เมนู

อรรถกถามหานิบาต



เตมิยชาดก



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภ
มหาภิเนกขัมมบารมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ว่า มา ปณฺฑิจฺจยํ วิภาวย
ดังนี้เป็นต้น.
ความพิสดารว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกัน อยู่ในโรงธรรมสภา
พรรณนามหาภิเนกขัมมบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระศาสดาทรงสดับ
เรื่องนั้นด้วยทิพโสต เสด็จออกจากพระคันธกุฎีมายังโรงธรรมสภา ตรัสถาม
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายประชุมเจรจากันถึงเรื่องอะไร เมื่อ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรามี
บารมีเต็มแล้ว ทั้งราชสมบัติออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่ในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์เลย
เมื่อก่อน ญาณยังไม่แก่กล้า เขากำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ ได้ทั้งราชสมบัติออก
เพื่อคุณอันยิ่งใหญ่นั้นจึงน่าอัศจรรย์ ตรัสดังนี้แล้ว ทรงดุษณีภาพอยู่ ภิกษุ
เหล่านั้นกราบทูลวิงวอนให้ทรงเล่าเรื่อง จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดง ดังต่อ
ไปนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า กาสิกราช
ครองราชสมบัติโดยธรรมโดยเสมอ ในกรุงพาราณสี พระองค์มีสนมนารี
ประมาณหนึ่งหมื่นหกพันคน บรรดาสนมนารีเหล่านั้น แม้สักคนหนึ่งก็ไม่มี
โอรสหรือธิดาเลย กาลนั้นชาวพระนครกล่าวกันว่า พระราชาของพวกเราไม่มี
พระโอรสแม้องค์หนึ่งที่จะสืบพระวงศ์ จึงประชุมกันที่พระลานหลวง โดยนัย
อันมาแล้วในกุสราชชาดกนั่นแล กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอ

พระองค์จงทรงปรารถนาพระโอรสเถิด พระราชาทรงสดับคำแห่งชาวเมืองนั้น
แล้ว ตรัสเรียกสนมนารีหนึ่งหมื่นหกพันมาในขณะนั้น แล้วมีพระราชดำรัส
สั่งว่า เจ้าทั้งหลายจงปรารถนาบุตร สนมนารีเหล่านั้น ทำกิจเป็นต้นว่า วิงวอน
และบำรุงเทวดาทั้งหลายมีพระจันทร์เป็นต้น แม้ปรารถนาก็หาได้โอรสหรือ
ธิดาไม่.
ฝ่ายอัครมเหสีของพระเจ้ากาสิกราช ผู้เป็นพระธิดาแห่งพระเจ้า-
มัททราช
พระนามว่าจันทาเทวี เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสีลาจารวัตร พระราชามี
พระราชดำรัสสั่งว่า แน่ะนางผู้เจริญ แม้เธอก็จงปรารถนาพระโอรส พระเทวี
ได้สดับ พระราชดำรัสของพระราชสวามีแล้ว ทรงทูลรับ ว่า สาธุ แล้วจึงสมาทาน
อุโบสถในวันเพ็ญ เปลื้องสรรพาภรณ์ บรรทมเหนือพระยี่ภู่น้อย ทรง
อาวัชนาการถึงศีลของพระองค์ ได้ทรงกระทำสัจจกิริยาว่า ถ้าข้าพเจ้ารักษาศีล
ไม่ขาด ขอบุตรของข้าพเจ้าจงเกิดขึ้นด้วยสัจจวาจานี้.
ด้วยเดชานุภาพแห่งศีลของพระนางจันทาเทวีนั้น ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
ของท้าวสักกเทวราชแสดงอาการร้อน ท้าวสักกะเมื่อทรงอาวัชนาการก็ทรง
ทราบเหตุนั้นว่า พระนางจันทาเทวีปรารถนาโอรส ตกลงเราจักให้โอรสแก่
พระนางนั้น ทรงพิจารณาถึงโอรสที่สมควรแก่พระนาง ก็ทรงเห็นพระ-
โพธิสัตว์ กาลนั้น พระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติอยู่ ในกรุงพาราณสีได้ยี่สิบปี
เคลื่อนจากมนุษยโลกนั้น บังเกิดในอุสสุทนรก เสวยทุกข์อยู่ในนรกนั้น
แปดหมื่นปี เคลื่อนจากนรก บังเกิดในพิภพดาวดึงส์ ตั้งอยู่ในดาวดึงส์นั้น
ตลอดอายุ เคลื่อนจากดาวดึงส์นั้น ประสงค์จักไปเทวโลกชั้นสูง ครั้งนั้น
ท้าวสักกะเสด็จไปสู่สำนักของพระโพธิสัตว์ ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อ
ท่านเกิดในมนุษยโลก บารมีทั้งหลายของท่านจักเต็มเปี่ยม ความเจริญจักมี

แก่ท่าน และแก่พระชนกชนนีของท่าน ด้วยว่าพระอัครมเหสีของพระเจ้า
กาสิกราช พระนามว่า จันทาเทวี ปรารถนาโอรส ทานจงอุบัติในพระครรภ์ของ
พระนางนั้น แล้วท้าวสักกะถือเอาซึ่งปฏิญญาแก่พระโพธิสัตว์นั้น และแก่
เทวบุตรทั้งหลาย ประมาณ 500 องค์ผู้จักจุติ แล้วเสด็จกลับไปยังที่ประทับ
ของพระองค์ทีเดียว พระโพธิสัตว์นั้นรับคำว่า สาธุ แล้วจุติพร้อมกับเทวบุตร
500 องค์ พระองค์เองถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวี ส่วน
เทวบุตรประมาณ 500 องค์นอกนี้ ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของภริยาอมาตย์
ทั้งหลาย กาลนั้น พระครรภ์ของพระนางจันทาเทวีเป็นประมาณหนึ่งเต็มไปด้วย
แก้ววิเชียร พระนางทรงทราบว่าตั้งครรภ์ จึงกราบทูลแด่พระราชา พระราชา
ทรงทราบดังนั้น จึงได้พระราชทานครรภ์บริหารแก่พระนาง พระนางมี
พระครรภ์ครบกำหนดแล้ว ก็ประสูติพระโอรสซึ่งสมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะอัน
อุดม ภรรยาอมาตย์ทั้งหลายก็คลอดกุมาร 500 ในเรือนอมาตย์ในวันนั้น
เหมือนกัน ขณะนั้น พระราชาประทับอยู่ในที่เสด็จออกแวดล้อมไปด้วยหมู่
อมาตย์ราชบริพาร ลำดับนั้น เจ้าหน้าที่ทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบว่า
พระราชโอรสของพระองค์ประสูติแล้วพระเจ้าข้า พระเจ้ากาสิกราชได้ทรงสดับ
คำของเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ทรงมีความรักในพระโอรสเป็นครั้งแรกเกิดขึ้น ตัด
พระฉวีจดพระอัฐิมิญชะดำรงอยู่ เกิดพระปีติซาบซ่านภายในพระกมล แม้หทัย
ของอมาตย์ราชบริพารทั้งหลายก็เกิดเยือกเย็นทั่วกัน พระราชาตรัสถามเหล่า
อมาตย์ว่า ท่านทั้งหลายดีใจหรือ เมื่อลูกชายของเราเกิด อมาตย์เหล่านั้น
กราบทูลว่า พระองค์ตรัสถามไยพระเจ้าข้า เมื่อก่อนข้าพระองค์ไร้ที่พึ่ง
บัดนี้พวกข้าพระองค์มีที่พึ่ง ได้เจ้านายแล้ว พระเจ้ากาสิราชได้ทรงสดับคำ
ของเหล่าอมาตย์ก็เกิดพระปีติปลื้มพระทัย จึงตรัสเรียกมหาเสนาบดีมาตรัสสั่ง
ว่า ท่านมหาเสนาบดีผู้เจริญ ลูกชายของฉันควรจะได้บริวาร ท่านจงไป

ตรวจดูว่า ในเรือนอมาตย์มีทารกเกิดในวันนี้เท่านี้ มหาเสนาบดีรับพระราช-
บัญชาแล้ว ไปตรวจดูเห็นทารกในเรือนอมาตย์ 500 คน จึงกราบทูลให้
ทรงทราบ พระราชาได้ทรงสดับคำของอมาตย์เหล่านั้นก็เกิดพระปีติ จึงมี
ตรัสสั่งให้พระราชทานเครื่องประดับสำหรับกุมาร แก่ทารกทั้ง 500 คน และ
ให้พระราชทานนางนม 500 คน แต่สำหรับพระมหาสัตว์ พระราชาพระ-
ราชทานนางนม 64 นาง ล้วนแต่เป็นนางนมผู้เว้นโทษมีสูงนักเป็นต้น นม
ไม่ยาน น้ำนมมีรสหวาน เว้นนางนมที่มีโทษเช่นนั้น เพราะเหตุไร เพราะ
เมื่อทารกนั่งดื่มนมข้างสตรีที่สูงนัก คือทารกจักยืดยาวเกินไป เมื่อทารกนั่ง
ดื่มนมข้างสตรีเตี้ยนัก กระดูกคอทารกจักหดสั้น เมื่อทารกนั่งดื่มนมข้างสตรี
ผอมนัก ขาทั้งสองของทารกจักเสียดสีกัน เมื่อทารกนั่งดื่มนมข้างสตรีอ้วนนัก
เท้าทั้งสองของทารกจักเพลีย สตรีมีผิวดำนัก น้ำนมเย็นเกินไป สตรีมีผิว
ขาวนัก น้ำนมร้อนเกินไป เมื่อทารกดื่มนมของสตรีนมยาน จมูกจักแฟบ
สตรีเป็นโรคหืด มีน้ำนมเปรี้ยวนัก สตรีเป็นโรคมองคร่อ น้ำนมจักมีรสวิการ
ต่าง ๆ มีเผ็ดจัดเป็นต้น เพราะเหตุนั้น พระเจ้ากาสิกราชทรงเว้นโทษทั้งปวง
เหล่านั้น พระราชทานนางนม 64 คน ที่เว้นจากโทษมีสูงนักเป็นต้น นม
ไม่ยาน น้ำนมมีรสหวาน ทรงทำสักการะให้ได้พระราชทานพร แม้แก่
พระนางจันทาเทวี พระนางรับพระพรแล้วถวายคืนไว้ก่อน ในวันขนานพระนาม
พระโพธิสัตว์ พระเจ้ากาสิกราชทรงทำสักการะเป็นอันมากแก่เหล่าพราหมณ์
ผู้รู้ลักษณะพยากรณ์ แล้วตรัสถามถึงอันตรายของพระมหาสัตว์ พราหมณ์ผู้รู้
ลักษณะพยากรณ์เหล่านั้น เห็นพระลักษณสมบัติแห่งพระโพธิสัตว์ จึงกราบทูล
ว่า พระโอรสของพระองค์สมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะอันอุดมี อย่าว่าแต่ทวีปหนึ่ง
เลย พระโอรสของพระองค์ทรงสามารถครองราชสมบัติ ในมหาทวีปทั้ง 4 มี
ทวีปน้อย 2,000 เป็นบริวาร (จักรพรรดิ) อันตรายอะไร ๆ จะไม่ปรากฏแก่

พระโอรสเลย พระเจ้ากาสิกราชได้ทรงสดับคำของพราหมณ์เหล่านั้น ก็ดี
พระหฤทัย เมื่อทรงขนานพระนามพระกุมาร ได้ทรงขนานพระนามว่า
เตมิยกุมาร เพราะเหตุในวันที่พระกุมารประสูติ ฝนตกทั่วกาสิกรัฐ และเพราะ
พระกุมารประสูติ เป็นเหมือนยังพระหฤทัยแห่งพระราชาและหัวใจแห่ง
หมู่อมาตย์และมหาชนให้ชุ่มชื่น ลำดับนั้น นางนมทั้งหลายยังพระโพธิสัตว์ผู้มี
พระชนม์ได้หนึ่งเดือน ให้สนานประดับองค์แล้ว นำขึ้นเฝ้าพระราชบิดา
พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระปิโยรส ทรงสวมกอดจุมพิตที่พระเศียรแล้ว
ให้ประทับบนพระเพลา ประทับนั่งรื่นรมย์อยู่ด้วยพระกุมาร ขณะนั้นพวก
ราชบุรุษนำโจร 4 คนมาหน้าที่นั่ง พระราชาทอดพระเนตรเห็นโจรเหล่านั้น
แล้ว มีพระราชดำรัสสั่งให้ลงพระอาญาโจรเหล่านั้น ให้เอาหวายทั้งหนาม
เฆี่ยนโจรคนหนึ่ง. 1,000 ที ให้จำโจรคนหนึ่งด้วยโซ่ตรวนแล้วล่งเข้าเรือนจำ
ให้เอาหอกแทงที่สรีระของโจรคนหนึ่ง ให้เอาหลาวเสียบโจรคนหนึ่ง.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ได้ทรงฟังพระดำรัสของพระบิดา ทั้งกลัวทั้ง
สะดุ้ง ทรงจินตนาการว่า โอ พระชนกของเราอาศัยราชสมบัติทำกรรมอัน
หนักเกิน ซึ่งจะไปสู่นรกวันรุ่งขึ้น พระพี่เลี้ยงนางนมทั้งหลายให้พระมหาสัตว์
บรรทมเหนือพระแท่นที่สิริไสยาสน์ ซึ่งตกแต่งแล้วภายใต้เศวตฉัตร พระ-
โพธิสัตว์บรรทมหน่อยหนึ่ง ตื่นบรรทมลืมพระเนตรทั้งสอง ทอดพระเนตร
เศวตฉัตรเห็นสิริราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ ลำดับนั้น ความกลัวอย่างเหลือเกินได้
เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์ ผู้ทั้งกลัวทั้งสะดุ้งอยู่เป็นปกติแล้ว พระองค์ทรงดำริว่า
เราจากที่ไหนมาสู่พระราชมณเฑียรนี้ เมื่อทรงใคร่ครวญดูก็ทรงทราบโดยทรง
ระลึกชาติได้ว่า มาจากเทวโลก เมื่อทรงทอดพระเนตรต่อจากนั้นไปอีก ก็ทอด
พระเนตรเห็นว่าไปไหม้อยู่ในอุสสุทนรก เมื่อทรงทอดพระเนตรต่อจากนั้น

ไปอีก ก็ทรงทราบว่า พระองค์เป็นพระราชาในพระนครนั้นเทียว เมื่อพระ
โพธิสัตว์ทรงพิจารณาอยู่ว่า เราได้ครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี 20 ปี
แล้วไหม้อยู่ในอุสสุทนรก 80,000 ปี บัดนี้เราเกิดในเรือนหลวงดุจเรือนโจร
นี้อีก เมื่อวานนี้ เมื่อเขานำโจร 4 คนมา พระบิดาของเราได้กล่าวผรุสวาจา
เช่นนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้ตกนรก หากว่าเราครองราชสมบัติ ก็จักบังเกิดในนรก
เสวยทุกข์ใหญ่อีก ดังนี้ ได้เกิดความกลัวเป็นอันมาก พระสรีระซึ่งมีวรรณะ
ดุจทองของพระโพธิสัตว์ ได้เหี่ยวมีวรรณะเศร้าหมอง ราวกะว่าดอกปทุมที่
ถูกขยำด้วยมือ ฉะนั้น พระองค์บรรทมจินตนาการอยู่ว่า ทำอย่างไร เราจึงจะ
พ้น จากพระราชมณเฑียร ซึ่งดุจเรือนโจรนี้เสียได้.
คราวนั้น เทพธิดาผู้สิงอยู่ที่เศวตฉัตร เคยเป็นมารดาพระโพธิสัตว์
ในอัตภาพในระหว่างอัตภาพหนึ่ง ปลอบพระโพธิสัตว์ให้สบายพระทัยแล้ว
กล่าวว่า พ่อเตมิยกุมาร พ่ออย่าเศร้าโศก อย่าคิด อย่ากลัวเลย ถ้าพ่อประสงค์
จะพ้นจากพระราชมณเฑียรนี้ พ่อไม่เป็นคนง่อยเปลี้ยเลย ก็จงเป็นเหมือนคน
ง่อยเปลี้ย พ่อไม่เป็นคนหนวก ก็จงเป็นเหมือนคนหนวก พ่อไม่เป็นคนใบ้
ก็จงเป็นเหมือนคนใบ้เถิด พ่อจงอธิษฐานองค์สามเหล่านั้นอย่างนี้แล้ว อย่า
ประกาศความที่พ่อเป็นคนฉลาด เทพธิดากล่าวแล้วจึงกล่าวคาถาที่หนึ่งว่า
พ่ออย่าแสดงว่าเป็นคนฉลาด จงให้ชนทั้งปวง
รู้กันว่าพ่อเป็นคนโง่ ชนในที่นั้น ทั้งหมดจะได้ดูหมิ่น
พ่อว่าเป็นคนกาลกรรณี ความปรารถนาของพ่อจัก
สำเร็จได้ด้วยอุบายอย่างนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา ปณฺฑิจฺจยํ ความว่า จงอย่า
ประกาศความเป็นบัณฑิตของตน อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า ปณฺฑิจฺจํ ความก็

อย่างนี้แหละ. บทว่า พาลมโต แปลว่า รู้กันว่าเป็นคนโง่. บทว่า สพฺพ-
ปาณินํ
ได้แก่ อันเหล่าสัตว์ทั้งปวง คือ ชนทั้งหลาย. บทว่า สพฺโพ
ตญฺชโน
ได้แก่ ทั้งชนภายในทั้งชนภายนอกทั้งสิ้น. บทว่า โอจินายตุ
ได้แก่ จงเข้าใจต่ำ คือจงดูหมิ่นว่า พวกท่านจงนำคนกาลกรรณีนั้นออกไป.
พระโพธิสัตว์กลับได้ความอุ่นพระหฤทัย เพราะคำของเทพธิดานั้น
จึงกล่าวคาถาที่สองว่า
ดูก่อนเทพธิดา ข้าพเจ้าจะทำตามคำของท่าน
ที่ท่านกล่าวกะข้าพเจ้า ข้าแต่แม่เทพธิดา ท่านเป็นผู้
ใคร่ประโยชน์ เป็นผู้ใคร่เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า.

ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว พระโพธิสัตว์ได้อธิษฐานองค์สามเหล่านั้น
เทพธิดานั้นก็อันตรธานหายไป.
ลำดับนั้น พระเจ้ากาสิกราชมีพระดำริว่า ลูกควรจะได้กุมาร 500
เหล่านั้นเป็นบริวารเพื่อเป็นที่พอใจ จึงรับสั่งให้กุมารทั้ง 500 เหล่านั้นนั่งอยู่ใน
สำนักของพระโพธิสัตว์ ทารกเหล่านั้นร้องไห้อยากดื่มน้ำนม ส่วนพระมหาสัตว์
ถูกความกลัวนรกคุกคาม ทรงดำริว่า จำเดิมแต่วันนี้ กายของเราแม้เหือดแห้ง
ตายเสียเลย ยังประเสริฐกว่า ดำริดังนี้ จึงไม่ทรงกันแสง นางนมทั้งหลาย
กราบทูลประพฤติเหตุนั้นแด่พระนางจันทาเทวี พระนางก็กราบทูลแด่พระราชา
พระราชารับสั่งให้เรียกเหล่าพราหมณ์ผู้รู้ทำนายนิมิตมาตรัสถาม พราหมณ์
ทั้งหลายได้กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ นางนมควรจะถวายน้ำนมแด่พระ-
กุมาร ให้ล่วงเวลาตามปกติ เมื่อทำอย่างนี้ พระกุมารจะทรงกันแสง จับ
นมมั่นเสวยเองทีเดียว ตั้งแต่นั้น นางนมทั้งหลายเมื่อถวายก็ถวายน้ำนมแด่
พระโพธิสัตว์ ล่วงเวลาตามปกติ บางคราวถวายล่วงเวลาวาระหนึ่ง บางคราว
ไม่ถวายน้ำนมตลอดทั้งวัน พระโพธิสัตว์ถูกความกลัวนรกคุกคาม แม้พระกาย

เหี่ยวแห้ง ก็ไม่ทรงกันแสงอยากเสวยนม ลำดับนั้น พระนางจันทาเทวีเห็น
พระโพธิสัตว์ไม่ทรงกันแสง ก็ทรงพระดำริว่า ลูกเราหิว จึงให้ดื่มน้ำพระถัน
ของพระนางเอง บางคราวนางนมทั้งหลายให้ดื่มน้ำนั้น เหล่าทารกที่เหลือต่าง
ร้องไห้ ไม่นอนในเวลาไม่ได้ดื่มน้ำนม พระโพธิสัตว์ไม่ทรงกันแสง ไม่ทรง
คร่ำครวญ ไม่บรรทม ไม่คู้พระหัตถ์และพระบาท ไม่เปล่งพระวาจา ครั้งนั้น
นางนมทั้งหลายคิดกันว่า ธรรมดามือและเท้าของคนง่อยเปลี้ยไม่เป็นอย่างนี้
ปลายคางของคนใบ้ไม่เป็นอย่างนี้ ช่องหูของคนหนวกก็ไม่เป็นอย่างนี้ จะต้อง
มีเหตุในพระกุมารนี้ พวกเราจักทดลองพระกุมาร จึงไม่ถวายน้ำนมแด่
พระโพธิสัตว์นั้นตลอดทั้งวัน ด้วยประสงค์ว่า จักทดลองพระกุมารด้วยเรื่อง
นมก่อน พระโพธิสัตว์แม้เหี่ยวแห้งก็ไม่ทรงกันแสงอยากเสวยนม ครั้งนั้น
พระชนนีของพระโพธิสัตว์ตรัสสั่งให้นางนมถวายนม ด้วยพระราชเสาวนีย์ว่า
ลูกฉันหิว จงให้น้ำนมแก่เขา นางนมเหล่านั้น แม้ทดลองไม่ถวายน้ำนมใน
ระหว่าง ๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุณของพระโพธิสัตว์
ลำดับนั้น หมู่อมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารกอายุขวบหนึ่ง
ชอบกินขนมและของเคี้ยว พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยนมและ
ของเคี้ยว กราบทูลดังนี้แล้วไห้กุมารทั้ง 500 คนเหล่านั้น นั่งใกล้ ๆ พระราช
กุมาร นำขนมและของเคี้ยวต่าง ๆ เข้าไปวางไว้ใกล้ ๆ พระมหาสัตว์ กล่าวว่า
ท่านทั้งหลายจงถือเอาขนมและของเคี้ยวเหล่านั้นตามชอบใจ แล้วพากันยืน
แอบดูอยู่ พวกทารกที่เหลือทะเลาะยื้อแย่งกันและกัน ถือเอาขนมและของเคี้ยว
มาเคี้ยวกิน ฝ่ายพระมหาสัตว์ทรงโอวาทพระองค์ว่า แน่ะพ่อเตมิยกุมาร ถ้า
เจ้าประสงค์นรก ก็จงประสงค์ขนมและของเคี้ยว เป็นผู้กลัวภัยในนรก จึงไม่
ทอดพระเนตรดูขนมและของเคี้ยวเลย แม้ทดลองด้วยขนมและของเคี้ยวใน
ระหว่าง ๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.

แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช ธรรมดา
ทารกสองขวบชอบผลไม้น้อยใหญ่ พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วย
ผลไม้ กราบทูลดังนี้แล้ว นำผลไม้น้อยใหญ่ต่าง ๆ เข้าไปวางไว้ใกล้ ๆ
พระโพธิสัตว์ แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงถือเอาผลไม้น้อยใหญ่เหล่านั้น
ตามชอบใจเถิด แล้วพากันยืนแอบดูอยู่ เหล่าทารกที่เหลือต่างต่อสู้ทุบตีกัน
และกัน ถือเอาผลไม้เหล่านั้นเคี้ยวกินอยู่ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็โอวาทพระองค์ว่า
แน่ะพ่อเตมิยกุมาร ถ้าเจ้าประสงค์นรก ก็จงประสงค์ผลไม้น้อยใหญ่ทั้งหลาย
เป็นผู้ถูกภัยในนรกคุกคาม ไม่ทอดพระเนตรดูผลไม้น้อยใหญ่เลย แม้ทดลอง
ด้วยผลไม้น้อยใหญ่ในระหว่าง ๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธ
ของพระโพธิสัตว์.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช ธรรมดา
ทารกสามขวบชอบของเล่น พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยของเล่น
กราบทูลดังนี้แล้ว จึงให้ทำรูปช้างเป็นต้น สำเร็จด้วยทองเป็นต้น วางไว้ใกล้ ๆ
พระโพธิสัตว์ เหล่าทารกที่เหลือต่างแย่งกันและกันถือเอา ฝ่ายพระมหาสัตว์
ไม่ทรงทอดพระเนตรดูอะไร ๆ เลย แม้ทดลองด้วยของเล่นในระหว่าง ๆ
อย่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปี ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช ธรรมดา
ทารกสี่ขวบชอบโภชนาหาร พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยโภชนาหาร
กราบทูลดังนี้แล้ว จึงน้อมโภชนาหารต่าง ๆ เข้าถวายพระมหาสัตว์ แม้เหล่า
ทารกที่เหลือต่างก็ทำเป็นคำ ๆ บริโภค ฝ่ายพระมหาสัตว์ทรงโอวาทพระองค์
ว่า แน่ะพ่อเตมิยกุมาร อัตภาพของเจ้าที่ไม่ได้โภชนะบริโภคนับไม่ถ้วน
ทรงกลัวภัยนรก มิได้ทอดพระเนตรดูโภชนาหารนั้น ลำดับนั้น พระชนนีของ

พระโพธิสัตว์ เป็นผู้เหมือนมีพระหฤทัยแตกทำลาย ให้พระโอรสเสวย
โภชนาหารด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แม้ทดลองด้วยโภชนาหารในระหว่าง ๆ
อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ธรรมดาทารกห้าขวบย่อม
กลัวไฟ พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยไฟ กราบทูลดังนี้แล้ว ให้
ทำเรือนใหญ่มีหลายประตู ทำพระลานหลวง มุงด้วยใบตาล ให้พระมหาสัตว์
ซึ่งแวดล้อมด้วยเหล่าทารกที่เหลือ นั่งท่ามกลางทารกเหล่านั้นแล้วจุดไฟ
เหล่าทารกที่เหลือเห็นเรือนไฟลุกโพลง ทั้งกลัวทั้งสะดุ้ง ต่างร้องลั่นวิ่งหนีไป
ฝ่ายพระมหาสัตว์ทรงดำริว่า ความร้อนแห่งเพลิงนี้ ยังดีกว่าไหม้ด้วยไฟนรก
พระมหาสัตว์มิได้มีความหวั่นไหวเลย เหมือนพระมหาเถระผู้เข้านิโรธสมาบัติ
ครั้นเมื่อเพลิงลุกลามมา อมาตย์ทั้งหลายก็อุ้มพระโพธิสัตว์ออกไป แม้ทดลอง
ด้วยไฟในระหว่าง ๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระ-
โพธิสัตว์.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช ธรรมดา
ทารกหกขวบย่อมกลัวช้างตกมัน พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยช้าง
ตกมัน กราบทูลดังนี้แล้ว ให้ฝึกช้างเชือกหนึ่งซึ่งฝึกอย่างดี ให้พระโพธิสัตว์
ซึ่งแวดล้อมด้วยเหล่าทารกที่เหลือ ประทับ นั่ง ณ พระลานหลวง แล้วปล่อย
ช้าง ช้างนั้นบันลือเสียงโกญจนาท เอางวงตีพื้นดินสำแดงภัยมา เหล่าทารก
ที่เหลือเห็นช้างตกมันก็กลัวมรณภัย จึงวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ฝ่ายพระ-
มหาสัตว์เห็นช้างตกมันนั้นมา ทรงคิดว่า เราตายเสียที่งาช้างตกมันตัวดุร้าย
ยังประเสริฐกว่าไหม้ในนรกอันร้ายกาจ พระมหาสัตว์ถูกภัยนรกคุกคาม
ประทับนั่งตรงนั้นเองไม่หวั่นไหวเลย ลำดับนั้น ช้างที่ฝึกดีแล้วนั้นแล่นเข้ามา
จับพระมหาสัตว์ เหมือนจับกำดอกไม้ วิ่งไปวิ่งมาทำให้พระมหาสัตว์ลำบากยิ่ง

มหาชนรับ พระมหาสัตว์จากงวงช้างแล้วนำออกไป แม้ทดลองด้วยช้างตกมัน
ในระหว่าง ๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์
พระราชาตรัสถามพวกราชบุรุษว่า พวกท่านรับพระกุมารนำออกไปในเวลามา
พระกุมารไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่ ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย
พระเจ้าข้า ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารก
เจ็ดขวบย่อมกลัวงู พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยงู กราบทูลดังนี้
แล้ว จึงให้พระมหาสัตว์กับเหล่าทารกที่เหลือนั่งที่พระลานหลวง ปล่อยงู
ทั้งหลายซึ่งถอนเขี้ยวแล้ว เย็บปากแล้ว ในกาลที่พระโพธิสัตว์ประทับนั่ง
แวดล้อมไปด้วยเหล่าทารกที่เหลือ ทารกที่เหลือทั้งหลายเห็นงูดุร้ายเหล่านั้น
ก็ร้องลั่นวิ่งหนีไป ฝ่ายพระมหาสัตว์ทรงพิจารณาภัยในนรก ทรงดำริว่า
ความพินาศไปในปากของงูดุร้าย ยังดีกว่าตายในนรกอันตรายกาจ ดังนี้แล้ว
จึงทรงนิ่งเฉยเหมือนเข้านิโรธสมาบัติ คราวนั้นงูทั้งหลายก็เลื้อยมารัดพระสกล-
กายของพระมหาสัตว์ แผ่พังพานอยู่บนพระเศียรของพระมหาสัตว์ แม้ในกาล
นั้น พระมหาสัตว์ก็มิได้หวั่นไหวเลย แม้ทดลองด้วยงูในระหว่าง ๆ อย่างนี้
เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์ พระราชาตรัสถาม
พวกราชบุรุษว่า พวกท่านรับพระกุมารนำออกไปในเวลามา พระกุมารไหว
มือหรือเท้าบ้างหรือไม่ ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า
ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารก
แปดขวบย่อมชอบมหรสพฟ้อนรำ พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วย
มหรสพฟ้อนรำ กราบทูลดังนี้แล้ว ให้พระกุมารประทับนั่ง ณ พระลานหลวง

กับทารก 500 คน แล้วให้แสดงมหรสพฟ้อนรำ เหล่าทารกที่เหลือเห็น
มหรสพฟ้อนรำแล้ว ต่างกล่าวว่า ดี ดี พากันหัวเราะเฮฮา ส่วนพระมหาสัตว์
ทรงพิจารณาภัยในนรกว่า ในเวลาที่เราบังเกิดในนรก ความรื่นเริงหรือโสมนัส
ไม่มีแม้ชั่วขณะหนึ่ง จึงนิ่งเฉยมิได้ทอดพระเนตรดูอะไร ๆ นั้นเลย แม้ทดลอง
ด้วยมหรสพฟ้อนรำในระหว่าง ๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความ
พิรุธของพระโพธิสัตว์ พระราชาตรัสถามพวกราชบุรุษว่า พวกท่านรับพระ-
กุมารนำออกไปในเวลามา พระกุมารไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่ ราชบุรุษ
ทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลยพระเจ้าข้า ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารก
เก้าขวบย่อมกลัวศัสตรา พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยศัสตรา จึง
ให้พระมหาสัตว์ประทับนั่ง พระลานหลวงกับทารก 500 คน ในเวลาที่
ทารก 500 คนกำลังเล่นกันอยู่ บุรุษผู้หนึ่งถือดาบมีสีดังแก้วผลึก กวัดแกว่ง
บันลือ โห่ร้อง โลดเต้น ปรบมือ ยักเยื้องท่าทาง ขู่ตวาดว่า ได้ยินว่า
ราชโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้ากาสิกราช เป็นกาลกรรณี เขาอยู่ไหน เราจัก
เอาดาบตัดศีรษะเขา วิ่งกล่าวอยู่ดังนี้ เหล่าทารกที่เหลือเห็นดังนั้น ทั้งกลัว
ทั้งสะดุ้ง ร้องลั่นวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ส่วนพระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาภัย
ในนรก ทรงเห็นว่า พินาศเสียในคมดาบอันร้ายกาจ ยังดีกว่ากายในอุสสุทนรก
ดังนี้ ประทับนั่งเหมือนไม่ทรงทราบ ลำดับนั้น บุรุษนั้นเอาดาบจดลงที่ศีรษะ
แล้วกล่าวกะพระมหาสัตว์ว่า เราจักตัดศีรษะท่าน แม้ทำให้พระมหาสัตว์สะดุ้ง
ก็ไม่สามารถจะให้สะดุ้งได้ จึงหลีกไป แม้ทดลองด้วยดาบในระหว่าง ๆ อย่างนี้
เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์ พระราชาตรัสถาม
พวกราชบุรุษอย่างนี้ว่า พวกท่านรับพระกุมารนำออกไปในเวลามา พระกุมาร

ไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่ ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย
พระเจ้าข้า ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารกสิบขวบ
ย่อมกลัวเสียง ควรจะใช้เสียงทดลองพระกุมารว่าหนวกหรือไม่ กราบทูลดังนี้
แล้ว จึงให้แวดวงที่บรรทมด้วยม่าน ทำช่องไว้สี่ข้าง ให้คนเป่าสังข์นั่งอยู่ใต้
ที่บรรทม ไม่ให้พระโพธิสัตว์เห็นตัว ให้เป่าสังข์ขึ้นพร้อมกัน ได้มีเสียง
กังวานพร้อมกัน นางนมทั้งหลายให้พระมหาสัตว์ บรรทมเหนือที่บรรทม อมาตย์
4 คน ยืนอยู่ที่ข้างทั้ง 8 แลดูอิริยาบถของพระมหาสัตว์ตามช่องม่าน มิได้
เห็นวิการแห่งพระหัตถ์พระบาท หรือเพียงกระดิกไหว อันเผลอพระสติของ
พระมหาสัตว์ แม้วันหนึ่ง พระราชาตรัสถามพวกราชบุรุษว่า ลูกของเราไหว
มือหรือเท้าบ้างหรือไม่ ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า
ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร แม้ทดลองด้วยเป่าสังข์ ในระหว่าง ๆ
อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์เลย.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารก
สิบเอ็ดขวบย่อมกลัวเสียงกลอง ควรจะทดลองพระกุมารด้วยเสียงกลอง (เมื่อ-
ล่วงไปหนึ่งปี) อมาตย์ทั้งหลายแม้ทดลองด้วยเสียงกลองในระหว่าง ๆ อย่าง
นั้นแลเป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารก
สิบสองขวบย่อมกลัวประทีป พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยประทีป
กราบทูลดังนี้แล้ว ให้พระโพธิสัตว์บรรทมในที่มืดเวลาราตรี คิดว่า พระ
กุมารจะยังพระหัตถ์หรือพระบาทให้ไหวหรือไม่หนอ ทำประทีปให้ลุกโพลงใน
หม้อทั้งหลาย ให้ดับประทีปอื่น ๆ เสีย ให้พระโพธิสัตว์บรรทมหน่อยหนึ่ง

ในที่มืด แล้วยกหม้อประทีปน้ำมันทั้งหลายขึ้น ทำให้สว่างพร้อมกันทีเดียว
พิจารณาดูอิริยาบถของพระโพธิสัตว์ ก็มิได้เห็นแม้สักว่าความไหวพระกายของ
พระมหาสัตว์ แม้ทดลองด้วยประทีปในระหว่าง ๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง
ก็มิได้เห็นแม้เพียงความไหวอะไร ๆ ของพระโพธิสัตว์ พระราชาตรัสถาม
พวกราชบุรุษว่า ลูกของเราไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่ ราชบุรุษทั้งหลาย
กราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารก
สิบสามขวบย่อมกลัวแมลงวัน พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยน้ำอ้อย
กราบทูลดังนี้แล้ว จึงเอาน้ำอ้อยทาทั่วพระสรีระพระโพธิสัตว์ แล้วให้บรรทม
ในสถานที่มีแมลงวันชุกชุม เลี้ยงบำรุงแมลงวันทั้งหลาย แมลงวันเหล่านั้นก็
ตอมพระสรีระทั้งสิ้นแห่งพระโพธิสัตว์ กินน้ำอ้อยดุจแทงด้วยเข็มเป็นอันมาก
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า เราตายในปากแมลงวันทั้งหลายดีกว่าตายในนรกอเวจี
จึงอดกลั้นทุกขเวทนา ไม่หวั่นไหวเลย ดุจพระมหาเถระเข้านิโรธสมาบัติ แม้
ทดลองด้วยน้ำอ้อยในระหว่าง ๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นแม้เพียง
ความไหวอะไร ๆ ของพระโพธิสัตว์ พระราชาตรัสถามพวกราชบุรุษว่า
ลูกของเราไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่ ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้
เลย พระเจ้าข้า ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ เมื่อเวลาทารกมี
อายุได้สิบสี่ขวบก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว บัดนี้พระกุมารนี้เป็นผู้ใหญ่ ใคร่ของสะอาด
รังเกียจของโสโครก พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยของโสโครก
กราบทูลดังนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ไม่สรงสนานพระโพธิสัตว์ ไม่จัดให้ลงบังคน
ไม่ช่วยให้ลุกจากที่บรรทม พระโพธิสัตว์ก็ลงบังคนหนักเบาบรรทมเกลือกกลั้ว
อยู่ในที่นั้นนั่นเอง ก็เพราะกลิ่นเหม็น กาลนั้น ได้เป็นเสมือนกาลสำแดงพระ

อัธยาศัยภายในแห่งพระโพธิสัตว์ออกมาภายนอก แมลงวันทั้งหลายก็มาตอม
กินอยู่ที่พระสรีระของพระโพธิสัตว์ คราวนั้น พระชนกพระชนนีประทับนั่งล้อม
พระโพธิสัตว์ ตรัสอย่างนี้ว่า พ่อเตมิยกุมาร บัดนี้พ่อก็โตแล้ว ใครเขาจะ
ประคับประคองพ่อเสมอไป พ่อไม่ละอายหรือ พ่อนอนอยู่ทำไม ลุกขึ้นชำระ
ร่างกายซิ แล้วตรัสตัดพ้อบริภาษ พระโพธิสัตว์ แม้จมอยู่ในกองคูถซึ่ง
ปฏิกูลอย่างนั้น ก็ทรงวางพระอารมณ์เป็นกลาง เพราะทรงพิจารณาเห็นความ
มีกลิ่นเหม็นของคูถนรก ซึ่งสามารถฟุ้งตลบขึ้นในใจของผู้ที่แม้ยืนอยู่ในที่สุด
ของร้อยโยชน์ เพราะมีกลิ่นเหม็น แม้ทดลองด้วยของโสโครกในระหว่าง ๆ
อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารก
สิบห้าขวบย่อมกลัวความร้อน พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยถ่าน
เพลิง ลำดับนั้น อมาตย์ทั้งหลายได้วางกระเบื้องเต็มด้วยไฟไว้ใต้พระแท่นของ
พระโพธิสัตว์ ด้วยคิดว่า อย่างไรเสีย พระกุมารถูกความร้อนเบียดเบียน
เสวยทุกขเวทนา เมื่ออดกลั้นทุกขเวทนาไม่ได้ ก็พึงแสดงความกระดิกไหว
พระหัตถ์หรือพระบาทบ้าง นางนมทั้งหลายให้พระมหาสัตว์บรรทมเหนือพระ
แท่นแล้วออกมาเสีย พระมหาสัตว์ถูกความร้อนเบียดเบียน เปลวไฟปรากฏ
เหมือนลุกโพลงทั่วพระสรีระของพระมหาสัตว์ แม้พระมหาสัตว์ก็ทรงโอวาท
พระองค์เองว่า แน่ะพ่อเตมิยกุมาร ความร้อนในนรกอเวจีแผ่ไปตั้งร้อยโยชน์
ทำลายนัยน์ตาของบรรดาสัตว์ที่อยู่ในที่ร้อยโยชน์ได้ ความร้อนแห่งเพลิงนี้ยัง
ดีกว่าความร้อนในนรกนั้น ตั้งร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า ดังนี้แล้วทรงอด
กลั้นความร้อนนั้นเสีย มิได้หวั่นไหวเลย เหมือนผู้เข้านิโรธสมาบัติ ลำดับ
นั้น พระชนกพระชนนีของพระโพธิสัตว์ ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ถูก

ความทุกข์เบียดเบียน ก็เป็นเหมือนพระหฤทัยจักแตก จึงแหวกฝูงชนเข้าไป
นำพระโพธิสัตว์ออกมาจากความร้อนของไฟนั้น แล้วตรัสวิงวอนพระโพธิสัตว์
ว่า พ่อเตมิยกุมาร พวกเรารู้ว่ามิใช่คนง่อยคนเปลี้ยเป็นต้น เพราะคนพิการ
เหล่านั้นมิได้มี มือ เท้า ปาก และช่องหูอย่างนี้ พ่อเป็นบุตรที่พวกเราปรารถนา
จึงได้ พ่ออย่าให้พวกเราฉิบหายเลย พ่อจงเปลื้องพวกเราจากครหาแก่สำนัก
พระราชาทั่วชมพูทวีปเถิด แม้พระชนกพระชนนี วิงวอนถึงอย่างนี้ พระ
โพธสัตว์ก็บรรทมนิ่ง เหมือนมิได้ทรงสดับพระวาจานั้น ลำดับนั้น พระชนก
พระชนนี ของพระโพธิสัตว์ก็ทรงกันแสงเสด็จหลีกไป บางคราวพระชนกของ
พระโพธิสัตว์ แต่พระองค์เดียวเสด็จเข้าไปวิงวอนพระโพธิสัตว์ บางคราวก็
พระชนนีแต่พระองค์เดียวเสด็จเข้าไปวิงวอนพระโพธิสัตว์ บางคราวทั้งสอง
พระองค์เสด็จเข้าไปวิงวอนด้วยกัน แม้ทดลองด้วยถ่านเพลิงในระหว่าง ๆ
อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
ลำดับนั้น กาลเมื่อพระโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้สิบหกพรรษา หมู่
อมาตย์และพราหมณ์เป็นต้น คิดกันว่า พระกุมารเป็นง่อยเปลี้ยก็ตาม เป็น
ใบ้ก็ตาม เป็นคนหนวกก็ตาม หรือไม่เป็นก็ตาม จงยกไว้ เมื่อวัยเปลี่ยน
แปรไป บุคคลชื่อว่าไม่กำหนัดในอารมณ์ที่น่ากำหนัด ย่อมไม่มี ชื่อว่าไม่ดู
ในอารมณ์ที่น่าดู ย่อมไม่มี ชื่อว่าไม่ยินดีในอารมณ์ที่น่ายินดี ย่อมไม่มี เมื่อ
ถึงคราวแล้ว ความกำหนัดยินดีนี้ย่อมมีเป็นธรรมดา เหมือนความแย้ม บาน
ของดอกไม้ฉะนั้น พวกเราจักให้เหล่านางสนมนักฟ้อนรำบำเรอพระกุมาร
ทดลองพระกุมารด้วยนางสนมนักฟ้อนรำเหล่านั้น ลำดับนั้น พระเจ้ากาสิก
ราชมีรับสั่งให้เรียกหญิงฟ้อนรำ ทรงรูปอันอุดม สมบูรณ์ด้วยความงามดังเทพ
อัปสร ตรัสกะหญิงทั้งหลายว่า บรรดาเธอทั้งหลาย หญิงใดสามารถทำให้

พระกุมารร่าเริง หรือผูกพันไว้ด้วยอำนาจกิเลสได้ หญิงนั้นจักได้เป็นอัคร-
มเหสีของพระกุมารนั้น นางนมทั้งหลายสรงสนานพระกุมารด้วยน้ำหอม ตก
แต่งพระกุมารราวกะเทพบุตร ให้บรรทมบนพระที่สิริไสยาสน์ที่ตกแต่งไว้ดีแล้ว
ในห้องมีสิริเช่นกับเทพวิมาน ทำให้เป็นที่ลุ่มหลงเพราะกลิ่นหอมอย่างเอก
ภายในห้อง ด้วยพวงของหอม พวงระเบียบดอกไม้ พวงบุปผชาติและจุรณ์
แห่งธูปและเครื่องอบเป็นต้น แล้วหลีกไป ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นพากัน
แวดล้อมพระโพธิสัตว์ พยายามให้พระโพธิสัตว์อภิรมย์ด้วยการฟ้อนรำ ขับ
ร้องบ้าง ด้วยกล่าวคำไพเราะเป็นต้นบ้าง. มีประการต่าง ๆ เพราะความที่
พระโพธิสัตว์เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยพระปรีชา พระองค์จึงมิได้ทอดพระเนตรดู
หญิงเหล่านั้น ทรงอธิษฐานว่า หญิงเหล่านั้นอย่าได้ถูกต้องสรีระของเรา แล้ว
ทรงกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ ครั้งนั้น พระสรีระของพระโพธิสัตว์แข็งกระด้าง
หญิงเหล่านั้นเมื่อไม่ได้ถูกต้องพระสรีระของพระโพธิสัตว์ คิดว่า พระกุมารนี้
มีสรีระแข็งกระด้าง คงไม่ใช่มนุษย์ จักเป็นยักษ์ ทั้งกลัวทั้งสะดุ้ง ไม่อาจที่
จะดำรงตนอยู่ได้ จึงพากันหนีไป แม้ทดลองด้วยหญิงทั้งหลายในระหว่าง ๆ
อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์ หมู่อมาตย์
พราหมณ์ พระราชา แม้ทดลองด้วยการทดลองอย่างใหญ่สิบหกครั้ง และ
ด้วยการทดลองอย่างน้อยมากครั้งอย่างนี้ ก็ไม่สามารถจะกำหนดจับพิรุธของ
พระโพธิสัตว์นั้นได้ ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามหญิงทั้งหลายว่า แม่มหา-
จำเริญทั้งหลาย ลูกของเราหัวเราะกับพวกเธอบ้างหรือไม่ หญิงทั้งหลายกราบ
ทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า พระราชาทรงสดับคำของหญิงเหล่านั้นแล้ว
ทรงร้อนพระหฤทัย เพราะเหตุนั้นมีรับสั่งให้เรียกพวกพราหมณ์ผู้ทำนาย
ลักษณะมาตรัสว่า ท่านพราหมณ์ผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อพระกุมารประสูติ พวก

ท่านบอกแก่เราว่า พระกุมารนี้สมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะอันอุดม อันตรายไม่มี
แก่พระกุมารนี้ บัดนี้ พระกุมารนั้นเป็นทั้งง่อยเปลี้ย เป็นทั้งใบ้ทั้งหนวก
ถ้อยคำของพวกท่านไม่ทำให้เรายินดีเลย ลำดับนั้น พราหมณ์ทั้งหลายกราบ
ทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช ขึ้นชื่อว่านิมิตที่อาจารย์ทั้งหลายของพวก
ข้าพระองค์ไม่เห็น ย่อมไม่มี อีกประการหนึ่ง พระกุมารนี้เป็นโอรสที่ราช
ตระกูลทั้งหลายปรารถนาจึงได้มา เมื่อพวกข้าพระองค์กราบทูลว่าเป็นกาล-
กรณี ความโทมนัสก็จะพึงมีแด่พระองค์ เพราะเหตุนั้นพวกข้าพระองค์จึงไม่
กราบทูล พระราชาตรัสถามว่า บัดนี้ควรจะทำอย่างไร พราหมณ์เหล่านั้น
กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าเมื่อพระกุมารอยู่ในราชมณเฑียรนี้ จะ
ปรากฏอันตราย 3 อย่าง คือ อันตรายแห่งชีวิต อันตรายแห่งเศวตฉัตร
อันตรายแห่งพระอัครมเหสี เพราะฉะนั้น ควรที่พระองค์จะชักช้าไม่ได้ โปรด
ให้จัดรถอวมงคล เทียมม้าอวมงคล ให้พระกุมารบรรทมบนรถนั้น นำออก
ทางประตูทิศตะวันตก ฝังเสียในป่าช้าผีดิบ พระราชาได้ทรงสดับคำของ
พราหมณ์เหล่านั้น ทรงกลัวภยันตราย จึงโปรดให้ทำอย่างนั้น กาลนั้นพระ
นางจันทาเทวีได้ทรงสดับประพฤติเหตุนั้น จึงรีบเสด็จเข้าเฝ้าพระราชาแต่พระ
องค์เดียว ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์ได้พระราช
ทานพรแก่หม่อมฉันไว้ หม่อมฉันรับแล้ว ถวายฝากพระองค์ไว้ ขอพระองค์
โปรดพระราชทานพรนั้น แก่หม่อมฉันในบัดนี้ พระราชาตรัสว่า จงรับเอาซิ
พระเทวี พระนางกราบทูลว่า ขอพระองค์ โปรดพระราชทานราชสมบัติแก่
ลูกของหม่อมฉันเถิด ตรัสว่า ให้ไม่ได้ พระเทวี ทูลถามว่า เพราะเหตุไร
ตรัสว่า ลูกของเราเป็นกาลกรรณี ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ถ้าไม่พระราชทาน
ตลอดชีวิต ขอได้โปรดพระราชทานราชสมบัติเจ็ดปี ตรัสว่า ให้ไม่ได้ พระ
เทวี ทูลว่า ถ้าเช่นนั้น ขอได้โปรดพระราชทานราชสมบัติหกปี พระเจ้าข้า

ตรัสว่า ให้ไม่ได้ พระเทวี ทูลว่า ถ้าเช่นนั้น ขอได้โปรดพระราชทาน
ราชสมบัติห้าปี พระเจ้าข้า ตรัสว่า ให้ไม่ได้ พระเทวี พระนางจันทา-
เทวีทูลขอราชสมบัติลดเวลาลงเป็นลำดับ คือสี่ปี สามปี สองปี ปีเดียว
เจ็ดเดือน หกเดือน ห้าเดือน สี่เดือน สามเดือน สองเดือน เดือนเดียว
ครึ่งเดือน จนถึงเจ็ดวัน พระราชาจึงพระราชทานอนุญาต พระนางจึงให้ตก
แต่งพระโอรสแล้วอภิเษกว่า ราชสมบัตินี้เป็นของเตมิยกุมาร ให้ป่าวร้องทั่ว
พระนคร ให้ประดับพระนครทั้งสิ้น ให้พระโอรสประทับบนคอช้าง ให้ยก
เศวตฉัตรเบื้องบนพระเศียรพระโอรส ทำประทักษิณพระนคร ให้พระโอรส
ผู้เสด็จมาบรรทมบนพระยี่ภู่อันมีสิริ ตรัสวิงวอนตลอดคืนและวัน ถึงห้าวันว่า
พ่อเตมิยะ แม่ไม่เป็นอันหลับนอนร้องไห้อยู่ ถึงสิบหกปีเพราะพ่อ ดวงตา
ทั้งสองของแม่ฟกช้ำ หัวใจของแม่เหมือนจะแตกด้วยความโศก แม่รู้ว่าพ่อ
ไม่ใช่ง่อยเปลี้ยเป็นต้นเลย พ่ออย่าทำให้แม่หาที่พึ่งมิได้เลย ครั้นถึงวันที่หก
พระราชารับสั่งให้หานายสารถี ชื่อสุนันทะ มาตรัสสั่งว่า พ่อสุนันทสารถี
พรุ่งนี้ เจ้าจงเทียมม้าอวมงคลคู่หนึ่ง ที่รถอวมงคลแต่เช้าทีเดียว ให้พระ-
กุมารนอนบนรถนั้น นำลอกทางประตูทิศตะวันตก ประกาศว่าคนกาลกรรณี
จงขุดหลุมสี่เหลี่ยมที่ป่าช้าผีดิบ ใส่พระกุมารในหลุมนั้นแล้ว เอาสันจอบทุบ
ศีรษะให้ตาย กลบดินข้างบนทำดินให้พูนขึ้นอาบน้ำแล้วกลับมา นายสารถีทูล
รับ พระราชดำรัสว่า ดีแล้ว พระเทวีได้สดับดังนั้น ก็เป็นเหมือนพระหฤทัย
แตกทำลาย เสด็จไปสำนักพระโอรส วิงวอนพระกุมารตลอดราตรี ตรัสว่า
พ่อเตมิยะ พระเจ้ากาสิกราช พระบิดาของพ่อ มีพระราชดำรัสสั่งให้ฝังพ่อใน
ป่าช้าผีดิบในวันพรุ่งนี้ แต่เช้าทีเดียว พ่อจะตายแต่เช้าพรุ่งนี้น๊ะลูก พระมหา-
สัตว์ได้สดับดังนั้น ก็มีพระมนัสยินดี ทรงดำริว่า พ่อเตมิยะ ความพยายาม
ที่เจ้าทำมาสิบหกปี จะถึงที่สุดแห่งมโนรถของเจ้าในวันพรุ่งนี้แล้ว เมื่อพระ

มหาสัตว์ทรงดำริอยู่อย่างนี้ ก็เกิดปีติขึ้นขึ้นภายในพระกมล ส่วนพระหฤทัย
ของพระมารดาพระมหาสัตว์ ได้เป็นทุกข์เหมือนจะแตกทำลาย แม้เมื่อเป็น
เช่นนั้น พระมหาสัตว์ก็ทรงดำริว่า ถ้าเราจักพูด มโนรถของเราก็จักไม่ถึงที่
สุด ดังนี้จึงไม่ตรัสกับพระชนนีนั้น ลำดับนั้น ครั้นราตรีนั้นล่วงไปรุ่งขึ้นเช้า
พระเทวีสรงสนานพระมหาสัตว์ ตกแต่งองค์แล้วให้ประทับนั่งบนพระเพลา
ประทับนั่งสวมกอดพระมหาสัตว์นั้น ครั้งนั้น นายสุนันทสารถีเทียมรถแต่เช้า
ทีเดียว เทวดาดลใจให้เทียมม้ามงคลที่รถมงคล ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาสัตว์
หยุดรถไว้แทบพระราชทวาร ขึ้นยังพระราชนิเวศน์ เข้าสู่ห้องอันเป็นสิริ
ถวายบังคมพระเทวีแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ขอพระแม่เจ้าอย่าได้กริ้ว
ข้าพระบาท ข้าพระบาทรับพระราชบัญชามา กราบทูลดังนี้แล้ว เอาหลังมือกัน
ให้พระเทวีผู้นั่งสวมกอดพระโอรสอยู่ หลีกไป อุ้มพระกุมารดุจกำดอกไม้ลง
จากปราสาท กาลนั้น พระนางจันทาเทวีสยายพระเกศา ข้อนพระทรวง ทรง
ปริเทวนาการดังสนั่นอยู่กับหมู่นางสนมในปราสาท.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรเห็นพระมารดา ทรงกันแสง
ก็เป็นเหมือนมีพระหฤทัยแตกทำลายเป็นเจ็ดเสี่ยง ทรงดำริว่า เมื่อเราไม่พูด
กับ พระชนนี พระชนนีของเราจักมีพระหฤทัยทำลายวายพระชนม์ จึงทรงใคร่จะ
พูดด้วย แต่ทรงดำริต่อไปว่า ถ้าเราจักพูดกับพระมารดา ความพยายามที่เราทำ
มาสิบหกปี ก็จักหาประโยชน์มิได้ แต่เมื่อไม่พูด เราจักเป็นประโยชน์แก่ตน
เอง แก่พระชนกพระชนนี และแก่มหาชน ทรงดำริดังนี้ จึงทรงกลั้นโศกาดูร
เสียได้ ไม่ตรัสกับพระชนนี.
ลำดับนั้น นายสุนันทสารถีให้พระมหาสัตว์ขึ้นรถแล้ว แม้คิดว่า เรา
จักขับรถตรงไปประตูทิศตะวันตก ถูกเทวดาดลใจด้วยอานุภาพแห่งพระมหา-
สัตว์ ยังรถให้กลับแล้วขับรถตรงไปประตูทิศทะวันออก ครั้งนั้น ล้อรถกระ-

ทบธรณีประตู พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับเสียงนั้น ทรงดำริว่า มโนรถของ
เราถึงที่สุดแล้ว ได้มีพระมนัสแช่มชื่นเป็นอย่างยิ่ง รถแล่นออกจากพระนคร
ไปถึงสถานที่สามโยชน์ ชัฏป่าในที่ทรงนั้น ปรากฏแก่นายสารถีดุจป่าช้าผีดิบ
นายสารถีกำหนดว่า ที่นี้ผาสุก จึงแวะรถจากทางเข้าที่ข้างทาง ลงจากรถ
เปลื้องเครื่องแต่งองค์ของพระมหาสัตว์ ห่อวางไว้ แล้วถือจอบลงมือขุด
หลุมสี่เหลี่ยนในที่ไม่ไกลรถ แต่นั้น พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า กาลนี้เป็นกาลพยา-
ยามของเรา ก็เราพยายามถึงสิบหกปี ไม่ไหวมือและเท้า กำลังของเรายังมีอยู่
หรือว่าไม่มีหนอ ดังนี้แล้วลุกขึ้น ลูบมือขวาด้วยมือซ้าย ลูบมือซ้ายด้วยมือขวา
นวดพระบาททั้งสองด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง เกิดดวงจิต คิดจะลงลากรถ ขณะ
นั้นแผ่นดินได้สูงขึ้นจดท้ายรถ ตรงที่ประดิษฐานพระบาทแห่งพระมหาสัตว์
ดุจผิวฝุ่นที่เต็มด้วยลมฟุ้งขึ้นฉะนั้น. พระมหาสัตว์ เสด็จลงจากรถ ทรงดำเนิน
ไปมาสิ้นเวลาเล็กน้อย ก็ทรงทราบโดยนิยามนี้ว่า เรายังมีกำลังที่จะเดินทาง
ไกลถึงร้อยโยชน์ได้ในวันเดียว เมื่อทรงพิจารณาพระกำลังว่า หากนายสารถี
ประทุษร้ายเรา กำลังของเราที่จะต่อสู้กับนายสารถีมีอยู่หรือหนอ จึงทรงจับ
ท้ายรถยกขึ้น ประทับยืนกวัดแกว่งรถนั้น ดุจจับยานเครื่องเล่นของพวกเด็ก
ฉะนั้น เมื่อทรงกำหนดว่า กำลังที่จะต่อสู้กับนายสารถีของพระองค์ยังมีอยู่
จึงมีพระประสงค์จะได้เครื่องประดับองค์ ในขณะนั้นเองพิภพแห่งท้าวสักกเทว-
ราชได้แสดงอาการร้อน ท้าวสักกะทรงอาวัชนาการก็ทรงทราบเหตุนั้น ทรง
ดำริว่า ความปรารถนาของเตมิยกุมารถึงที่สุดแล้ว บัดนี้ เธอต้องการเครื่อง
ประดับ เครื่องประดับของมนุษย์ เธอจะต้องการทำไม เราจักให้เตมิยกุมาร
ประดับองค์ด้วยเครื่องประดับทิพย์ จึงตรัสเรียกพระวิสสุกรรมเทวบุตรมามอบ
เครื่องประดับทิพย์แล้ว ทรงส่งไปโดยตรัสสั่งว่า ไปเถิด พ่อจงประดับเตมิย-

กุมารราชโอรสของพระเจ้ากาสิกราช ด้วยเครื่องประดับทิพย์. พระวิสสุกรรม
เทพบุตร ฟังคำท้าวสักกะ รับเทวโองการแล้วไปมนุษยโลก ไปยังสำนักพระ
มหาสัตว์ โพกพระเศียรพระมหาสัตว์ด้วยผ้าทิพย์หมื่นรอบ ประดับพระมหา-
สัตว์ให้เป็นเหมือนท้าวสักกะ ด้วยเครื่องประดับทั้งเป็นของทิพย์และของมนุษย์
แล้วกลับไปที่อยู่ของตน พระมหาสัตว์เสด็จไปยังที่ขุดหลุมของนายสารถีด้วย
การเยื้องกรายของท้าวสักกเทวราช ประทับยืนที่ริมหลุม เมื่อจะตรัสถามนาย
สารถีนั้น ได้ตรัสคาถาที่สามว่า
แน่ะนายสารถี ท่านจะรีบขุดหลุมไปทำไม เรา
ถามท่านแล้ว ท่านจงบอกแก่เราเถิดเพื่อน ท่านจะใช้
หลุมทำประโยชน์อะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาสุํ ได้แก่ หลุมสี่เหลี่ยม นายสารถีได้
ฟังดังนั้น ขุดหลุมมิได้เงยหน้าขึ้นดู กล่าวคาถาที่สี่ทูลตอบว่า
พระโอรสของพระราชา เป็นใบ้เป็นหนวกเป็น-
ง่อยเปลี้ย เหมือนไม่มีพระมนัส พระราชาตรัสสั่ง
ข้าพเจ้าว่า ฝังลูกเราเสียในป่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปกฺโข แปลว่า คนง่อยเปลี้ย ก็ด้วย
คำว่า มูโค นั่นแหละ ย่อมสำเร็จแม้ความเป็นคนหนวกของเตมิยกุมาร
เพราะต้นหนวกไม่สามารถกล่าวตอบได้. บทว่า อเจตโส ความว่า เหมือน
ไม่มีจิตใจ นายสารถีกล่าวอย่างนี้ เพราะเตมิยกุมารไม่พูดถึง 16 ปี. บทว่า
สมิชฺฌิตฺโถ ความว่า พระราชามีรับสั่งส่งไปแล้ว บทว่า นิกฺขนํ วเน
ความว่า พึงฝังเสียในป่า.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะนายสารถีว่า

ดูก่อนนายสารถี ข้าพเจ้ามิได้เป็นคนหนวก
มิได้เป็นคนใบ้ มิได้เป็นคนง่อยเปลี้ย มิได้มีอินทรีย์
วิกลวิการ ถ้าท่านฝังข้าพเจ้าในป่า ท่านก็ทำสิ่งที่ไม่
เป็นธรรม เชิญท่านดูขาและแขนของข้าพเจ้า และ
เชิญฟังคำภาษิตของข้าพเจ้า ถ้าท่านฝังข้าพเจ้าเสีย
ในป่า ท่านก็ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พธิโร ความว่า พระมหาสัตว์ตรัสอย่างนี้
พอแสดงว่า แน่ะนายสารถีเพื่อนรัก ถ้าพระราชามีรับสั่งให้ฝังพระโอรสนี้อย่าง
นั้น แต่เรามิได้เป็นอย่างนั้น. บทว่า ปิงฺคโล ได้แก่ มีอินทรีย์วิกลวิการ.
บทว่า มญฺเจ ตฺวํ นิกฺขนํ วเน ความว่า ถ้าท่านฝังเราผู้เว้นจากความ
เป็นคนหนวกเป็นต้นเห็นปานนี้เสียในป่า ท่านก็พึงทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม
เตมิยกุมารนั้นเห็นนายสารถี แม้ฟังคาถาแรกแล้วก็ไม่แลดูพระองค์เลย ทรง
ดำริว่า เราจักแสดงแก่นายสารถีนี้ว่า เราไม่หนวก ไม่ใบ้ ไม่ง่อยเปลี้ย ตก
แต่งสรีระแล้ว จึงตรัสดาถานี้ว่า อูรู เป็นต้น คาถานั้นมีเนื้อความว่า แน่ะ
นายสารถีเพื่อนรัก ท่านจงดูขาทั้งสองของเราคือของข้าพเจ้า ซึ่งเช่นกับลำต้น
กล้วยทองคำ และแขนทั้งสองของเราคือของข้าพเจ้า ซึ่งมีวรรณะดังใบกล้วย
ทองคำ และจงฟังคำอันไพเราะของเรา.
แต่นั้น นายสารถีคิดว่า นี่ใครหนอ ตั้งแต่มาก็สรรเสริญแต่ตนเท่านั้น
เขาหยุดขุดหลุมเงยหน้าขึ้นดู ได้เห็นรูปสมบัติของพระมหาสัตว์ เมื่อยังไม่รู้จัก
พระมหาสัตว์ว่า ชายคนนี้เป็นมนุษย์หรือเทวดาหนอ จึงกล่าวคาถานี้ว่า
ท่านเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักก
เทวราชผู้ให้ทานในก่อน ท่านเป็นใคร หรือเป็นบุตร
ของใคร พวกเราจะรู้จักท่านได้อย่างไร.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะสำแดงตนให้แจ้งและแสดงธรรม จึง
ตรัสคาถาว่า
เรามิใช่เทวดา มิใช่คนธรรพ์ มิใช่ท้าวสักกะ
ผู้ให้ทานในก่อน เราที่ท่านจะฆ่าเสียในหลุม เป็น
โอรสของพระเจ้ากาสิกราช เราเป็นโอรสของพระ-
ราชาผู้ที่ท่านพึ่งพระบารมีเลี้ยงชีพอยู่เสมอ แน่ะนาย
สารถี ถ้าทานฝังเราเสียในป่า ทานก็ทำสิ่งที่ไม่เป็น
ธรรม บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่
พึงหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะผู้ประทุษร้ายมิตร
เป็นคนลามก พระราชาเป็นเหมือนต้นไม้ เราเป็น
เหมือนกิ่งไม้ ตัวท่านเป็นเหมือนคนอาศัยร่มเงา ถ้า
ท่านฝังเราเสียในป่า ท่านก็ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิหญฺญสิ แปลว่า จักฝังพระมหาสัตว์
แสดงว่า ท่านขุดหลุมด้วยหมายว่า จักฝังผู้ใดในที่นี้ เราคือผู้นั้น แม้เมื่อ
พระมหาสัตว์ตรัสว่า เราเป็นพระราชโอรส นายสารถีนั้นก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง
แต่รู้ได้ด้วยมธุรกถาของพระมหาสัตว์นั้น จึงได้ยืนฟังธรรมอยู่. บทว่า มิตฺต-
ทุพฺโภ
ได้แก่ คนฆ่ามิตร คือคนเบียดเบียนมิตรทั้งหลาย. บทว่า รุกฺขสฺส
ความว่า บุคคลหักราก ลำต้น ผล ใบ หรือหน่อ ของต้นไม้ที่มีร่มเงาอันตน
ได้ใช้สอยอยู่ ย่อมเป็นผู้ฆ่ามิตร คือเบียดเบียนมิตร. บทว่า ปาปโก ได้แก่
เป็นคนลามก ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงผู้ที่ฆ่ามนุษย์. ด้วยบทว่า ฉายูปโค
พระมหาสัตว์ตรัสว่า แน่ะนายสารถี ท่านอาศัยพระราชาเลี้ยงชีพอยู่ เหมือน
คนเข้าไปสู่ร่มเงาของต้นไม้ เพื่อต้องการจะใช้สอยฉะนั้น เมื่อพระโพธสัตว์

แม้ตรัสถึงอย่างนี้ นายสารถีก็ยังไม่เชื่ออยู่นั้นเอง ลำดับนั้น พระมหาสัตว์
ทรงดำริว่า เราจักทำให้นายสารถีนั้นเชื่อ ทรงทำป่าชัฏให้บันลือลั่นด้วยเสียง
สาธุการของเหล่าเทวดา และด้วยคำโฆษณาของพระองค์ เมื่อจะตรัสคาถาบูชา-
มิตร 10 คาถา จึงตรัสว่า
1. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร ชน
เป็นอันมากอาศัยบุคคลผู้นั้นเลี้ยงชีพ บุคคลผู้นั้น จาก
เรือนของตนไปที่ไหน ๆ ย่อมมีภักษาหารมากมาย.

2. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคล
ผู้นั้นไปสู่ชนบท นิคม ราชธานีใด ๆ ย่อมเป็นผู้อัน
หมู่ชนในที่นั้น ๆ ทั้งหมดบูชา.

3. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร โจร
ทั้งหลายไม่ข่มเหงบุคคลผู้นั้น กษัตริย์ก็มิได้ดูหมิ่น
บุคคลผู้นั้น บุคคลผู้นั้นย่อมข้ามพ้นหมู่อมิตรทั้งปวง.

4. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคล
ผู้นั้น จะมาสู่เรือนของตนด้วยมิได้โกรธเคืองใคร ๆ มา
ได้ความยินดีปรีดาในสภาที่ประชุม เป็นผู้สูงสุดของ
หมู่ญาติ.

5. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคล
ผู้นั้นสักการะคนอื่น ก็จะเป็นผู้อันคนอื่นสักการะตน
เคารพคนอื่น ก็จะเป็นผู้อันคนอื่นเคารพตน ย่อม
เป็นผู้ได้รับความยกย่องและเกียรติคุณ.

6. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคล
ผู้นั้นบูชาผู้อื่น ก็ย่อมได้บูชาตอบ ไหว้ผู้อื่น ก็ย่อม
ได้ไหว้ตอบ และย่อมถึงยศและเกียรติ.

7. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคล
ผู้นั้นย่อมรุ่งเรืองดุจกองเพลิง ย่อมไพโรจน์ดุจเทวดา
มีสิริประจำตัว.

8. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร โค
ทั้งหลายของบุคคลผู้นั้นย่อมเกิด พืชที่หว่านไว้ในนา
ย่อมงอกงาม บุคคลผู้นั้นย่อมได้บริโภคผลของพืชที่
หว่านไว้.

9. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคล
ผู้นั้นตกเหว ตกภูเขา หรือตกต้นไม้ ย่อมได้ที่พึ่ง
อาศัยไม่เป็นอันตราย.

10. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร เหล่า-
อมิตรย่อมย่ำยีบุคคลผู้นั้นไม่ได้ ดุจต้นไทรมีรากและ
ย่อมงอกงาม พายุไม่อาจพัดพานให้ล้มได้ ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุตพฺภกฺโข ได้แก่ ได้ภิกษามาง่าย.
บทว่า สกํฆรา ได้แก่ จากเรือนของตน อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้แหละ.
บทว่า น ทุพฺภติ แปลว่า ไม่ประทุษร้าย. บทว่า สพฺพตฺถ ปูชิโต โหติ
นี้ พึงพรรณนาด้วยเรื่องพระสีวลี. บทว่า นาสฺส โจรา ปสหนฺติ ความว่า
พวกโจรไม่อาจทำการข่มขี่ บทนี้พึงแสดงด้วยเรื่องสังกิจจสามเณร. บทว่า
นาติมญฺเญติ ขตฺติโย นี้ พึงแสดงด้วยเรื่องโชติกเศรษฐี. บทว่า ตรติ

ได้แก่ ย่อมก้าวล่วง. บทว่า สฆรํ เอติ ความว่า ผู้ประทุษร้ายมิตร แม้
มาเรือนของตน ก็มีจิตหงุดหงิดโกรธมา แต่ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตรนี้ ย่อมไม่
โกรธมาเรือนของตน. บทว่า ปฏินนฺทิโต ความว่า ย่อมกล่าวคุณกถาของ
ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตรในสถานที่ประชุมของตนเป็นอันมาก ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร
นั้น ย่อมเป็นผู้ชื่นชมเบิกบานด้วยเหตุนั้น. บทว่า สกฺกตฺว่า สกฺกโต โหติ
ความว่า สักการะผู้อื่นแล้ว แม้ตนเองก็เป็นผู้อันผู้อื่นทั้งหลายสักการะ. บทว่า
ครุ โหติ สคารโว ความว่า มีความเคารพในผู้อื่นทั้งหลาย แม้ตนเองก็
เป็นผู้อันผู้อื่นทั้งหลายเคารพ. บทว่า วณฺณกิตฺติภโต โหติ ความว่า ได้
รับยกย่องและสรรเสริญ คือยกคุณความดีและเสียงสรรเสริญเที่ยวป่าวประกาศ.
บทว่า ปูชโก ความว่า เป็นผู้บูชามิตรทั้งหลาย แม้ตนเองก็ย่อมได้การบูชา.
บทว่า วนฺทโก ความว่า ผู้ไหว้กัลยาณมิตรทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
ย่อมได้ไหว้ตอบในภพใหม่. บทว่า ยโสกิตฺตึ ความว่า ย่อมถึงอิสริยยศ
และบริวารยศ และเสียงสรรเสริญคุณความดี พึงกล่าวเรื่องของจิตตคฤหบดี
ด้วยคาถานี้. บทว่า ปชฺชลติ ความว่า ย่อมรุ่งเรืองด้วยอิสริยยศ และ
บริวารยศ. ในบทว่า สิริยา อชฺชหิโต โหติ นี้ ควรกล่าวเรื่องของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี. บทว่า อสฺนาติ แปลว่า ย่อมบริโภค. บทว่า ปติฏฺฐํ
ลภติ
พึงแสดงด้วยจุลปทุมชาดก. บทว่า วิรุฬฺหมูลสนฺตานํ แปลว่า มี
รากและย่านเจริญ. ในบทว่า อมิตฺตา นปฺปสหนฺติ นี้ พึงกล่าวเรื่องโจร
เข้าเรือนของมารดาพระโสณเถระในเรือนตระกูล.
สุนันทสารถีได้ฟังดังนั้น แม้พระมหาสัตว์ทรงแสดงธรรมด้วยคาถา
มีประมาณเท่านี้ ก็ยังจำพระองค์ไม่ได้ หยุดขุดหลุมด้วยคิดว่า คนนี้ใครหนอ
แล้วลุกขึ้นเดินไปใกล้รถ ไม่เห็นพระมหาสัตว์และห่อเครื่องประดับทั้งสอง
อย่าง จึงกลับมาแลดูพระองค์ก็จำพระองค์ได้ จึงหมอบลงแทบพระบาทแห่ง
พระมหาสัตว์ ประคองอัญชลีทูลวิงวอน กล่าวคาถานี้ว่า

ขอพระองค์เสด็จมาเถิด ข้าพระบาทจักนำ
พระองค์ซึ่งเป็นพระราซโอรสกลับสู่มณเฑียรของ
พระองค์ ขอพระองค์จงครองราชสมบัติ ขอพระองค์
จงทรงพระเจริญ พระองค์จักทรงทำอะไรในป่า.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงตรัสกะนายสารถีว่า
แน่ะนายสารถี เราไม่ต้องการด้วยราชสมบัติที่
เราจะพึงได้ด้วยการประพฤติอธรรม พร้อมด้วยญาติ
และทรัพย์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลํ เป็นคำปฏิเสธ.
นายสารถีกราบทูลว่า
ข้าแต่พระราชบุตร พระองค์เสด็จกลับจากที่นี้
จะทำให้ข้าพระองค์ได้รางวัลเครื่องยินดี เมื่อพระองค์
เสด็จกลับไปแล้ว พระชนกและพระชนนีจะพระ-
ราชทานรางวัลเครื่องยินดีแก่ข้าพระองค์ ข้าแต่
พระราชบุตร เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว นางสนม
กุมาร พ่อค้า และพราหมณ์เหล่านั้นจะยินดีให้รางวัล
แก่ข้าพระองค์ ข้าแต่พระราชบุตร เมื่อพระองค์เสด็จ
กลับไปแล้ว กองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพรถ
กองทัพราบ แม้เหล่านั้นจะยินดีให้รางวัลแก่ข้า-
พระองค์ ข้าแต่พระราชบุตร เมื่อพระองค์เสด็จกลับ
ไปแล้ว ชาวชนบท ชาวนิคม ผู้มีธัญญาหารมาก
จะประชุมกันให้เครื่องบรรณาการแก่ข้าพระองค์

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุณฺณปตฺตํ ได้แก่ รางวัลเครื่องยินดี
คือของให้ที่น่ายินดี. บทว่า ทชฺชุํ ความว่า พึงให้รางวัลเครื่องยินดีที่ทำให้
ความมุ่งหมายของข้าพระองค์บริบูรณ์ ดุจหลั่งฝนคือรัตนะเจ็ดประการ ฉะนั้น
นายสารถีคิดว่า อย่างไรเสีย พระกุมารนี้ก็คงเสด็จกลับเมื่ออนุเคราะห์เรา จึง
ได้กล่าวคำนี้. บทว่า เวสิยา แปลว่า พ่อค้า. บทว่า อุปยานานิ แปลว่า
เครื่องบรรณาการ.
พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสว่า
พระชนกและพระชนนีสละเราแล้ว ชาว
แว่นแคว้น ชาวนิคมและกุมารทั้งปวงก็สละเราแล้ว
เราไม่มีเหย้าเรือนของตน พระชนนีทรงอนุญาตเรา
แล้ว พระชนกก็ทรงสละเราจริง ๆ แล้ว เราจะบวช
อยู่ในป่าคนเดียว ไม่ปรารถนากามคุณทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิตุ มาตุ จ แปลว่า อันพระชนก
และพระชนนี. บทว่า จตฺโต แปลว่า สละขาดแล้ว แม้ในบทนอกนี้ ก็
นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า มตฺยา ความว่า แน่ะนายสารถีเพื่อนรัก เราชื่อว่า
อันพระชนนีผู้รับพรกำหนดให้ครองราชสมบัติ 7 วัน ทรงอนุญาตแล้ว. บทว่า
สญฺจตฺโต แปลว่า สละแล้วด้วยดี. บทว่า ปพฺพชิโต ความว่า ออกเพื่อ
ต้องการบวชอยู่ในป่า.
เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสคุณธรรมของพระองค์อยู่อย่างนี้ พระปีติได้เกิด
ขึ้นแล้ว แต่นั้น เมื่อทรงเปล่งพระอุทานด้วยกำลังพระปีติ จึงตรัสว่า
ความหวังผลของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อม
สำเร็จแน่นอน เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ท่านจงรู้
อย่างนี้เถิด นายสารถี ประโยชน์โดยชอบของเหล่า-

บุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมให้ผลแน่นอน เรามี
พรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ออกบวชแล้ว จะมีภัยแต่
ไหนเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผลาสาว ความว่า พระมหาสัตว์ตรัส
อย่างนี้ เพื่อแสดงว่า ผลแห่งความมุ่งหมายของเราผู้ไม่รีบร้อน สิบหกปีจึง
สำเร็จ. บทว่า วิปกฺกพฺรหฺมจริโยสฺมิ แปลว่า มีความปรารถนาถึงที่สุด
แล้ว. บทว่า สมฺมทตฺโถ วิปจฺจติ ความว่า ประเภทคุณวิเศษมีฌาน
เป็นต้น ซึ่งเป็นกิจที่พึงทำ ย่อมสำเร็จโดยชอบ คือโดยอุบาย โดยการณ์.
นายสารถีกราบทูลว่า
พระองค์มีพระดำรัสไพเราะ และมีพระวาจา
สละสลวยอย่างนี้ เหตุไฉนจึงไม่ตรัสในสำนักแห่ง
พระชนกและพระชนนีในกาลนั้นเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วคฺคุกโถ แปลว่า มีพระดำรัสไพเราะ
คือมีพระดำรัสอ่อนหวาน.
แต่นั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า
เราเป็นง่อยเปลี้ย เพราะไม่มีเครื่องติดต่อก็หาไม่
เราเป็นหนวกเพราะไม่มีซ่องหูก็หาไม่ เราเป็นใบ้
เพราะไม่มีลิ้นก็หาไม่ ท่านอย่าเข้าใจว่าเราเป็นใบ้
เราระลึกชาติปางก่อนที่เราเสวยราชสมบัติได้ เราได้
เสวยราชสมบัติในกาลนั้นแล้ว ต้องไปตกนรกอัน
กล้าแข็ง เราได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้นยี่สิบปี ต้อง
หมกไหม้อยู่ในนรก 80,000 ปี เรากลัวจะต้องเสวย

ราชสมบัตินั้น ขอชนทั้งหลายอย่าพึงอภิเษกเราใน
ราชสมบัติเลย เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่พูดในสำนัก
ของพระชนกและพระชนนีในกาลนั้น พระชนกทรง
อุ้มเราให้นั่งบนพระเพลา แล้วตรัสสั่งข้อความว่า จง
ฆ่าโจรคนหนึ่ง จงจองจำโจรคนหนึ่ง จงเอาหอก
แทงโจรคนหนึ่ง แล้วเอาน้ำแสบราดแผล จงเสียบโจร
คนหนึ่งบนหลาว ตรัสสั่งเจ้าหน้าที่นั้นอย่างนี้ เราได้
ฟังพระวาจาอันหยาบคายที่พระชนกตรัสนั้น จึงกลัว
การเสวยราชสมบัติ เรามิได้เป็นใบ้ ก็ทำเหมือนเป็น
ใบ้ มิได้เป็นง่อยเปลี้ย ก็ให้คนเข้าใจว่าง่อยเปลี้ย
แกล้งนอนเกลือกกลิ้งอยู่ในปัสสาวะและอุจจาระของ
ตน ชีวิตนั้นเป็นของลำบาก เป็นของน้อย ทั้ง
ประกอบด้วยทุกข์ ใครเล่าจะอาศัยชีวิตนี้ ทำเวรด้วย
เหตุการณ์หน่อยหนึ่ง ใครเล่าจะอาศัยชีวิตนี้ ทำเวร
ด้วยเหตุการณ์หน่อยหนึ่ง เพราะไม่ได้ปัญญา เพราะ
ไม่เห็นธรรม ความหวังผลของเหล่าบุคคลผู้ไม่
รีบร้อน ย่อมสำเร็จแน่นอน เรามีพรหมจรรย์สำเร็จ
แล้ว ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด นายสารถี ประโยชน์โดย
ชอบของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมให้ผลแน่นอน
เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ออกบวชแล้ว จะมีภัย
แต่ไหนเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสนฺธิตา แปลว่า เพราะไม่มีที่ต่อ.
บทว่า อโสตตา แปลว่า เพราะไม่มีโสต. บทว่า อชิวฺหตา ความว่า

เรานั้นมิได้เป็นใบ้ เพราะไม่มีลิ้นสำหรับเปลี่ยนไปมาของคำพูด. บทว่า ยตฺถ
ความว่า ได้เสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสีนั่นแลในชาติได้. บทว่า ปาปตฺถํ
ความว่า พระมหาสัตว์ตรัสถึงความชั่วว่า พระองค์ได้ตกมาแล้ว. บทว่า
รชฺเชภิเสจยุํ แปลว่า พึงอภิเษกในราชสมบัติ. บทว่า นิสีทิตฺวา ความว่า
ให้นั่งแล้ว. บทว่า อตฺถานุสาสติ ความว่า ตรัสสั่งข้อความผิด. บทว่า
ขาราปตจฺฉกํ ความว่า จงเอาหอกแทงแล้วราดน้ำแสบที่แผล. บทว่า
อุพฺเพถ แปลว่า จงยกขึ้น คือจงเสียบ. บทว่า อิจฺจสฺส อนุสาสติ
ความว่า ตรัสสั่งข้อความแก่มหาชนนั้นอย่างนี้. บทว่า ตายาหํ ความว่า
เราได้ฟังพระวาจาเหล่านั้น. บทว่า ปกฺขสมฺมโต ความว่า ได้เป็นผู้อันชน
ทั้งหลายเข้าใจว่าเป็นง่อยเปลี้ย คือเป็นเหมือนคนง่อยเปลี้ย. บทว่า อจฺฉาหํ
ความว่า อยู่แล้ว คือเราอยู่แล้ว. บทว่า สํปริปลุโต ความว่า เป็นผู้
เกลือกกลิ้ง คือจมลงแล้ว. บทว่า กสิรํ แปลว่า เป็นทุกข์ บทว่า ปริตฺตํ
แปลว่า น้อย คำนี้มีอธิบายว่า แน่ะนายสารถีเพื่อนรัก ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย
ถ้าเป็นทุกข์ ก็จะพึงดังอยู่คือเป็นไปนานมาก ถ้านิดหน่อยก็จะพึงเป็นคือเป็น
ไปสบาย แต่ชีวิตนี้ ลำบากก็ตาม นิดหน่อยก็ตาม น้อยก็ตาม ย่อมประกอบ
คือเข้าไปทรงไว้พร้อมด้วยทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นทีเดียว คือ ถูกชาติ ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสย่ำยี. บทว่า โกมํ คัดบทเป็น
โก อิมํ บทว่า เวรํ ได้แก่ เวรห้าอย่างมีปาณาติบาตเป็นต้น. บทว่า เกนจิ
ได้แก่ ด้วยเหตุไร ๆ. บทว่า กยิราถ แปลว่า พึงกระทำ. บทว่า ปญฺญาย
ได้แก่ วิปัสสนาปัญญา. บทว่า ธมฺมสฺส ความว่า เพราะไม่เห็นโสดา
ปัตติมรรค.
พระมหาสัตว์ได้ตรัสอุทานคาถาซ้ำอีก เพื่อประกาศความประสงค์ไม่
เสด็จกลับ ไปพระนครเป็นมั่นคง.

สุนันทสารถีได้ฟังดังนั้น คิดว่า พระกุมารนี้ ทิ้งสิริราชสมบัติเห็นปาน
นี้เหมือนทิ้งซากศพ ไม่ทำลายความตั้งใจมั่นของพระองค์ เข้าป่าด้วยหวังว่า
จักผนวช เราจะต้องการอะไรด้วยชีวิตอันไม่สมประกอบนี้ แม้เราก็จักบวช
กับด้วยพระกุมารนั้น คิดดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถาว่า
ข้าแต่พระราชบุตร แม้ข้าพระองค์ก็จักบวชใน
สำนักของพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดตรัสเรียกให้
ข้าพระองค์บวชด้วยเถิด ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ
ข้าพระองค์ชอบบวช.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตวนฺติเก แปลว่า ในสำนักของท่าน
บทว่า อวฺหยสฺสุ ความว่า ขอพระองค์โปรดตรัสเรียกข้าพระองค์ว่า เจ้าจง
มาบวชเถิด.
แม้นายสารถีทูลวิงวอนอย่างนี้ พระมหาสัตว์ทรงพระดำริว่า หากเรา
ให้นายสารถีบวชในบัดนี้ทีเดียว พระชนกพระชนนีของเราก็จักไม่เสด็จมาใน
ทีนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเสื่อมจักมีแก่พระชนกและพระชนนีทั้งสอง ม้า รถ
และเครื่องประดับ เหล่านี้ ก็จักพินาศ แม้ความครหาก็จักเกิดขึ้นแก่เราว่า นาย
สารถีนั้นถูกพระราชกุมารผู้เป็นยักษ์กินเสียแล้ว ทรงพิจารณาเพื่อจะเปลื้อง
ความครหาของพระองค์ และพิจารณาถึงความเจริญแห่งพระชนกและพระชนนี
เมื่อทรงแสดงม้ารถและเครื่องประดับ ทำให้เป็นหนี้ของนายสารถีนั้น จึงตรัส
คาถาว่า
แน่ะนายสารถี ท่านจงไปมอบคืนรถ แล้วเป็น
ผู้ไม่มีหนี้เถิด เพราะผู้ไม่มีหนี้จึงบวชได้ การบวชนั้น
ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งสรรเสริญแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตํ ได้แก่ การกระทำการบรรพชานั้น.
บทว่า อิสีภิ วณฺณตํ ความว่า ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
สรรเสริญแล้ว.
นายสารถีได้ฟังดังนั้น คิดว่า เมื่อเราไปสู่พระนคร ถ้าพระกุมารนี้
จะพึงเสด็จไปที่อื่น พระราชบิดาได้ทรงสดับข่าวนี้แล้ว เสด็จมาตรัสว่า จงแสดง
ลูกของเรา มิได้ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารนี้ จะพึงลงราชทัณฑ์แก่เรา
เพราะฉะนั้น. เราจะกล่าวคุณของตนแก่พระกุมารนี้ จักถือเอาคำปฏิญญาเพื่อ
ไม่เสด็จไปที่อื่น คิดดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถา 2 คาถาว่า
ข้าพระองค์ได้ทำตามพระดำรัส ขอพระองค์จง
ทรงพระเจริญ พระองค์ควรจะทรงทำตามคำที่ข้า-
พระองค์ทูลวิงวอน ขอพระองค์จงประทับรออยู่ ณ
ที่นี้ จนกว่าข้าพระองค์จะนำพระราชาเสด็จมา อย่าง
ไรเสีย พระราชบิดาของพระองค์ทอดพระเนตรเห็น
แล้ว คงทรงพระปีติโสมนัสเป็นแน่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ความว่า ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ
พระดำรัสใดที่พระองค์ตรัสแล้ว แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้กระทำตามพระ
ดำรัสนั้นแล้ว พระองค์อันข้าพระองค์วิงวอนแล้ว ควรจะกระทำตามคำนั้น
เท่านั้น.
แต่นั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า
แน่ะนายสารถี เราจะกระทำตามคำของท่าน
ที่ท่านกล่าวกะเรา แม้ตัวเราก็อยากเห็นพระชนกของ
เราเสด็จมาในที่นี้ จงกลับไปเถิดเพื่อนรัก ท่านจงทูล

แก่พระญาติทั้งหลายด้วยก็เป็นการดี ท่านเป็นผู้ที่เรา
สั่งแล้ว จงกราบทูลถวายบังคมพระชนกพระชนนี
ของเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กโรมิ เต ตํ ความว่า เรากระทำตาม
คำนั้น ของท่าน. บทว่า เอหิ สมฺม นิวตฺตสฺสุ ความว่า แน่ะนายสารถี
เพื่อนรัก ท่านจงไปในที่นั้น จงรีบกลับไปจากที่นี้ทีเดียว. บทว่า วุตฺโต
วชฺชาสิ
ความว่า ท่านเป็นผู้ที่เรากล่าวสั่งแล้ว พึงกราบทูลถวายบังคมของ
เราว่า เตมิยกุมารพระโอรสของพระองค์ ถวายบังคมพระบาทยุคลของพระองค์.
ครั้นตรัสดังนี้แล้ว พระมหาสัตว์ได้น้อมพระองค์ดุจลำต้นกล้วยทองคำ
ผินพระพักตร์ไปทางกรุงพาราณสี ถวายบังคมพระชนกและพระชนนี ด้วย
เบญจางคประดิษฐ์ แล้วได้ประทานข่าวสาส์นแก่นายสารถี.
นายสารถีรับข่าวสาส์นแล้วทำประทักษิณพระกุมาร ถวายบังคมแทบ
พระยุคลบาทของพระกุมาร ขึ้นรถแล้วขับตรงไปยังกรุงพาราณสี.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า
นายสารถีจับพระบาททั้งสองของพระกุมาร
และกระทำประทักษิณพระกุมารแล้ว ขึ้นรถเข้าไปสู่
ประตูพระราชวัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺส เป็นต้น ความว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย นายสารถีนั้นจับที่พระบาททั้งสองของพระกุมารนั้น กระทำ
ประทักษิณแล้วขึ้นรถเข้าไปสู่ประตูพระราชวัง.
ในขณะนั้น พระนางจันทาเทวีเผยพระแกลคอยแล ดูการมาของนาย
สารถี ด้วยใคร่จะทรงทราบว่า ความเป็นไปของลูกเราเป็นอย่างไรหนอ พอ

ทอดพระเนตรเห็นนายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียว ก็เป็นประหนึ่งพระหฤทัยจะแตก
ทำลายไป ทรงคร่ำครวญแล้ว.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า
พระชนนีทอดพระเนตรเห็นรถเปล่า มีแต่นาย
สารถีมาคนเดียว ก็มีพระเนตรทั้งสองนองไปด้วย
พระอัสสุชลทรงกันแสง ทอดพระเนตรดูนายสารถี
นั้นด้วยเข้าพระหฤทัยว่า นายสารถีนี้ฝังโอรสของเรา
เสียแล้ว โอรสของเรานายสารถีฝังเสียในแผ่นดิน
ถมแผ่นดินแล้วเป็นแน่ ปัจจามิตรทั้งหลายจะยินดี
ศัตรูทั้งหลายจะอิ่มใจเป็นแน่ เพราะเห็นนายสารถีมา
แล้ว เพราะฝังโอรสของเราแล้ว พระชนนีทอด-
พระเนตรเห็นรถเปล่า นายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียว
ก็มีพระเนตรทั้งสองนองไปด้วยพระอัสสุชลทรง
กันแสง ตรัสสอบถามนายสารถีนั้นว่า โอรสของเรา
เป็นใบ้หรือ เป็นง่อยหรือ ตรัสอะไรบ้างหรือในเวลา
ที่ถูกท่านฝังในแผ่นดิน จงบอกเนื้อความนั้นแก่เรา
เถิด นายสารถี โอรสของเราเป็นใบ้เป็นง่อย เขา
กระดิกมือเท้าอย่างไรบ้างไหม ในเมื่อถูกท่านฝังใน
แผ่นดิน เราถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอกความนั้น
แก่เรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาตา ได้แก่ พระชนนีของเตมิยกุมาร
โพธิสัตว์. บทว่า ปฐพฺยา ภูมิวฑฺฒโน ความว่า ลูกของเรานั้น ถูกฝัง
ในแผ่นดินถมพื้นดินเป็นแน่. บทว่า โรทนฺตี นํ ปริปุจฺฉติ ความว่า
พระนางจันทาเทวีตรัสสอบถามนายสารถีผู้หยุดรถไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว

ขึ้นปราสาทถวายบังคมพระนางแล้วยืน ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง. บทว่า กินฺนุ
ความว่า ลูกของเรานั้นเป็นใบ้และเป็นง่อยเปลี้ยจริงหรือ. บทว่า ตทา
ความว่า ในเวลาที่ท่านฝังเขาในหลุมแล้ว เอาสันจอบทุบศีรษะ. บทว่า
นิหญฺญมาโน ภูมิยา ความว่า เมื่อถูกท่านฝังในพื้นดิน เขาพูดอย่างไร
บ้าง. บทว่า ตํ เม อกฺขาหิ ความว่า ท่านจงบอกเรื่องทั้งหมดนั้นอย่าให้
คลาดเคลื่อน. บทว่า วิวฏฺฏยิ ความว่า ลูกของเราเขาไหวมือและเท้า
พร่ำกล่าวกะท่านว่า หลีกไปสารถี ท่านอย่าฆ่าเรา ดังนี้ บ้างหรือไม่.
ลำดับนั้น นายสุนันทสารถี กราบทูลพระนางว่า
ข้าแต่พระแม้เจ้า ขอพระแม่เจ้าโปรดประทาน
อภัยแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอกราบทูลตามที่ได้
ฟังได้เห็นในสำนักพระราชโอรส แด่พระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทชฺชาสิ ความว่า ถ้าพระองค์จะพึง
ประทานอภัย นายสุนันทสารถี นั้นคิดว่า ถ้าเราจะกราบทูลว่า พระโอรส
ของพระองค์ไม่เป็นคนใบ้ ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย ไม่เป็นหนวก มีพระดำรัส
ไพเราะ เป็นธรรมกถึก ดังนี้ พระราชาจะพึงมีพระดำริว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น
เหตุไร ท่านจึงไม่พาลูกของเรานั้นมา พึงกริ้วสั่งลงพระราชอาญาแก่เราแน่
เราต้องขอพระทานอภัยเสียก่อน จึงกราบทูลคำนี้.
ลำดับนั้น พระนางจันทาเทวีจึงตรัสแก่นายสารถีนั้นว่า
ดูก่อนนายสารถีผู้สหาย เราให้อภัยแก่ท่าน
ท่านไม่ต้องกลัว จงกล่าวตามที่ท่านได้ฟังหรือได้เห็น
ในสำนักของพระราชโอรส.

แต่นั้นนายสารถีกราบทูลว่า
พระราชโอรสนั้นมิได้เป็นใบ้ มิได้เป็นง่อยเปลี้ย
พระองค์มีพระวาจาสละสลวย ได้ยินว่า พระองค์กลัว

ราชสมบัติ จึงได้ทรงทำการลวงเป็นอันมาก พระองค์
ทรงระลึกถึงชาติก่อน ที่พระองค์ได้เสวยราชสมบัติ
พระองค์เสวยราชสมบัติในกาลนั้นแล้ว ต้องไปตก
นรกอันกล้าแข็ง พระองค์เสวยราชสมบัติในกาลนั้น
20 ปี แล้วต้องหมกไหม้อยู่ในนรก 80,000 ปี
พระองค์กลัวจะต้องเสวยราชสมบัตินั้น ทรงอธิษฐาน-
ว่า ขอชนทั้งหลาย อย่าพึงอภิเษกเราในราชสมบัติเลย
เพราะฉะนั้น พระองค์จึงไม่ตรัสในสำนักของพระชนก
และพระชนนีในกาลนั้น พระราชโอรสทรงสมบูรณ์
ด้วยองคาพยพ มีพระรูปงดงามสมส่วน มีพระวาจา
สละสลวย มีพระปัญญา ทรงดำรงอยู่ในบรรดาแห่ง
สวรรค์ ถ้าพระแม่เจ้ามีพระราชประสงค์ จะทอดพระ
เนตรเห็นพระราชโอรสของพระองค์ ก็ขอเชิญเสด็จ
เถิด ข้าพระองค์ จะนำเสด็จพระแม่เจ้าไปให้ถึงที่ที่
พระเตมิยราชโอรสประทับ อยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิสฏฺฐวจโน ได้แก่ มีพระดำรัส
บริสุทธิ์. บทว่า อกรา อาลเย พหู ความว่า ได้กระทำการลวงพระองค์
เป็นอันมาก. บทว่า ปญฺโญ แปลว่า มีปัญญา. บทว่า สเจ ตฺวํ ความว่า
นายสารถีกระทำพระราชาให้เป็นธุระ กราบทูลอย่างนี้กะทั้งสองพระองค์นั้น
บทว่า ยตฺถ สมฺมติ ความว่า นายสารถีกราบทูลว่า พระโอรสของพระองค์
ทรงรับปฏิญญาไว้กับข้าพระองค์ ประทับ อยู่ ณ ที่ใด ข้าพระองค์จักพาพระ
องค์ไป ณ ที่นั้น ควรรีบเสด็จไปโดยไม่เนิ่นช้า.

ฝ่ายเตมิยกุมารครั้นส่งนายสารถีไปแล้ว ใคร่จะทรงผนวช ครั้งนั้น
ท้าวสักกเทวราชทรงทราบพระหฤทัยของพระกุมารนั้น จึงตรัสสั่งพระวิสสุ-
กรรมเทพบุตรว่า พ่อวิสสุกรรม พระเตมิยกุมารใคร่จะทรงผนวช ท่านจงไป
สร้างบรรณศาลาและเครื่องบริขารแห่งบรรพชิตแก่พระกุมารนั้น พระวิสสุ-
กรรมเทพบุตรรับเทวโองการแล้วลงจากสวรรค์ เนรมิตอาศรมขึ้นในราวป่า
สามโยชน์ เนรมิตที่พักกลางคืนและกลางวัน และสระโบกขรณี ทำสถานที่
นั้น ให้สมบูรณ์ด้วยต้นไม้มีผลไม่จำกัดกาล. เนรมิตที่จงกรมประมาณ 24
ศอกในที่ใกล้บรรณศาลา เกลี่ยทรายมีสีดังแก้ว ผลึกภายในที่จงกรม และเนร-
มิตเครื่องบริขาร สำหรับบรรพชิตทุกอย่าง แล้วเขียนอักษรบอกไว้ที่ฝาว่า
กุลบุตรผู้ใดผู้หนึ่งใคร่จะบวช จงถือเอาเครื่องบริขารสำหรับบรรพชิตเหล่านี้
บวชเถิด แล้วให้เนื้อและนก ใกล้อาศรมหนีไป เสร็จแล้วกลับไปยังที่อยู่ของตน.
ขณะนั้น พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรเห็นอาศรมบทนั้น ทรงอ่าน
หนังสือแล้วก็ทรงทราบว่า ท้าวสักกเทวราชประทานให้ จึงเสด็จเข้าบรรณศาลา
เปลืองภาษาของพระองค์ ทรงนุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดง ทรงห่มผ้านั้นผืนหนึ่ง
ทำหนึ่งเสือเฉวียงพระอังสา ทรงผูกมณฑลชฎา ยกคานเหนือพระอังสา ทรง
ถือธารพระกรเสด็จออกจากบรรณศาลา เมื่อจะให้สิริแห่งบรรพชิตเกิดขึ้นจึง
เสด็จจงกรมกลับไปกลับมา ทรงเปล่งอุทานขึ้นว่า การบรรพชาที่เราได้แล้ว
เป็นสุข เป็นสุขยิ่งหนอ แล้วเสด็จเข้าบรรณศาลา ประทับนั่งบนที่ลาดด้วยใบไม้
ยังอภิญญาห้าและสมาบัติแปดให้เกิด เสด็จออกจากบรรณศาลาในเวลาเย็น
เก็บใบหมากเม่าที่เกิดอยู่ท้ายที่จงกรม นึ่งในภาชนะที่ท้าวสักกะประทาน
ด้วยน้ำร้อนอัน ไม่มีรสเค็ม ไม่มีรสเปรี้ยว ไม่เผ็ด เสวย ดุจบริโภคอมฤตรส
เจริญพรหมวิหารสี่สำเร็จอิริยาบถอยู่ในทีนั้น.

ฝ่ายพระเจ้ากาสิกราช ได้ทรงสดับคำของสุนันทสารถี จึงตรัสสั่งให้
เรียกมหาเสนาคุต รีบร้อนใคร่ให้ทำการตระเตรียมเสด็จ ตรัสว่า
เจ้าหน้าที่ทั้งหลายจงเทียมรถเทียมม้า จงผูก
เครื่องประดับช้าง จนกระทั่งสังข์และบัณเฑาะว์ จง
ตีกลองหน้าเดียว จงตีกลองสองหน้า และรำมะนา
อันไพเราะ ขอชาวนิคมจงตามเรามา เราจักไปให้
โอวาทแก่ลูกชาย นางสนม กุมาร พ่อค้า และ
พราหมณ์ทั้งหลาย จงรีบเตรียมยาน เราจักไปให้
โอวาทแก่ลูกชาย พวกกองพลช้าง กองพลม้า กอง
พลรถ กองพลราบ จงรีบเตรียมยาน เราจักไปให้
โอวาทแก่ลูกชาย ชาวชนบทและชาวนิคม จงมา
ประชุมรีบเตรียมยาน เราจักไปให้โอวาทแก่ลูกชาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทฺธริยนฺตุ ได้แก่ จงบรรเลงสนั่น.
บทว่า นทนฺตุ ได้แก่ จงเปล่งเสียง. บทว่า เอกโปกฺขรา ได้แก่ กลอง
หน้าเดียว. บทว่า สนฺนทฺธา ได้แก่ หุ้มไว้อย่างดี. บทว่า วคฺคู ได้แก่
มีเสียงไพเราะ. บทว่า คจฺฉํ แปลว่า จักไป. บทว่า ปุตฺตนิวาทโก
ความว่า เราจักไปกล่าวสอน คือให้โอวาทแก่ลูกชาย พระเจ้ากาสิกราชตรัส
อย่างนี้ ด้วยมีพระราชประสงค์ว่า เราจะไปเพื่อกล่าวสอนเตมิยกุมาร ให้เธอ
ถือคำของเรา แล้วอภิเษกตั้งเขาไว้ในกองรัตนะ ณ ที่นั้นแหละแล้วนำมา.
บทว่า เนคมา ได้แก่ พวกคนมีทรัพย์. บทว่า สมาคตา ความว่า จง
ประชุมกันตามเรามา.
นายสารถีทั้งหลาย ที่พระราชาตรัสสั่งอย่างนี้แล้ว ก็เทียมม้าจอดรถ
ไว้แทบประตูพระราชวัง แล้วกราบทูลให้ทรงทราบ.

พระศาสดาเมื่อทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า
นายสารถีทั้งหลาย จูงม้าที่เทียมรถและม้าสินธพ
ซึ่งเป็นพาหนะว่องไว มายังประตูประราชวัง แล้ว
กราบทูลว่า ม้าทั้งสองพวกนี้เทียมเสร็จแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สินฺธเว ได้แก่ ม้าที่เกิดลุ่มน้ำสินธุ.
บทว่า สีฆพาหเน ความว่า จูงม้าทั้งหลายที่ถึงพร้อมด้วยความเร็ว. บทว่า
สารถี แปลว่า นายสารถีทั้งหลาย. บทว่า ยุตฺเต ได้แก่ เทียมที่รถทั้ง
หลาย. บทว่า อุปาคญฺฉุํ ความว่า นายสารถีเหล่านั้นจูงม้าทั้งหลายที่เทียม
ไว้ที่รถทั้งหลายมา ครั้นมาแล้วได้กราบทูลว่า ม้าสองพวกเหล่านี้ เทียมไว้แล้ว.
แต่นั้น พระราชาตรัสว่า
ม้าอ้วนเสื่อมความว่องไว ม้าผอมเสื่อมถอยเรี่ยว
แรง จงเว้นม้าผอมและม้าอ้วนเสีย จัดเทียมแต่ม้าที่
สมบูรณ์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํสฏฺฐา ความว่า พระราชาตรัสว่า
พวกท่านอย่าถือเอาเหล่าม้าเห็นปานนี้. บทว่า กีเส ถูเล วิวชฺชิตฺวา
ความว่า พวกท่านอย่าถือเอาเหล่าม้าผอมและเหล่ามาอ้วน. บทว่า สํสฏฺฐา
โยชิตา หยา
ความว่า เทียมม้าที่ประกอบด้วยวัย วรรณะ ความว่องไว
และกำลัง.
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อเสด็จไปสำนักพระราชโอรส ตรัสสั่งให้
ประชุมวรรณะ 4 เสนี 18 และพลนิกายทั้งหมด ประชุมอยู่สามวัน ใหญ่
วันที่สี่ พระเจ้ากาสิกราชเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยเสนา ให้เอาทรัพย์
ที่พอจะเอาไปได้ไปด้วย เสด็จถึงอาศรมแห่งเตมิยราชฤาษี ทรงยินดีกับพระ
ราชฤาษีผู้เป็นราชโอรส ทรงทำปฏิสันถารแล้ว.

พระศาสดาเมื่อทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า
แต่นั้น พระราชารีบเสด็จขึ้นประทับบนม้าสิน-
ธพอันเทียมแล้ว ได้ตรัสกะนางข้างในว่า จงตามเรา
ไปทุกคน เตรียมเครื่องราชกกุธภัณฑ์ 5 คือ พัด
วาลวิชนี พระอุณหิส พระขรรค์ เศวตฉัตร และ
ฉลองพระบาททอง ให้ขนขึ้นรถไปด้วย แต่นั้นพระ
ราชาตรัสสั่งให้นายสารถีนำทางเสด็จเคลื่อนขบวนเข้า
ไปถึงสถานที่ที่พระเตมิยราชฤๅษีประทับอยู่โดยพลัน
พระเตมิยราชฤๅษี ทอดพระเนตรเห็นพระราชธิดา
กำลังเสด็จมา ทรงรุ่งเรื่องด้วยพระเดชานุภาพ ทรง
แวดล้อมไปด้วยหมู่อมาตย์ จึงถวายพระพรว่า ขอ
ถวายพระพร มหาบพิตรทรงปราศจากพระโรคาพาธ
หรือ ทรงเป็นสุขสำราญดีหรือ ราชกัญญาของพระองค์
และโยมมารดาของอาตมภาพ ไม่มีพระโรคาพาธ
หรือ.

พระราชาตรัสตอบว่า
พระลูกรัก ดิฉันไม่มีโรคาพาธ สุขสำราญดี
ราชกัญญาทั้งปวงของดีฉัน และโยมมารดาของ
พระลูกรัก หาโรคภัยมิได้.

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทูลถามพระราชาว่า
ขอถวายพระพร มหาบพิตรไม่เสวยน้ำจัณฑ์
ไม่ทรงโปรดน้ำจัณฑ์หรือ พระหฤทัยของมหาบพิตร
ทรงยินดีในสัจจะ ในธรรม และในทานบ้างหรือ.

ลำดับนั้น พระราชาตรัสตอบว่า
พระลูกรัก ดิฉันไม่ดื่มน้ำจัณฑ์ ไม่โปรด
น้ำจัณฑ์ อนึ่ง ใจของดิฉันยินดีในสัจจะ ในธรรม
และในทาน.

พระมหาสัตว์ทูลถามว่า
พาหนะมีม้าและโคเป็นต้นของมหาบพิตร ที่เขา
เทียมในยาน ไม่มีโรคหรือ นำอะไร ๆ ไปได้หรือ
มหาบพิตรไม่มีพยาธิที่เข้าไปแผดเผาพระสรีระหรือ.

พระราชาตรัสตอบว่า
พาหนะมีม้าและโคเป็นต้นของดีฉัน ที่เขา
เทียมในยาน ไม่มีโรค อนึ่ง พาหนะนำอะไร ๆ ไปได้
และดีฉันไม่มีพยาธิที่เข้าไปแผดเผาสรีระ.

พระมหาสัตว์ทูลถามว่า
ปัจจันตชนบทของมหาบพิตรยังเจริญดีอยู่หรือ
คามนิคมในท่ามกลางรัฐสีมา ของมหาบพิตรยังเป็น
แผ่นดีหรือ ฉางหลวงและพระคลังของมหาบพิตร
ยังบริบูรณ์ดีอยู่หรือ.

พระราชาตรัสตอบว่า
ปัจจันตชนบทของดิฉันยังเจริญดีอยู่ คามนิคม
ในท่ามกลางรัฐสีมาของดิฉันยังเป็นปึกแผ่นดีอยู่
ฉางหลวงและพระคลังของดิฉัน ทั้งหมดยังบริบูรณ์
ดีอยู่.

พระมหาสัตว์ทูลถามว่า
ขอถวายพระพร มหาบพิตรเสด็จมาดีแล้ว
พระองค์เสด็จมาไกลก็เหมือนใกล้ ราชบุรุษทั้งหลาย
จงทอดราชบัลลังก์ให้ประทับเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปาที รถมารุยฺห ความว่า ชนฉลอง
พระบาททองขึ้นรถ พระราชาทรงสั่งว่า พวกท่านจงเอาเครื่องราชกกุธภัณฑ์
5 อย่างไปด้วย เพื่ออภิเษกลูก ณ ที่ตรงนั้นแหละ ดังนี้ จึงตรัสบททั้งสาม
เหล่านั้น. บทว่า สุวณฺเณหิ อลงฺกตา ตรัสหมายฉลองพระบาท. บทว่า
อุปาคญฺฉิ แปลว่า ได้เสด็จเข้าไปแล้ว เวลาอะไร เวลาที่พระมหาสัตว์ทรง
นึ่งใบหมากเม่าดับไฟแล้วประทับนั่ง. บทว่า ชลนฺตมิว เตชสา ได้แก่
เหมือนรุ่งเรื่องด้วยเดชานุภาพแห่งพระราชา. บทว่า ขคฺคสํฆปริพฺยุฬฺหํ
ความว่าแวดล้อมไปด้วยหมู่อมาตย์ผู้มีความผาสุกด้วยกล่าวถ้อยคำ. บทว่า เอต-
ทพฺรวิ
ความว่าพระเตมิยราชฤๅษีทรงต้อนรับพระเจ้ากาสิกราชผู้พักกองทัพไว้
ภายนอกเสด็จมาบรรณศาลาด้วยพระบาท ถวายบังคมพระองค์แล้วประทับนั่ง
ได้ตรัสคำนี้.
พระเตมิยราชฤๅษี ตรัสถามถึงความไม่มีโรคเท่านั้น ด้วยบทแม้
ทั้งสองว่า กุสลํ อนามยํ. บทว่า กจฺจิ อมชฺชโป ตาต ความว่า พระ-
เตมิยราชฤๅษีทูลถามพระเจ้ากาสิกราชว่า พระองค์เป็นผู้ไม่เสวยน้ำจัณฑ์ จะไม่
เสวยน้ำจัณฑ์บ้างละหรือ. ปาฐะว่า อปฺปมชฺโสช ดังนี้ก็มี ความว่า ไม่
ประมาทในกุศลกรรมทั้งหลาย. บทว่า สุรมปฺปิยํ ความว่า การดื่มสุราไม่
เป็นที่รักของพระองค์ ปาฐะว่า สุรมปฺปิยา ดังนี้ก็มี ความว่า สุราไม่เป็น
ที่รักของพระองค์. บทว่า ธมฺเม ได้แก่ ทศพิธราชธรรม. บทว่า โยคํ
ความว่า พาหนะมีม้าและโคเป็นต้น ที่ควรเทียมในยานทั้งหลาย. บทว่า กจฺจิ

วหติ ความว่า ไม่มีโรคยังนำไปได้หรือ. บทว่า พาหนํ ได้แก่ พาหนะ
ทั้งหมดมีช้างเป็นต้น. บทว่า สรีรสฺสุปตาปิยา แปลว่า เข้าไปแผดเผาสรีระ
บทว่า อนฺตา ได้แก่ ปัจจันตชนบท. บทว่า ผิตา แปลว่า มั่งคั่ง มีภิกษา
หาได้ง่าย อยู่กันหนาแน่น. บทว่า มชฺเฌ จ ได้แก่ ท่ามกลางรัฐ. บทว่า
พหลา ความว่า ชาวคามและชาวนิคมอยู่กันเป็นปึกแผ่น. บทว่า ปฏิสณฺฐิตํ
ความว่า ปกปิดแล้ว คือคุ้มครองดีหรือบริบูรณ์. บทว่า นิสกฺกติ ความว่า
พระมหาสัตว์ตรัสว่า จงทอดบัลลังก์ซึ่งเป็นที่ที่พระราชาจักประทับนั่ง พระ-
ราชาไม่ประทับนั่งบนบัลลังก์ด้วยความเคารพพระมหาสัตว์.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า ถ้าพระราชาไม่ประทับนั่งบนบัลลังก์
ท่านทั้งหลายจงปูลาดเครื่องปูลาดใบไม้ให้ทีเถิด เมื่อทรงเชื้อเชิญพระราชาให้
ประทับ นั่งบนเครื่องปูลาดที่ปูลาดไว้นั้น ตรัสคาถาว่า
ขอเชิญมหาบพิตรประทับนั่งบนเครื่องปูลาด
ใบไม้ที่เขากำหนดลาดไว้ เพื่อพระองค์ในที่นี้ จงทรง
เอาน้ำแต่ภาชนะนี้ล้างพระบาทของมหาบพิตรเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิยเต ได้แก่ จัดตั้งไว้อย่างดี พระ-
มหาสัตว์ตรัสแสดงน้ำสำหรับบริโภค ด้วยบทว่า เอตฺโต.
ด้วยความเคารพต่อพระมหาสัตว์ พระราชามิได้ประทับนั่งบนเครื่อง
ปูลาดใบไม้ ประทับนั่ง ณ พื้นดิน พระมหาสัตว์เสด็จเข้าบรรณศาลา นำ
ใบหมากเม่านั้นออกมา เมื่อจะเชิญพระราชาให้เสวย จึงตรัสคาถาว่า
มหาบพิตร ใบหมากเม่าของอาตมภาพนี้เป็น
ของสุก ไม่มีรสเค็ม ขอมหาบพิตรผู้เสด็จมาเป็นแขก
ของอาตมภาพจงเสวยเถิด.

ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะพระมหาสัตว์ว่า
ดิฉันไม่บริโภคใบหมากเม่า โภชนะของ
ดีฉันไม่ใช่อย่างนี้เลย ดีฉันบริโภคข้าวสุกแห่ง
ข้าวสาลีที่ปรุงด้วยมังสะอันสะอาด.

ก็แลครั้นตรัสห้ามแล้ว พระราชาทรงสรรเสริญโภชนะของพระองค์
แล้วทรงหยิบใบหมากเม่าหน่อยหนึ่ง วางไว้ในฝ่าพระหัตถ์ ด้วยทรงเคารพใน
พระมหาสัตว์ แล้วตรัสถามว่า พ่อเสวยโภชนะอย่างนี้ดอกหรือ พระมหาสัตว์
ทูลรับว่า ใช่ มหาบพิตร พระราชาประทับนั่งรับสั่งพระวาจาเป็นที่รักกับ
พระโอรส.
ขณะนั้น พระนางจันทาเทวีแวดล้อมไปด้วยหมู่นางสนมเสด็จมา ทรง
จับ พระบาททั้งสองของพระปิโยรส ทรงไหว้แล้วกันแสง มีพระเนตรทั้งสอง
นองไปด้วยพระอัสสุชล ประทับนั่ง ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง ลำดับนั้น พระราชา
ตรัสกะพระนางว่า ที่รัก เธอจงดูโภชนาหารของลูกเธอ แล้วทรงหยิบใบ
หมากเม่าหน่อยหนึ่งวางในพระหัตถ์ของพระนาง แล้วประทานแก่นางสนม
อื่น ๆ คนละหน่อย นางสนมทั้งปวงเหล่านั้นกล่าวว่า พระองค์เสวยโภชนะ
เห็นปานนี้หรือพระเจ้าข้า แล้วรับใบหมากเม่านั้น มาวางไว้บนศีรษะของตน ๆ
กล่าวว่า พระองค์ทำสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง พระเจ้าข้า แล้วถวายนมัสการนั่งอยู่
ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะพระมหาสัตว์ว่า ลูกรัก เรื่องนี้ปรากฏเป็นอัศจรรย์
แก่ดีฉัน แล้วตรัสคาถาว่า
ความอัศจรรย์ย่อมแจ่มแจ้งแก่ดิฉัน เพราะ
ได้เห็นลูกรักอยู่ในที่ลับแต่ผู้เดียว บริโภคอาหารเช่นนี้
เหตุไรจึงมีผิวพรรณผ่องใส.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกกํ ความว่า ลูกรัก ความอัศจรรย์
ปรากฏแก่ดีฉัน เพราะได้เห็นเธออยู่ในที่ลับแต่ผู้เดียว ยังอัตภาพให้เป็นไป
ด้วยโภชนะนี้. บทว่า อีทิสํ ความว่า พระราชาตรัสถามพระมหาสัตว์ว่า
ผู้บริโภคโภชนะไม่มีรสเค็ม ไม่เปรี้ยว ไม่มีการปรุงรส ผสมน้ำ เห็นปานนี้
เหตุไรจึงมีผิวพรรณผ่องใส.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะทูลตอบแด่พระราชา จึงตรัสว่า
มหาบพิตร อาตมภาพนอนผู้เดียวบนเครื่องลาด
ใบไม้ที่ปูลาดไว้ เพราะการนอนผู้เดียวนั้น ผิวพรรณ
ของอาตมภาพจึงผ่องใส กองรักษาทางราชการที่ผูก
เหน็บดาบของอาตมภาพไม่มี เพราะการนอนผู้เดียว
นั้น ผิวพรรณของอาตมภาพจึงผ่องใสขอถวายพระพร
อาตมภาพไม่ตามเศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว ไม่
ปรารถนาถึงอารมณ์ที่ยังไม่มาถึง ยังอัตภาพให้เป็นไป
ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะเหตุนั้น ผิวพรรณ
จึงผ่องใส คนพาลทั้งหลายย่อมเหี่ยวแห้ง เพราะเหตุ
2 อย่างนั้น คือ เพราะปรารถนาอารมณ์ที่ยังไม่มาถึง
เพราะตามเศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว ดุจไม้อ้อ
ที่ยังเขียวสด ถูกถอนทิ้งไว้ที่แดดฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนตฺตึ สพนฺธา ได้แก่ ผูกเหน็บพระ-
ขรรค์. บทว่า ราชรกฺขา ได้แก่ พระราชาทรงรักษา. บทว่า ปนฺปชปฺปามิ
แปลว่า ไม่ปรารถนา. บทว่า หริโต แปลว่า มีสีเขียวสด. บทว่า ลุโต
ความว่า ราวกะว่าไม้อ้อที่ถูกถอนทิ้งไว้กลางแดด.

ลำดับนั้น พระราชามีพระดำริว่า เราจักอภิเษกลูกของเราในที่นี้แหละ
แล้วพากลับไปพระนคร เมื่อจะเชิญพระมหาสัตว์ให้ครองราชสมบัติ จึงตรัสว่า
ลูกรัก ดีฉันขอมอบกองพละช้าง กองพลรถ กอง
พลม้า กองพลราบ และกองพลผูกเกราะ ตลอดถึง
พระราชนิเวศอันเป็นที่รื่นรมย์แก่พ่อ. และขอมอบนาง
สนมกำนัลในผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ
แก่พ่อ พ่อจงปฏิบัติในนางเหล่านั้น จงเป็นพระราชา
ของดิฉันทั้งหลาย สตรี 4 คนเป็นผู้ฉลาดในการฟ้อน-
รำและการขับร้อง ศึกษามาดีแล้ว จักทำให้ลูกรื่นรมย์
ในกาม พ่อจักทำอะไรในป่า ดิฉันจักนำราชกัญญา
จากพระราชาเหล่าอื่นที่ตกแต่งแล้วมาเพื่อพ่อ พ่อจง
ให้นางเหล่านั้นมีโอรสมาก ๆ แล้วจึงผนวชต่อภายหลัง
พ่อยังเยาว์เป็นหนุ่มแน่น ตั้งอยู่ในปฐมวัย มีเกศาดำ
สนิท จงครองราชสมบัติเถิด ขอพ่อจงเจริญ จักทำ
อะไรในป่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตฺถานีกํ ความว่า ช้างโขลงใหญ่
ตั้งแต่ 10 เชือกขึ้นไป ชื่อว่ากองพลช้าง กองพลรถก็อย่างนั้น. บทว่า จมฺมิโน
ได้แก่ กองทหารกล้าตายสวมเกราะ บทว่า กุสลา แปลว่า ผู้ฉลาด.
บทว่า สุสิกฺขิตา ความว่าเป็นผู้ได้รับการศึกษาดีในหน้าที่ของหญิงแม้อื่น ๆ.
บทว่า จตุริตฺถิโย ได้แก่ หญิงงามมีเสน่ห์ 4 คน อีกอย่างหนึ่ง หญิง
ชาวเมือง 4 คน อีกอย่างหนึ่ง หญิงฟ้อนรำ 4 คน. บทว่า ปฏิราชูหิ กญฺญา
ความว่า ลูกรัก พ่อจักนำราชกัญญาอื่น ๆ แต่พระราชาอื่น ๆ มาให้ลูก.

บทว่า ยุวา ได้แก่ ถึงความเป็นหนุ่ม. บทว่า ทหโร แปลว่า หนุ่ม
บทว่า ปฐมุปฺปตฺติโต ความว่า เกิดขึ้น คือ ขึ้นต้น โดยปฐมวัย. บทว่า สุสู
ความว่า ยังหนุ่มแน่นมีเกศาดำขลับ.
ตั้งแต่นี้ไป เป็นธรรมกถาของพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์เมื่อทรง.
แสดงธรรมถวายพระราชา ตรัสว่า
คนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์ควรเป็นคนหนุ่ม การบรรพชาควรเป็นของ
คนหนุ่ม ข้อนั้นท่านผู้แสวงหาคุณธรรมทั้งหลายสรร-
เสริญแล้ว คนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์ควรเป็นคนหนุ่ม อาตมภาพจักประพฤติ
พรหมจรรย์ ไม่ต้องการราชสมบัติ อาตมภาพเห็น
เด็กชายของท่านทั้งหลาย เรียกมารดาบิดาซึ่งเป็นบุตร
ที่รักอันได้มาโดยยาก ยังไม่ทันแก่ก็ตายเสียแล้วอาตม-
ภาพเห็นเด็กหญิงของท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นเด็กหญิง
ที่สวยงามน่าชม สิ้นชีวิต เหมือนหน่อไม้ไผ่ยังอ่อน
ที่ถูกถอนฉะนั้น จริงอยู่ นรชนจะเป็นชายหนุ่มหรือ
หญิงสาวก็ตาม ตายทั้งนั้น ใครเล่าจะพึงวางใจในชีวิต
ว่า เรายังหนุ่มอยู่ อายุของคนเราเป็นของน้อยนัก
เพราะวันคืนล่วงไป ๆ เหมือนอายุของฝูงปลาในน้ำ
น้อย ความเป็นหนุ่มสาวในวัยนั้นจักทำอะไรได้ สัตว-
โลกถูกครอบงำและถูกห้อมล้อมอยู่เป็นนิตย์ เมื่อสิ่งที่
ไม่เป็นประโยชน์เดินไปอยู่ มหาบพิตรจะอภิเษกอาตม-
ภาพในราชสมบัติทำไม.

พระราชาตรัสถามว่า
สัตวโลกถูกอะไรครอบงำไว้ และถูกอะไรห้อม
ล้อมไว้ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเป็นไปอยู่ ดิฉัน
ถามแล้ว พ่อจงบอกข้อนั้นแก่ดิฉัน.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
สัตวโลกถูกความตายครอบงำไว้ ถูกความแก่
ห้อมล้อมไว้ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์คือคืนวันเป็นไปอยู่
มหาบพิตรจงทรงทราบอย่างนี้ ขอถวายพระพร เมื่อ
ด้ายที่เขากำลังทอ ช่างหูกทอไปได้เท่าใด ส่วนที่จะ
ต้องทอก็ยังเหลืออยู่น้อยเท่านั้น แม้ฉันใด ชีวิตของ
สัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้น แม่น้ำที่เต็มฝั่ง ย่อมไม่ไหลไป
สู่ที่สูง ฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่กลับ
ไปสู่ความเป็นเด็กอีกฉันนั้น แม่น้ำที่เต็มฝั่ง ย่อมพัด
พาเอาต้นไม้ที่เกิดอยู่ริมฝั่งให้หักโค่นไป ฉันใด สัตว์
ทั้งปวงย่อมถูกชราและมรณะพัดพาไป ฉันนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺรหฺมจารี ยุวา สิยา ความว่า
ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ควรเป็นคนหนุ่มทีเดียว. บทว่า อิสีภิ วณฺณิตํ
ความว่า ท่านผู้แสวงหาคุณธรรมทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญแล้ว
คือชมเชยแล้ว. บทว่า รชฺเชนมตฺถิโก ความว่า อาตมภาพไม่ต้องการ
ราชสมบัติ. บทว่า อมฺมตาต วทนฺนรํ ได้แก่ ซึ่งนระผู้เรียกว่า แม่จ๋า
พ่อจ๋า. บทว่า ปลุตฺตํ ความว่า ถูกความตายถอนขึ้นยึดไว้. บทว่า ยสฺส
รตฺยาธิวาเสน
ความว่า มหาบพิตร ตั้งแต่เวลาที่เด็กถือปฏิสนธิในครรภ์
มารดา อายุก็น้อยลงเรื่อย ๆ เพราะคืนวันล่วงไป ๆ. บทว่า โกมาริกํ ตหึ

ความว่า ในวัยนั้น ความเป็นหนุ่มจักทำอะไรได้. บทว่า เกนมพฺภาหโต
ความว่า โลกนี้ถูกอะไรครอบงำไว้ พระราชาได้ทรงทราบเนื้อความของคำที่
กล่าวไว้โดยย่อ จึงตรัสถามข้อนี้. บทว่า รตฺยา แปลว่า ราตรีทั้งหลาย
มหาบพิตร ราตรีทั้งหลายย่อมทำอายุ วรรณะ และพละของสัตว์เหล่านั้นให้
สิ้นไป เป็นไปอยู่ ดังนั้นพึงทราบว่า ชื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นไปอยู่.
บทว่า ย ํ ยํ เทโว ปวุยฺหติ ความว่า ในผ้าที่กำลังทออยู่ เมื่อทำส่วนที่
เหลือซึ่งจะต้องทอนั้น ๆ ให้เต็ม ย่อมเหลืออยู่น้อย ฉันใด ชีวิตของสัตว์
ทั้งหลายก็ฉันนั้น. บทว่า น ปริวตฺตติ ความว่า น้ำที่ไหลไปเรื่อย ๆ อยู่
ในขณะนั้น ย่อมไม่ไหลไปในที่สูง. บทว่า วเห รุกฺเข ปกุลเช ความว่า
พึงพัดพาต้นไม้ทั้งหลายที่เกิดใกล้ฝั่งไป.
พระราชาทรงสดับธรรมกถาของพระมหาสัตว์แล้ว ไม่ทรงคิดผูกพัน
ด้วยการครองเรือน มีพระราชประสงค์จะทรงผนวช ตรัสว่า เราจักไม่ไป
พระนครอีก จักบรรพชาในที่นี้แหละ ถ้าลูกของเราไปพระนคร เราจะให้
เศวตฉัตรแก่เขา ดังนี้ เพื่อจะทรงทดลองพระมหาสัตว์ จึงตรัสเชื้อเชิญ ด้วย
ราชสมบัติอีกว่า
ลูกรัก ดิฉันขอมอบกองพลช้าง กองพลรถ
กองพลม้า กองพลราบ. และกองพลผูกเกราะ ตลอด
ถึงพระราชนิเวศอันเป็นที่รื่นรมย์แก่พ่อ และขอมอบ
นางสนมกำนัลใน ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อม
สรรพแก่พ่อ พ่อจงปฏิบัติในนางเหล่านั้น จงเป็นพระ
ราชาของดิฉันทั้งหลาย สตรี 4 คนเป็นผู้ฉลาด
ในการฟ้อนรำและการขับร้อง ศึกษามาดีแล้ว จักทำ

ให้ลูกรื่นรมย์ในกาม พ่อจะทำอะไรในป่า ดิฉัน
จักนำราชกัญญาจากพระราชาเหล่าอื่น ที่ตกแต่งแล้ว
มาเพื่อพ่อ พ่อจงให้นางเหล่านั้นมีโอรสมาก ๆ แล้ว
จึงผนวชต่อภายหลัง ลูกรัก ดีฉันขอให้ฉางหลวง
พระคลัง พาหนะ และกองพลทั้งหลาย ตลอดถึงพระ
ราชนิเวศ อันเป็นที่รื่นรมย์แก่พ่อ พ่อจงแวดล้อม
ด้วยราชกัญญาอันงดงามเป็นปริมณฑล มีหมู่บริจาริ-
กานารีห้อมล้อม จงครองราชสมบัติเถิด ขอพ่อจง
เจริญ จักทำอะไรในป่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โคมณฺฑลปริพฺยุฬฺโห ความว่า
มีเหล่าราชกัญญาผู้สวยงามห้อมล้อมเป็นวง.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อประกาศความที่พระองค์ ไม่ต้องการ
ราชสมบัติ ตรัสว่า
มหาบพิตร จะให้อาตมภาพเสื่อมไปเพราะทรัพย์
ทำไม บุคคลจักตายเพราะภริยาทำไม ประโยชน์อะไร
ด้วยความเป็นหนุ่มสาว ซึ่งต้องแก่ ทำไมจะต้องให้
ชราครอบงำ ในโลกสันนิวาสซึ่งมีชราและมรณะเป็น
ธรรมดานั้น จะเพลิดเพลินไปทำไม จะเล่นหัวไปทำไม
จะยินดีไปทำไม จะมีประโยชน์อะไรด้วยการแสวง
หาทรัพย์ จะมีประโยชน์อะไรด้วยบุตรและภริยา
แก่อาตมภาพ มหาบพิตร อาตมภาพเป็นผู้พ้นแล้ว
จากเครื่องผูก มัจจุราชย่อมไม่ประมาทในอาตมภาพผู้

รู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลเมื่อถูกมัจจุราชครอบงำแล้ว จะ
ยินดีไปทำไม จะประโยชน์อะไรด้วยการแสวงหา-
ทรัพย์ ผลไม้ที่สุกแล้ว ย่อมเกิดภัย แต่การหล่นเป็น
นิตย์ ฉันใด สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้ว ย่อมมีภัยแต่
ความตายเป็นนิตย์ ฉันนั้น ชนเป็นอันมากเห็นกันอยู่
ในเวลาเช้า บางพวกพอตกเวลาเย็นก็ไม่เห็นกัน ชน
เป็นอันมากเห็นกันอยู่ในเวลาเย็น บางพวกพอถึงเวลา
เช้าก็ไม่เห็นกัน ภูมิประเทศที่ตั้งกองช้าง กองรถ
กองราบ ย่อมไม่มีในสงความคือมรณะนั้น ไม่อาจจะ
ต่อสู่เอาชัยชนะต่อมฤตยู ด้วยเวทมนต์ หรือยุทธวิธี
หรือสินทรัพย์ได้ มฤตยูมิได้เว้นกษัตริย์ พราหมณ์
พ่อค้า ลูกจ้าง คนจัณฑาล และคนเทหยากเยื่อไร ๆ
ย่อมย่ำยีทั้งหมดทีเดียว ควรรีบทำความเพียรในวันนี้
ทีเดียว ใครเล่าจะพึงรู้ว่าตายพรุ่งนี้ เพราะความผัด
ผ่อนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ไม่มีเลย โจรทั้ง-
หลายย่อมปรารถนาทรัพย์ อาตมภาพเป็นผู้พ้นจาก
เครื่องผูก ขอถวายพระพร เชิญมหาบพิตรเสด็จกลับ
ไปเถิด อาตมภาพไม่ต้องการราชสมบัติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชิยฺเยถ ความว่า มหาบพิตร พระองค์
ทรงเชื่อเชิญอาตมภาพเหตุทรัพย์ทำไม ทรัพย์ซึ่งสิ้นไปย่อมละเสียซึ่งบุคคล บาง
ที่บุคคลย่อมละเสียซึ่งทรัพย์ไป แม้สิ่งทั้งปวงก็ย่อมถึงความสิ้นไปทั้งนั้น พระ-
องค์ทรงเชื้อเชิญอาตมภาพเหตุทรัพย์ทำไม. บทว่า กึ ภริยาย มริสฺสติ

ความว่า เมื่ออาตมภาพยังดำรงอยู่ ภรรยาก็จักตาย เมื่อภรรยานั้นยังดำรงอยู่
แม้อาตมภาพก็จักตาย พระองค์จักทำอะไรด้วยภรรยานั้น. บทว่า ชิณฺเณน
ความว่า อันชราห้อมล้อมครอบงำ. บทว่า ตตฺถ ความว่า ในโลกสันนิวาส
ซึ่งมีชราและมรณะเป็นธรรมดา. บทว่า กา นนฺทิ ความว่า จะยินดีไป
ทำไม. บทว่า กา ขิฑฺฑา ความว่า จะเล่นไปทำไม. บทว่า กา รติ
ความว่า จะยินดีในกามตัณหาไปทำไม. บทว่า พนฺธนา ความว่า เพราะ
ข่มไว้ได้ด้วยฌาน พระมหาสัตว์จึงตรัสอย่างนี้ว่า มหาบพิตร อาตมภาพเป็น
ผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกคือกาม หรือจากเครื่องผูกคือตัณหา. บทว่า มจฺจุ เม
ความว่า มัจจุราชไม่ประมาทในเรา. บทว่า นปฺปมชฺชสิ ความว่า เป็นผู้
ไม่ประมาทเพื่อจะฆ่าอาตมภาพเป็นนิจเลย. บทว่า โยหํ. ความว่า อาตมภาพ
ทราบอย่างนี้. บทว่า อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส ความว่า เมื่ออาตมภาพถูก
ความตายครอบงำคือหยั่งลงแล้ว จะยินดีแสวงหาทรัพย์ไปทำไม. บทว่า
นิจฺจํ ความว่า ภัยแต่มรณะย่อมเกิดขึ้นในกาลทั้งปวง จำเดิมแต่กาลที่เป็น
กาลละ. บทว่า อาตปฺปํ ได้แก่ ความเพียรในกุศลกรรม. บทว่า กิจฺจํ
แปลว่า พึงกระทำ. บทว่า โก ชญฺญา มาณํ สุเว ความว่า ใครจะรู้
ว่า จะเป็นจะตายในวันพรุ่งนี้ หรือวันมะรืนนี้. บทว่า สงฺครํ ได้แก่
กำหนด. บทว่า มหาเสเนน ความว่า ผู้มีเสนามาก มีมหาภัย 25
กรรมกรณ์ 32 และโรค 96 เป็นต้น. บทว่า โจรา ธนสฺส ปตฺเถนฺติ
ความว่า โจรทั้งหลายเมื่อสละชีวิตเพื่อต้องการทรัพย์ ชื่อว่าปรารถนาทรัพย์.
บทว่า ราช มุตฺโตสฺมิ ความว่า มหาบพิตร อาตมภาพพ้นแล้ว จาก
เครื่องผูกกล่าวคือความปรารถนาทรัพย์ อาตมภาพไม่ต้องการทรัพย์. บทว่า
นิวตฺตสฺสุ ความว่า ขอมหาบพิตรทรงกลับ พระหฤทัยโดยชอบตามคำของ
อาตมภาพ มหาบพิตรจงละราชสมบัติทรงผนวช ทำเนกขัมมคุณให้เป็นที่พึ่ง

จะมีดีหรือ อนึ่ง มหาบพิตรอย่าได้มีพระราชดำริถึงเรื่องที่มหาบพิตรได้มีพระ
ราชดำริไว้นั้นว่า เราจะให้ลูกของเราคนนี้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ อาตมภาพไม่
ต้องการราชสมบัติ.
ธรรมเทศนาของพระมหาสัตว์ ชื่อว่า ยถานุสนธิ จบลงด้วยประการ
ฉะนี้.
นางสนมหมื่นหกพันคน และประชาชนมีเหล่าอมาตย์เป็นต้น นับตั้ง
แต่พระราชาและพระนางจันทาเทวีเป็นต้น ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระมหา-
สัตว์นั้นแล้ว ได้มีความประสงค์จะบรรพชาในคราวนั้น ครั้งนั้น พระราชา
โปรดให้ตีกลองประกาศในพระนครว่า ชนใด ๆ ปรารถนาจะบวชในสำนัก
ของลูกเรา ชนนั้น ๆ จงบวชเถิด และโปรดให้เปิดประตูพระคลังทองเป็นต้น
ทั้งหมด แล้วให้จารึกในแผ่นทองผูกไว้ที่เสาท้องพระโรงว่า หม้อขุมทรัพย์
ใหญ่มีอยู่ในที่โน้นด้วยในที่โน้นด้วย ผู้ที่ต้องการจงถือเอาเถิด ฝ่ายชาวพระ-
นครทั้งหลาย ก็ละทิ้งร้านตลาดตามที่เปิดเสนอขายของกัน และทิ้งบ้านเรือน
ซึ่งเปิดประตูไว้ ไปสู่สำนักแห่งพระราชา พระราชาทรงผนวชในสำนักของ
พระมหาสัตว์ พร้อมด้วยประชาชนเป็นจำนวนมาก อาศรมสถานสามโยชน์ที่ท้าว
สักกเทวราชถวาย เต็มไปหมด พระมหาสัตว์ทรงพิจารณาบรรณศาลาทั้งหลาย
ทรงมอบบรรณศาลาทั้งหลายในที่ท่ามกลางแก่เหล่าสตรี เพราะเหตุไร เพราะ
สตรีเหล่านี้ เป็นคนขลาด พระมหาสัตว์ทรงพิจารณาแล้วทรงมอบบรรณศาลา
หลังนอก ๆ แก่เหล่าบุรุษ บรรพชิตชายหญิงทั้งหมดเก็บผลไม้ ที่ต้นไม้มี
ผลทั้งหลาย อันพระวิสสุกรรมเนรมิตไว้ ซึ่งหล่นลงที่พื้นดิน ในวันรักษา
อุโบสถ มาบริโภคแล้วเจริญสมณธรรม บรรดาบรรพชิตเหล่านั้น ผู้ใดตรึก
กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก พระมหาสัตว์ทรงทราบวารจิตแห่ง
ผู้นั้น เสด็จประทับนั่งแสดงธรรมสั่งสอนในอากาศ บรรพชิตเหล่านั้นทั้งหมด

ฟังพระโอวาทนั้นแล้ว ทำอภิญญาห้าและสมาบัติ (แปด) ให้เกิดพลันทีเดียว
กาลนั้น กษัตริย์สามนตราชองค์หนึ่ง ทรงสดับว่า ได้ยินว่า พระเจ้า
กาสิกราชทรงผนวชแล้ว จึงทรงคิดว่า เราจักยึดเอาราชสมบัติในกรุงพาราณสี
เสีย จึงเสด็จออกจากพระนคร (ของพระองค์) ถึงกรุงพาราณสี เสด็จเข้าสู่
พระนคร ทอดพระเนตรเห็นพระนครซึ่งตกแต่งไว้ จึงเสด็จขึ้นพระราชนิเวศ
ทอดพระเนตรดูรัตนะอันประเสริฐเจ็ดประการ ทรงจินตนาการว่า ภัยอย่าง
หนึ่งพึงมีเพราะอาศัยทรัพย์นี้ รับสั่งให้เรียกพวกนักเลงสุรามาตรัสถามว่า แน่ะ
พ่อนักดื่มทั้งหลาย ในพระนครนี้ มีภัยเกิดขึ้นแก่พระราชาผู้เป็นเจ้านายของ
พวกท่านหรือ.
พวกนักเลง. ไม่มีพระเจ้าข้า.
กษัตริย์สามนตราช. ตรัสถามว่า เพราะเหตุไร.
ก็ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เตมิยกุมารผู้เป็นโอรส ของพระราชาของพวก
ข้าพระองค์ ทรงเห็นว่า จักครองราชสมบัติในกรุงพาราณสีทำไม มิได้เป็น
ใบ้ก็แสร้งทำเป็นใบ้ เสด็จออกจากพระนครนี้เข้าป่าทรงผนวชเป็นฤๅษี เพราะ
เหตุนั้น แม้พระราชาของพวกข้าพระองค์พร้อมด้วยมหาชน ก็ได้เสด็จออก
จากพระนครนี้ไปสำนักของเตมิยกุมาร ทรงผนวชแล้ว พระเจ้าสามนตราช
ตรัสถามว่า พระราชาของพวกเจ้าเสด็จออกทางประตูไหน เมื่อเขากราบทูลว่า
เสด็จออกทางประตูทิศตะวันออก เสด็จออกทางประตูนั้นเหมือนกัน ได้
เสด็จไปตามฝั่งแน่น้ำ.
พระมหาสัตว์ทรงทราบว่า พระเจ้าสามนตราชเสด็จมา ทรงต้อนรับ
แล้ว ประทับนั่งในอากาศแสดงธรรมแก่พระเจ้าสามนตราชนั้น พระราชา
สามนตราชนั้น พร้อมด้วยบริษัท ทรงสดับธรรมแล้วทรงผนวชในสำนักของ

พระมหาสัตว์นั้น แม้พระราชาอื่น ๆ อีกสามพระองค์ต่างก็ทรงละทิ้งราชสมบัติ
ทรงผนวชแล้วอย่างนั้นนั่นแล ด้วยประการฉะนี้ ประเทศทรงนั้นได้เป็นมหา-
สมาคม ช้างทั้งหลายก็กลายเป็นช้างป่า ม้าทั้งหลายก็กลายเป็นม้าป่า แม้รถ
ทั้งหลายก็ชำรุดทรุดโทรมไปในป่านั่นเอง ภัณฑะเครื่องใช้สอยและกหาปณะ
ทั้งหลายก็เรี่ยรายเกลื่อน ดุจทรายที่ใกล้อาศรมสถาน บรรพชิตทั้งหมดนั้น ทำ
สมาบัติแปดให้บังเกิดในที่นั่นเอง เมื่อสิ้นชีวิตได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้อง
หน้า แม้ช้างและม้าทั้งหลายซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน ยังจิตให้เลื่อมใสในหมู่ฤๅษี
ทั้งหลาย ได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นกามาพจร 6 ชั้น.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อน.
ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เราละราชสมบัติออกบวช แม้ในกาล
ก่อน เราก็ได้ละราชสมบัติออกบวชเหมือนกัน ดังนี้แล้วทรงประกาศอริยสัจ 4
แล้วประชุมชาดก เทพธิดาผู้สิงสถิตอยู่ที่เศวตฉัตรในกาลนั้น เป็นภิกษุณี
ชื่ออุบลวรรณาในบัดนี้ นายสุนันทสารถี เป็นพระสารีบุตร ท้าวสักกะเป็น
พระอนุรุทธ์ พระชนกและพระชนนี เป็นมหาราชสกุล บริษัทนอกนี้เป็น
พุทธบริษัท ส่วนบัณฑิตผู้ทำเป็นใบ้ ทำเป็นง่อยเปลี้ย คือเราผู้สัมมาสัม
พุทธนี่เองแล.
จบเตมิยชาดก

2. มหาชนกชาดก



ว่าด้วยพระมหาชนกทรงบำเพ็ญวิริยบารมี


[442] นี้ใคร เมื่อแลไม่เห็นฝั่งก็อุตสาหะ
พยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ท่านรู้อำนาจ
ประโยชน์อะไร จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้นักหนา.

[443] ดูก่อนเทวดา เราไตร่ตรองเห็น
ปฏิปทาแห่งโลก และอานิสงส์แห่งความเพียร เพราะ
ฉะนั้น จึงจะมองไม่เห็นฝั่ง เราต้องพยายามว่ายอยู่
ในกลางมหาสมุทร.

[444] ฝั่งมหาสมุทรลึกจนประมาณไม่ได้
ย่อมไม่ปรากฏแก่ท่าน ความพยายามอย่างลูกผู้ชาย
ของท่านก็เปล่าประโยชน์ ท่านไม่ทันถึงฝั่งก็จักตาย.

[445] บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะ
ตายก็ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติ เทวดาและ
บิดามารดา อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อม
ไม่เดือดร้อนในภายหลัง.

[446] การงานอันใด ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความ
พยายาม การงานอันนั้นก็ไร้ผล มีความลำบากเกิดขึ้น
การทำความพยายามในฐานะอันไม่สมควรใด จน
ความตายปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะอันใน
สมควรนั้น จะมีประโยชน์อะไร.