เมนู

ให้บังเกิดพร้อมด้วยบิดามารดา มิได้เสื่อมจากฌาน ในที่สุดแห่งอายุได้เข้าถึง
พรหมโลกพร้อมด้วยบิดามารดานั้นแล.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ชื่อว่าการเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นวงศ์ของบัณฑิตทั้งหลาย ตรัสฉะนี้
แล้ว ทรงประกาศอริยสัจสี่ประชุมชาดก ในเวลาเทศนาอริยสัจสี่จบลง ภิกษุ
นั้นบรรลุโสดาปัตติผล พระราชาปิลยักขราช ในกาลนั้นกลับชาติมาเป็นภิกษุ
ชื่ออานนท์ในกาลนี้ พสุนธรีเทพธิดาเป็นภิกษุณีชื่ออุบลวรรณา ท้าวสักก-
เทวราชเป็นภิกษุชื่ออนุรุทธะ. ทุกูลบัณฑิตผู้บิดาเป็นภิกษุชื่อมหากัสสปะ
นางปาริกา
ผู้มารดาเป็นภิกษุณีชื่อภัททกาปิลานี ก็สุวรรณสามบัณฑิต
คือเราผู้สัมมาสัมพุทธะนี้เองแล.
จบ สุวรรณสามชาดก

4. เนมิราชชาดก



ว่าด้วยพระเจ้าเนมิราชทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี


[525] เมื่อใดพระเจ้าเนมิราชผู้เป็นบัณฑิต
มีพระประสงค์ด้วยกุศล เป็นพระราชาผู้ปราบข้าศึก
ทรงบริจาคทานแก่ชาววิเทหะทั้งปวง เมื่อนั้นบุคคล
ฉลาดย่อมเกิดขึ้นในโลก ความเกิดขึ้นของท่าน
เหล่านั้นน่าอัศจรรย์หนอ เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรง
บำเพ็ญทานนั้นอยู่ ก็เกิดพระราชดำริขึ้นว่า ทานหรือ
พรหมจรรย์อย่างไหนมีผลานิสงส์มาก.

[526] ท้าวมฆวานเทพกุญชรสหัสสเนตร
ทรงทราบพระดำริของพระเจ้าเนมิราช ทรงกำจัด
ความมืดด้วยรัศมีปรากฏขึ้น พระเจ้าเนมิราชจอม-
มนุษย์มีพระโลมชาติชูชัน ได้ตรัสกะท้าววาสวะว่า
ท่านเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะผู้ให้
ทานในก่อน รัศมีของท่านเช่นนั้น ข้าพเจ้ายังไม่
เคยเห็นหรือได้ยินมาเลย ขอท่านจงแจ้งตัวท่านแก่
ข้าพเจ้า ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน พวกเราจะรู้จักท่าน
ได้อย่างไร ท้าววาสวะทรงทราบว่าพระเจ้าเนมิราช
มีพระโลมชาติชูชัน ได้ตรัสตอบว่า หม่อมฉันเป็น
ท้าวสักกะจอมเทพ มาสู่สำนักพระองค์ท่าน ดูก่อน
พระองค์ผู้เป็นจอมมนุษย์ พระองค์อย่าทรงสยดสยอง
เลย เชิญตรัสถามปัญหาที่ต้องพระประสงค์เถิด
พระเจ้าเนมิราชทรงได้โอกาสฉะนั้นแล้ว จึงตรัสถาม
ท้าววาสวะว่า ข้าแต่เทวราชผู้เป็นอิสระแห่งปวงภูต
หม่อมฉันขอทูลถามพระองค์ท่าน ทานหรือพรหมจรรย์
อย่างไหนมีผลานิสงส์มาก อมรินทรเทพเจ้าอันนรเทพ
เนมิราชตรัสถามดังนี้ พระองค์ทรงทราบวิบากแห่ง
พรหมจรรย์ จึงตรัสบอกแก่พระเจ้าเนมิราชผู้ยังไม่
ทรงทราบว่า บุคคลย่อมบังเกิดในขัตติยสกุลเพราะ
ประพฤติพรหมจรรย์อย่างต่ำ บุคคลได้เป็นเทพเจ้า
เพราะประพฤติพรหมจรรย์ปานกลาง บุคคลย่อมหมดจด

วิเศษเพราะประพฤติพรหมจรรย์สูงสุด หมู่พรหม
เหล่านั้นอันใคร ๆ จะพึงได้เป็น ด้วยการประพฤติ
วิงวอนก็หาไม่ ต้องเป็นผู้ไม่มีเหย้าเรือนบำเพ็ญตบ-
ธรรม จึงจะได้บังเกิดในหมู่พรหม.

[527] พระราชาเหล่านี้คือ พระเจ้าทุทีปราช
พระเจ้าสาครราช พระเจ้าเสลราช พระเจ้ามุจลินทราช
พระเจ้าภคีรสราช พระเจ้าอุสินนรราช พระเจ้า
อัตถกราช พระเจ้าอัสสกราช พระเจ้าปุถุทธนราช
และกษัตริย์เหล่าอื่น กับพราหมณ์เป็นอันมาก บูชายัญ
มากมาย ก็ไม่ล่วงพ้นความละโลกนี้ไป.

[528] ชนเหล่าใดไม่มีเพื่อนสอง อยู่คนเดียว
ย่อมไม่รื่นรมย์ ย่อมไม่ได้ปีติเกิดแต่วิเวก ชนเหล่านั้น
ถึงจะมีโภคสมบัติเสมอด้วยพระอินทร์ ก็ชื่อว่าเป็นคน
เข็ญใจ เพราะได้ความสุขที่ต้องอาศัยผู้อื่น.

[529] ฤๅษีผู้ไม่มีเหย้าเรือนเหล่านี้บำเพ็ญ
ตบธรรม ได้ก้าวล่วงกามาวจรภพแล้วโดยแท้ คือ
ฤๅษี 7 ตน อันมีนามว่า ยามหนุฤๅษี โสมยาคฤๅษี
มโนชวฤๅษี สมุททฤๅษี มาฆฤๅษี ภรตฤๅษี และ
กาลปุรักขิตฤๅษี และฤๅษีอีก 4 ตน คือ อังคีรสฤๅษี
ภีสสปฤๅษี กีสวัจฉฤๅษี และอกันติฤๅษี.

[530] แม่น้ำชื่อสีทามีอยู่ทางด้านทิศอุดร
เป็นแม่น้ำลึก ข้ามยาก กาญจนบรรพตมีสีประหนึ่ง
ไฟที่ไหม้ไม้อ้อ โชติช่วงอยู่ในกาลทุกเมื่อ ที่ฝั่งแม่น้ำ

นั้นมีต้นกฤษณางอกงาม มีภูเขาอื่นอีก มีป่างอกงาม
แต่ก่อนมามีฤๅษีเก่าแก่ประมาณหมื่นตน อาศัยอยู่ใน
ภูมิประเทศนั้น หม่อมฉันเป็นผู้ประเสริฐสุดด้วยทาน
ด้วยสัญญมะและทมะ หม่อมฉันอุปัฏฐากดาบส
เหล่านั้นผู้ปฏิบัติวัตรจริยาไม่มีวัตรอื่นยิ่งกว่า ละหมู่
คณะไปอยู่ผู้เดียว มีจิตมั่นคง หม่อมฉันจักนมัสการ
นรชนผู้ปฏิบัติตรง จะมีชาติก็ตาม ไม่มีชาติก็ตาม
เป็นนิตยกาล เพราะสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็น
เผ่าพันธุ์ วรรณะทั้งปวงที่ตั้งอยู่ในอธรรม ย่อมตกนรก
เบื้องต่ำ วรรณะทั้งปวงย่อมบริสุทธิ์ เพราะประพฤติ
ธรรมสูงสุด.

[531] องค์มฆวาสุชัมบดีเทวราชตรัสอย่างนี้
แล้ว ทรงอนุศาสน์พระเจ้าวิเทหรัฐ แล้วเสด็จหลีกไป
สู่หมู่เทพในสวรรค์.

[532] ดูก่อนผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย
ที่มาประชุมในที่นี้มีประมาณเพียงไร จงตั้งใจสดับคุณ
ที่ควรพรรณนา ทั้งสูงทั้งต่ำเป็นอันมากนี้ ของมนุษย์
ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยธรรม อย่างพระเจ้าเนมิราชนี้
เป็นบัณฑิต มีพระราชประสงค์ด้วยกุศล พระองค์
เป็นราชาของชาววิเทหรัฐทั้งปวง ทรงปราบข้าศึก
พระราชทานไทยธรรม เมื่อพระองค์ทรงบริจาคทาน
อยู่นั้น เกิดพระดำริขึ้นว่า ทานหรือพรหมจรรย์
อย่างไหนมีผลมากหนอ.

[533] เกิดพิศวงขนพองขึ้นในโลกแล้วหนอ
รถทิพย์ปรากฏแก่พระเจ้าวิเทหรัฐผู้มียศ.

[534] เทพบุตรมาตลีผู้เป็นเทพสารถีมีฤทธิ์
มาก อันเชิญเสด็จพระเจ้าวิเทหรัฐ ผู้ทรงสงเคราะห์
ชาวเมืองมิถิลาว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้เป็น
ใหญ่ในทิศ ขอเชิญเสด็จมาทรงรถนี้ เทพเจ้าชาว
ดาวดึงส์พร้อมพระอินทร์ใคร่จะเห็นพระองค์ ประชุม
คอยเฝ้าอยู่ ณ เทพสภา ชื่อสุธรรมา.

[535] ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหรัฐผู้สงเคราะห์
ชาวมิถิลา ผู้เป็นประมุข รีบเสด็จลุกจากอาสน์ขึ้นสู่รถ
มาตลีเทพสารถี ได้ทูลถามพระเจ้าวิเทหราชผู้เสด็จขึ้น
ทรงทิพยรถแล้วว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้-
เป็นใหญ่ในทิศ ทางไปสถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทำ
บาปทางหนึ่ง ทางไปสถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทำบุญ
ทางหนึ่ง จะโปรดให้ข้าพระองค์นำเสด็จไปทางไหน.

[536] ดูก่อนมาตลีเทพสารถี ท่านจงนำเรา
ไปโดยทางทั้งสอง คือทางไปที่อยู่ของผู้ทำบาป และ
ทางไปที่อยู่ของผู้ทำบุญ.

[537] ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้เป็นใหญ่
ในทิศ ทางหนึ่งไปที่อยู่ของผู้ทำบาป ทางหนึ่งไปที่อยู่
ของผู้ทำบุญ จะโปรดให้ข้าพระองค์นำเสด็จไปทาง
ไหนก่อน.

[538] เราจะดูนรกอันเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์
ผู้ทำบาป สถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์ ผู้มีกรรมหยาบช้า
และคติของเหล่าชนผู้ทุศีลก่อน.

[539] มาตลีเทพสารีได้แสดงแม่น้ำเวตรณี
ซึ่งข้ามยาก ประกอบด้วยน้ำแสบเผ็ดร้อนเดือดพล่าน
เปรียบดังเปลวเพลิงแด่พระเจ้าฆนมิราช.

[540] พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นชน
ซึ่งตกอยู่ในเวตรณีนทีภาค ซึ่งยากจะข้ามได้ จึงตรัส
กะมาตลีเทพสารถีว่า แน่ะนายสารถี ความกลัวมาก
ปรากฏแก่เรา เพราะเห็นตัว อยู่ในแม่น้ำเวตรณี
แน่ะมาตลี เราขอถามท่าน สัตว์เหล่านี้ได้ทำบาป
อะไรไว้ จึงได้ตกในเวตรณีนที.

[541] มาตลีเทพสารถี ทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถาม ตามที่ทราบวิบาลแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แต่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ใน
มนุษยโลก เป็นผู้มีกำลังมีบาปธรรม เบียดเบียนด่า
กระทบผู้ที่หากำลังมิได้ สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า
กระทำบาป จึงตกลงในเวตรณีนที.

[542] พระราชาตรัสว่า สุนัขแดง สุนัขด่าง
ฝูงแร้ง ฝูงกา น่ากลัว เคี้ยวกินสัตว์นรก ความกลัว
ปรากฏแก่เราเพราะเห็นสัตว์เหล่านั้น เคี้ยวกินสัตว์นรก
เราขอถามท่าน สัตว์เหล่านี้ที่ฝูงกาเคี้ยวกิน ได้ทำบาป
อะไรไว้.

[543] มาตลีเทพสารถีอันพระเจ้าเนมิราช
ตรัสถามแล้ว ได้ทูลพยากรณ์วิบากของเหล่าสัตว์ผู้ทำ
บาปตามที่ได้ทราบ แด่พระเจ้าเนมิราชผู้ไม่ทรงทราบ
ว่า สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นผู้ตระหนี่เหนียวแน่น
มีบาปธรรม มักบริภาษเบียดเบียนด่ากระทบสมณ-
พราหมณ์ สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า กระทำบาป
จึงถูกฝูงกาเคี้ยวกิน.

[544] สัตว์นรกเหล่านี้มีร่างกายลุกโพลง
เดินเหยียบแผ่นดินเหล็ก และนายนิรยบาลโบยด้วย
ท่อนเหล็กแดง ความกลัวปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็น
ความเป็นไปของสัตว์นรกเหล่านั้น ดูก่อนมาตลเทพ
สารถี เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ทำบาปอะไรไว้
จึงถูกเบียดเบียนด้วยท่อนเหล็กนอนอยู่.

[545] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์ พระดำรัส
ถาม ตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์เหล่าใด เมื่อยังอยู่ใน
มนุษยโลก เป็นผู้มีบาปธรรมเบียดเบียนด่ากระทบ
ชายหญิงผู้มีกุศลธรรม สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า
กระทำบาปธรรมแล้ว จึงถูกเบียดเบียนด้วยท่อเหล็ก
นอนอยู่.

[546] สัตว์อื่นร้องไห้มีกายไฟไหม้ทั่ว ดิ้นรน
อยู่ในหลุมถ่านเพลิง ความแล้วปรากฏแก่เรา เพราะ

เห็นกิริยานี้ ดูก่อนมาตลีเทพสารถี สัตว์นรกเหล่านี้
ได้ทำบาปอะไรไว้ จึงมาร้องไห้ดิ้นรนในอยู่ในหลุมถ่าน
เพลิงนี้.

[547] มาตลีเทพสารถีอันพระเจ้าเนมิราชตรัส
ถามแล้วได้ทูลพยากรณ์วิบากของเหล่าสัตว์ผู้ทำบาป
ตามที่ได้ทราบ แด่พระเจ้าวิเทหราชผู้ไม่ทราบว่า
สัตว์นรกเหล่านี้ยังหนี้ให้เกิด เพราะสร้างพยานโกง
เหตุแห่งทรัพย์ของประชุมชน ยังหนี้ให้เกิดแก่ประ-
ชุมชน มีกรรมหยาบช้าทำความชั่ว จึงมาร้องไห้
ดิ้นรนอยู่ในหลุมถ่านเพลิง พระเจ้าข้า.

[548] หม้อโลหะใหญ่ไฟติดทั่วลุกโพลงโชติ
ช่วงย่อมปรากฏ ความกลัวย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้
เห็นความเป็นไปนี้ แน่ะมาตลีเทพสารถี เราขอถาม
ท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ทำบาปอะไรไว้ จึงตกในโลห-
กุมภี.

[549] มาตลีเทพสารถี ทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถาม ตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์เหล่าใด เป็นผู้มี
บาปธรรม เบียดเบียนด่ากระทบสมณะ หรือพราหมณ์
ผู้มีศีล สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า กระทำบาป-
กรรมแล้ว จึงตกในโลหกุมภี.

[550] นายนิรยบาลผูกคอสัตว์นรกด้วยเชือก
เหล็กลุกโพลง แล้วตัดศีรษะโยนลงไปในน้ำร้อน

ความกลัวเกิดแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนี้ ดู
ก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน สัตว์เหล่านี้ได้
ทำบาปอะไรไว้ จึงมีศีรษะขาดนอนอยู่.

[551] มาตลีเทพสารถี ทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ ผู้ทำบาปทั้งหลาย
แด่พระราชาผู้ไม่ทราบว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เป็นจอม
ประชาชน สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก มี
บาปธรรม จับนกมาฆ่า สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า
กระทำบาป จึงมีศีรษะขาดนอนอยู่.

[552] แม่น้ำนี้มีน้ำมาก มีตลิ่งไม่สูง มีท่า
อันดีไหลอยู่เสมอ สัตว์นรกเหล่านั้นเร่าร้อน เพราะ
ความร้อนแห่งไฟ จะดื่มน้ำ ก็แต่เมื่อสัตว์นรกเหล่า
นั้นจะดื่ม น้ำก็กลายเป็นแกลบไป ความกลัวย่อม
ปรากฏแก่เราเพราะได้เห็นความเป็นไปนี้ แน่ะมาตลี
เทพสารถี ข้าพเจ้าขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ได้
ทำบาปอะไรไว้ เมื่อจะดื่มน้ำ น้ำจึงกลายเป็นแกลบ
ไป.

[553] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์ พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์เหล่าใด มีการงานไม่
บริสุทธิ์ ขายข้าวเปลือกแท้เจือด้วยข้าวลีบแกลบแก่ผู้ซื้อ
เมื่อสัตว์เหล่านั้นมีความร้อนยิ่ง เพราะความร้อนแห่ง
ไฟกระหายน้ำ จะดื่มน้ำ น้ำจึงกลายเป็นแกลบไป.

[554] นายนิรยบาลแทงข้างทั้ง 2 แห่งสัตว์
นรกผู้ร้องไห้อยู่ ด้วยลูกศร หอก โตมร ความกลัว
ปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนี้ ดูก่อน
เทพสารถี เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำ
บาปอะไรไว้ จึงถูกฆ่าด้วยหอกนอนอยู่.

[555] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถาม ตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์เหล่าใด เนื้อยังอยู่
ในมนุษยโลก เป็นผู้มีกรรมไม่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ
ถือเอาของที่เจ้าของไม่ให้ คือธัญชาติ ทรัพย์ เงิน
ทอง แพะ แกะ ปสุสัตว์ และกระบือ มาเลี้ยงชีวิต
สัตว์ เหล่านั้นเป็นผู้มีกรรมหยาบช้า ทำบาป จึงถูกฆ่า
ด้วยหอกนอนอยู่.

[556] สัตว์นรกเหล่านี้นายนิรยบาลผูกคอไว้
เพราะเหตุอะไร ยังพวกอื่นอีกพวกหนึ่ง อันนาย
นิรยบาลตัดทำให้เป็นชิ้น ๆ นอนอยู่ ความกลัวย่อม
ปรากฏแก่เราเพราะได้เห็นความเป็นไปนี้ ดูก่อน
มาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ทำ
บาปอะไรไว้ จึงถูกทำให้เป็นชิ้น ๆ นอนอยู่.

[557] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถาม ตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์นรกเหล่านี้เคยเป็นผู้

ฆ่าแกะ ฆ่าสุกร ฆ่าปลา ครั้นฆ่าสัตว์ของเลี้ยง
กระบือ แพะ แกะ แล้ววางไว้ในร้านทำสัตว์ขาย
เนื้อ เป็นผู้มีกรรมหยาบช้าทำบาป จึงถูกตัดเป็นชิน ๆ
นอนอยู่.

[558] ห้วงน้ำนี้เต็มด้วยมูตรและคูถ มีกลิ่น
เหม็น ไม่สะอาด เน่า ฟุ้งไป สัตว์นรกมีความ
หิวครอบงำก็กินมูตรและคูถนั้น ความกลัวปรากฏแก่
เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนั้น ดูก่อนมาตลี
เทพสารถี เราขอถามท่านสัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำบาป
อะไรไว้ จึงมีมูตรและคูถเป็นอาหาร.

[559] มาตลีเทพสารถี ทูลถวายพยากรณ์พระ-
ดำรัสถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย
แด่พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์นรกเหล่าใด ก่อ
ทุกข์เบียดเบียนมิตรสหายเป็นต้น ตั้งมั่นอยู่ในความ
เบียดเบียนผู้อื่นทุกเมื่อ สัตว์นรกเหล่านั้นมีกรรมหยาบ
ช้า เป็นพาลประทุษร้ายมิตร จึงต้องกินมูตรและคูถ.

[560] ห้วงน้ำนี้เต็มด้วยเลือดและหนอง มี
กลิ่นเหม็นไม่สะอาด เน่า ฟุ้งไป สัตว์นรกถูกความ
ร้อนแผดเผาแล้ว ย่อมดื่มเลือดและหนองกิน ความ
กลัวย่อมปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนั้น
ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน สัตว์นรก
เหล่านี้ได้ทำบาปอะไรไว้ จงมีเลือดและหนองเป็น
อาหาร.

[561] มาตลีเทพสารถี ทูลถวายพยากรณ์พระ-
ดำรัสถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย
แด่พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์นรกเหล่าใด เมื่อ
ยังอยู่ในมนุษยโลก ฆ่ามารดาบิดา และพระอรหันต์
ชื่อว่าต้องปาราชิกในคิหิเพศ สัตว์นรกเหล่านั้นมี
กรรมหยาบช้าทำบาป จึงมีเลือดและหนองเป็นอาหาร.

[562] ท่านจงดูลิ้นของสัตว์นรกที่เกี่ยวด้วย
เบ็ดและหนังที่แผ่ไปด้วยขอ สัตว์นรกย่อมดิ้นรน
เหมือนปลาที่โยนไปบนบกย่อมดิ้นรน ฉะนั้น ร้องไห้
น้ำลายไหล เพราะกรรมอะไร ความกลัวย่อมปรากฏ
แก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนั้น ดูก่อนมาตลี
เทพสารถี เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำบาป
อะไรไว้ จึงกลืนเบ็ดนอนอยู่.

[563] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถาม ตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์นรกเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
เป็นมนุษย์อยู่ในตำแหน่งผู้ตีราคา ยังราคาซื้อให้เสื่อม
ไปด้วยราคา ทำกรรมอันโกงด้วยความโกงเหตุโลภ-
ทรัพย์ ปกปิดไว้ ดุจคนเข้าไปใกล้ปลาเพื่อจะฆ่า เอา
เหยื่อเกี่ยวเบ็ดปิดเบ็ดไว้ฉะนั้น บุคคลจะป้องกันช่วย
คนทำความโกงผู้อันธรรมของตนหุ้มห่อไว้ ไม่มีเลย
สัตว์นรกเหล่านี้มีกรรมหยาบช้าทำบาป จึงมากลืน
เบ็ดนอนอยู่.

[564] หญิงนรกเหล่านั้นมีร่างกายแตกทั่ว มี
ชาติทราม มีแมลงวันตอม เปรอะเปื้อนด้วยเลือด
และหนอง มีศีรษะขาด เหมือนฝูงโคที่ศีรษะขาดบน
ที่ฆ่า ประคองแขนทั้งสองร้องไห้ หญิงนรกเหล่านั้น
จมอยู่ในภูมิภาคเพียงเอวทุกเมื่อ ภูเขาไฟตั้งมาแต่สี่
ทิศลุกโพลง กลิ้งมาบดหญิงนรกเหล่านั้นให้ละเอียด
ความกลัวปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนั้น
ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน หญิงนรก
เหล่านั้นได้ทำบาปอะไรไว้ จึงต้องมาจมอยู่ในภาคภูมิ
เพียงเอวทุกเมื่อ ภูเขาไฟลุกโพลงตั้งมาแต่สี่ทิศบดให้
ละเอียด

[565] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า หญิงนรกเหล่านั้นเป็น
กุลธิดา เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก มีการงานไม่บริสุทธิ์
ได้ประพฤติไม่น่ายินดี เป็นหญิงนักเลง ละสามีเสียได้
คบหาชายอื่นเพราะเหตุยินดีและเล่น หญิงเหล่านั้น
เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกนี้ ยังจิตของตนให้ยินดีใน
ชายอื่น จึงถูกภูเขาไฟอันลุกโพลงตั้งมาแต่สี่ทิศ บด
ให้ละเอียด.

[566] เพราะเหตุไร นายนิรยบาลทั้งหลาย จึง
จับสัตว์นรกเหล่านี้อีกพวกหนึ่งที่เท้าเอาหัวลง โยนลง

ไปในนรก ความกลัวย่อมปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็น
ความเป็นไปนั้น ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถาม
ท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำบาปอะไรไว้ จึงถูกให้ตก
ไปในนรก.

[567] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์ พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์เหล่าใด เมื่อยังอยู่ใน
มนุษยโลก เป็นผู้มีกรรมไม่ดี ล่วงเกินภรรยาทั้งหลาย
ของชายอื่น สัตว์เหล่านั้น เป็นผู้ลักภัณฑะอันอุดม
เช่นนั้น จึงมาตกนรก เสวยทุกขเวทนาในนรกนั้น
สิ้นปีเป็นอันมาก บุคคลผู้ช่วยป้องกันบุคคลผู้มักทำ
บาป ผู้อันกรรมของคนหุ้มห่อไว้ ไม่มีเลยสัตว์นรก
เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้าทำบาป จึงมาตกอยู่ในนรก

[568] สัตว์นรกเหล่านี้ทั้งน้อยใหญ่ ต่างพวก
ประกอบเหตุการณ์ มีรูปร่างพิลึก ปรากฏอยู่ในนรก
ความกลัวย่อมปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็น
ไปนั้น ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน สัตว์
นรกเหล่านี้ได้ทำบาปอะไรไว้ จึงได้เสวยทุกขเวทนา
อันกล้าแสงแดดร้อนมีประมาณยิ่ง.

[569] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแต่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แด่
พระราชาไม่ทรงทราบว่า สัตว์เหล่าใด เมื่อยังอยู่

ในมนุษยโลก เป็นผู้มีความเห็นเป็นบาป หลงทำ
กรรมอันทำด้วยความคุ้นเคย และชักชวนผู้อื่นใน
ทิฏฐิเช่นนั้น สัตว์เหล่านั้น เป็นผู้มีทิฏฐิอันลามกทำ
บาป จึงต้องเสวยทุกขเวทนาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อนมี
ประมาณยิ่ง.

[570] ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทรงทราบ
สถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้มีกรรมหยาบช้า และทรง
ทราบคติของเหล่าสัตว์ผู้ทุศีลแล้ว เพราะได้ทอดพระ-
เนตรเห็นนิรยาบาลอันเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์นรกผู้มี
กรรมอันลามก ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง
ใหญ่ บัดนี้ขอพระองค์เสด็จขึ้นไปในสำนักของท้าว
สักกเทวราชเถิด.

[571] วิมาน 5 ยอดนี้ปรากฏอยู่ เทพธิดาผู้มี
อานุภาพมาก ประดับดอกไม้ นั่งอยู่กลางที่ไสยาสน์
แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ สถิตอยู่ในวิมานนั้น ความปลื้มใจ
ปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนั้น ดูก่อน
มาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน เทพธิดานี้ได้ทำ
กรรมดีอะไรไว้ จึงได้ถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน.

[572] มาตลีเทพสารถี ทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า ก็เทพธิดาที่พระองค์ทรง
หมายถึงนั้น ชื่อวรุณี* เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็น

* บาลีเป็น พีรณี

ทาสีเกิดแต่ทาสีในเรือนของพราหมณี นางรู้แจ้งซึ่ง
แขกคือภิกษุผู้มีกาลอันถึงแล้ว นิมนต์ให้นั่งในเรือน
ของพราหมณ์ ยินดีต่อภิกษุนั้นเป็นนิตย์ ดังมารดา
ยินดีต่อบุตรผู้จากไปนานกลับมาถึง ฉะนั้น นางอังคาส
ภิกษุนั้นโดยเคารพ ได้ถวายสิ่งของของตนเล็กน้อย
เป็นผู้สำรวมและจำแนกทาน จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน.

[573] วิมาน 7 โชติช่วง อันบุญญานุภาพ
ตกแต่ง ส่องแสงสว่างดั่งดวงอาทิตย์อ่อน ๆ เทพบุตร
ในวิมานนั้นมีฤทธิ์มาก ประดับสรรพาภรณ์ อันหมู่
เทพธิดาแวดล้อมผลัดเปลี่ยนเวียนวนอยู่โดยรอบทั้ง 7
วิมาน ความปลื้มใจปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความ
เป็นไปนั้น ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน
เทพบุตรนี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้ จึงได้ถึงสวรรค์
บันเทิงอยู่ในวิมาน.

[574] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีชื่อ
โสณทินนะ เป็นทานบดีให้สร้างวิหาร 7 หลังอุทิศต่อ
บรรพชิตได้ปฏิบัติบำรุงภิกษุผู้อยู่ในวิหาร 7 หลังนั้น
โดยเคารพ ได้บริจาคผ้านุ่งผ้าห่ม ภัตตาหารเสนาสนะ
เครื่องประทีป ในท่านผู้ซื่อตรงด้วยจิตเลื่อมใส รักษา
อุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ 8 ในดิถีที่ 14 ที่ 15

ที่ 8 แห่งปักษ์ และปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สำรวมใน
ศีลทุกเมื่อ เป็นผู้สำรวมและจำแนกทาน จึงมาบันเทิง
อยู่ในวิมาน.

[575] วิมานอันบุญญานุภาพตกแต่งดีแล้วนี้
เกลื่อนไปด้วยหมู่อัปสรผู้ประเสริฐ รุ่งเรืองด้วยเรือน
ยอดบริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำงดงามด้วยการฟ้อนรำขับ
ร้องเปล่งแสงสว่างจากฝาแก้วผลึก ความปลื้มใจย่อม
ปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนี้ ดูก่อน
มาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน อัปสรเหล่ามิได้ทำ
กรรมดีอะไรไว้ จึงถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน.

[576] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า อัปสรเหล่านั้นเมื่อยังอยู่
ในมนุษยโลก เป็นอุบาสิกาผู้มีศีลยินดีในทาน มีจิต
เลื่อมใสเป็นนิตย์ ตั้งอยู่ในสัจจะ ไม่ประมาทในการ
รักษาอุโบสถ เป็นผู้สำรวมและจำแนกทาน จึงมา
บันเทิงอยู่ในวิมาน.

[577] วิมานอันบุญญานุภาพตกแต่งแล้วนี้
ประกอบด้วยภูมิภาคน่ารื่นรมย์ จัดสรรไว้เป็นส่วน ๆ
เปล่งแสงสว่างออกจากฝาแก้วไพฑูรย์ เสียงทิพย์ คือ
เสียงเปิงมาง เสียงตะโพน การฟ้อนรำขับร้อง และ
เสียงประโคมดนตรีย่อมเปล่งออก น่าฟัง เป็นที่
รื่นรมย์ใจ เราไม่รู้สึกว่าได้เห็นหรือได้ฟังเสียงอัน

เป็นไปอย่างนี้ อันไพเราะอย่างนี้ ในกาลก่อนเลย
ความปลื้มใจย่อมปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความ
เป็นไปนั้น ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน
เทพบุตรเหล่านี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้ จึงถึงสวรรค์
บันเทิงอยู่ในวิมาน.

[578 ] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรเหล่านี้เมื่อยังอยู่
ในมนุษยโลก. เป็นอุบาสกผู้มีศีล ได้ก่อสร้างอาราม
บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติ พระอรหันต์ผู้
เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต คิลาน
ปัจจัย และเสนาสนะ ในท่านผู้ซื่อตรงด้วยใจเลื่อมใส
ได้รักษาอุโบสถศีล อันประกอบด้วยองค์ 8 ในดิถีที่
14 ที่ 15 ที่ 8 แห่งปักษ์ และปาฏิหาริยปักษ์ เป็น
ผู้สำรวมในศีลทุกเมื่อ เป็นผู้สำรวมและจำแนกทาน
จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน.

[579] วิมานอื่นบุญญานุภาพตกแต่งดีแล้วนี้
เกลื่อนไปด้วยอัปสรผู้ประเสริฐ รุ่งเรืองด้วยเรือนยอด
บริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ งดงามด้วยการฟ้อนรำขับร้อง
ส่องแสงสว่างจากฝาแก้วผลึก มีแม่น้ำอันประกอบ
ด้วยไม้ดอกต่างๆ ล้อมรอบ ความปลื้มใจย่อมปรากฏ
แก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนั้น ดูก่อนมาตลี-
เทพสารถี เราขอถามท่าน เทพบุตรนี้ได้ทำกรรมดี
อะไรไว้ จึงได้ถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน.

[580] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีใน
กรุงมิถิลา เป็นทานบดีได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ
และสะพาน ได้ปฏิบัติและบำรุงพระอรหันต์ทั้งหลาย
ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต คิลาน-
ปัจจัย และเสนาสนะ ในท่านผู้ซื่อตรง ด้วยใจ
เลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลประกอบด้วยองค์ 8 ใน
ดิถีที่ 14 ที่ 15 ที่ 8 แห่งปักษ์ และปาฏิหาริยปักษ์
เป็นผู้สำรวมในศีลทุกเมื่อ เป็นผู้สำรวมและจำแนก
ทาน จึงบันเทิงอยู่ในวิมาน.

[581] วิมานอันบุญญานุภาพตกแต่งดีแล้วนี้
เกลื่อนไปด้วยหมู่อัปสรผู้ประเสริฐรุ่งเรืองด้วยเรือนยอด
บริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ งดงามด้วยการฟ้อนรำขับร้อง
ส่องแสงสว่างออกจากฝาแก้วผลึก มีแม่น้ำอันประ-
กอบด้วยไม่ดอกต่าง ๆ ล้อมรอบ และมีไม้เกด ไม้
มะขวิด ไม้มะม่วง ไม้สาละ ไม้ชมพู่ ไม่มะพลับ
ไม้มะหาด เป็นอันมาก มีผลเป็นนิตย์ ความปลื้มใจ
ย่อมปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนั้น ดู
ก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน เทพบุตรนี้ทำ
กรรมดีอะไรไว้ จึงถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน.

[582] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถาม ตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีใน
กรุงมิถิลา เป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ
สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติบำรุงพระอรหันต์
ทั้งหลายผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑ-
บาต คิลานปัจจัย และเสนาสนะ ในท่านผู้ซื่อตรง
ด้วยใจเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลประกอบด้วยองค์
8 ในดิถีที่ 14 ที่ 15 ที่ 8 แห่งปักษ์ และปาฏิหาริย-
ปักษ์ เป็นผู้สำรวมในศีลทุกเมื่อ เป็นผู้สำรวมและ
จำแนกทาน จึงบันเทิงอยู่ในวิมาน.

[583] วิมานอันบุญญานุภาพตกแต่งแล้วนี้
ประกอบด้วยภูมิภาคน่ารื่นรมย์ จัดสรรไว้เป็นส่วน ๆ
เปล่งแสงสว่างออกจากฝาแก้วไพฑูรย์ เสียงทิพย์ คือ
เสียงเปิงมาง เสียงตะโพน การฟ้อนรำขับร้อง และ
เสียงประโคมดนตรีย่อมเปล่งออก น่าฟัง เป็นที่
รื่นรมย์ใจ เราไม่รู้สึกว่าได้เห็นหรือได้ฟังเสียงอันเป็น
เป็นไปอย่างนี้ อันไพเราะอย่างนี้ ในกาลก่อนเลย
ความปลื้มใจย่อมปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความ
เป็นไปนั้น ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน
เทพบุตรนี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้ จึงถึงสวรรค์บันเทิง
อยู่ในวิมาน.

[584] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีใน
กรุงพาราณสี เป็นทานบดี ได้ก่อสร้างอาราม บ่อน้ำ
สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติบำรุงพระอรหันต์
ทั้งหลายผู้เยือกเย็นโดยเคารพได้ถวายจีวร บิณฑบาต
คิลานปัจจัย และเสนาสนะ ในท่านผู้ซื่อตรงด้วยใจ
เลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอัน ประกอบด้วยองค์ 8
ในดิถีที่ 14 ที่ 15 ที่ 8 แห่งปักษ์ และปาฏิหาริยปักษ์
เป็นผู้สำรวมในศีลทุกเมื่อ เป็นผู้สำรวมและจำแนก
ทาน จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน.

[585] วิมานทองอันบุญญานุภาพตกแต่งดีนี้
สุกใสดุจดวงอาทิตย์แรกอุทัยดวงใหญ่สีแดงฉะนั้น
ความปลื้มใจย่อมปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นวิมาน
ทองนี้ ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน เทพบุตร
นี้ได้ทำธรรมดีอะไรไว้ จึงถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ใน
วิมาน.

[586] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถาม ตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่
ในกรุงสาวัตถี เป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ
สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติบำรุงพระอรหันต์

ทั้งหลาย ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต
คิลานปัจจัย และเสนาสนะ ในท่านผู้ซื่อตรงด้วยใจ
เลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลประกอบด้วยองค์ 8 ใน
ดิถีที่ 14 ที่ 15 ที่ 8 แห่งปักษ์ และปาฏิหาริยปักษ์
เป็นผู้สำรวมในศีลทุกเมื่อ เป็นผู้สำรวมและจำแนก
ทาน จึงบันเทิงอยู่ในวิมาน.

[587] วิมานทองเป็นอันมากเหล่านี้ อัน
บุญญานุภาพตกแต่งดีแล้ว ลอยอยู่ในนภากาศไพโรจน์
โชติช่วง ดังสายฟ้าในระหว่างก้อนเมฆ ฉะนั้น
เทพบุตรทั้งหลายผู้มีฤทธิ์มาก ประดับสรรพาภรณ์
อันหมู่อัปสรห้อมล้อม ผลัดเปลี่ยนเวียนอยู่ในวิมาน
นั้น ๆ โดยรอบ ความปลื้มใจย่อมปรากฏแก่เรา เพราะ
ได้เห็นความเป็นไปนั้น ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เรา
ขอถามท่าน เทพบุตรเหล่านี้ได้ทำความดีอะไรไว้ จึง
ถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน.

[588] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถามตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรเหล่านี้เป็นสาวก
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศรัทธาตั้งมั่นในพระ-
สัทธรรมที่พระพุทธเจ้าให้รู้แจ้งแล้ว ได้ปฏิบัติตามคำ
สั่งสอนของพระศาสดา ข้าแต่พระราชา ขอเชิญ
พระองค์ทอดพระเนตรสถานที่สถิตของเทพบุตรเหล่า
นั้นเถิด.

[589] ข้าแต่มหาราชเจ้า สถานที่อยู่ของผู้มี
กรรมลามก พระองค์ก็ทรงทราบแล้ว อนึ่ง สถานที่
สถิตของผู้มีกรรมอันงาม พระองค์ก็ทรงทราบแล้ว
ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ขอเชิญ
พระองค์เสด็จขึ้นไปในสำนัก ของท้าวสักกเทวราชใน
บัดนี้เถิด.

[590] พระเจ้าเนมิมหาราชประทับอยู่บน
ทิพยานอันเทียมม้าสินธพหนึ่งพันเสด็จไปอยู่ ได้
ทอดพระเนตรเห็นภูเขาทั้งหลายในระหว่างนทีสีทันดร
ครั้นทอดพระเนตรเห็นแล้ว ได้ตรัสถามเทพทูตมาตลี
ว่า ภูเขาเหล่านี้ซื่ออะไร.

[591] ภูเขาใหญ่ทั้ง 7 คือ ภูเขาสุทัสสนะ
ภูเขากรวีกะ ภูเขาอิสินธระ ภูเขายุคันธระ ภูเขา
เนมินธระ ภูเขาวินตกะ และภูเขาอัสสกัณณะ ภูเขา
เหล่านี้สูงขึ้นไปโดยลำดับ อยู่ในมหาสมุทรสีทันดร
เป็นที่อยู่ของท้าวจาตุมหาราช ขอเชิญพระองค์ทอด
พระเนตรเถิด พระเจ้าข้า.

[592] ประตูมีรูปต่าง ๆ รุ่งเรืองวิจิตรต่าง ๆ
อันรูปเช่นรูปสักรินทรเทวราชแวดล้อมรักษาดีแล้ว
ดุจป่าอันเสือโคร่งทั้งหลายรักษาดีแล้ว ฉะนั้น ย่อม
ปรากฏ ความปลื้มใจย่อมปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็น
ประตูนี้ ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน ประตู

นี้เขาเรียกชื่อว่าอะไร เป็นประตูที่น่ารื่นรมย์ใจ เห็น
ได้แต่ไกลทีเดียว.

[593] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถาม ตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า ประตูนี้เขาเรียกว่า จิตตกูฏ
เป็นที่เสด็จเข้าออกของท้าวสักกเทวราชเพราะประตูนี้
เป็นประตูแห่งเทพนคร ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสิเนรุราช
อันงามน่าดูปรากฏอยู่ มีรูปต่าง ๆ รุ่งเรืองวิจิตรต่าง ๆ
อันรูปเช่นรูปสักรินทรเทวราชแวดล้อมรักษาดีแล้ว
ดุจป่าอันเสือโคร่งทั้งหลายรักษาดีแล้วฉะนั้น ย่อม
ปรากฏ ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ขอ
เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปทางประตูนี้ จงทรงเหยียบ
ภูมิภาคอันราบรื่นเถิด.

[594] พระเจ้าเนมิมหาราชประทับอยู่บน
ทิพยาน อันเทียมม้าสินธพหนึ่งพันเสด็จไปอยู่ ได้
ทอดพระเนตรเห็นเทวสภานี้ วิมานอันบุญญานุภาพ
ตกแต่งแล้วนี้ ส่องแสงสว่างจากฝาแก้วไพฑูรย์ ราว
กะอากาศส่องแสงเขียวสดปรากฏในสรทกาล ฉะนั้น
ความปลื้มใจย่อมปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นวิมานนี้
ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน วิมานนี้เขา
เรียกชื่อว่าอะไร.

[595] มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัส
ถาม ตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบุญทั้งหลาย แด่
พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า วิมานนี้นั้น เป็นเทวสภา มี
นามปรากฏว่า สุธรรมา ตานที่เรียกกัน รุ่งเรื่องด้วย
แก้วไพฑูรย์งามวิจิตร อันบุญญานุภาพตกแต่งดูแล้ว
มีเสาทั้งหลาย 8 เหลี่ยมทำไว้ดีแล้ว ล้วนแล้วด้วย
แล้วไพฑูรย์ทุก ๆ เสา รองรับไว้ เป็นที่ซึ่งเทพเจ้า
เหล่าดาวดึงส์ทั้งหมดมีพระอินทร์เป็นประมุข ประชุม
กันคิดประโยชน์ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ข้าแต่
พระราชาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เชิญพระองค์
เสด็จเข้าไปสู่ที่เป็นที่อนุโมทนาของเทวดาทั้งหลายโดย
ทางนี้.

[596] เทวดาทั้งหลายเห็นพระเจ้าเนมิราช
เสด็จมาถึง ก็พากันยินดีต้อนรับว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือน
ใกล้ ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ขอเชิญ
ประทับนั่งในที่ใกล้ท้าวสักกเทวราช ณ บัดนี้เถิด
ท้าวสักกเทวราชทรงยินดีต้อนรับพระองค์ผู้เป็นพระ
ราชาแห่งชาววิเทหรัฐ ผู้ทรงสงเคราะห์ชาวกรุงมิถิลา
ท้าววาสวเทวราชทรงเชื้อเชิญให้เสวยทิพยกามารมณ์
และประทับบนทิพยอาสน์ เป็นความดีแล้วที่พระองค์
เสด็จมาถึงทิพยสถานอันเป็นที่อยู่ของเทวดาทั้งหลาย
ผู้ยังสิ่งที่ตนประสงค์ให้เป็นไปได้ตามอำนาจ ขอเชิญ

ประทับอยู่ในหมู่เทวดาผู้สำเร็จด้วยทิพยกามทั้งมวล
ขอเชิญเสวยทิพยกามารมณ์ในหมู่เทพเจ้าชาวดาวดึงส์
เถิด.

[597] สิ่งใดที่ได้มาเพราะผู้อื่นให้ สิ่งนั้น
เปรียบเหมือนยวดยาน หรือทรัพย์ที่ยืมเขามาฉะนั้น
หม่อมฉันไม่ปรารถนาสิ่งซึ่งผู้อื่นให้ บุญทั้งหลายที่
หม่อมฉันทำเอง ย่อมเป็นทรัพย์ที่จะคิดตามหม่อมฉัน
ไป หม่อมฉันจักกลับไปทำกุศลให้มากในหมู่มนุษย์
ด้วยการบริจาคทาน การประพฤติสม่ำเสมอ ความ
สำรวม และการฝึกอินทรีย์ ซึ่งทำไว้แล้วจะได้ความ
สุข ไม่เดือดร้อนในภายหลัง.

[598] มาตลีเทพสารถีผู้เจริญ เป็นผู้มีอุปการะ
มากแก่หม่อมฉัน ได้แสดงสถานที่อยู่ ของผู้มีกรรม
อันงาม และของผู้มีกรรมอันลามก แก่หม่อมฉัน.

[599] ผมหงอกที่งอกขึ้นบนเศียรของพ่อ เหล่า
นี้เกิดแล้วก็นำความหนุ่มไปเสีย เป็นเทวทูตปรากฏแล้ว
สมัยนี้จึงเป็นคราวที่พ่อจะบวช พระเจ้าวิเทหราชราชา
แห่งแคว้นวิเทหะ ผู้ทรงอนุเคราะห์ชาวมิถิลา ตรัส
คาถานี้แล้ว ทรงบูชายัญเป็นอันมาก ทรงเข้าถึงความ
เป็นผู้สำรวมแล้ว.

จบ เนมิราชชาดกที่ 4

อรรถกถามหานิบาต



เนมิราชชาดก


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานอัมพวัน ของพระเจ้า
มฆเทวราช ทรงอาศัยกรุงมิถิลาเป็นที่ภิกษาจาร ทรงปรารภการทำความแย้ม
พระโอฐให้ปรากฏ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อจฺเฉรํ วต โลกสฺมึ ดังนี้
เป็นต้น.
เรื่องย่อมีว่า วันหนึ่ง พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก เสด็จจาริก
ไปในอัมพวันนั้นในเวลาเย็น ทอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศแห่งหนึ่งเป็นรมณี-
ยสถาน ทรงใคร่จะตรัสบุรพจริยาของพระองค์ จึงทรงแย้มพระโอฐ ท่านพระ
อานนทเถระ กราบทูลถามเหตุที่ทรงแย้มพระโอฐ จึงมีพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อน
อานนท์ ภูมิประเทศนี้เราเคยอาศัยอยู่ เจริญฌานในกาลที่เราเสวยชาติเป็นมฆ-
เทวราชา
ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพนิ่งอยู่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลวิงวอน
เพื่อให้ทรงแสดง จึงประทับนั่ง ณ บวรพุทธาสนะที่ปูลาดไว้ ทรงนำอดีต
นิทานมาแสดง ดังต่อไปนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ณ กรุงมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐ ได้
มีพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่ามฆเทวราช พระองค์ทรงเล่นอย่างราชกุมาร
อยู่ 84,000 ปี ครองไอศวรรย์ 84,000 ปี เมื่อเสวยราชย์เป็นพระราชา-
ธิราชได้ 84,000 ปี มีพระราชดำรัสกะเจ้าพนักงานภูษามาลาว่า เมื่อใด
เจ้าเห็นผมหงอกในศีรษะเรา เจ้าจงบอกข้าเมื่อนั้น ครั้นกาลต่อมา เจ้าพนัก
งานภูษามาลาได้เห็นเส้นพระศกหงอก จึงกราบทูลแด่พระราชา พระองค์
ตรัสสั่งให้ถอนด้วยแหนบทองคำ ให้วางไว้ในพระหัตถ์ ทอดพระเนตรพระศก