์ดี บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง 4 พระ-
องค์ถูกนำไปเพื่อจะฆ่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตทานิ ความว่า บัดนี้ พระลูกเจ้า
ทั้ง 4 ของเรา มีพระจันทกุมารเป็นหัวหน้า ละทิ้งปราสาทเห็นปานนี้ ถูกนำ
ไปเพื่อจะฆ่า. บทว่า โสวณฺณวิกตา แปลว่า ขจิตด้วยทองคำ.
คนทั้งหลายพร่ำเพ้อในที่มีประมาณเท่านี้ จึงพากันไปสู่โรงช้างเป็นต้น
อีกแล้วกล่าวว่า
นี้ช้างแก้วของท่าน ชื่อเอราวัณ เป็นช้างมีกำลัง
บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง 4 นั้น ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า
นี้ม้าแก้วของท่าน เป็นม้ามีกีบไม่แตก เป็นม้า
วิ่งได้เร็ว บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง 4 นั้น ถูกเขานำไป
เพื่อจะฆ่า
นี้รถม้าของท่าน มีเสียงไพเราะเหมือนเสียงนก
สาลิกา เป็นรถงดงามวิจิตรด้วยแก้ว พระลูกเจ้าเสด็จ
ไปในรถนี้ ย่อมงดงามดังเทพเจ้าในนันทวัน บัดนี้
พระลูกเจ้าทั้ง 4 นั้น ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า
อย่างไรพระราชาผู้หลงใหล จึงจักทรงบูชายัญ
ด้วยพระราชโอรส 4 พระองค์ ผู้งามเสมอทอง มี
พระวรกายไล้ทาด้วยจุรณจันทน์
อย่างไรพระราชาผู้หลงใหล จึงจักทรงบูชายัญ
ด้วยพระราชธิดา 4 พระองค์ ผู้งามเสมอด้วยทอง มี
พระวรกายไล้ทาด้วยจุรณจันทน์

อย่างไรพระราชาผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญ
ด้วยพระมเหสี 4 พระองค์ ผู้งามเสมอด้วยทอง มีพระ
วรกายไล้ทาด้วยจุรณจันทน์.
อย่างไรพระราชาผู้หลงใหล จึงจักบูชายัญด้วย
คฤหบดี 4 คน ผู้งดงามเสมอด้วยทอง มีร่างกายไล้
ทาด้วยจุรณจันทน์ คามนิคมทั้งหลายจะว่างเปล่า ไม่
มีมนุษย์ กลายเป็นป่าใหญ่ไป ฉันใด เมื่อพระราชา
รับสั่งให้เอาพระจันทกุมารและสุริยกุมารบูชายัญ พระ-
นครปุปผวดีก็จักร้างว่างเปล่า ไม่มีมนุษย์ กลายเป็น
ป่าใหญ่ไป ฉันนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอราวโณ นี้ เป็นชื่อของช้างนั้น.
บทว่า เอกขุโร ได้แก่ มีกีบไม่แตก. บทว่า สาลิยา วิย นิคฺโฆโส ความ
ว่า ในเวลาไป ประกอบด้วยเสียงกังวาลไพเราะ ดุจกังวานแห่งนกสาลิกา
ทั้งหลาย. บทว่า กถนฺนาม สามสมสุนฺทเรหิ ความว่า มีผิวเหลืองดัง
ทองคำ เสมอซึ่งกันและกันโดยกำเนิด ชื่อว่า งามเพราะปราศจากโทษ. บทว่า
จนฺทนมรุกตจฺเตหิ แปลว่ามีอวัยวะไล้ทาด้วยจันทน์แดง. บทว่า พฺรหา-
รญฺญา ความว่า คามและนิคมเหล่านั้นว่างไม่มีมนุษย์ กลายเป็นป่าใหญ่ฉันใด
เมื่อพระราชาทรงบูชายัญด้วยพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ แม้พระนครปุปผวดี
ก็จักร้างว่างเปล่าเป็นเสมือนป่าใหญ่ไปฉันนั้น.
คนเป็นอันมากนั้น เมื่อไม่ได้เพื่อจะออกไปภายนอก ก็พากันคร่ำ
ครวญเที่ยวไปภายในพระนครนั่นเอง. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ถูกนำไปสู่หลุมที่
บูชายัญ. ลำดับนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์ทรงนามว่า โคตมีเทวี
ซบลงแทบบาทมูลของพระราชาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอพระองค์
จงประทานชีวิตแก่บุตรทั้งหลายของข้าพระบาท ทรงกรรแสงพลางกล่าวว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระบาทจักเป็น
บ้า มีความเจริญถูกขจัดแล้ว มีสรีระเกลือกกลั้วด้วย
ธุลี ถ้าเขาฆ่าจันทกุมา ลมปราณของข้าพระบาทก็
จะแตกทำลาย ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระ-
บาทจักเป็นบ้า มีความเจริญถูกขจัดแล้ว มีสรีระ
เกลือกกลั้วด้วยธุลี ถ้าเขาฆ่าสุริยกุมาร ลมปราณของ
ข้าพระบาทก็จะแตกทำลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภูนหตา แปลว่า มีความเจริญถูกขจัด
แล้ว. บทว่า ปํสุนาว ปริกิณฺณา ความว่า ข้าพระบาท มีสรีระเหมือน
เกลือกกลั้วด้วยฝุ่น จักเป็นบ้าเที่ยวไป.
พระนางโคตมีเทวี เมื่อคร่ำครวญอยู่อย่างนี้ มิได้รับพระดำรัสอย่างไร
จากสำนักพระราชา จึงทรงกล่าวแก่พระสุณิสาทั้งหลายว่า ชรอยลูกเราโกรธ
เจ้าแล้วจึงจักไปเสียกระมัง เหตุไรเจ้าไม่ยังเขาให้กลับมา ทรงสวมกอดชายา
ทั้ง 4 ของพระกุมารเข้าแล้ว ก็ทรงกล่าวคร่ำครวญว่า
สะใภ้เราเหล่านี้ คือ นางฆัฏฏิกา นางอุปริกขี
นางโปกขรณี และนางคายิกา ล้วนกล่าววาจาเป็นที่
รักแก่กันและกัน เพราะเหตุไร จึงไม่ฟ้อนรำขับร้อง
ให้จันทกุมาร และสุริยกุมารรื่นรมย์เล่า ใครอื่นที่จะ
เสมอด้วยนางทั้ง 4 นั้นไม่มี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กินฺนุมา น รมาเปยฺยุํ ความว่า
เพราะเหตุไร สะใภ้ทั้ง 4 มีนางฆัฏฏิกาเป็นต้นนี้ จึงไม่พูดคำพึงใจแก่กัน
และกัน ฟ้อนรำขับร้อง ให้ราชโอรสทั้งสอง ของเราเพลิดเพลิน ไม่ให้เบื่อ

1. อรรถกถาว่า โคปรักขี.

หน่าย อธิบายว่า จริงอยู่ ในการฟ้อนรำหรือขับร้อง ในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้
ใครอื่นที่จะเสมอด้วยนางทั้ง 4 นี้ย่อมไม่มี.
พระนางทรงคร่ำครวญกะพระสุณิสาดังนี้แล้ว เมื่อไม่มองเห็นอุบาย
อันควรถืออย่างอื่น จึงทรงกล่าวคาถา 8 คาถา แช่งด่ากัณฑหาลพราหมณ์ว่า
ดูก่อนกัณฑหาละ ความโศกเศร้าใจใด ย่อมเกิด
มีแก่เรา ในเมื่อจันทกุมารถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า แม่
ของเจ้าจงได้ประสบความโศกเศร้าใจของเรานี้ ดูก่อน
กัณฑหาละ ความโศกเศร้าใจใดย่อมเกิดมีแก่เรา ใน
เมื่อสุริยกุมารถูกเขานำไปจะฆ่า แม่ของเจ้าจงได้
ประสบความโศกเศร้าใจของเรานี้ ดูก่อนเจ้ากัณฑ-
หาละ ความโศกเศร้าใจใดย่อมเกิดมีแก่เรา ในเมื่อ
จันทกุมารถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่าภรรยาของเจ้าจงประสบ
ความโศกเศร้าใจของเรานี้ ดูก่อนเจ้ากัณฑหาละ ความ
โศกเศร้าใจใดย่อมเกิดมีแก่เรา ในเมื่อสุริยกุมารถูก
เขานำไปเพื่อจะฆ่า ภรรยาของเจ้า จงได้ประสบความ
โศกเศร้าใจของเรานี้ ดูก่อนเจ้ากัณฑหาละ เจ้าได้ให้
ฆ่าพระกุมารทั้งหลาย ผู้ไม่คิดประทุษร้าย ผู้องอาจ
ดังราชสีห์ แม่ของเจ้าจงอยู่ได้เห็นพวกลูก ๆ และ
อย่าได้เห็นสามีเลย ดูก่อนเจ้ากัณฑหาละ เจ้าได้ให้
ฆ่าพระกุมารทั้งหลาย ผู้เป็นที่มุ่งหวังของโลกทั้งปวง
แม่ของเจ้าจงอย่าได้เห็นพวกลูก ๆ และอย่าได้เห็น
สามีเลย ดูก่อนเจ้ากัณฑหาละ เจ้าได้ให้ฆ่าพระกุมาร
ทั้งหลาย ผู้ไม่คิดประทุษร้าย ผู้องอาจดังราชสีห์

ภรรยาของเจ้าจงอย่าได้เห็นพวกลูก ๆ และอย่าได้เห็น
สามีเลย ดูก่อนเจ้ากัณฑหาละ เจ้าได้ฆ่าพระกุมาร
ทั้งหลาย ผู้เป็นที่มุ่งหวังของโลกทั้งปวง ภรรยาของ
เจ้าจงอย่าได้เห็นพวกลูก ๆ และอย่าได้เห็นสามีเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิมํ มยฺหํ ความว่า ความโศกเศร้าใจ
ของเรานี้ จัดเป็นทุกข์. บทว่า ปฏิมุญฺจตุ ความว่า จงเข้าไป คือจงถึง.
บทว่า โย ฆาเตสิ ความว่า เจ้าใดย่อมฆ่า. บทว่า อเปกฺขิเต ความว่า
เจ้าย่อมฆ่าผู้ที่ชาวโลกทั้งปวงหวังอยู่ คือปรากฏอยู่.
พระโพธิสัตว์เมื่อทูลวิงวอนที่หลุมยัญ จึงกล่าวว่า
ขอเดชะ อย่าได้ฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย
โปรดทรงพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็นทาส
ของกัณฑหาลปุโรหิตเถิดพระเจ้าข้า ถึงแม้ว่า ข้าพระ-
องค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะเลี้ยงช้างและ
ม้าให้เขา ขอเดชะ อย่าทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสีย
เลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลาย ให้เป็น
ทาสของกัณฑหาลปุโรหิตเถิดพระเจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้า-
พระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะขนมูล
ช้างให้เขา ขอเดชะ โปรดพระราชทานข้าพระองค์
ทั้งหลาย ให้เป็นทาสของกัณฑหาลปุโรหิตเถิดพระ-
เจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วย
โซ่ใหญ่ ก็จะขนมูลม้าให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรง
ฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย โปรดพระราชทาน

ข้าพระองค์ทั้งหลาย ให้เป็นทาสของกัณฑหาลปุโรหิต
ตามที่พระองค์มีพระประสงค์เถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้
ว่าข้าพระองค์ทั้งหลาย จะถูกขับไล่จากแว่นแคว้น ก็
จะเที่ยวภิกขาจารเลี้ยงชีวิต ขอเดชะ หญิงทั้งหลายผู้
ปรารถนาบุตร แม้จะเป็นคนยากจน ย่อมวอนขอบุตร
ต่อเทพเจ้า หญิงบางพวกละปฏิภาณแล้ว ไม่ได้บุตร
ก็มี หญิงเหล่านั้น ย่อมกระทำความหวังว่า ขอลูก
ทั้งหลายจงเกิดแก่เรา แต่นั้นขอหลานจงเกิดอีก ข้า
แต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์รับสั่งให้ฆ่าข้าพระ-
องค์ทั้งหลาย เพื่อต้องการทรงบูชายัญ โดยเหตุอัน
ไม่สมควร ข้าแต่สมเด็จพระบิดา คนทั้งหลายเขาได้
ลูกเพราะความวิงวอนของเทพเจ้า ขอพระองค์อย่ารับ
สั่งให้ฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเลย อย่าทรงบูชายัญนี้
ด้วยบุตรทั้งหลายที่ได้มาโดยยากเลยพระเจ้าข้า ข้าแต่
สมเด็จพระบิดา คนทั้งหลายเขาได้บุตร เพราะความ
วิงวอนเทพเจ้า ขอพระองค์อย่ารับสั่ง ให้ฆ่าข้าพระ
องค์ทั้งหลายเลยพระเจ้าข้า ขอได้ทรงพระกรุณาโปรด
อย่าได้พรากข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้เป็นบุตรที่ได้มา
ด้วยความยากจากพระมารดาเลยพระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิพฺยํ ความว่า แต่ก่อนพระองค์ผู้
สมมติเทพ นารีทั้งหลายผู้ไร้บุตรแม้เป็นผู้ยากจน เป็นผู้มีความต้องการบุตร
นำบรรณาการเป็นอันมาก ไปวอนขอเทพเจ้าว่า ขอเราจักได้ซึ่งลูกหญิง
หรือลูกชายดังนี้. บทว่า ปฏิภาณานิปิ หิตฺวา ความว่า แม้ละแล้ว

คือไม่ได้แล้วซึ่งการตั้งครรภ์ ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ข้าแต่มหาราช
ก็ครรภ์ของนารีทั้งหลาย ผู้ไม่ได้การตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้ว ย่อมซูบซีดไป ฉิบ
หายไป. ในบรรดาหญิงเหล่านั้น บางพวกเมื่อไม่ได้บุตรก็ขอ, บางนางได้แล้วละ
การตั้งครรภ์ แล้วไม่บริโภค ก็ไม่ได้ซึ่งบุตร, บางนางเมื่อไม่ได้ความตั้งครรภ์
ก็ไม่ได้ซึ่งบุตร แต่มารดาของข้าพระบาท ได้แล้วซึ่งการตั้งครรภ์และบริโภค
และมิได้ปล่อยให้ครรภ์ที่เกิดขึ้นแล้ว พินาศไปเสีย จึงได้บุตรทั้งหลาย. พระราช
กุมารทรงวิงวอนว่า ขอพระองค์อย่าได้ฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลาย อันเป็นราชบุตร
ที่ได้มาด้วยประการฉะนี้. บทว่า อสฺสาสกานิ ความว่า ข้าแต่มหาราช
สัตว์เหล่านี้ย่อมกระทำความหวังว่า อย่างไร ขอบุตรทั้งหลายจงเกิดแก่เรา.
บทว่า ตโต จ ปุตฺตา ความว่า ขอบุตรทั้งหลายจงเกิดแม้แก่บุตรทั้งหลาย
ของเราด้วย. บทว่า อถ โน อการณสฺมา ความว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์
ได้ชื่อว่า ฆ่าพวกข้าพระองค์ เพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญด้วยเหตุอันไม่
สมควรเลย. บทว่า อุปยาจิตเกน ได้แก่ ด้วยความวิงวอนเทพทั้งหลาย.
บทว่า กปณลทฺธเกหิ พระราชโอรสตรัสว่า ขอพระองค์จงอย่าได้กระทำ
ความพลัดพรากจากมารดาของพวกข้าพระองค์ กับพวกข้าพระองค์ ซึ่งเป็น
บุตรที่มารดาได้มาด้วยความยากเลย และจงอย่าทำความพลัดพรากข้าพระ-
องค์กับมารดาเลย.
พระจันทกุมาร แม้เมื่อทูลวิงวอนด้วยอาการอย่างนี้ ก็ไม่ตอบอะไร ๆ
จึงหมอบลงแทบบาทมูลของพระมารดา พลางปริเทวนาการกล่าวว่า
ข้าแต่พระมารดา พระมารดาย่อมย่อยยับ เพราะ
ทรงเลี้ยงลูกจันทกุมาร มาด้วยความลำบาก ลูกขอ
กราบพระบาทพระมารดา ขอพระราชบิดา จงทรง

ได้ปรโลกอันสมบูรณ์เถิด เชิญพระมารดาทรงสวม-
กอดลูก แล้วประทานพระยุคลบาทให้ลูกได้กราบไหว้
ลูกจะจากไป ณ บัดนี้ เพื่อประโยชน์แก่ยัญของพระ
ราชบิดาเอกราช เชิญพระมารดาสวมกอดลูก แล้ว
ประทานพระยุคลบาทให้ลูกกราบไหว้ ลูกจะจากไป
ณ บัดนี้ ทำความโศกเศร้าพระทัยให้พระมารดา
เชิญพระมารดาสวมกอดลูก แล้วประทานพระยุคล-
บาท ให้ลูกกราบไหว้ ลูกจะจากไป ณ บัดนี้ ทำ
ความโศกเศร้าใจให้แก่ประชุมชน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุทุกฺขโปสิยา ความว่า พระมารดา
ทรงเลี้ยงลูกมาโดยความลำบากมาก. บทว่า จนฺทํ ความว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า
พระองค์ทรงเลี้ยงซึ่งบุตรคือพระจันทกุมาร ด้วยประการฉะนี้ บัดนี้พระแม่เจ้า
ย่อมทรงชราลง. บทว่า ลภตํ ตาโต ปรโลกํ ความว่า ขอพระราชบิดา
ของข้าพระองค์ จงได้ปรโลกอันสมบูรณ์ด้วยโภคะเถิด. บทว่า อุปคุยฺห
ความว่า จงสวมกอด คือโอบกอด. บทว่า ปวาสํ ความว่า เป็นการพลัดพราก
จากไปอย่างแท้จริง โดยมิได้หวนกลับมาอีก.
ลำดับนั้น พระมารดาของจันทกุมาร เมื่อจะทรงปริเทวนาการ จึง
ตรัสคาถา 4 คาถาว่า
ดูก่อนลูกโคตมีมาเถิดเจ้าจงรัดเมาลีด้วยใบบัว จง
ประดับดอกไม้อันแซมด้วยกลีบจำปา นี่เป็นปรกติของ
เจ้ามาแต่ก่อน มาเถิด เจ้าจงไล้ทาเครื่องลูบไล้ คือ
จุรณจันทน์แดงของเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย. เจ้าลูบไล้ด้วย
จุรณจันทน์แดงนั้นดีแล้ว ย่อมงดงามในราชบริษัท มา

เถิด เจ้าจงนุ่งผ้ากาสิกพัสตร์ อันเป็นผ้าเนื้อละเอียด
เป็นครั้งสุดท้าย ครั้นนุ่งผ้ากาสิพัสตร์นั้นแล้ว ย่อม
งดงามในบริษัท เชิญเจ้าประดับหัตถาภรณ์ อันเป็น
เครื่องประดับทองคำฝังแก้วมุกดาและแก้วมณี เจ้า
ประดับด้วยหัตถาภรณ์นั้นแล้วย่อมงดงามในบริษัท.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปทุมปตฺตานํ ความว่า ซึ่งเครื่อง
ประดับอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปทุมปัตตเวฐนะผ้าโพกสำหรับรัดเมาลีทำด้วยใบบัว
พระนางโคตมี ทรงพระประสงค์เอาเครื่องประดับนั้นนั่นแล จึงตรัสอย่างนั้น
อธิบายว่า เจ้าจงรวบขึ้นซึ่งเมาลีของเจ้าอันกระจัดกระจายแล้วจงพันด้วย
ปทุมปัตตเวฐนะ. ทรงเรียกพระจันทกุมารด้วยคำว่า โคตมิปุตฺต. บทว่า
จมฺปกทลมิสฺสาโย ความว่า เจ้าจงประดับระเบียบดอกไม้นานาชนิด
อันสมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น แซมด้วยกลีบจำปาสอดสลับ ณ ภายใน. ด้วยบทว่า
เอสา เต นี้พระนางพร่ำว่า นี้เป็นปกติของเจ้ามาแต่ครั้งก่อน จงลูบไล้
เครื่องลูบไล้เครื่องจุรณจันทน์นั้นนั่นแลลูก. บทว่า เยหิ จ ความว่า เ จ้าลูบไล้
ด้วยเครื่องลูบไล้คือจันทน์แดงเหล่าใดแล้ว เจ้าจะงดงามในราชบริษัท เจ้าจงลูบ
ไล้ด้วยเครื่องลูบคือจุรณจันทน์แดงเหล่านั้นเถิด. บทว่า กาสิกํ ได้แก่ ผ้ากาสิก-
พัสตร์ อันมีค่าแสนหนึ่ง. บทว่า คณฺหสฺส ความว่า จงประดับ.
บัดนี้ พระนางจันทา ผู้เป็นอัครมเหสีของพระจันทกุมาร หมอบลง
แทบบาททูลของพระราชา พลางร่ำไรกล่าวว่า
พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองรัฐ ผู้เป็นทายาทของ
ชนบท เป็นเจ้าโลกองค์นี้ จักไม่ทรงยังความสิเนหาให้
เกิดในบุตรแน่ละหรือ.

พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ตรัสพระคาถาว่า
ลูกทั้งหลายเป็นที่รักของเรา(ตนเองก็เป็นที่รัก)
อนึ่ง แม้เจ้าทั้งหลายผู้เป็นภรรยาก็เป็นที่รักของเรา แต่
เราปรารถนาสวรรค์ เหตุนั้นจึงได้ให้ฆ่าเจ้าทั้งหลาย.
เนื้อความแห่งพระดำรัสนั้นว่า เพราะเหตุไรเราจึงไม่บังเกิดความรัก
ลูก แท้จริงบุตรทั้งหลายเป็นที่รักของเรา ไม่ใช่แต่พระโคตมีองค์เดียวเท่านั้น
แม้เราก็มีความรักบุตรทั้งหลาย ตนเองก็ดีก็เป็นที่รัก เจ้าทั้งหลายผู้เป็นสะใภ้
ก็ดี ภรรยาทั้งหลายก็ดี ก็เป็นที่รักของเราเหมือนกัน แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น เรา
ปรารถนาซึ่งสวรรค์นั้น เพราะเหตุนั้น เราจักฆ่าเจ้าทั้งหลายเหล่านี้ เจ้าอย่า
คิดไปเลย แม้เจ้าทั้งหลายของเราเหล่านั้น ก็ไปอยู่กับเราในเทวโลกทั้งสิ้น.
พระนางจันทาทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอจงทรงพระกรุณา
โปรดรับสั่งให้ฆ่าข้าพระบาทเสียก่อน ขอความทุกข์
อย่าได้ทำลายหทัยของข้าพระบาทเลย พระราชโอรส
ของพระองค์เป็นสุขุมาลชาติ ประดับแล้วงดงาม ข้าแต่
เจ้าชีวิต ขอได้โปรดฆ่าข้าพระบาทเสียก่อน ข้าพระ-
บาทจักเป็นผู้มีความโศกเศร้ากว่าจันทกุมาร ขอ
พระองค์จงทรงทำบุญให้ไพบูลย์ ข้าพระบาททั้งสอง
จะเที่ยวไปในปรโลก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฐมํ ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ขอพระองค์จงทรงฆ่าข้าพระบาทก่อนกว่าพระสวามีของข้าพระบาท. บทว่า
ทุกฺขํ ความว่า ทุกข์แต่ความตาย ของพระจันทกุมารนั้น ขออย่าได้ยังหัวใจ

1. ในอรรถกถา เพิ่มคำว่า อตฺตา จ ตนเองก็เป็นที่รัก

ของข้าพระบาทให้แตกเสียเลย. บทว่า อลงฺกโต ความว่า ประดับแล้วด้วย
อาการอย่างนี้คือพระกุมารองค์นี้องค์เดียว เขาประดับตกแต่งแล้วสำหรับข้า-
พระบาท บทนี้ย่อมแสดงว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ไม่ทรงรักใคร่ซึ่ง
พระราชบุตรองค์นี้ว่าเป็นลูกของเรา. บทว่า หนฺทยฺย ตัดบทเป็น หนฺท อยฺย.
พระนางพร่ำเพ้อพลางทูลอย่างนี้กะพระราชา. บทว่า สโสกา ความว่า เป็น
ไปกับด้วยความโศกเศร้ากับพระจันทกุมาร. บทว่า เหสฺสามิ แปลว่า จักเป็น.
บทว่า วิจราม อโภ ปรโลเก ความว่า ข้าพระองค์แลพระจันทกุมารอัน
พระองค์ให้ฆ่ารวมกัน แม้ข้าพระองค์ทั้งสองจะเสวยสุขเที่ยวไปในปรโลก
ขอพระองค์อย่าได้ทรงทำอันตรายแก่สวรรค์ของข้าพระบาททั้งสองเลย.
พระราชาตรัสว่า
ดูก่อนจันทาผู้มีตางาม เจ้าอย่าชอบใจความตาย
เลยเมื่อโคตมีบุตรผู้อันเราบูชายัญแล้ว พี่ผัวน้องผัว
ของเจ้าเป็นอันมาก จักยังเจ้าให้รื่นรมย์ยินดี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา ตฺวํ จนฺเท รุจิ ความว่า เจ้าอย่า
ชอบใจความตายของตนเลย. บาลีว่า มา รุทิ ดังนี้ก็มี ความว่า อย่าร้องไห้
ไปเลย. บทว่า เทวรา ความว่า พี่ผัวน้องผัวของเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ.
ต่อแต่นั้น พระศาสดาจึงตรัสกึ่งคาถาว่า
เมื่อพระราชาตรัสอย่างนั้นแล้ว พระนางจันทา
เทวีก็ร่ำไห้ตีพระองค์ด้วยฝ่าพระหัตถ์.

ต่อแต่นั้น พระนางก็ทรงรำพันว่า
ไม่มีประโยชน์อะไรด้วยชีวิต เราจักดื่มยาพิษ
ตายเสียในที่นี้ พระญาติและมิตรของพระราชาพระ

องค์นี้ผู้มีพระทัยดี ซึ่งจะกราบทูลทัดทานพระราชาว่า
อย่าได้รับสั่งให้ฆ่าพระราชโอรสอันเกิดแต่พระอุระเลย
ย่อมไม่มีเลย พระญาติและมิตรของพระราชาองค์นี้ผู้มี
พระทัยดี ซึ่งจะกราบทูลทัดทานพระราชาว่าอย่าได้รับ
สั่งให้ฆ่าพระราชโอรส อันเกิดแต่พระอุระพระองค์นี้
เลยย่อมไม่มีเป็นแน่ทีเดียว บุตรของข้าพระบาทเหล่านี้
ประดับพวงดอกไม้สวมกำไลทองต้นแขน ขอพระราชา
จงเอาบุตรของข้าพระบาทเหล่านั้นบูชายัญ แต่ขอพระ
ราชทานปล่อยโคตมีบุตรเถิด ข้าแต่พระมหาราชา ขอจง
ทรงตัดแบ่งข้าพระบาทให้เป็นร้อยส่วนแล้วทรงบูชายัญ
ในสถานที่ 7 แห่ง อย่าทรงฆ่าพระราชโอรสองค์ใหญ่
ผู้ไม่ผิดไม่ประทุษร้าย ผู้องอาจดังราชสีห์เลย ข้าแต่
พระมหาราชา ขอจงตัดแบ่งข้าพระบาทให้เป็นร้อย
ส่วนแล้วทรงบูชายัญในสถานที่ 7 แห่ง อย่าได้ทรงฆ่า
พระราชโอรสองค์ใหญ่เป็นที่มุ่งหวังของโลกทั้งปวงเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ ความว่า เมื่อพระเจ้าเอกราชตรัส
อย่างนั้น. ด้วยบทว่า หนฺติ พระนางทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
เหตุไรหรือพระองค์จึงตรัสเช่นนั้น แล้วทุบตีพระองค์ด้วยฝ่าพระหัตถ์. บทว่า
ปิสฺสามิ แปลว่า จักดื่ม. บทว่า อิเม เตปิ ความว่า ทรงจับมือ
เด็ดที่เหลือแม้เหล่านี้ตั้งต้นแต่วสุลกุมาร ประทับยืนอยู่ใกล้บาทมูลของพระราชา
แล้วได้กล่าวอย่างนั้น. บทว่า คุณิโน ความว่า ประกอบด้วยอาภรณ์คือ
กลุ่มดอกไม้. บทว่า กายุรธาริโน ความว่า ทรงไว้ซึ่งเครื่องประดับคือกำไล

ทอง. บทว่า วิลสตํ ความว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ฆ่าข้าพระบาท
แล้วแบ่งเป็นร้อยส่วน. บทว่า สตฺตธา ความว่า จงบูชายัญในที่ 7 แห่ง.
ดังนั้น พระนางจันทาเทวีนั้น ทรงคร่ำครวญในสำนักพระราชาด้วย
คาถาเหล่านี้แล้ว เมื่อไม่ได้มีความโล่งใจจึงเสด็จไปสำนักพระโพธิสัตว์นั่นแล
แล้วยืนร่ำไรอยู่. ลำดับนั้น พระจันทกุมารตรัสแก่พระนางจันทาว่า ดูก่อน
จันทา เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เราให้อาภรณ์แก่เจ้ามากมายมีแก้วมุกดาเป็นต้น
เมื่อเรื่องนั้นๆ เจ้าเล่า เจ้ากล่าวแล้วด้วยดี แต่วันนี้เราจะให้อาภรณ์อันประดับ
อยู่กับกายเรานี้ เป็นของเราให้อันท้ายที่สุด เจ้าจงรับอาภรณ์นี้ไว้.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้นจึงตรัสว่า
เครื่องประดับเป็นอันมากล้วนแต่ของดี ๆ คือ
มุกดา มณี แก้วไพฑูรย์เราให้แก่เจ้า เมื่อเจ้ากล่าว
คำดี นี้เป็นของที่เราให้แก่เจ้าครั้งสุดท้าย.

ฝ่ายพระนางจันทาเทวี ครั้นสดับคำพระสวามีแล้ว ก็พลางรำพัน
กล่าวด้วยคาถา 9 คาถาอื่นจากนั้นว่า
เมื่อก่อนพวงมาลาบานเคยสวมที่พระศอของพระ
กุมารเหล่าใด วันนี้ ดาบที่เขาลับคมดีแล้ว จักฟันที่
พระศอของพระกุมารเหล่านั้น เมื่อก่อนพวงมาลาอัน
วิจิตรเคยสวมที่พระศอของพระกุมารเหล่าใด วันนี้
ดาบสอันลับคมดีแล้ว จักฟันที่พระศอของพระกุมาร
เหล่านั้น ไม่ช้าแล้วหนอ ดาบจักฟันที่พระศอของพระ
ราชบุตรทั้งหลาย ก็หทัยของเราจะไม่แตก แต่จะต้อง
มีเครื่องรัดอย่างมั่นคงเหลือเกิน พระจันทกุมารและ

พระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสีอันสะอาด ประดับ
กุณฑลไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ เพื่อประโยชน์
แก่การบูชายัญของพระเจ้าเอกราช พระจันทกุมารและ
พระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสีอันขาวสะอาด ประดับ
กุณฑลไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ เพื่อประโยชน์
แก่การบูชายัญของพระเจ้าเอกราชพระจันทกุมารและ
พระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสีอันขาวสะอาดประดับ
กุณฑลไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ เสด็จออกทำ
ความเศร้าพระหฤทัยแก่พระชนนี พระจันทกุมารและ
สุริยกุมารทรงผ้าแกว้นกาสีอันขาวสะอาดประดับกุณ-
ฑลไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ เสด็จออกทำ
ความเศร้าใจให้แก่ประชุมชน พระจันทกุมารและ
พระสุริยกุมาร เสวยพระกระยาหารอันปรุงด้วยรสเนื้อ
ช่างสนานสระสรงพระกายดีแล้วประดับกุณฑล ไล้ทา
กฤษณาและจุรณแก่นจันทน์เสด็จออก เพื่อประโยชน์
แก่การบูชายัญของพระเจ้าเอกราช พระจันทกุมารและ
พระสุริยกุมาร เสวยพระกระยาหารปรุงด้วยรสเนื้อ
ช่างสนานสระสรงพระกายดีแล้ว ประดับกุณฑล ไล้
ทากฤษณาและจุรณจันทน์ เสด็จออกกระทำความเศร้า
พระทัยให้แก่พระชนนี พระจันทกุมารและพระสุริย-
กุมารเสวยพระกระยาหาร อันปรุงด้วยรสเนื้อ ช่าง
สนานสระสรงกายดีแล้ว ประดับกุณฑล ไล้ทากฤษณา
และจุรณแก่นจันทน์เสด็จออกกระทำความเศร้าใจให้แก่
ประชุมชน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผุลฺลา มาลา ได้แก่ พวงดอกไม้. บทว่า
เตสชฺช ตัดเป็น เตสํ อชฺช. บทว่า เนตฺตึโส แก้เป็น อสิ. บทว่า
วิวตฺติสฺสติ แปลว่า จักตก. บทว่า อจิรา วต แปลว่า ไม่นานหนอ.
บทว่า น ผาเลติ แปลว่า ไม่แตก. บทว่า ตาว ทฬฺหพนฺธนญฺจ เม
อาสิ ความว่า จักมีเครื่องผูกมัดอันมั่นยิ่งนัก จักผูกมัดหทัยของเรา.
เมื่อพระนางจันทา คร่ำครวญอยู่อย่างนั้น การงานทุกอย่างในหลุม
ยัญสำเร็จแล้ว. อำมาตย์ทั้งหลายนำพระราชบุตรมาแล้ว ให้ก้มพระศอลงนั่ง
อยู่. กัณฑหาลพราหมณ์น้อมถาดทองคำเข้าไปใกล้แล้วหยิบดาบมาถือยืนอยู่
ด้วยหมายใจว่า เราจักตัดพระศอพระราชกุมาร พระนางจันทาเทวีเห็นดังนั้น
คิดว่า ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี เราจักกระทำความสวัสดีของพระสวามีด้วยกำลัง
ความสัตย์ของเรา จึงประคองอัญชลีดำเนินไปในระหว่างแห่งที่ชุมนุมชนแล้ว
ทรงกระทำสัจกิริยา.
เมื่อเขาตกแต่งเครื่องบูชายัญทุกสิ่งแล้ว เมื่อพระ
จันทกุมารและพระสุริยกุมารประทับนั่ง เพื่อประโยชน์
แก่การบูชายัญ พระราชธิดาของพระเจ้าปัญจาลราช
ประนมอัญชลีเสด็จดำเนินเวียนในระหว่างบริษัททั้ง
ปวงทรงกระทำสัจกิริยาว่า กัณฑหาละผู้มีปัญญาทราม
ได้กระทำกรรมอันชั่ว ด้วยความสัจจริงอันใด ด้วย
สัจจวาจานี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมกับพระสวามี
อมนุษย์เหล่าใดมีอยู่ในที่นี้ ยักษ์ สัตว์ ที่เกิดแล้วและ
สัตว์ที่จะมาเกิดก็ดี ขอจงกระทำความขวนขวายช่วย
เหลือข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมกับพระสวามี
เทวดาทั้งหลายที่มาแล้วในที่นี้ ปวงสัตว์ที่เกิดแล้วและ

สัตว์ที่จะมาเกิด ขอจงคุ้มครองข้าพเจ้าผู้เสวงหาที่พึ่ง
ผู้ไร้ที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ขออย่าให้
พวกข้าศึกชนะพระสวามีของข้าพเจ้าเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปกฺขตสฺมึ ความว่า เมื่อเขาจัดตก
แต่งเครื่องบูชายัญพร้อมทุกสิ่ง. บทว่า สมงฺคินี ความว่า ขอข้าพเจ้า จง
เป็นผู้ประกอบพร้อม คือประกอบเป็นอันเดียวกัน ได้แก่ เป็นผู้อยู่ร่วมกัน.
บทว่า เยธตฺถิ ตัดเป็น เย อิธ อตฺถิ ชนเหล่าใดมีอยู่ในที่นี้. บทว่า
ยกฺขภูตภพฺยานิ ความว่า ยักษ์กล่าวคือเทวดา ภูตกล่าวคือสัตว์ที่เจริญแล้ว
ดำรงอยู่ และเหล่าสัตว์ที่พึงเกิดกล่าวคือสัตว์ผู้เจริญในบัดนี้. บทว่า เวยฺยาวฏิกํ
ความว่า จงกระทำขวนขวายเพื่อข้าพเจ้า. ตายถ มํ ความว่า จงรักษาข้าพเจ้า.
บทว่า ยาจามิ โว ความว่า ข้าพเจ้าขอร้องท่านทั้งหลาย. บทว่า ปติมาหํ
ตัดเป็น ปติ อหํ. บทว่า อเชยฺยํ ความว่า ขอข้าศึกอย่าพึงชนะ คือไม่
ชนะ.
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช ทรงสดับเสียงคร่ำครวญของพระนางจันทา
เทวีนั้นทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว ในขณะนั้นนั่นเอง ฉวยเอาค้อนเหล็กอันลุกโพลง
แล้วเสด็จมาขู่พระราชาแล้ว ให้ปล่อยคนเหล่านั้นทั้งหมด.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศความข้อนั้นจึงตรัสว่า
ท้าวสักกเทวราช ได้ทรงสดับเสียงคร่ำครวญ
ของพระนางจันทาเทวีนั้นแล้ว ทรงกวัดแกว่งค้อนยัง
ความกลัวให้เกิดแก่พระเจ้าเอกราชนั้นแล้ว ได้ตรัส
กะพระราชาว่า พระราชากาลี จงรู้ไว้อย่าให้เราตีเศียร
ของท่านด้วยค้อนเหล็กนี้ ท่านอย่าได้ฆ่าบุตรองค์ใหญ่

ผู้ไม่คิดประทุษร้าย ผู้องอาจดังราชสีห์ พระราชากาลี
ท่านเคยเห็นที่ไหน ? คนผู้ปรารถนาสวรรค์ ฆ่าบุตร
ภรรยา เศรษฐี และคฤหบดีผู้ไม่คิดประทุษร้าย.
กัณฑหาลปุโรหิต และพระราชาได้ฟังพระดำรัส
ของท้าวสักกะ ได้เห็นรูปอันน่าอัศจรรย์แล้ว ให้เปลื้อง
เครื่องพันธนาการของสัตว์ทั้งปวง เหมือนดังเปลื้อง
เครื่องพันธนาการของคนผู้ไม่มีความชั่ว เมื่อสัตว์ทั้ง
ปวงหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่ประชุมอยู่ ณ ที่
นั้นในกาลนั้นทุกคน เอาก้อนดินคนละก้อนทุ่มลง การ
ฆ่าซึ่งกัณฑหาลปุโรหิตได้มีแล้วด้วยประการดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมนฺสฺโส ได้แก่ ท้าวสักกเทวราช.
บทว่า พชฺฌสฺสุ แปลว่า ทรงรู้คือทรงกำหนด. บทว่า ราชกลิ ความว่า ดู
ก่อนพระราชาผู้กาลกิณี พระราชาผู้ลามก. บทว่า มา เตหํ ความว่า ดู
ก่อนพระราชาชั่ว ท่านจงรู้ อย่าให้เราดี คือประหารกระหม่อมของท่าน.
บทว่า โก เต ทิฏฺโฐ ความว่า ใครที่ไหน ที่ท่านเคยเห็น. ศัพท์ว่า หิ
ในบทว่า สคฺคกามา หิ นี้เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ผู้ใคร่ต่อสวรรค์
คือผู้ปรารถนาสวรรค์. บทว่า ตํ สุตฺวา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กัณฑหาลปุโรหิตฟังคำแห่งท้าวสักกเทวราชแล้ว. บทว่า อพฺภูตมิทํ ความว่า
อนึ่งพระราชาทรงเห็นแล้วซึ่งการแสดงรูปแห่งท้าวสักกเทวราชนี้อันน่าอัศจรรย์
ไม่เคยมีมาก่อนเลย. บทว่า ยถา ตํ ความว่า ให้ปลดเปลื้องสัตว์ทั้งปวง
เหมือนเปลื้องคนหาความชั่วมิได้ฉะนั้น. บทว่า เอเกกเลฑฺฑุมกํสุ ความว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนทั้งหลายทั้งปวงมีประมาณเท่าใด ประชุมกัน

แทบหลุมยัญนั้นกระทำเสียงเอิกเกริก ได้ให้การประหารกัณฑหาลปุโรหิตด้วย
ก้อนดินคนละก้อน. บทว่า เอส วโธ ความว่า นั่นได้เป็นกาฆ่ากัณฑหาล-
ปุโรหิต. อธิบายว่า ให้กัณฑหาลปุโรหิตถึงความสิ้นชีวิตในที่นั้นนั่นเอง.
ส่วนมหาชน ครั้นฆ่ากัณฑหาลพราหมณ์นั้นแล้ว ก็เริ่มเพื่อจะฆ่าพระ-
ราชา. พระโพธิสัตว์สวมกอดพระราชบิดาไว้แล้ว มิได้ประทานให้เขาฆ่า.
มหาชนกล่าวว่า เราจะให้แต่ชีวิตเท่านั้นแก่พระราชาชั่วนั้น แต่พวกเราจะไม่
ยอมให้ฉัตรและที่อยู่อาลัยในพระนครแก่พระราชานั่น เราจักทำพระราชาให้
เป็นคนจัณฑาลแล้วให้ไปอยู่เสียภายนอกพระนคร แล้วก็ให้นำออกเสียซึ่งเครื่อง
ทรงสำหรับพระราชา ให้ทรงผ้าย้อมด้วยน้ำฝาด ให้โพกพระเศียร ด้วยท่อน
ผ้าย้อมด้วยขมิ้น กระทำให้เป็นจัณฑาลแล้ว ส่งไปสู่ที่เป็นอยู่ของคนจัณฑาล.
ส่วนคนพวกใด บูชายัญอันประกอบด้วยการฆ่าปศุสัตว์ก็ดี ใช้ให้บูชาก็ดี
พลอยยินดีตามก็ดี ชนเหล่านั้นได้เป็นคนมีนิรยาบายเป็นที่ไปในเบื้องหน้าทั้ง
สิ้นทีเดียว.
พระศาสดาเมื่อจะประกาศความข้อนั้นจึงตรัสว่า
คนทำกรรมชั่วโดยวิธีใดแล้ว ต้องตกนรกทั้ง
หมด คนทำกรรมชั่วแล้ว ไปจากโลกนี้ไม่ได้สุคติเลย.

แม้มหาชนเหล่านั้น ครั้นนำคนกาลกิณีทั้งสองนั้นออกไปแล้ว ก็นำมา
ซึ่งเครื่องอุปกรณ์แห่งพิธีอภิเษก แล้วทรงอภิเษกพระจันทกุมารในที่นั้นนั้น
นั่นเอง.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้นจึงตรัสว่า
เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว
ผู้ที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้นในกาลนั้น คือพระราชา

ทั้งหลายประชุมนักอภิเษกจันทกุมาร เมื่อสัตว์ทั้งปวง
หลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่มาประชุมกันอยู่ ณ
ที่นั้นในกาลนั้น คือ เทวดาทั้งหลายประชุมพร้อมกัน
อภิเษกพระจันทกุมาร เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจาก
เครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้น
ในกาลนั้น คือ เทพกัญญาทั้งหลาย ประชุมพร้อมกัน
อภิเษกพระจันทกุมาร เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจาก
เครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่ประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้น ใน
กาลนั้น คือ พระราชาทั้งหลายประชุมพร้อมกัน ต่าง
แกว่งผ้าและโบกธง เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่อง
จองจำแล้ว ผู้มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้น คือ ราช
กัญญาทั้งหลาย ประชุมพร้อมกันต่างก็แกว่งผ้าและ
โบกธง เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพันจากเครื่องจองจำแล้ว
ผู้ที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้น ในกาลนั้น คือ เทพ-
บุตรทั้งหลาย ประชุมพร้อมกันต่างแกว่งผ้าและโบกธง
เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่มา
ประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้นในกาลนั้น คือ เทพกัญญา
ทั้งหลาย ประชุมพร้อมกันต่างแกว่งผ้าและโบกธง เมื่อ
สัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ชนเป็นอัน
มากต่างก็รื่นรมย์ยินดี พวกเขาได้ประกาศความยินดี
ในเวลาที่พระจันทกุมารเสด็จเข้าสู่พระนคร และได้
ประกาศความหลุดพ้นจากเครื่องจองจำของสัตว์ทั้ง

ปวง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชปริสา จ ความว่า ฝ่ายบริษัทแห่ง
พระราชาทั้งหลาย ก็ได้ถวายน้ำอภิเษกกะพระจันทกุมารนั้น ด้วยสังข์ทั้ง 3.
บทว่า ราชกญฺญาโย ความว่า แม้ขัตติยราชธิดาทั้งหลายก็ถวายน้ำอภิเษก
พระจันทกุมาร. บทว่า เทวปริสา ความว่า ท้าวสักกเทวราช ก็ถือสังข์
วิชัยยุตรถวายน้ำอภิเษกพร้อมด้วยเทพบริษัท. บทว่า เทวกญฺญาโย ความ
ว่า แม้นางสุชาดาเทพธิดา พร้อมด้วยนางเทพกัญญาทั้งหลาย ก็ถวายน้ำ
อภิเษก. บทว่า เจลุกฺเขปมกรุํ ความว่า ได้ให้ยกธงทั้งหลายพร้อมผ้าสี
ต่าง ๆ ชักขึ้นซึ่งผ้าห่มทั้งหลายทำให้เป็นแผ่นผ้าในอากาศ. บทว่า ราชปริสา
ความว่า ราชบริษัททั้งหลาย และอีก 3 เหล่า (คือราชกัญญา เทวบริษัท
เทพกัญญา) ซึ่งเป็นผู้กระทำอภิเษกพระจันทกุมาร รวมเป็นสี่หมู่ด้วยกัน ได้
กระทำการชัก โบกผ้าและธงนั่นแล. บทว่า อานนฺทิโน อหุวาทึสุ ความ
ว่า คนทั้งหลายผู้บันเทิงทั่ว บันเทิงยิ่งแล้ว. บทว่า นนฺทิปฺปเวสนครํ
ความว่า คนทั้งหลายผู้บันเทิงร่าเริงทั่วแล้ว ในกาลที่พระจันทกุมารเสด็จเข้า
สู่พระนครให้กั้นฉัตร แล้วตีกลองอานันทเถรีร้องประกาศไปทั่วพระนคร. ถาม
ว่า เพื่อประโยชน์อะไร ? แก้ว่า พระจันทกุมารของเราทั้งหลายพ้นแล้วจาก
เครื่องจองจำฉันใด คนทั้งปวงหลุดพ้นจากการจองจำฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะ
เหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า พนฺธโมกฺโข อโฆสถ ได้ประกาศการพ้นจากเครื่อง
จำดังนี้.
ลำดับนั้นแล พระโพธิสัตว์ทรงเริ่มตั้งวัตรปฏิบัติต่อพระราชบิดา.
พระราชบิดาไม่ได้เสด็จเข้าสู่พระนคร. ในกาลเมื่อเสบียงอาหารสิ้นไป พระ-
โพธิสัตว์ ก็เสด็จไปเพื่อประโยชน์แก่กิจต่าง ๆ มีการเล่นสวนเป็นต้น ก็เข้าไป
เฝ้าพระราชบิดานั้น แต่ก็มิได้ถวายบังคม. ฝ่ายพระเจ้าเอกราชกระทำอัญชลี

แล้วตรัสว่า ขอพระองค์จงทรงมีพระชนม์ยืนนาน พระเจ้าข้า. เมื่อพระ-
โพธิสัตว์ตรัสถามว่า พระบิดาต้องประสงค์ด้วยสิ่งใด พระเจ้าเอกราชจึงทูล
ความปรารถนาแล้ว. พระโพธิสัตว์ก็โปรดให้ถวายค่าจับจ่ายใช้สอยแก่พระ-
ราชบิดา. พระโพธิสัตว์นั้นครองราชสมบัติโดยเที่ยงธรรมแล้ว ในกาลเป็นที่สุด
แห่งอายุก็ได้เสด็จไปยังเทวโลก.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ประกาศ
อริยสัจแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้อย่างเดียวเท่านั้น
แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตพยายามเพื่อฆ่าคนเป็นอันมาก เพราะอาศัยเราแม้
ผู้เดียว ดังนี้แล้วจึงทรงประชุมชาดก. กัณฑหาลพราหมณ์ ในกาลนั้น ได้
เป็นพระเทวทัต พระนางโคตมีเทวี เป็นพระมหามายา พระนางจันทาเทวี
เป็นราหุลมารดา พระวสุละ เป็นพระราหุล พระเสลากุมารี เป็นอุบลวรรณา
พระสุรกุมาร เป็นพระอานนท์ พระรามโคตตะ1 เป็นกัสสปะ พระภัททเสนเป็น
โมคคัลลานะ พระสุริยกุมารเป็นพระสารีบุตร ท้าวสักกเทวราช เป็นอนุรุทธะ
บริษัทในกาลนั้นได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระจันทกุมารนั้น คือเราสัมมา-
สัมพุทธะดังนี้แล.
จบอรรถกถาจันทกุมารชาดกที่ 7

1. บาลีเป็น วามโคตตะ

8. มหานารทกัสสปชาดก


พระมหานารทกัสสปทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี


[834] พระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า อังคติ
เป็นพระราชาของชนชาววิเทหรัฐ ทรงมีพระราชยาน
พระราชทรัพย์มากมาย ทรงมีพลนิกายเหลือที่จะนับ
ก็คืนหนึ่งในวันเพ็ญกลางเดือน 12 ขณะปฐมยาม
พระองค์ประชุมเหล่าอำมาตย์ราชบัณฑิต ผู้ถึงพร้อม
ด้วยการศึกษาเล่าเรียน เฉลียวฉลาด ผู้ที่ทรงเคยรู้จัก
ทั้งอำมาตย์ผู้ใหญ่อีก 3 นาย คือ วิชยอำมาตย์ 1
สุนามอำมาตย์ 1 อลาตอำมาตย์ 1
แล้วตรัสถามตาม
ลำดับว่า ท่านทั้งหลายจงกล่าวไปตามความพอใจของ
ตน ๆ ว่า ในวันเพ็ญเดือน 12 เช่นนี้ พระจันทร์
แจ่มกระจ่าง กลางคืนวันนี้เราทั้งหลายพึงยังฤดูเช่นนี้
ให้เป็นไปด้วยความยินดีอะไร.
[835] ลำดับนั้น อลาตเสนาบดีได้กราบทูลแด่
พระราชาว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึง
จัดพลช้าง พลม้า พลเสนา จะนำชายฉกรรจ์ออกรบ
พวกใดยังไม่มาสู่อำนาจ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็จะ
นำมาสู่อำนาจ นี่เป็นความเห็นของข้าพระพุทธเจ้า
เราทั้งหลายจะได้ชัยชนะผู้ที่เรายังไม่ชนะ (ขอเดชะ