เมนู

อรรถกถามหานิบาต



สุวรรณสามชาดก


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภ
พระภิกษุรูปหนึ่งผู้เลี้ยงมารดา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โก นุ มํ อุสุนา
วิชฺฌิ
ดังนี้ เป็นต้น.
ดังได้สดับมา ในกรุงสาวัตถี มีกุลบุตรผู้หนึ่งเป็นบุตรคนเดียวของสกุล
เศรษฐีผู้หนึ่งซึ่งมีทรัพย์สมบัติสิบแปดโกฏิ กุลบุตรนั้นเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจ
ของบิดามารดา วันหนึ่ง เขาอยู่บนปราสาทเปิดสีหบัญชรแลดูในถนนใหญ่
เห็นมหาชนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร เพื่อต้อง
การสดับพระธรรมเทศนา จึงคิดว่า แม้ตัวเราก็จักไปกับพวกนั้นบ้าง จึงให้
คนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นไปสู่พระวิหาร ถวายผ้าเภสัชและน้ำดื่ม
เป็นต้นแด่พระสงฆ์ และบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยของหอมและดอกไม้
เป็นต้น ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาแล้วเห็น
โทษในกามทั้งหลาย กำหนดอานิสงส์แห่งบรรพชา ครั้นบริษัทลุกไปแล้ว จึง
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลขอบรรพชา ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสกะกุลบุตรนั้น อย่างนี้ว่า พระตถาคตทั้งหลายไม่ยังบุตรที่บิดามารดายังมิได้
อนุญาตให้บรรพชา กุลบุตรได้พึงรับสั่งดังนั้น จึงถวายบังคมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า กลับไปเคหสถาน ไหว้บิดามารดาด้วยความเคารพเป็นอันดีแล้วกล่าว
อย่างนี้ว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ข้าพเจ้าจักบวชในสำนักพระตถาคต ลำดับนั้น
บิดามารดาของกุลบุตรนั้นได้ฟังคำของเขาแล้ว ก็เป็นราวกะมีหัวใจแตกเป็น
เจ็ดเสี่ยง เพราะมีบุตรคนเดียว หวั่นไหวอยู่ด้วยความสิเนหาในบุตร ได้กล่าว

อย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อผู้เป็นบุตรที่รัก ผู้เป็นหน่อแห่งสกุล ผู้เป็นดั่งดวงตา
ผู้เช่นกับชีวิตของเราทั้งสอง เราทั้งสองเว้นจากเจ้าเสีย จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
ชีวิตของเราทั้งสองเนื่องในเจ้า เราทั้งสองก็แก่เฒ่าแล้ว จักตายในวันนี้พรุ่งนี้
หรือมะรืนนี้ เจ้ายังจะละเราทั้งสองไปเสียอีก ธรรมดาว่าบรรพชาอันบุคคล
ทำได้ยากยิ่ง เมื่อต้องการเย็น ย่อมได้ร้อน เมื่อต้องการร้อน ย่อมได้เย็น
เพราะเหตุนั้น เจ้าอย่าบวชเลย กุลบุตรได้สดับคำของบิดามารดาดังนั้น ก็มี
ความทุกข์โทมนัส นั่งก้มศีรษะซบเซา ไม่บริโภคอาหารเจ็ดวัน ลำดับนั้น
บิดามารดาของกุลบุตรนั้น คิดกันอย่างนี้ว่า ถ้าบุตรของเราไม่ได้รับ อนุญาต
ให้บวชก็จักตาย เราจักไม่ได้เห็นเขาอีกเลย บุตรเราเป็นอยู่ด้วยเพศบรรพชิต
เราจักได้เห็นอีกต่อไป ครั้นคิดเห็นกันอย่างนี้แล้วจึงอนุญาตว่า ดูก่อนพ่อ
ผู้เป็นลูกรัก เราอนุญาตให้เจ้าบวช เจ้าจงบวชเถิด กุลบุตรได้ฟังดังนั้นก็มี
ได้ยินดี น้อมสรีระทั้งสิ้นลงกราบแทบเท้าบิดามารดา ลาออกจากกรุงสาวัตถี
ไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลขอบรรพชา
พระศาสดาตรัสสั่งภิกษุหนึ่งให้บวชกุลบุตรนั้น เป็นสามเณร จำเดิมแต่
สามเณรนั้นบวชแล้ว ลาภสักการะเกิดขึ้นเป็นอันมาก สามเณรนั้นยังอาจารย์
และอุปัชฌาย์ให้ยินดีอุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว เล่าเรียนธรรมอยู่ห้าพรรษา
ดำริว่า เราอยู่ในที่นี้เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่ญาติเป็นต้น หาสมควรแก่เราไม่
เป็นผู้ใคร่จะบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ จึงเรียนกรรมฐานในสำนักอุปัชฌาย์ ออก
จากวิหารเชตวันไปสู่ปัจจันตคามแห่งหนึ่งอยู่ในป่าอาศัยปัจจันตคามนั้น ภิกษุ
นั้นเจริญวิปัสสนาในที่นั้น แม้เพียรพยายามอยู่ถึงสิบสองปี ก็ไม่สามารถยัง
ธรรมวิเศษให้เกิด ฝ่ายบิดามารดาของภิกษุนั้น ครั้นเมื่อกาลล่วงไปได้ขัดสน
ลง คิดเห็นว่า ก็เหล่าชนที่ประกอบการนาหรือพาณิชย์ บุตรหรือพี่น้องที่จะ
เตือนนึกถึงพาพวกเราไปไม่มีในสกุลนี้ พวกเขาถือเอาทรัพย์ตามกำลังของตน ๆ

หนีไปตามชอบใจ แม้ทาสกรรมกรในเรือนเป็นต้น ก็ถือเอาเงินทองเป็นต้น
หนีไป ครั้นต่อมา ชนทั้งสองจึงตกทุกข์ได้ยากเหลือเกิน ไม่ได้แม้การรดน้ำ
ในมือ ต้องขายเรือน ไม่มีเรือนอยู่ ถึงความเป็นผู้น่าสงสารอย่างยิ่ง นุ่งห่ม
ผ้าท่อนเก่า ถือกระเบื้องเที่ยวขอทานที่นี่ที่นั่น ในกาลนั้น ภิกษุรูปหนึ่งออก
จากพระเชตวันมหาวิหารไปถึงที่อยู่ของภิกษุบุตรเศรษฐีอนาถานั้น ภิกษุเศรษฐี
บุตรนั้นทำอาคันตุกวัตรแก่ภิกษุนั้นแล้ว นั่งเป็นสุขแล้วจึงถามว่า ท่านมา
แต่ไหน ภิกษุอาคันตุกะแจ้งว่ามาแต่พระเชตวัน จึงถามถึงความผาสุกแห่ง
พระศาสดาและของพระมหาสาวกเป็นต้น แล้วถามถึงข่าวคราวแห่งบิดามารดา
ว่า ท่านขอรับ สกุลเศรษฐีชื่อโน้นในกรุงสาวัตถีสบายดีหรือ ภิกษุอาคันตุกะ
ตอบว่า อาวุโส ท่านอย่าถามถึงข่าวคราวแห่งสกุลนั้นเลย ถามว่า เป็น
อย่างไรหรือท่านตอบว่า ได้ยินว่า สกุลนั้นมีบุตรคนเดียว เขาบวชในพระ-
ศาสนา จำเดิมแต่เขาบวชแล้ว สกุลนั้นก็เสื่อมสิ้นไป บัดนี้เศรษฐีทั้งสอง
เป็นกำพร้าน่าสงสารอย่างยิ่ง ถือกระเบื้องเที่ยวขอทาน ภิกษุเศรษฐีบุตรได้
ฟังคำของภิกษุอาคันตุกะแล้ว ก็ไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้ มีน้ำตานองหน้าเริ่ม
ร้องไห้ พระเถระเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า เธอร้องไห้ทำไม ภิกษุเศรษฐีบุตร
ตอบว่า ท่านขอรับ ชนสองคนนั้นเป็นบิดามารดาของกระผม กระผมเป็น
บุตรของท่านทั้งสองนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า บิดามารดาของเธอถึงความ
พินาศเพราะอาศัยเธอ เธอจงไปปฏิบัติบิดามารดานั้น ภิกษุเศรษฐีบุตรคิดว่า
เราแม้เพียรพยายามอยู่ถึงสิบสองปี ก็ไม่สามารถที่จะยังมรรคหรือผลให้บังเกิด
เราจักเป็นคนอาภัพ ประโยชน์อะไรด้วยบรรพชาเล่า เราจักเป็นคฤหัสถ์เลี้ยง
บิดามารดา ให้ทาน ก็เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า คิดฉะนี้แล้ว
มอบสถานที่อยู่ในป่าแก่พระเถระนั้น นมัสการะเถระแล้ว รุ่งขึ้นจึงออก
จากป่าไปโดยลำดับ ลุถึงวิหารหลังพระเชตวัน ไม่ไกลกรุงสาวัตถี ณ ที่

ตรงนั้นเป็นทางสองแพร่ง ทางหนึ่งไปพระเชตวัน ทางหนึ่งไปในกรุงสาวัตถี
ภิกษุนั้นหยุดอยู่ตรงนั้น คิดว่า เราจักไปหาบิดามารดาก่อน หรือจักไปเฝ้า
พระทศพลก่อน แล้วคิดต่อไปว่า เราไม่ได้พบบิดามารดานานแล้วก็จริง แต่
จำเดิมแต่นี้ เราจักได้เฝ้าพระพุทธเจ้าได้ยาก วันนี้เราจักเฝ้าพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าแล้วฟังธรรม รุ่งขึ้นจึงไปหาบิดามารดาแต่เช้าเทียว คิดฉะนี้แล้ว ละ
บรรดาไปกรุงสาวัตถี ไปสู่บรรดาที่ไปพระเชตวัน ถึงพระเชตวันเวลาเย็น.
ก็วันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็น
อุปนิสัยแห่งภิกษุผู้เป็นบุตรแห่งสกุลรูปนี้ พระองค์จึงทรงพรรณนาคุณแห่ง
บิดามารดาด้วยมาตุโปสกสูตร ในเวลาที่ภิกษุนั้นมาถึง ก็ภิกษุนั้นยืนอยู่ในที่
สุดบริษัท สดับธรรมกถาอันไพเราะ จึงรำพึงว่า เราคิดไว้ว่าจักเป็นคฤหัสถ์
อาจบำรุงปฏิบัติบิดามารดา แต่พระศาสดาตรัสว่า แม้เป็นบรรพชิตก็ทำอุปการะ
แก่บิดามารดาได้ ถ้าเราไม่ได้มาเฝ้าพระศาสดาก่อนแล้วไป พึงเสื่อมจาก
บรรพชาเห็นปานนี้ ก็บัดนี้ เราไม่ต้องสึกเป็นคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิตอยู่นี่แหละ
จักบำรุงบิดามารดา ภิกษุนั้นถวายบังคมพระศาสดาแล้วออกจากพระเชตวัน ไป
สู่โรงสลาก รับสั่งอาหารและยาคูที่ได้ด้วยสลาก เป็นภิกษุอยู่ป่าสิบสองปี ได้
เป็นเหมือนถึงความเป็นผู้พ่ายแพ้แล้ว ภิกษุนั้นเข้าไปในกรุงสาวัตถีแต่เช้า
ทีเดียว คิดว่าเราจักรับข้าวยาคูก่อนหรือไปหาบิดามารดาก่อน แล้วคิดว่า
การมีมือเปล่าไปสู่สำนักคนกำพร้าไม่สมควร จึงถือเอายาคูไปสู่ประตูเรือนเก่า
ของบิดามารดาเหล่านั้น ได้เห็นบิดามารดาเที่ยวขอยาคูแล้วเข้าอาศัยริมฝาเรือน
คนอื่นนั่งอยู่ ถึงความเป็นคนกำพร้าเข็ญใจ ก็มีความโศกเกิดขึ้น มีน้ำตา
นองหน้ายืนอยู่ในที่ใกล้ ๆ บิดามารดาทั้งสองนั้น บิดามารดาแม้เห็นท่านแล้ว
ก็จำไม่ได้ มารดาของภิกษุนั้นสำคัญว่า ภิกษุนั้นจักยืนเพื่อภิกขาจาร จึง
กล่าวว่า ของเคี้ยวของฉันอันควรถวายพระผู้เป็นเจ้าไม่มี นิมนต์โปรดสัตว์

ข้างหน้าเถิด ภิกษุนั้นได้ฟังคำแห่งมารดา ก็เกิดความโศกเป็นกำลัง มีน้ำตา
นองหน้ายืนอยู่ตรงนั้นเอง เพราะได้รับความเศร้าใจ แม้มารดากล่าวเช่นนั้น
สองครั้งสามครั้ง ก็ยังยืนอยู่นั่นเอง ลำดับนั้น บิดาของภิกษุนั้น พูดกะมารดาว่า
จงไปดู นั่นบุตรของเราทั้งสองหรือหนอ นางลุกขึ้นแล้วไปใกล้ภิกษุนั้น แลดู
ก็จำได้ จึงหมอบปริเทวนาการแทบเท้าแห่งภิกษุผู้เป็นบุตร ฝ่ายบิดาไปบ้าง
ก็ร้องไห้ตรงที่นั้นเหมือนกัน น่าสงสารเหลือเกิน ฝ่ายภิกษุนั้น เห็นบิดามารดา
ก็ไม่อาจจะทรงกายอยู่ได้จึงร้องไห้ ภิกษุนั้นกลั้นความโศกแล้วกล่าวว่า ท่าน
ทั้งสองอย่าคิดเลย อาตมาจักเลี้ยงดูท่านให้ผาสุก ยังบิดามารดาให้อุ่นใจแล้ว
ให้ดื่มยาคู ให้นั่งพักในที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว นำภิกษาหารมาอีกให้บิดามารดา
บริโภค แล้วแสวงหาภิกษาเพื่อน ไปสู่สำนักบิดามารดา ถามเรื่องภัตตาหาร
อีก ได้รับตอบว่า ไม่บริโภค จึงบริโภคเอง แล้วให้บิดามารดาอยู่ในที่ควร
แห่งหนึ่ง ภิกษุนั้นได้ปฏิบัติบิดามารดาทั้งสองโดยทำนองนี้ดังแต่นั้นมา แม้ภัต
ที่เกิดในปักษ์เป็นต้นที่ตนได้มา ก็ให้แก่บิดามารดา ตนเองเที่ยวภิกษาจาร ได้
มาถึงบริโภค เมื่อไม่ได้ก็ไม่บริโภค ได้ผ้าจำพรรษาก็ตาม ผ้าอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นอดิเรกลาภก็ตาม ก็ให้แก่บิดามารดา ซักย้อมผ้าเก่า ๆ ที่บิดามารดา
นุ่งห่มแล้ว เย็บปูนุ่งห่มเอง ก็วันที่ภิกษุนั้นได้อาหาร มีน้อยวัน วันที่ไม่ได้
มีมากกว่า ผ้านุ่งผ้าห่มของภิกษุนั้นเศร้าหมองเต็มที เมื่อภิกษุนั้น ปฏิบัติบิดา
มารดาต่อมา ก็เป็นผู้ซูบผอมเศร้าหมองไม่ผ่องใส กายเหลืองขึ้น ๆ มีตัวดาษ
ไปด้วยเส้นเอ็น ครั้งนั้นเหล่าภิกษุที่เป็นเพื่อนเห็นเพื่อนคบกันมาเห็นภิกษุนั้น
จึงถามว่า อาวุโส แต่ก่อนสรีรวรรณะของเธองามสดใส แต่บัดนี้เธอซูบผอม
เศร้าหมองไม่ผ่องใส กายเหลืองขึ้น ๆ มีตัวดาษไปด้วยเส้นเอ็น พยาธิเกิดขึ้น
แก่เธอหรือ ภิกษุนั้นตอบว่า อาวุโส ข้าพเจ้าไม่มีพยาธิ แต่มีความกังวล
แล้วบอกประพฤติเหตุนั้น ภิกษุเหล่านั้น จึงกล่าวว่า อาวุโส พระศาสดาไม่

ประทานอนุญาตเพื่อยังของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ตกไป ก็ท่านถือเอาของที่เขา
ให้ด้วยศรัทธามาให้แก่เหล่าคฤหัสถ์ ทำกิจไม่สมควร ภิกษุนั้น ได้พึงถ้อยคำ
ของภิกษุเหล่านั้นก็ละอาย ทอดทิ้งมาตาปิตุปัฏฐานกิจเสีย ภิกษุเหล่านั้น ยังไม่
พอใจ แม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ จึงพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุชื่อโน้นยังของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ตกไป
เลี้ยงดูคฤหัสถ์ พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาตรัสถามว่า แน่ะภิกษุ ได้ยินว่า
เธอถือเอาศรัทธาไทยไปเลี้ยงคฤหัสถ์ จริงหรือ เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลรับว่าจริง
พระเจ้าข้า เมื่อทรงใคร่จะสรรเสริญการกระทำของภิกษุนั้น และทรงใคร่จะ
ประกาศบุพจริยาของพระองค์ จึงตรัสถามว่า แน่ะภิกษุ เมื่อเธอเลี้ยงดูเหล่า
คฤหัสถ์ เลี้ยงดูคฤหัสถ์เหล่าไหน ภิกษุนั้นกราบทูลว่า บิดามารดาของข้า
พระองค์ พระเจ้าข้า เพื่อจะยังความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุนั้น พระศาสดา
ได้ทรงประทานสาธุการสามครั้งว่า สาธุ สาธุ สาธุ แล้วตรัสว่า เธอดำรง
อยู่ในทางที่เราดำเนินแล้ว แม้เราเมื่อประพฤติบุพจริยาก็ได้บำรุงเลี้ยงบิดา
มารดา ภิกษุนั้นกลับได้ความเบิกบานใจ ลำดับนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบ
ทูลวิงวอนให้ทรงประกาศบุพจริยา พระศาสดาจึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดง
ดังต่อไปนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ณ ที่ไม่ไกลแต่กรุงพาราณสี มีบ้าน
นายพรานบ้านหนึ่งริมฝั่งนี้แห่งแม่น้ำ และมีบ้านนายพรานอีกบ้านหนึ่งริมฝั่ง
โน้นแห่งแม่น้ำ ในบ้านแห่งหนึ่ง ๆ มีตระกูลประมาณห้าร้อยตระกูล นาย
เนสาทผู้เป็นใหญ่สองตนในบ้านทั้งสองเป็นสหายกัน ในเวลาที่ยังหนุ่มอยู่ เขา
ได้ทำกติกาสัญญากันอย่างนี้ว่า ถ้าข้างหนึ่งมีธิดา ข้างหนึ่งมีบุตร เราจักทำ
อาวาหวิวาทมงคลแก่บุตรธิดาเหล่านั้น ลำดับนั้น ในเรือนของนายเนสาท
ผู้เป็นใหญ่ในบ้านริมฝั่งนี้คลอดบุตร บิดามารดาให้ชื่อว่า ทุกูลกุมาร เพราะ

กุมารนั้นอันญาติทั้งหลายรองรับด้วยทุกูลพัสตร์ในขณะเกิด ในเรือนของนาย
เนสาทผู้เป็นใหญ่อีกคนหนึ่งคลอดธิดา บิดามารดาให้ชื่อว่า ปาริกากุมารี
เพราะนางเกิดฝั่งโน้น กุมารกุมารีทั้งสองนี้รูปงามน่าเลื่อมใสมีผิวพรรณดัง
ทองคำ แม้เกิดในสกุลนายพรานก็ไม่ทำปาณาติบาต.
กาลต่อมา เมื่อทุกูลกุมารมีอายุได้สิบหกปี บิดามารดาพูดว่า จะนำ
กุมาริกามาเพื่อเจ้า แต่ทุกูลกุมารมาแต่พรหมโลก เป็นสัตว์บริสุทธิ์ จึงปิดหู
ทั้งสองกล่าวว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ฉันไม่ต้องการอยู่ครองเรือน โปรดอย่า
ได้พูดอย่างนี้ แม้บิดามารดาพูดอยู่ถึงสองครั้งสามครั้ง ก็ไม่ปรารถนา ฝ่าย
ปาริกากุมารีแม้บิดามารดาพูดว่า แนะแน่ บุตรของสหายเรามีอยู่ เขามีรูปงาม
น่าเลื่อมใสมีผิวพรรณดั่งทองคำ เราจักให้ลูกแก่เขา นางปาริกาก็กล่าวห้าม
อย่างเดียวกัน แล้วปิดหูทั้งสองเสีย เพราะนางมาแต่พรหมโลกเป็นสัตว์บริสุทธิ์.
ในคราวนั้น ทุกูลกุมารส่งข่าวลับไปถึงนางปาริกาว่า ถ้าปาริกามี
ความต้องการด้วยเมถุนธรรม ก็จงไปสู่เรือนของบุคคลอื่น ฉันไม่มีความพอ
ใจในเมถุน แม้นางปาริกาก็ส่งข่าวลับ ไปถึงทุกูลกุมารเหมือนกัน แต่บิดามารดา
ได้กระทำอาวาหวิวาหมงคล แก่กุมารกุมารีทั้งสองผู้ไม่ปรารถนาเรื่องประ-
เวณีเลย เขาทั้งสองมิได้หยั่งลงสู่สมุทรคือกิเลส อยู่ด้วยกันเหมือนมหาพรหม
สององค์ ฉะนั้น ฝ่ายทุกูลกุมารไม่ฆ่าปลาหรือเนื้อ โดยที่สุดแม้เนื้อที่บุคคล
นำมา ก็ไม่ขาย ลำดับนั้น บิดามารดาพูดกะเขาว่า แน่ะพ่อ เจ้าเกิดในสกุล
นายพราน ไม่ปรารถนาอยู่ครองเรือน ไม่ทำการฆ่าสัตว์ เจ้าจักทำอะไร
ทุกูลกุมาร กล่าวตอบอย่างนี้ว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ เมื่อท่านทั้งสองอนุญาต
เราทั้งสองก็จักบวช บิดามารดาได้ฟังดังนั้น จึงอนุญาตว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้า
ทั้งสองจงบวชเถิด ทุกูลกุมารและปาริกากุนารีก็ยินดีร่าเริง ไหว้บิดามารดา

แล้วออกจากบ้าน เข้าสู่หิมวันตประเทศทางฝั่งแม่น้ำคงคา โดยลำดับ ละแม่
น้ำคงคามุ่งตรงไปแม่น้ำมิคสัมมตา ซึ่งไหลลงมาแต่หิมวันตประเทศถึงแม่-
น้ำคงคา.
ขณะนั้น พิภพแห่งท้าวสักกเทวราชสำแดงอาการเร่าร้อน ท้าว
สักกเทวราชทรงอาวัชนาการก็ทรงทราบการณ์นั้น จึงตรัสเรียกพระวิสสุกรรม
เทพบุตรมา ตรัสว่า แน่ะพ่อวิสสุกรรม ท่านมหาบุรุษทั้งสองออกจากบ้าน
ใคร่จะบวชเป็นฤๅษี เข้าสู่หิมวันตประเทศ ควรที่ท่านทั้งสองนั้นจะได้ที่อยู่
ท่านจงเนรมิตบรรณศาลา และบรรพชิตบริขารเพื่อท่านทั้งสองนั้น ณ ภายใน
กึ่งเสียงกู่ ตั้งแต่มิคสัมมตานที เสร็จแล้วกลับมา พระวิสสุกรรมเทพบุตรรับ
เทวบัญชาแล้ว ไปจัดกิจทั้งปวงโดยนัยทีกล่าวแล้วในมูคปักขชาดก ไล่เนื้อและ
นกที่มีสำเนียง ไม่เป็นที่ชอบใจให้หนีไป แล้วเนรมิตมรรคาเดินผู้เดียว แล้ว
กลับไปที่อยู่ของตน กุมารกุมารีทั้งสองเห็นทางนั้น แล้วก็เดินไปตามทางนั้น
ถึงอาศรมบท ทุกูลบัณฑิตเข้าสู่บรรณศาลา เห็นบรรพชิตบริขารก็ทราบสักก-
ทัตติยภาพว่า สักกะประทานแก่เรา จึงเปลื้องผ้าสาฎก ออกนุ่งผ้าเปลือก
ไม้สีแดงผืนหนึ่งห่มผืนหนึ่ง พาดหนังเสือบนบ่า ผูกมณฑลชฎาทรงเพศฤๅษี
แล้วให้นางปาริกาบวชเป็นฤๅษิณี ฤๅษีฤๅษิณีทั้งสององค์นั้น เจริญเมตตภูมิ-
กามาพจรอาศัยอยู่ในที่นั้น แม้ฝูงเนื้อและนกทั้งปวง ก็กลับได้เมตตาจิตต่อกัน
และกัน ด้วยอานุภาพเมตตาแห่งดาบสดาบสินีทั้งสองนั้น บรรดาสัตว์เหล่านั้น
ไม่มีสัตว์ไร ๆ เบียดเบียนสัตว์ไร ๆ เลย ฝ่ายปาริกาดาบสินีลุกขึ้นแต่เช้า
ตั้งน้ำดื่มและของฉันแล้วกวาดอาศรมบททำกิจทั้งปวง ดาบสและดาบสินีทั้ง
สองนั้น นำผลไม้เล็กใหญ่มาฉัน แล้วเข้าสู่บรรณศาลาของตน ๆ เจริญสมณ
ธรรม สำเร็จการอยู่ในที่นั้นนั่นแล.

ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาสู่ที่บำรุงแห่งพระมุนีทั้งสองนั้น วันหนึ่งพระ
องค์ทรงพิจารณาเห็นอันตรายแห่งพระมุนีทั้งสองนั้นว่า จักษุทั้งสองข้างของ
ท่านทั้งสองนี้จักมืด จึงลงมาจากเทวโลกเข้าไปหาทุกูลบัณฑิต นมัสการแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ตรัสอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อันตรายจะปรากฏแก่
ท่านทั้งสอง ควรที่ท่านทั้งสองจะได้บุตรไว้สำหรับปฏิบัติท่าน ขอท่านทั้งสอง
จงเสพโลกธรรม ทุกูลบัณฑิตได้สดับคำของท้าวสักกเทวราชจึงกล่าวว่า ดูก่อน
ท้าวสักกะ พระองค์ตรัสอะไร เราทั้งสองแม้อยู่ท่ามกลางเรือนก็หาได้เสพโลก
ธรรมไม่ เราทั้งสองละโลกธรรมนี้ เกลียดดุจกองคูถอันเต็มไปด้วยหนอน ก็
บัดนี้ เราทั้งสองเข้าป่าบวชเป็นฤๅษี จักกระทำกรรมเช่นนี้อย่างไรได้ ท้าว
สักกเทวราชตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องทำอย่างนั้น เป็น
แต่เอามือลูบท้องปาริกาดาบสินีเวลานางมีระดู ทุกูลบัณฑิตรับว่า อย่างนี้อาจ
ทำได้ ท้าวสักกเทวราช นมัสการทุกูลดาบสแล้วกลับ ไปที่อยู่ของตน ฝ่ายทุกูล
บัณฑิตก็บอกนางปรริกาให้รู้ตัว แล้วเอามือลูบท้องนาง ในเวลาที่นางมีระดู.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในท้องนางปาริ-
กาฤๅษีณี กาลล่วงไปได้สิบเดือน นางคลอดบุตรมีผิวพรรณดั่งทองคำ ด้วย
เหตุนั้นเอง บิดามารดาจึงตั้งชื่อบุตรว่า สุวรรณสามกุมาร เวลาที่ปาริกาดาบ-
สินี ไปป่าเพื่อหามูลผลาผล นางกินรีทั้งหลายที่อยู่ภายในบรรพ ได้ทำหน้าที่
นางนม ดาบสดาบสินีทั้งสองสรงน้ำพระโพธิสัตว์แล้วให้บรรทมในบรรณศาลา
แล้วพากันไปหาผลไม้เล็กใหญ่ ในขณะนั้น นางกินรีทั้งหลาย อุ้มกุมารไป
สรงน้ำที่ซอกเขาเป็นต้น แล้วขึ้นสู่ยอดบรรพต ประดับด้วยบุปผชาติต่าง ๆ
แล้วฝนหรดาลและมโนศิลาเป็นต้นที่แผ่นศิลา ประให้เป็นเม็ดที่นลาตแล้วนำ
มาให้ไสยาสน์ในบรรณศาลา ฝ่ายนางปาริกากลับมาก็ให้บุตรดื่มนม กาลต่อ
มา บิดามารดาปกปักรักษาบุตรนั้น จนมีอายุได้สิบหกปี ให้นั่งอยู่ในบรรณ-

ศาลา ตนเองพากันไปป่าเพื่อหามูลผลาผลในป่า ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรง
คิดว่า อันตรายอะไร ๆ จะพึงมีแก่บิดามารดาของเรา ในกาลบางคราว จึง
ทรงสังเกตทางที่บิดามารดาไป.
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อดาบสดาบสินีทั้งสองนำมูลผลาผลในป่ากลับมาใน
เวลาเย็น ถึงที่ใกล้อาศรมบท มหาเมฆตั้งขึ้นฝนตก ท่านทั้งสองจึงเข้าไปสู่
โคนไม้แห่งหนึ่ง ยืนอยู่บนยอดจอมปลวก อสรพิษมีอยู่ภายในจอมปลวกนั้น
น้ำฝนเจือกลิ่นเหงื่อจากสรีระของสองท่านนั้น ไหลลงเข้ารูจมูกแห่งอสรพิษนั้น
มันโกรธพ่นลมในจมูกออกนา ลมในจมูกนั้นถูกจักษุทั้งสองข้างแห่งดาบสและ
ดาบสินีนั้น ทั้งสองท่านก็เป็นคนจักษุมืดไม่เห็นกันและกัน เพราะลมนั้น
ทุกูลบัณฑิตเรียกนางปาริกามาบอกว่า ปาริกา จักษุทั้งสองของฉันมืด ฉัน
มองไม่เห็นเธอ แม้นางปาริกา ก็กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน ทั้งสองมองไม่เห็น
ทางก็ยืนคร่ำครวญอยู่ด้วยเข้าใจว่า บัดนี้ชีวิตของเราทั้งสองไม่มีละ.
ก็ดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้น มีบุรพกรรมเป็นอย่างไร ได้ยินว่า
ท่านทั้งสองนั้นในปางก่อนเกิดในสกุลแพทย์ ครั้งนั้น แพทย์นั้นรักษาโรคใน
จักษุของบุรุษมีทรัพย์มากคนหนึ่ง บุรุษนั้นจักษุหายดีแล้ว ไม่ให้ทรัพย์ค่า
รักษาอะไร ๆ แก่แพทย์นั้น แพทย์โกรธเขา ไปสู่เรือนแจ้งแก่ภริยาของตน
ว่า ที่รัก ฉันรักษาโรคในจักษุของบุรุษนั้นหาย บัดนี้เขาไม่ให้ทรัพย์ค่ารักษา
แก่ฉัน เราจะทำอย่างไรดี ฝ่ายภริยาได้สดับสามีกล่าวก็โกรธ จึงกล่าวว่า
เราไม่ต้องการทรัพย์ที่มีอยู่ของมัน ท่านจงประกอบยาขนานหนึ่งให้มันหยอด
ทำจักษุทั้งสองของมันให้บอดเสียเลย สามีเห็นชอบด้วย จึงออกจากเรือนไป
หาบุรุษนั้น ได้กระทำตามนั้น บุรุษผู้มีทรัพย์มากคนนั้น ไม่นานนักก็กลับ
จักษุมืดไปอีก ดาบสและดาบสินีทั้งสองมีจักษุมืดด้วยบาปกรรมอันนี้.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์คิดว่า บิดามารดาของเรา ในวันอื่น ๆ เคย
กลับเวลานี้ บัดนี้เราไม่รู้เรื่องราวของท่านทั้งสองนั้น จึงเดินสวนทางร้องเรียก
หาไป ท่านทั้งสองนั้นจำเสียงบุตรได้ก็ขานรับ แล้วกล่าวห้ามด้วยความรักใน
บุตรว่า มีอันตรายในที่นี้ อย่ามาเลยลูก พระมหาสัตว์ตอบท่านทั้งสองว่า
ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งสองจงจับปลายไม้เท้านี้มาเถิด แล้วยื่นไม้เท้ายาวให้ท่าน
ทรงลองจับ ท่านทั้งสองจับปลายไม้เท้าแล้วมาหาบุตร พระมหาสัตว์ถามว่า
จักษุของท่านทั้งสองมืดไปด้วยเหตุอะไร บิดามารดาทั้งสอง ก็เล่าให้พระมหา-
สัตว์ผู้บุตรฟังว่า ลูกรัก เมื่อฝนตก เราทั้งสองยืนอยู่บนยอดจอมปลวกที่โคน
ไม้ในที่นี้ จักษุทั้งสองมืดไปด้วยเหตุนั้น พระมหาสัตว์ได้สดับคำของบิดามารดา
ก็รู้ว่าอสรพิษมีในจอมปลวกนั้น อสรพิษนั้นขัดเคืองปล่อยลมในจมูกออกมา
พระมหาสัตว์เห็นบิดามารดาแล้วร้องไห้และหัวเราะ บิดามารดาจึงถามว่า
ทำไมถึงร้องไห้ และหัวเราะ พระมหาสัตว์ตอบว่า ข้าพเจ้าร้องไห้ ด้วยเสีย
ใจว่าจักษุของท่านทั้งสองพินาศไป ในเวลาที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กอยู่ แต่ข้าพเจ้า
หัวเราะด้วยดีใจว่า ข้าพเจ้าจักได้ปฏิบัติบำรุงท่านทั้งสองในบัดนี้ ขอท่านทั้ง
สองอย่าได้คิดอะไรเลย ข้าพเจ้าจักปฏิบัติบำรุงท่านทั้งสองให้ผาสุก พระมหา-
สัตว์ปลอบโยนให้บิดามารดาทั้งสองเบาใจ แล้วนำมาอาศรมบท ผูกเชือกเป็น
ราวในที่ทั้งปวงสำหรับ บิดามารดาทั้งสองนั้น คือที่พักกลางคืน ที่พักกลางวัน
ที่จงกรม บรรณศาลา ที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ จำเดิมแต่นั้นมา ให้บิดามารดา
อยู่ในอาศรมบท ไปนำมูลผลาผลในป่ามาเองตั้งไว้ในบรรณศาลา กวาดที่อยู่
ของบิดามารดาแต่เช้าทีเดียว ไหว้บิดามารดาแล้ว ถือหม้อน้ำไปสู่มิคสัมมตานที่
นำน้ำดื่มมา แต่งตั้งของฉันไว้ ให้ไม้สีฟันและน้ำบ้วนปากเป็นต้น ให้
ผลาผลที่มีรสอร่อย เมื่อบิดามารดาบริโภคแลบ้วนปากแล้ว ตนเองจึงบริโภค

ผลาผลที่เหลือ เสร็จกิจบริโภคแล้วไหว้ลาบิดามารดา มีฝูงมฤคแวดล้อมเข้า
ป่าเพื่อต้องการหาผลาผล เหล่ากินนรที่เชิงบรรพต แวดล้อมพระโพธิสัตว์
ช่วยเก็บผลาผลให้พระโพธิสัตว์ เวลาเย็นพระโพธิสัตว์กลับมาอาศรม เอาหม้อ
ตักน้ำมาตั้งไว้ ต้มน้ำให้ร้อนแล้วอาบและล้างเท้าบิดามารดาตามอัธยาศัย นำ
กระเบื้องถ่านเพลิงมาให้ผิง เช็ดมือเท้าของบิดามารดา เมื่อบิดามารดานั่งแล้ว
ให้บริโภคผลาผล ส่วนตนเองบริโภคเมื่อบิดามารดาบริโภคเสร็จแล้ว จัด
วางผลาผล ที่เหลือไว้ในอาศรมบท พระโพธิสัตว์ปฏิบัติบำรุงบิดามารดาโดย
ทำนองนี้ทีเดียว.
สมัยนั้น พระราชาพระนามว่า ปิลยักขราช เสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระองค์ทรงโลภเนื้อมฤค จึงมอบราชสมบัติให้พระชนนี
ปกครอง ผูกสอดราชาวุธห้าอย่างเข้าสู่หิมวันตประเทศ ทรงฆ่ามฤคทั้งหลาย
เสวยเนื้อ เสด็จถึงมิคสัมมตานที แล้วถึงท่าที่สุวรรณสามพระโพธิสัตว์ตักน้ำ
โดยลำดับ ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้ามฤค ก็ทรงทำซุ้มด้วยกิ่งไม้มีสีเขียว
โก่งคันศรสอดลูกศรอาบยาพิษ ประทับนั่งเตรียมอยู่ในซุ้มนั้น ฝ่ายพระมหาสัตว์
นำผลาผลมาในเวลาเย็น วางไว้ในอาศรมบท ไหว้บิดามารดาลาไปตักน้ำ
ถือหม้อน้ำมีฝูงมฤคแวดล้อม ให้มฤคสองตัวเดินเคียงกัน วางหม้อน้ำดื่มบน
หลังมฤคทั้งสองมือประคองไปสู่ท่าน้ำ ฝ่ายพระราชาประทับอยู่ในซุ้ม ทอด
พระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ดำเนินมาทรงคิดว่า เราเที่ยวมาในหิมวันตประเทศ
ตลอดกาลถึงเพียงนี้ ยังไม่เคยเห็นมนุษย์ ผู้นี้จะเป็นเทวดาหรือนาคหนอ
ถ้าเราจักเข้าไปไต่ถามผู้นี้ ถ้าเป็นเทวดาก็จักเหาะขึ้นสู่อากาศ ถ้าเป็นนาคก็จัก
ดำดินไป แต่เราจะเที่ยวอยู่ในหิมวันตประเทศตลอดกาลทั้งปวงก็หาไม่ ถ้าเรา
จักกลับพาราณสี อมาตย์ทั้งหลายจักถามเราในการที่เราเที่ยวในหิมวันตประเทศ
นั้นว่า เมื่อพระองค์อยู่ในหิมวันตประเทศได้เคยทอดพระเนตรเห็นอะไร

อัศจรรย์บ้าง เราจักกล่าวว่าได้เคยเห็นสัตว์เช่นนี้ เขาก็จักถามว่า สัตว์นั้น
ชื่ออะไร ถ้าเราจักตอบว่า ไม่รู้จัก เขาก็จักติเตียนเรา เพราะเหตุนั้น เราจัก
ยิงผู้นี้ทำให้ทุรพลแล้ว จึงถามเรื่อง ลำดับนั้น ในเมื่อฝูงมฤคนั้นลงดื่มน้ำแล้ว
ขึ้นก่อน พระโพธิสัตว์จึงค่อย ๆ ลงราวกะพระเถระผู้มีวัตรอันเรียนแล้ว อาบ-
น้ำระงับความกระวนกระวายแล้วขึ้นจากน้ำ นุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดงผืนหนึ่ง ห่ม
ผืนหนึ่ง เอาหนังเสือพาดเฉวียงบ่า ยกหม้อน้ำขึ้นเช็ดน้ำแล้ววางบนบ่าซ้าย
ก็ในกาลนั้น พระราชาทรงคิดว่า บัดนี้เป็นสมัยที่จะยิง จึงยกลูกศรอาบยาพิษ
นั้นขึ้นยิงพระโพธิสัตว์ถูกข้างขวาทะลุออกข้างซ้าย ฝูงมฤครู้ว่าพระมหาสัตว์
ถูกยิง ตกใจกลัวหนีไป ฝ่ายสุวรรณสามบัณฑิตแม้ถูกยิง ก็ประคองหม้อน้ำ
ไว้โดยปกติ ตั้งสติค่อย ๆ วางหม้อน้ำลง คุ้ยเกลี่ยทรายตั้งหม้อน้ำ กำหนดทิศ
หันศีรษะไปทางทิศาภาคเป็นที่อยู่ช่องบิดามารดา เป็นดุจสุวรรณปฏิมานอน
บนทรายมีพรรณดังแผ่นเงิน ตั้งสติกล่าวว่า ชื่อว่าบุคคลผู้มีเวรของเราใน
หิมวัน ประเทศนี้ย่อมไม่มี บุคคลผู้มีเวรของบิดามารดาของเราก็ไม่มี
กล่าวดังนี้แล้วถ่มโลหิตในปาก ไม่เห็นพระราชาเลย เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถา
ที่หนึ่งว่า
ใครหนอใช้ลูกศรยิ่งเราผู้ประมาทกำลังแบก
หม้อน้ำ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ คนไหนยิ่งเรา
ซ่อนกายอยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปมตฺตํ ความว่า ผู้ไม่ตั้งสติในการ
เจริญเมตตา ก็คำนี้พระโพธิสัตว์กล่าวหมายเนื้อความว่า ได้กระทำคนเป็นผู้
ประมาทในขณะนั้น. บทว่า วิทฺธา ความว่า ยิงแล้วซ่อนกายอยู่ในที่นี้
ชนชื่อไรหนอ เป็นกษัตริย์ หรือพราหมณ์ หรือแพศย์ ใช้ลูกศรอาบยาพิษ

ยิงเราผู้กำลังไปตักน้ำที่มิคสัมมตานที คือชนชื่อไรหนอยิงเราแล้วซ่อนกายอยู่
คือปกปิดตนในพุ่มไม้.
ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เพื่อจะแสดงความที่มังสะในสรีระของตน
เห็นว่าไม่เป็นภักษา จึงกล่าวคาถาที่สองว่า
เนื้อของเราก็กินไม่ได้ หนังก็ไม่มีประโยชน์นี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเข้าใจว่าเราเป็นผู้ควรยิง ด้วยเหตุ
อะไรหนอ.

ในคาถานั้นมีความว่า ท่านมาณพผู้เจริญ เนื้อของเรา คือเนื้อใน
สรีระของเรา กินไม่ได้ คือมนุษย์ทั้งหลายไม่พึงกิน หนังของเรา คือหนัง
ในสรีระของเรา ไม่มีประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ คือแม้เมื่อ
เป็นอย่างนี้ บุรุษนี้ได้เข้าใจว่าเราเป็นผู้ควรยิง คือควรแทง คือยิงเราโดย
ไม่พิจารณาด้วยวรรณะอะไร คือด้วยเหตุอะไร.
ครั้นกล่าวคาถาที่สองแล้ว เมื่อจะถามถึงชื่อเป็นต้น พระโพธิสัตว์
จึงกล่าวคาถาว่า
ท่านคือใคร หรือเป็นบุตรของใคร เราจะรู้จัก
ท่านได้อย่างไร ดูก่อนสหาย เราถามท่านแล้ว ขอ
ท่านจงบอกเถิด ทำไมท่านยิงเราแล้วจึงซ่อนตัวเสีย

ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็ได้นิ่งอยู่.
พระราชาทรงสดับดังนั้น ทรงดำริว่า บุรุษนี้แม้ถูกเรายิงด้วยลูกศร
อาบยาพิษล้มแล้ว ก็ไม่ด่าไม่ตัดพ้อเรา เรียกหาเราด้วยถ้อยคำที่น่ารัก ดุจ
บุคคลจับฟั้นหัวใจ เราจักไปหาเขา แล้วเสด็จไปประทับยืนในที่ใกล้พระ-
โพธิสัตว์ แล้วตรัสว่า

เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนเรียกเราว่า
พระเจ้าปิลยักษ์ เราละแว่นแคว้นเที่ยวแสวงหามฤค
เพราะความโลภ อนึ่ง เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์
ปรากฏว่าเป็นผู้แม่นยำนัก แม้ช้างมาสู่ระยะลูกศร
ของเรา ก็ไม่พึงพ้นไปได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชาหมสฺมิ ความว่า ได้ยินว่า
พระเจ้าปิลยักษ์นั้นมีพระดำริอย่างนี้ว่า เทวดาก็ตามนาคก็ตาม ย่อมพูดภาษา
มนุษย์ได้ทั้งนั้น เราไม่รู้จักผู้นี้ว่าเป็นเทวดา หรือนาค หรือมนุษย์ ถ้าเขา
โกรธ จะทำให้พินาศได้ เมื่อกล่าวถึงเราว่า เป็นพระราชา ใคร ๆ ที่ไม่กลัว
ย่อมไม่มี เพราะเหตุดังนี้นั้น เพื่อจะให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระราชา จึงได้ตรัส
ก่อนว่า ราชาหมสฺมิ ดังนี้. ดูก่อนมาณพผู้เจริญ เราเป็นพระราชาของ
ชาวกาสี คือของชนผู้อยู่ในกาสิกรัฐ. บทว่า มํ ได้แก่ ประชาชนรู้จักเรา
โดยนามว่า พระเจ้าปิลยักษ์. บทว่า วิทู ได้แก่ รู้จัก คือเรียก. บทว่า
โลภา ความว่า มอบราชสมบัติแก่พระชนนี เพราะความโลภเนื้อมฤค. บทว่า
มิคเมสํ ได้แก่ แสวงหา คือค้นหาเหล่ามฤค. บทว่า จรามหํ ความว่า
เราเที่ยวไปในป่าผู้เดียวเท่านั้น พระราชาประสงค์จะแสดงกำลังของพระองค์
จึงตรัสคาถาที่สอง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิสฺสฏฺเฐ ได้แก่ ในธนูศิลป์.
บทว่า ทฬฺหธมฺโม ความว่า เป็นผู้สามารถโก่งและลดซึ่งธนูอันหนัก คือ
ธนูหนักพันแรงคนยกได้ ได้ยินกันแพร่หลาย คือปรากฏไปทั่วพื้นชมพูทวีป.
บทว่า อาคโต อุสุปาตนํ ความว่า ช้างที่มีกำลังมาในที่ลูกศรของเราตก
ก็ไม่พ้นจากที่ไปได้ถึงเจ็ดก้าว.
พระราชาทรงสรรเสริญกำลังของพระองค์ ดังนี้แล้ว เมื่อจะตรัสถาม
ชื่อและโคตรของพระโพธิสัตว์ จึงตรัสว่า

ท่านคือใคร หรือเป็นบุตรของใคร พวกเรา
จะรู้จักท่านได้อย่างไร ท่านจงแจ้งชื่อและโคตรของ
บิดาท่านและของตัวท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปเวทย แปลว่า พึงบอก.
พระมหาสัตว์ได้สดับดังนั้นแล้ว ดำริว่า ถ้าเราบอกว่า เราเป็นเทวดา
นาค ยักษ์ กินนร หรือเป็นกษัตริย์เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง พระราชานี้
ย่อมเชื่อคำของเรา เราควรกล่าวความจริงเท่านั้น ดำริฉะนี้แล้วจึงทูลว่า
ขอจงทรงพระเจริญ ข้าพระองค์เป็นบุตรฤๅษี
ผู้เป็นบุตรของนายพราน ญาติทั้งหลายเรียกข้า-
พระองค์เมื่อยังมีชีวิตอยู่ว่า สามะ วันนี้ข้าพระองค์ถึง
ปากมรณะนอนอยู่อย่างนี้ ข้าพระองค์ถูกพระองค์ยิง
ด้วยลูกศรใหญ่อาบยาพิษ เหมือนมฤคที่ถูกพรานป่า
ยิงแล้ว ฉะนั้น ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์จงทอด
พระเนตร ซึ่งข้าพระองค์ผู้นอนจมอยู่ในโลหิตของตน
เชิญทอดพระเนตรลูกศรอันแล่นเข้าข้างขวาทะลุออก
ข้างซ้าย ข้าพระองค์บ้วนโลหิตอยู่ เป็นผู้กระสับ
กระส่าย ขอทูลถามพระองค์ว่า พระองค์ยิงข้าพระองค์
แล้ว จะซ่อนพระองค์อยู่ทำไม เสือเหลืองถูกฆ่า
เพราะหนัง ช้างถูกฆ่าเพราะงา เมื่อเป็นเช่นนี้ พระ-
องค์เข้าพระทัยว่า ข้าพระองค์เป็นผู้ควรยิง ด้วยเหตุ
อะไรหนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภทฺทนฺเต ความว่า ข้าแต่พระมหาราช
ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ข้าพระองค์เป็นบุตรฤๅษีผู้เป็นบุตรนายพราน.
บทว่า ชีวนฺตํ ความว่า ญาติทั้งหลายเมื่อเรียกขานข้าพระองค์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่
เมื่อก่อนแต่นี้ว่า มาเถิดสามะ ไปเถิดสามะ ก็ได้เรียกกันว่า สามะ. บทว่า
สวาชฺเชวงฺคโต ความว่า วันนี้ ข้าพระองค์นั้น ไป คือถึง คือเข้าไปใน
ปากแห่งมรณะแล้วอย่างนี้. บทว่า สเย แปลว่า นอนอยู่ มฤคถูกพรานป่ายิง
ด้วยลูกศรใหญ่อาบยาพิษ ฉันใด แม้ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น คือเป็นผู้ถูกพระองค์
ทรงยิงอย่างนั้น บทว่า ปริปลุโต ความว่า นอนจม ขอพระองค์โปรด
ทอดพระเนตรข้าพระองค์ผู้นอนอยู่เห็นปานนี้. บทว่า ปฏิวามคตํ ความว่า
เข้าทางข้างขวาแล้วทะลุออกทางข้างซ้าย. บทว่า ปสฺส ได้แก่ โปรดทอด
พระเนตรข้าพระองค์. บทว่า ถิมฺหามิ แปลว่า บ้วนอยู่ พระมหาสัตว์นั้น
ดำรงสตินั้นไม่หวั่นไหวเลย ถ่มโลหิต ตรัสแล้วด้วยประการฉะนี้. บทว่า
อาตุโร ความว่า ข้าพระองค์เจ็บหนักขอทูลถามพระองค์. บทว่า นิลียสิ
ความว่า ประทับนั่งอยู่ในพุ่มไม้แห่งหนึ่ง. บทว่า วิทฺเธยฺยํ แปลว่า ควรยิง
บทว่า อมญฺญถ ความว่า ได้เข้าใจว่าเหมือนมฤค.
พระราชาทรงสดับคำของพระมหาสัตว์แล้ว ไม่ตรัสบอกตามจริง เมื่อ
จะตรัสคำเท็จจึงตรัสว่า
ดูก่อนสามะ มฤคปรากฏแล้ว มาสู่ระยะลูกศร
เห็นท่านเข้าก็หนีไป เพราะเหตุนั้นเราจึงเกิดความ
โกรธ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุพฺพิชฺชิ แปลว่า หนีไป. บทว่า
อาวิสิ ได้แก่ ท่วมทับ พระราชาทรงแสดงว่า ความโกรธเกิดขึ้นแก่เรา
เพราะเหตุนั้น.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่
ขอพระองค์ตรัสอะไร ขึ้นชื่อว่ามฤคที่เห็นข้าพระองค์แล้วหนีไป ไม่มีในหิมวันต
ประเทศนี้ แล้วทูลว่า
จำเดิมแต่ข้าพระองค์จำความได้ รู้จักลูกและผิด
ฝูงมฤคในป่าแม้ดุร้าย ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์
จำเดิมแต่ข้าพระองค์นุ่งผ้าเปลือกไม้ ตั้งอยู่ในปฐมวัย
ฝูงมฤคในป่าแม้ดุร้าย ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์
ข้าแต่พระราชา ฝูงกินนรผู้ขลาดอยู่ภูเขาคันธมาทน์
เห็นข้าพระองค์ย่อมไม่ละดุ้งกลัว เราทั้งหลายต่าง
ชื่นชมต่อกันไปสู่ภูเขาและป่า เมื่อเป็นเช่นนี้ มฤค
ทั้งหลายจะสะดุ้งกลัวข้าพระองค์ ด้วยเหตุไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น มํ มิคา ความว่า ธรรมดามฤค
ทั้งหลายเห็นข้าพระองค์แล้วย่อมไม่สะดุ้งกลัว. บทว่า สาปทานิ ได้แก่
พาลมฤค. บทว่า ยโต นิธึ ความว่า จำเดิมแต่กาลที่ข้าพระองค์นุ่ง คือ
ทรงผ้าเปลือกไม้. บทว่า ภีรู กึปุริสา ราช ความว่า ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่
มฤคทั้งหลายจงยกไว้ก่อน ธรรมดากินนรทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ขลาดอย่างยิ่ง
กินนรเหล่าใดอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์นี้ กินนรแม้เหล่านั้นเห็นข้าพระองค์แล้ว
ย่อมไม่สะดุ้งกลัว พวกเราชื่นชมต่อกันและกัน ไปตามป่าเขาลำเนาไพร
โดยแท้แล. บทว่า อุตฺราสนฺติ มิคา มมํ ความว่า พระมหาสัตว์แสดงความว่า
เพราะเหตุไร พระองค์จึงจักให้ข้าพระองค์เชื่อว่า มฤคทั้งหลายเห็นข้าพระองค์
แล้วสะดุ้งกลัว พระราชาได้สดับดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า เรายิงสุวรรณสาม
ผู้ไร้ความผิดนี้แล้ว ยังกล่าวมุสาวาทอีก เราจักกล่าวคำจริงเท่านั้น ดังนี้
แล้ว จึงตรัสว่า

ดูก่อนสามะ เนื้อเห็นท่านแล้ว หาได้ตกใจไม่
เรากล่าวเท็จแก่ท่านดอก เราถูกความโกรธและความ
โลภครอบงำแล้ว จึงยิงท่านด้วยลูกศรนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตทฺทส ความว่า เนื้อเห็นท่าน
ไม่ตกใจ. บทว่า กินฺตาหํ ความว่า เรากล่าวเท็จในสำนักของท่านผู้มีทัศนะ
งามอย่างนี้ดอก. บทว่า โกธโลภาภิภูตาหํ ความว่า เราเป็นผู้อันความโกรธ
และความโลภครอบงำแล้ว ก็เมื่อเนื้อทั้งหลายข้ามลงก่อนแล้วนั่นแล เรา
จักยิงเนื้อทั้งหลายเพราะความโกรธ เรายืนยกธนูอยู่ ภายหลังได้เห็นพระ
โพธิสัตว์ ไม่รู้ว่าพระโพธิสัตว์นั้นเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาเทวาดา
เป็นต้น จักถามพระโพธิสัตว์นั้น พระราชายังความโลภให้เกิดขึ้นด้วยประการ
ฉะนี้ ฉะนั้นจึงตรัสอย่างนี้.
ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระราชาทรงดำริว่า สุวรรณสามนี้จะ
มิได้อยู่อาศัยในป่านี้แต่ผู้เดียวเท่านั้น ญาติทั้งหลายของเขาพึงมีแน่ จักถาม
เขาดู จึงตรัสคาถาอีกว่า
ดูก่อนสามะ ท่านมาแต่ไหน หรือใครให้ท่านมา
ท่านผู้จะตักน้ำจึงไปสู่แม่น้ำมิคสัมมตา แล้วกลับมา.

บรรดาบทเหล่านั้น พระราชาตรัสเรียกพระโพธิสัตว์ ด้วยบทว่า
สาม. บทว่า อาคมฺม ความว่า จากประเทศไหนมาสู่ป่านี้. บทว่า กสฺส
วา ปหิโต
ความว่า ท่านถูกใครส่งไปด้วยคำว่า จงไปสู่แน่น้ำเพื่อนำน้ำ
แก่พวกเรา ดังนี้ จึงมายังแม่น้ำมิคสัมมตานี้.
พระโพธิสัตว์ได้สดับพระดำรัสของพระราชาแล้ว กลั้นทุกขเวทนา
เป็นอันมาก บ้วนโลหิตแล้วกล่าวคาถาว่า

บิดามารดาของข้าพระองค์ตาบอด ข้าพระองค์
เลี้ยงท่านเหล่านั้นอยู่ในป่าใหญ่ ข้าพระองค์นำน้ำมา
เพื่อท่านทั้งสองนั้น จึงมาแม่น้ำมิคสัมมตา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภรามิ ความว่า นำมูลผลาผลเป็นต้น
มาเลี้ยงดู.
ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็บ่นรำพันปรารภบิดามารดา กล่าวว่า
อาหารของบิดามารดานั้นยังพอมีอยู่ เมื่อเป็น
เช่นนี้ ชีวิตของท่านทั้งสองนั้นจักดำรงอยู่ราวหกวัน
ท่านทั้งสองนั้นตามืด เกรงจักตายเสียเพราะไม่ได้
ดื่มน้ำ ความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนี้
หาเป็นความทุกของข้าพระองค์นักไม่ เพราะความ
ทุกข์นี้อันบุรุษจะต้องได้ประสบ ความทุกข์ที่ข้าพระ-
องค์ไม่ได้เห็นบิดามารดา เป็นความทุกข์ของข้า
พระองค์ ยิ่งกว่าความทุกข์ เพราะลูกพระองค์ยิงด้วย
ลูกศรนี้เสียอีก ความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิงด้วย
ลูกศรนี้ หาเป็นความทุกข์ของข้าพระองค์นักไม่
เพราะความทุกข์นี้อันบุรุษจะต้องได้ประสบ บิดา
มารดาทั้งสองนั้นเป็นกำพร้าเข็ญใจ จะร้องไห้อยู่
ตลอดราตรีนาน จักเหือดแห้งไปในกึ่งราตรีหรือใน
ที่สุดราตรี ดุจแม่น้ำน้อยในคิมหฤดูจักเหือดแห้งไป
ข้าพระองค์เคยหมั่นบำรุงบำเรอนวดมือเทาของท่าน
ทั้งสองนั้น บัดนี้ไม่เห็นข้าพระองค์ ท่านทั้งสองจัก

บ่นเรียกหาว่า พ่อสาม ๆ เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ ลูกศร
คือความโศก ที่สองนี้แหละ ยังหัวใจของข้าพระองค์
ให้หวั่นไหว เพราะข้าพระองค์ไม่ได้เห็นท่านทั้งสอง
ผู้จักษุบอด ข้าพระองค์เห็นจักละเสียซึ่งชีวิต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า. อุสามตฺตํ ได้แก่ พอเป็นอาหาร
ได้ยินว่า คำว่า อุสา เป็นชื่อของโภชนาหาร ความว่า บิดามารดาทั้งสอง
นั้นยังมีโภชนาหาร. บทว่า อถ สาหสฺส ชีวิตํ ความว่า มีชีวิต อยู่ได้
ประมาณหกวัน พระมหาสัตว์กล่าวคำนี้ หมายถึงผลาผลที่นำมาตั้งไว้ อีก
อย่างหนึ่ง บทว่า อุสา ได้แก่ ไออุ่น ด้วยบทนั้น พระมหาสัตว์แสดง
ความนี้ว่า ในร่างกายของบิดามารดาทั้งสองนั้นพอมีไออุ้นอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้
ก็จะมีชีวิตอยู่ได้หกวัน ด้วยผลาผลที่ข้าพระองค์นำมา. บทว่า มริสฺสเร
แปลว่า จักตาย ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่ ความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิงนี้ ถึง
เป็นความทุกข์ก็จริง แต่ไม่เป็นความทุกข์ของข้าพระองค์ เพราะเหตุไรจึง
กล่าวอย่างนี้. บทว่า ปุมฺนา ได้แก่ อันบุรุษ ความว่า ความทุกข์เห็น
ปานนั้นนี้ อันบุรุษพึงได้ประสบทั้งนั้น ก็เพราะความทุกข์ที่ข้าพระองค์ไม่ได้เห็น
คุณแม่ปาริกานั้น เป็นความทุกข์ของข้าพระองค์ ยิ่งกว่าความทุกข์เพราะถูก
พระองค์ ยิงนี้ร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่า. บทว่า จิรํ รตฺตาย รุจฺจติ ความว่า
นักร้องไห้ตลอดราตรีนาน. บทว่า อฑฺฒรตฺเต ได้แก่ ในสมัยกึ่งราตรี.
บทว่า รตฺเต วา ได้แก่ ในสุดท้ายราตรี. บทว่า อวสุสฺสติ ได้แก่ จักเหือด
แห้ง อธิบายว่า จักเหือดแห้งไปเหมือนแน่น้ำน้อยในฤดูร้อน. บทว่า อุฏฐาน-
ปาทจริยาย
ความว่า ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่ ข้าพระองค์ลุกขึ้นคืนละสองสามครั้ง
หรือวันละสองสามครั้ง ปฏิบัติรับใช้บิดามารดาทั้งสองนั้น นวดมือเท้าของท่าน
ทั้งสองนั้น ด้วยความหมั่นเพียรของข้าพระองค์ บัดนี้ ท่านทั้งสองผู้มีจักษุมืด

นั้นไม่เห็นข้าพระองค์ จักลุกขึ้นเพื่อต้องการการปฏิบัตินั้น ๆ จักบ่นรำพันว่า
พ่อสาม พ่อสาม จักถูกหนามตำเอาเที่ยวไปในหิมวันตประเทศนี้. บทว่า
ทุติยํ ความว่า ลูกศรคือความโศกเพราะไม่ได้เห็นบิดามารดาทั้งสองนั้น ซึ่ง
เป็นความทุกข์ที่สองนี้ เป็นความทุกข์กว่า ถูกลูกศรอาบยาพิษยิงเอาครั้งแรก
ร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่า.
พระราชาทรงฟังความคร่ำครวญของพระโพธิสัตว์ ทรงคิดว่า บุรุษ
นี้เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งอยู่ในธรรม ปฏิบัติบิดามารดาเยี่ยมยอด บัดนี้
ได้ความทุกข์ถึงเพียงนี้ ยังคร่ำครวญถึงบิดามารดา เราได้ทำความผิดในบุรุษ
ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมอย่างนี้ เราควรเล้าโลมเอาใจบุรุษนี้อย่างไรดีหนอ แล้ว
ทรงสันนิษฐานว่า ในเวลาที่เราตกนรก ราชสมบัติจักทำอะไรได้ เราจัก
ปฏิบัติบิดามารดาของบุรุษนี้ โดยทำนองที่บุรุษนี้ปฏิบัติแล้ว การกายของบุรุษ
นี้จักเป็นเหมือนไม่ตาย ด้วยประการฉะนี้ จึงตรัสว่า
ดูก่อนสามะผู้งดงามน่าดู ท่านอย่าปริเทวะมาก
เลย เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏในชมพูทวีป
ทั้งสิ้นว่าเป็นผู้แม่นยำนัก จักฆ่ามฤคและแสวงหามูล-
อาหารป่ามา ทำการงานเลี้ยงบิดามารดาของท่านใน
ป่าใหญ่ ดูก่อนสามะ ป่าที่บิดามารดาของท่านอยู่
อยู่ที่ไหน เราจักเลี้ยงบิดามารดาของท่าน ให้เหมือน
ท่านเลี้ยง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภริสสนฺเต ความว่า เราจักเลี้ยงบิดา
มารคาของท่านเหล่านั้น . บทว่า มิคานํ ได้แก่ ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือ
เหลืองและมฤคเป็นต้น . บทว่า วิฆาสมนฺเวสํ ความว่า แสวงหา คือ

เสาะหาซึ่งอาหาร พระราชาตรัสว่า เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ จักฆ่ามฤค
อ้วน ๆ เลี้ยงบิดามารดาของท่าน ด้วยมังสะอันอร่อย ดังนี้ เมื่อพระโพธิ-
สัตว์ทูลว่า ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่ พระองค์อย่าทำการฆ่าสัตว์เพราะเหตุพวก
ข้าพระองค์เลย ดังนี้ จึงตรัสคำนี้อย่างนี้. บทว่า ยถา เต ความว่า ท่าน
ได้เลี้ยงท่านทั้งสองนั้นอย่างใด แม้ข้าพเจ้าก็จักเลี้ยงท่านทั้งสองนั้นอย่างนั้น
เหมือนกัน.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้สดับพระวาจาของพระราชานั้นแล้วจึงทูลว่า
ดีแล้วพระเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์โปรดเลี้ยงดูบิดามารดาของข้าพเจ้า
องค์เถิด เมื่อจะชี้ทางให้ทรงทราบ จึงทูลว่า
ข้าแต่พระราชา หนทางที่เดินเฉพาะคนเดียวซึ่ง
อยู่ทางหัวนอนของข้าพระองค์นี้ เสด็จดำเนินไปแต่ที่
นี้ระหว่างกึ่งเสียงกู่ จะถึงสถานที่อยู่แห่งบิดามารดา
ของข้าพระองค์ ขอเสด็จดำเนินแต่ที่นี้ไป เลี้ยงดูท่าน
ทั้งสองในสถานที่นั้นเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกปที แปลว่า ทางเดินเฉพาะคนเดียว
บทว่า อุสฺสีสเก ได้แก่ ในที่ด้านศีรษะของข้าพระองค์นี้. บทว่า อฑฺฒโฆสํ
แปลว่า ระหว่างกึ่งเสียงกู่.
พระมหาสัตว์ทูลชี้ทางแต่พระราชาอย่างนี้แล้ว กลั้นเวทนาเห็นปาน
นั้นไว้ด้วยความสิเนหาในบิดามารดาเป็นกำลัง ประคองอัญชลีทูลวิงวอนเพื่อ
ต้องการให้เลี้ยงดูบิดามารดา ได้ทูลอย่างนี้อีกว่า
ข้าแต่พระเจ้ากาสิราช ข้าพระบาทขอน้อมกราบ
พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ยังชาวกาสีให้เจริญ ข้าพระ

บาทขอน้อมกราบพระองค์ ขอพระองค์ทรงบำรุงเลี้ยง
บิดามารดาตามืด ของข้าพระองค์ในป่าใหญ่ ข้าพระ
องค์ขอประคองอัญชลีถวายบังคมพระองค์ ขอพระ-
องค์มีพระดำรัสกะบิดามารดาของข้าพระองค์ให้ทราบ
ว่า ข้าพระองค์ไหว้นบท่านด้วย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วุตฺโต วชฺชาสิ ความว่า พระมหา-
สัตว์ทูลว่า ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่ พระองค์ผู้อันข้าพระองค์ กราบทูลแล้ว
โปรดตรัสบอกการกราบไหว้ให้บิดามารดาทราบ อย่างนี้ว่า สามะบุตรของ
ท่านทั้งสอง ถูกเรายิงด้วยลูกศรอาบยาพิษที่ริมฝั่งแม่น้ำ นอนตะแคงข้างขวา
เหนือหาดทรายคล้ายแผ่นเงิน ประคองอัญชลีแก่ท่าน กราบไหว้เท้าทั้งสอง
ของท่าน.
พระราชาทรงรับคำ พระมหาสัตว์ส่งการไหว้บิดามารดาแล้วก็ถึง
วิสัญญีสลบนิ่งไป.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
หนุ่มสามะผู้งดงามน่าดูนั้น ครั้นกล่าวคำนี้แล้ว
ถูกกำลังแห่งพิษซาบซ่าน เป็นผู้วิสัญญีสลบไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมปชฺชถ ได้แก่ เป็นผู้วิสัญญี.
พระมหาสัตว์นั้น เมื่อกล่าวมาได้เพียงเท่านี้ก็ดับอัสสาสะ ไม่ได้กล่าว
ต่อไปอีกเลย ก็ในกาลนั้น ถ้อยคำที่เป็นไปอาศัยหทัยรูป ซึ่งติดต่อจิตแห่ง
พระโพธิสัตว์นั้นขาดแล้วเพราะกำลังแห่งพิษซาบซ่าน โอฐของพระโพธิสัตว์ก็
ปิด จักษุก็หลับ มือเท้าแข็งกระด้าง ร่างกายทั้งสิ้นเปื้อนโลหิต ลำดับนั้น

พระราชาทรงคิดว่า สุวรรณสามนี้ พูดกับเราอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นอะไรไปหนอ
จึงทรงพิจารณาตรวจดูลมอัสสาสะปัสสาสะ ของพระโพธิสัตว์ ก็ลมอัสสาสะ-
ปัสสาสะดับแล้ว สรีระก็แข็งแล้ว พระราชาทอดพระเนตรเห็นเหตุนั้น ก็ทรง
ทราบว่า บัดนี้สุวรรณสามตายแล้วดับแล้ว ไม่ทรงสามารถที่จะกลั้นความโศก
ไว้ได้ ก็วางพระหัตถ์ไว้บนพระเศียรครวญคร่ำรำพันด้วยเสียงอันดัง.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
พระราชานั้นทรงคร่ำครวญน่าสงสาร เป็นอัน
มากว่า เราสำคัญว่าจะไม่แก่ไม่ตาย เรารู้เรื่องนี้วันนี้
แต่ก่อนหารู้ไม่ เพราะได้เห็นสานบัณฑิตทำกาลกิริยา
ความไม่มาแห่งมฤตยูย่อมไม่มี สามบัณฑิตถูกลูกศร
อาบยาพิษ ซึมซาบแล้วพูดอยู่กะเรา ครั้นกาลล่วงไป
อย่างนี้ในวันนี้ ไม่พูดอะไร ๆ เลย เราจะต้องไปสู่
นรกแน่นอน เราไม่มีความสงสัยในข้อนี้เลย เพราะ
ว่าบาปหยาบช้า อันเราทำแล้วตลอดราตรีนานในกาล
นั้น เราทำกรรมหยาบช้าในบ้านเมือง คนทั้งหลายจะ
ติเตียนเรา ใครเล่าจะควรมากล่าวติเตียนเราในราวป่า
อันหามนุษย์นี้ได้ คนทั้งหลายจะประชุมกันในบ้าน
เมือง โจทนาว่ากล่าวเอาโทษเรา ใครเล่าหนอจะ
โจทนาว่ากล่าวเอาโทษเราในป่าอันหามนุษย์มิได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสึ ความว่า เราได้มีความสำคัญว่า
จะไม่แก่ไม่ตายมาตลอดกาลเท่านี้. บทว่า อชฺเชตํ ความว่า วันนี้เราได้เห็น
สามบัณฑิตนี้ทำกาลกิริยา จึงรู้ว่าทั้งตัวเราและเหล่าสัตว์อื่น ๆ ต้องแก่ต้องตาย

ทั้งนั้น. บทว่า นตฺถิ มจฺจุสฺส นาคโม ความว่า พระราชาทรงครวญคร่ำ
รำพันว่า ความมาแห่งมัจจุนั้น เรารู้ในวันนี้เอง เมื่อก่อนแต่นี้ เราไม่รู้เลย.
บทว่า สฺ วาชฺเชวงฺคเต กาเล ความว่า พระราชาทรงแสดงว่า สามบัณฑิตใด
ถูกลูกศรอาบยาพิษซึมซาบแล้วเจรจาอยู่กะเราในบัดนี้ทีเดียว สามบัณฑิตนั้น
ครั้นมรณกาลไปคือเป็นไปอย่างนี้ในวันนี้ ไม่กล่าวอะไร ๆ แม้แต่น้อยเลย.
บทว่า ตทา หิ ความว่า เราผู้ยิงสามบัณฑิตในขณะนั้นได้กระทำบาปแล้ว.
บทว่า จิรํ รตฺตาย กิพฺพิสํ ความว่า ก็บาปนั้นทารุณหยาบช้าสามารถทำ
ให้เดือดร้อนตลอดราตรีนาน. บทว่า ตสฺส ความว่า ติเตียนเรานั้น ผู้เที่ยว
ทำกรรมชั่วเห็นปานนี้. บทว่า วตฺตาโร ความว่า ย่อมติเตียน. ติเตียนที่ไหน ?
เตียนในบ้าน. ติเตียนว่าอย่างไร ติเตียนว่าเป็นผู้ทำกรรมหยาบช้า.
พระราชาทรงคร่ำครวญว่า ก็ในป่าอันหามนุษย์มิได้นี้ ใครเล่าควร
จะกล่าวติเตียนเรา ถ้าจะมี ก็พึงว่ากล่าวเรา. บทว่า สารยนฺติ ได้แก่ ใน
บ้านหรือในนิคมเป็นต้น. บทว่า สํคจฺฉ มาณวา ความว่า คนทั้งหลาย
จะประชุมกันในที่นั้น ๆ จะยังกันและกัน ให้ระลึกถึงกรรมทั้งหลาย จะโจทนา
อย่างนี้ว่า แน่ะท่านผู้ฆ่าคน ท่านทำทารุณกรรม ท่านต้องได้รับโทษอย่างโน้น
แต่ในป่าอันหามนุษย์มิได้นี้ ใครเล่าจักยังพระราชานี้ให้ระลึกถึงกรรม พระ-
ราชาทรงโจทนาตนคร่ำครวญอยู่อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
กาลนั้น เทพธิดามีนามว่าพสูนธรี อยู่ภูเขาคันธมาทน์ เคยเป็นมารดา
ของพระมหาสัตว์ในอัตภาพที่เจ็ด พิจารณาดูพระโพธิสัตว์อยู่เป็นนิจ ด้วย
ความสิเนหาในบุตร ก็วันนั้นนางเสวยทิพยสมบัติ มิได้พิจารณาดูพระมหาสัตว์

บางอาจารย์ว่า นางไปสู่เทวสมาคมเสีย ดังนี้ก็มี ในเวลาที่พระมหาสัตว์สลบ
นางพิจารณาดูว่า ความเป็นไปของบุตรเราเป็นอย่างไรบ้างหนอ ได้เห็นว่า
พระเจ้าปิลยักษ์นี้ ยิงบุตรของเราด้วยลูกศรอาบยาพิษ ให้ล้มอยู่ที่หาดทราย
ฝั่งแม่น้ำมิคสัมมตา พร่ำรำพันด้วยเสียงอันดัง ถ้าเราจักไม่ไปในที่นั้น
สุวรรณสามบุตรของเราจักพินาศอยู่ในที่นี้ แม้พระหทัยของพระราชาก็จักแตก
บิดามารดาของสามะจักอดอาหาร จะไม่ได้น้ำดื่ม จักเหือดแห้งตาย แต่เมื่อ
เราไป พระราชาจักถือเอาหม้อน้ำดื่มไปสู่สำนักบิดามารดาของสุวรรณสามนั้น
ก็แลครั้นเสด็จไปแล้วจักรับสั่งว่า บุตรของท่านทั้งสอง เราฆ่าเสียแล้ว และ
ทรงสดับคำของท่านทั้งสองนั้นแล้ว จักนำท่านทั้งสองนั้นไปสู่สำนักของ
สุวรรณสามผู้บุตร เมื่อเป็นเช่นนี้ ดาบสดาบสินีทั้งสอง และเราจักทำสัจจกิริยา
พิษของสุวรรณสามก็จักหาย บุตรของเราจักได้ชีวิตคืนมา จักษุทั้งสองข้าง
ของบิดามารดาสุวรรณสามจักแลเห็นเป็นปกติ และพระราชาจักได้ทรงสดับ
ธรรมเทศนาของสุวรรณสาม เสด็จกลับพระนคร ทรงบริจาคมหาทานครอง
ราชสมบัติโดยยุติธรรม มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เพราะเหตุนั้น เราจะ
ไปในที่นั้น เทพธิดานั้นจึงไปสถิตอยู่ในอากาศโดยไม่ปรากฏกาย ที่ฝั่ง
มิคสัมมตานที กล่าวกับพระเจ้าปิลยักขราช.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
เทพธิดานั้นอันตรธานไปในภูเขาคันธมาทน์ มา
ภาษิตคาถาเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์พระราชาว่า พระ-
องค์ทำความผิดมาก ได้ทำกรรมอันชั่วช้า บิดามารดา
และบุตรทั้งสามผู้หาความประทุษร้ายมิได้ ถูก

พระองค์ฆ่าเสียด้วยลูกศรลูกเดียวกัน เชิญเสด็จมาเถิด
ข้าพเจ้าจะพร่ำสอนพระองค์ ด้วยวิธีที่พระองค์จะได้
สุคติ พระองค์จงเลี้ยงดูบิดามารดาทั้งสอง ผู้มีจักษุมืด
โดยธรรม ในป่า ข้าพเจ้าเข้าใจว่า สุคติจะพึงมีแก่
พระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รญฺโญว แปลว่า พระราชานั่นแหละ.
บทว่า อาคุํ กริ ความว่า ดูก่อนพระราชาผู้ใหญ่ พระองค์ได้ทรงกระทำ
ความผิดมากคือบาปมาก. บทว่า ทุกฺกฏํ ความว่า ความชั่วใดที่พระองค์
กระทำแล้วมีอยู่ พระองค์ได้กระทำแล้วซึ่งความชั่วนั้นอันเป็นกรรมลามก.
บทว่า อทูสกา แปลว่า ผู้หาโทษมิได้. บทว่า ปิตาปุตฺตา ความว่า
ชนสามคนเหล่านั้น คือ มารดาหนึ่ง บิดาหนึ่ง บุตรหนึ่ง พระองค์ฆ่าด้วย
ลูกศรลูกเดียว ด้วยว่าเมื่อพระองค์ฆ่าสุวรรณสามนั้น แม้บิดามารดาของ
สุวรรณสามผู้ปฏิพัทธ์สุวรรณสามนั้น ย่อมเป็นอันพระองค์ฆ่าเสียเหมือนกัน.
บทว่า อนุสิกฺขามิ ความว่า จักให้ศึกษา คือ จักพร่ำสอน. บทว่า โปเส
ความว่า จงตั้งอยู่ ในฐานะสุวรรณสาม ยังความสิเนหาให้เกิดขึ้น เลี้ยงดูบิดา
มารดาทั้งสองซึ่งตาบอดนั้น ราวกะว่าสุวรรณสาม. บทว่า มญฺเญหํ สุคตี
สิยา
ความว่า ข้าพเจ้าเข้าใจว่า พระองค์จักพึงไปสุคติเท่านั้น ด้วยประการ
ฉะนี้.
พระราชาทรงสดับคำของเทพธิดาแล้วทรงเชื่อว่า เราเลี้ยงบิดามารดา
ของสุวรรณสามแล้วจักไปสู่สวรรค์ ทรงดำริว่า เราจะต้องการราชสมบัติทำไม
เราจักเลี้ยงดูท่านทั้งสองนั้น ทรงตั้งพระหฤทัยมั่น ทรงร่ำไรร่ำพันเป็นกำลัง
ทรงทำความโศกให้เบาบาง เข้าพระหฤทัยว่า สุวรรณสามโพธิสัตว์สิ้นชีพแล้ว

จึงทรงบูชาสรีระของพระโพธิสัตว์นั้น ด้วยบุปผชาติต่าง ๆ ประพรมด้วยน้ำ
ทำประทักษิณสามรอบ ทรงกราบในฐานะทั้งสี่แล้วถือหม้อน้ำที่พระโพธิสัตว์
ใส่ไว้เต็มแล้ว ถึงความโทมนัส บ่ายพระพักตร์ทางทิศทักษิณเสด็จไป.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระราชานั้น ทรงคร่ำครวญอย่างน่าสงสารเป็น
อันมาก ทรงถือหม้อน้ำ บ่ายพระพักตร์ทางทิศทักษิณ
เสด็จหลีกไปแล้ว.

แม้โดยปกติพระราชาเป็นผู้มีพระกำลังมาก ทรงถือหม้อน้ำเข้าไปสู่
อาศรมบท ถึงประตูบรรณศาลาของทุกูลบัณฑิต ดุจบุคคลกระแตกอาศรมให้
กระเทือน ทุกูลบัณฑิตนั่งอยู่ภายในได้ฟังเสียงฝีพระบาทแห่งพระเจ้าปิลยักขราช
ก็นึกในใจว่า นี้ไม่ใช่เสียงแห่งฝีเท้าสุวรรณสามบุตรเรา เสียงฝีเท้าใครหนอ
เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถาสองคาถาว่า
นั่นเสียงฝีเท้าใครหนอ เสียงฝีเท้ามนุษย์เดิน
เป็นแน่ เสียงฝีเท้าสามบุตรเราไม่ดัง ดูก่อนท่านผู้
นิรทุกข์ ท่านเป็นใครหนอ สามบุตรเราเดินเบา วาง
เท้าเบา เสียงฝีเท้าสามบุตรเราไม่ดัง ท่านเป็นใครหนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มนุสฺสสฺเสว ความว่า เสียงฝีเท้าที่มาน
ไม่ใช่ของราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง ยักษ์ และกินนรเป็นต้น เป็นเสียง
ฝีเท้าของมนุษย์แน่ แต่ไม่ใช่ของสุวรรณสาม. บทว่า สนฺตํ หิ ได้แก่ เงียบ.
บทว่า วชฺชติ ได้แก่ ก้าวไป. บทว่า หญฺญติ ได้แก่ วาง.
พระราชาได้สดับคำถามนั้น ทรงดำริว่า ถ้าเราไม่บอกกความที่เราเป็น
พระราชา บอกว่าเราฆ่าบุตรของท่านเสียแล้ว ท่านทั้งสองนี้จักโกรธเรา

กล่าวคำหยาบกะเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ ความโกรธในท่านทั้งสองนี้ก็จักเกิดขึ้น
แก่เรา ครั้นความโกรธเกิดขึ้น เราก็จักเบียดเบียนท่านทั้งสองนั้น กรรมนั้น
จักเป็นอกุศลของเรา แต่เมื่อเราบอกว่าเราเป็นพระราชา ชื่อว่าผู้ที่ไม่เกรงกลัว
ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น เราจะบอกความที่เราเป็นพระราชาก่อน ทรงดำริ
ฉะนี้แล้ว ทรงวางหม้อน้ำไว้ที่โรงน้ำดื่ม แล้วประทับยืนที่ประดูบรรณศาลา
เมื่อจะแสดงพระองค์ให้ฤๅษีรู้จัก จึงตรัสว่า
เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนเรียกเราว่า
พระเจ้าปิลยักษ์ เราละแว่นแคว้นเที่ยวแสวงหามฤค
เพราะความโลภ อนึ่ง เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์
ปรากฏว่าเป็นผู้แม่นยำนัก แม้ช้างมาสู่ระยะลูกศร
ของเราก็ไม่พึงพ้นไปได้.

ฝ่ายทุกูลบัณฑิตเมื่อจะทำปฏิสันถารกับพระราชา จึงทูลว่า
ข้าแต่มหาบพิตร พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง
พระองค์เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้ พระองค์ผู้มี
อิสระเสด็จมาถึงแล้ว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยู่ในที่นี้
ข้าแต่มหาบพิตร เชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด
ผลมะซาง และผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้เล็กน้อย
ขอได้โปรดเลือกเสวยผลที่ดี ๆ เถิด ข้าแต่มหาบพิตร
ขอจงทรงดื่มน้ำซึ่งเป็นน้ำเย็น นำมาแต่มิคสัมมตานที
ซึ่งไหลจากซอกเขา ถ้าทรงพระประสงค์.

เนื้อความของคาถานั้น ได้กล่าวไว้แล้วในสัตติคุมพชาดก แต่ในที่นี้
บทว่า คิริคพฺภรา ท่านกล่าวหมายเอามิคสัมมตานที เพราะมิคสัมมตานที
นั้นไหลมาแต่ซอกเขา จึงชื่อว่า เกิดแต่ซอกเขา.

เมื่อดาบสทำปฏิสันถารอย่างนี้แล้ว พระราชาทรงคิดว่า เราไม่ควร
จะบอกว่า เราฆ่าบุตรของท่านเสียแล้ว ดังนี้ก่อน ทำเหมือนไม่รู้ พูดเรื่อง
อะไร ๆ ไปก่อนแล้วจึงบอก ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า
ท่านทั้งสองจักษุมืดไม่สามารถจะเห็นอะไร ๆ
ในป่า ใครเล่าหนอนำผลไม้มาเพื่อท่านทั้งสอง ความ
สะสมผลไม้น้อยใหญ่ไว้โดยเรียบร้อยนี้ ปรากฏแก่
ข้าพเจ้าว่า ดูเหมือนคนตาดีสะสมไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาลํ ความว่า ท่านทั้งสองตามืด ไม่
สามารถจะมองเห็นอะไร ๆ ในบ้านได้. บทว่า โก นุ โว ผลมาหริ
ความว่า ใครหนอนำผลไม้น้อยใหญ่มาเพื่อท่านทั้งสอง. บทว่า นิวาโป
ความว่า การเก็บคือสะสมผลไม้น้อยใหญ่ที่บริสุทธิ์ดี ซึ่งควรที่จะรับประทาน
ที่ทำไว้อย่างเรียบร้อย คือโดยนัย โดยอุบาย โดยเหตุ นี้. บทว่า อนนฺ-
ธสฺเสว
ความว่า ย่อมปรากฏ คือเข้าไปตั้งไว้ แก่เราเหมือนคนตาดีทำไว้.
ทุกูลบัณฑิตได้ฟังดังนั้น เพื่อจะแสดงว่ามูลผลาผลตนมิได้นำมา แต่
บุตรของตนนำมา จึงได้กล่าวสองคาถาว่า
สามะหนุ่มน้อยรูปร่างสันทัดงดงามน่าดู เกศา
ของเธอยาวดำ เฟื้อยลงไปปลายงอนช้อนขึ้นข้างบน
เธอนั่นแหละนำผลไม้มา ถือหม้อนำจากที่นี่ ไปสู่
แม่น้ำนำน้ำมา เห็นจะกลับมาใกล้แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาติพฺรหา ความว่า ไม่สูงไป ไม่
เตี้ยไป. บทว่า สุนคฺคเวลฺลิตา ความว่า งอนขึ้นเหมือนปลายมีดเชือดเนื้อ
สำหรับสับเนื้อ กล่าวคือมีปลายงอนขึ้น. บทว่า กมณฺฑลุํ ได้แก่ หม้อ.

บทว่า ทูรมาคโต ความว่า เข้าใจว่า บัดนี้พ่อสุวรรณสามจักมาใกล้แล้ว
คือจักมาแล้วสู่ที่ใกล้.
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า
ข้าพเจ้าได้ฆ่าสามกุมารผู้ปฏิบัติบำรุงท่านเสีย
แล้ว ผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงสามกุมารผู้งดงามน่าดูใด เกศา
ของสามกุมารนั้นยาวดำ เฟื้อยลงไปปลายงอนช้อนขึ้น
เบื้องบน สามกุมารนั้นข้าพเจ้าฆ่าเสียแล้ว นอนอยู่ที่
หาดทรายเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวธึ ความว่า ข้าพเจ้ายิงด้วยลูกศร
ยิงมฤคให้ตายแล้ว. บทว่า ปเวเทถ ได้แก่ กล่าวถึง. บทว่า เสติ ความว่า
นอนอยู่บนหาดทรายริมฝั่งมิคสัมมตานที.
ก็บรรณศาลาของปาริกาดาบสินีอยู่ใกล้ของทุกูลบัณฑิต นางนั่งอยู่ใน
บรรณศาลานั้น ได้ฟังพระดำรัสของพระราชา ก็ใคร่จะรู้ประพฤติการณ์นั้น
จึงออกจากบรรณศาลาของคน ไปสำนักทุกูลบัณฑิตด้วยสำคัญเชือกที่สำหรับ
สาวเดินไปได้กล่าวว่า
ข้าแต่ทุกูลบัณฑิต ท่านพูดกับใครซึ่งบอกว่า
ข้าพเจ้าฆ่าสามกุมารเสียแล้ว ใจของดิฉันย่อมหวั่นไหว
เพราะได้ยินว่า สามกุมารถูกฆ่าเสียแล้ว กิ่งอ่อนแห่ง
ต้นโพธิ์ใบ อันลมพัดให้หวั่นไหว ฉันใด ใจของ
ดิฉันย่อมหวั่นไหวเพราะได้ยินว่า สามกุมารถูกฆ่าเสีย
แล้ว ฉันนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วาทินา ความว่า ผู้กล่าวว่า ข้าพเจ้า
ฆ่าสามกุมารเสียแล้ว. บทว่า ปวาลํ ได้แก่ หน่ออ่อน. บทว่า มาลุเตริตํ
ความว่า ถูกลมพัดให้หวั่นไหว.
ลำดับนั้น ทุกูลบัณฑิตเมื่อจะโอวาทนางปาริกาดาบสินีนั้น จึงกล่าวว่า
ดูก่อนนางปาริกา ท่านผู้นี้คือพระเจ้ากาสี พระ-
องค์ทรงยิงสามกุมารด้วยลูกศร ที่มิคสัมมตานที ด้วย
ความโกรธ เราทั้งสองอย่าปรารถนาบาปต่อพระองค์
เลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิคสมฺมเต ความว่า ที่หาดทรายริม
ฝั่งมิคสัมมตานที. บทว่า โกธสา ความว่า ด้วยความโกรธที่เกิดขึ้นในเพราะ
มฤคทั้งหลาย. บทว่า มา ปาปมิจฺฉิมฺหา ความว่า เราทั้งสองอย่าปรารถนา
บาปต่อพระองค์เลย.
ปาริกาดาบสินีกล่าวอีกว่า
บุตรที่รักอันหาได้ด้วยยาก ผู้ได้เลี้ยงเราทั้งสอง
ผู้ตามืดในป่า จะไม่ยังจิตให้โกรธ ในบุคคลผู้ฆ่าบุตร
คนเดียวนั้น ได้อย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆาตมฺหิ แปลว่า ในบุคคลผู้ฆ่า.
ทุกูลบัณฑิตกล่าวว่า
บุตรที่รักอันหาได้ด้วยยาก ผู้ได้เลี้ยงเราทั้งสอง
ผู้ตามืดในป่า บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญบุคคล
ผู้ไม่โกรธในบุคคลผู้ฆ่าบุตรคนเดียวนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโกธํ ความว่า บัณฑิตทั้งหลายย่อม
สรรเสริญ คือกล่าวถึงบุคคลผู้ไม่โกรธนั้นว่า ขึ้นชื่อว่าความโกรธ ย่อมทำให้
ตกนรก ฉะนั้น ไม่พึงทำความโกรธนั้น พึงทำความไม่โกรธในบุคคลผู้ฆ่า
บุตรเท่านั้น.
ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ดาบสดาบสินีทั้งสอง ก็ข้อนทรวงด้วย
มือทั้งสอง พรรณนาคุณของพระมหาสัตว์ คร่ำครวญเป็นอันมาก.
ลำดับนั้น พระเจ้าปิลยักขราชเมื่อจะทรงเล้าโลมเอาใจดาบสทั้งสอง
นั้น จึงตรัสว่า
อยู่เป็นเจ้าทั้งสองอย่างคร่ำครวญ เพราะข้าพ-
เจ้า กล่าวว่าข้าพเจ้าฆ่าสามกุมารเสียแล้ว ไปมากเลย
ข้าพเจ้าจักรับการงานเลี้ยงดูผู้เป็นเจ้า ทั้งสอง ในป่า-
ใหญ่ ข้าพเจ้าเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏว่า
เป็นผู้แม่นยำนัก ข้าพเจ้าจักรับการงานเลี้ยงดูผู้เป็นเจ้า
ทั้งสอง ในป่าใหญ่ ข้าพเจ้าจักฆ่ามฤคและแสวงหา
มูลผลในป่า รับการงานเลี้ยงดูผู้เป็นเจ้าทั้งสองในป่า
ใหญ่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วาทินา ความว่า ท่านทั้งสองอย่ากล่าว
คำเป็นต้นว่า บุตรผู้ถึงพร้อมด้วยคุณอย่างนี้ของเรา ถูกท่านผู้กล่าวอยู่กับข้าพ
เจ้าว่า ฆ่าสามกุมารเสียแล้วดังนี้ ฆ่าแล้ว บัดนี้ใครจักเลี้ยงดูพวกเรา ดังนี้
คร่ำครวญมากไปเลย ข้าพเจ้าจักทำการงานแก่ท่านทั้งสอง เลี้ยงดูท่านทั้งสอง
เหมือนสามกุมาร ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระราชาได้ปลอบใจท่านทั้งสองนั้น
ว่า ขอท่านทั้งสองอย่าได้คิดเลย ข้าพเจ้าไม่ต้องการราชสมบัติ ข้าพเจ้า
จักเลี้ยงดูท่านทั้งสองตลอดชีวิต.

ลำดับนั้น ฝ่ายดาบสดาบสินีทั้งสองนั้นสนทนากับพระราชา ทูลว่า
ขอถวายพระพรมหาบพิตร สภาพนั้นไม่สม
ควร การทรงทำอย่างนั้นไม่ควร ในอาตมาทั้งสอง
พระองค์เป็นพระราชาของอาตมาทั้งสอง อาตมาทั้ง
สอง ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺโม ได้แก่ สภาพหรือเหตุการณ์
บทว่า เนตํ กปฺปติ ความว่า การกระทำการงานของพระองค์นั้น ย่อมไม่
ควร คือไม่งาม ไม่สมควรในอาตมาทั้งสอง. บทว่า ปาเท วนฺทาม เต
ความว่า ก็ดาบสดาบสินีทั้งสองนั้น ตั้งอยู่ในเพศบรรพชิต ทูลพระราชาดังนี้
เพราะความโศกในบุตรครอบงำ และเพราะไม่มีมานะ.
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น ทรงยินดีเหลือเกิน ทรงดำริว่า โอ
น่าอัศจรรย์ แม้เพียงคำหยาบของฤๅษีทั้งสองนี้ ก็ไม่มีในเราผู้ทำความประทุษ
ร้ายถึงเพียงนี้ กลับยกย่องเราเสียอีก จึงตรัสอย่างนี้ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เชื้อชาติเนสาท ท่านกล่าวเป็นธรรม
ท่านบำเพ็ญความถ่อมตนแล้ว ขอท่านจงเป็นบิดาของ
ข้าพเจ้า ข้าแต่นางปาริกา ขอท่านจงเป็นมารดาของ
ข้าพเจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตยา ความว่า เมื่อกล่าวเป็นคน ๆ ก็
กล่าวอย่างนี้. บทว่า ปิตา เป็นต้น ความว่า ข้าแต่พ่อทุกูลบัณฑิต ตั้งแต่
วันนี้ไป ขอท่านจงตั้งอยู่ในฐานะแห่งบิดาของข้าพเจ้า ข้าแต่แม่ปาริกา แม้
ท่านก็ขอจงตั้งอยู่ในฐานะแห่งมารดา ข้าพเจ้าก็จักตั้งอยู่ในฐานะแห่งสามกุมาร
บุตรของท่าน กระทำกิจทุกอย่างมีล้างเท้าเป็นต้น ขอท่านทั้งสองจงอย่ากำหนด
ข้าพเจ้าว่าเป็นพระราชา จงกำหนดว่าเหมือนสามกุมารเถิด.

ดาบสทั้งสองประคองอัญชลีไหว้ เมื่อจะทูลวิงวอนว่า ขอถวายพระพร
มหาบพิตร พระองค์ไม่มีหน้าที่ที่จะทำการงานแก่อาตมาทั้งสอง แต่ขอพระ
องค์จงทรงถือปลายไม้เท้าของอาตมาทั้งสองนำไปแสดงตัวสุวรรณสามเถิด จึง
กล่าวสองคาถาว่า
ข้าแต่พระเจ้ากาสี อาตมาทั้งสองขอนอบน้อม
แด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ยังชาวกาสีให้เจริญ อาต-
มาทั้งสองนอบน้อมแด่พระองค์ อาตมาทั้งสองประ-
คองอัญชลีแด่พระองค์ ขอพระองค์โปรดพาอาตมาทั้ง
สองไปให้ถึงสามกุมาร อาตมาทั้งสองจะสัมผัสเท้าทั้ง
สองและดวงหน้าอันงดงามน่าดูของเธอ แล้วทรมาน
ตนให้ถึงกาลกิริยา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาว สามานุปาปย ความว่า โปรด
พาอาตมาทั้งสองไปให้ถึงที่ที่สามกุมารอยู่. บทว่า ภุชทสฺสนํ ความว่า สาม
กุมารผู้งามน่าดู คือมีรูปงามน่าเลื่อมใส. บทว่า สํสุมฺภมานา ได้แก่ โบย.
บทว่า กาลมาคมยามฺหเส ความว่า จักกระทำ คือจักถึงกาลกิริยา.
เมื่อท่านเหล่านั้นสนทนากันอยู่อย่างนี้ พระอาทิตย์อัสดงคต ลำดับนั้น
พระราชาทรงดำริว่า ถ้าเรานำฤๅษี ทั้งสองผู้ตามืดไปในสำนักของสุวรรณสาม
ในบัดนี้ทีเดียว หทัยของฤๅษีทั้งสองจักแตกเพราะเห็นสุวรรณสามนั้น เราก็
ชื่อว่านอนอยู่ในนรก ในกาลที่ท่านทั้งสามทำกาลกิริยา ด้วยประการฉะนี้
เพราะฉะนั้น เราจักไม่ให้ฤๅษีทั้งสองนั้นไป ทรงดำริฉะนี้แล้ว จึงตรัสคาถา
สี่คาถาว่า

สามกุมารถูกฆ่านอนอยู่ที่ป่าใด ดุจดวงจันทร์
ดวงอาทิตย์ ตกลงเหนือแผ่นดินแล้ว เกลือกเปื้อน
ด้วยฝุ่นทราย ป่านั้นเป็นป่าใหญ่ เกลื่อนกล่นด้วยพาล
มฤค ปรากฏเหมือนที่สุดอากาศ ผู้เป็นเจ้าทั้งสองจง
อยู่ในอาศรมนี้แหละ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺรหา ได้แก่ สูงยิ่ง. บทว่า อากาสนฺตํ
ความว่า ป่านั่นแหละ เห็นกันทั่ว คือรู้กันทั่ว เป็นราวกะว่าที่สุดแห่งอากาศ.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อากาสนฺตํ ความว่า ทำให้เป็นรอยอยู่ คือประกาศ
อยู่. บทว่า ฉมา ได้แก่ บนแผ่นดิน คือปฐพี. ปาฐะว่า ฉมํ ดังนี้ก็มี
ความว่า เหมือนล้มลงบนแผ่นดิน. บทว่า ปริกุณฺฐิโต ความว่า เปรอะ
เปื้อน คือพัวพัน.
ลำดับนั้น ฤๅษีทั้งสองได้กล่าวคาถาเพื่อจะแสดงว่า คนไม่กลัวพาล
มฤคทั้งหลายว่า
ถ้าในป่านั้นมีพาลมฤค ตั้งร้อยตั้งพันและตั้ง-
หมื่น อาตมาทั้งสองก็ไม่มีความกลัว ในพาลมฤคทั้ง
หลายในป่าไหน ๆ เลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกจิ ความว่า ในป่านี้แม้เป็นประเทศ
แห่งหนึ่งในที่ไหน ๆ อาตมาทั้งสองก็ไม่มีความกลัวในพาลมฤคทั้งหลาย.
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อไม่อาจห้ามฤาษีทั้งสองนั้น ก็ทรงจงมือนำไป
ในสำนักสุวรรณสามนั้น.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า

ในกาลนั้น พระเจ้ากาสีทรงพาฤๅษีทั้งสอง ผู้ตา
มืดไปในป่าใหญ่ สุวรรณสามถูกฆ่าอยู่ในที่ใด ก็ทรง
จูงมือฤๅษีทั้งสองไปในที่นั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตโต แปลว่า ในกาลนั้น. บทว่า
อนฺธานํ ได้แก่ ฤาษีทั้งสองผู้ตามืด. บทว่า อหุ แปลว่า ได้เป็นแล้ว.
บทว่า ยตฺถ ความว่า พระเจ้ากาสี ทรงนำฤๅษีทั้งสองไปในที่ที่สุวรรณสาม
นอนอยู่.
ก็แลครั้นทรงนำไปแล้ว ประทับยืนในที่ใกล้สุวรรณสามแล้วตรัส
ว่า นี้บุตรของผู้เป็นเจ้าทั้งสอง ลำดับนั้น ฤาษีผู้เป็นบิดาของพระโพธิสัตว์
ซ้อนเศียรขึ้นวางไว้บนตัก ฤๅษิณีผู้เป็นมารดาก็ยกเท้าขึ้นวางไว้บนตักของตน
นั่งบ่นรำพันอยู่.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า
ดาบสดาบสินีทั้งสองเห็นสามกุมารผู้เป็นบุตร
นอนเกลือกเปื้อนฝุ่นทราย ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่ ดุจ
ดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ตกเหนือแผ่นดิน ก็ปริ-
เทวนาการน่าสงสาร ประคองแขนทั้งสองร้องไห้ว่า
สภาพไม่ยุติธรรมมาเป็นไปในโลกนี้ พ่อสามผู้งาม
น่าดู พ่อมาหลับเอาจริง ๆ เคลิบเคลิ้มเอามากมายดัง
คนดื่มสุราเข้ม ขัดเคืองใครเอาใหญ่ ถือตัวมิใช่น้อย
มีใจพิเศษ ในเมื่อกาลล่วงไปอย่างนี้ในวันนี้ พ่อไม่
พูดไร ๆ บ้างเลย พ่อสามนี้เป็นผู้ปฏิบัติบำรุงเรา
ทั้งสองผู้ตามืด มาทำกาลกิริยาเสียแล้ว บัดนี้ใครเล่า

จักชำระชฎาอันหม่นหมองเปื้อนฝุ่นละออง ใครเล่า
จักจับกราดกวาดอาศรมของเราทั้งสอง ใครเล่าจักจัด
น้ำเย็นและน้ำร้อนให้อาบ ใครเล่าจักให้เราทั้งสองได้
บริโภคมูลผลาหารในป่า ลูกสามะนี้เป็นผู้ปฏิบัติบำรุง
เราทั้งสองผู้ตามืด มาทำกาลกิริยาเสียแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปวิทฺธํ ความว่า ทิ้งไว้อย่างไร้ประโยชน์.
บทว่า อธมฺโม กิร โภ อิติ ความว่า ได้ยินว่า ความอยุติธรรมกำลังเป็น
ไปในโลกนี้ในวันนี้. บทว่า มตฺโต ความว่า มัวเมา คือถึงความประมาท
ดุจดื่มสุราเข้ม. บทว่า ทิตฺโต แปลว่า วางปึ่ง. บทว่า วิมโน ความว่า
เป็นนักเลง ฤๅษีทั้งสองพูดบ่นเพ้อทั่ว ๆ ไป. บทว่า ชฏํ ได้แก่ ชฎาของเรา
ทั้งสองที่มัวหมอง. บทว่า ปํสุคตํ ความว่า จักอากูลมลทินจับในเวลาใด.
บทว่า โกทานิ ความว่า บัดนี้ ใครเล่าจักจัดตั้งชฎานั้นให้ตรง คือทำความ
สะอาด แล้วทำให้ตรงในเวลานั้น.
ลำดับนั้น ฤๅษิณีผู้มารดาแห่งพระโพธิสัตว์ เมื่อบ่นเพ้อเป็นหนักหนา
ก็เอามืออังที่อกพระโพธิสัตว์พิจารณาความอบอุ่น คิดว่า ความอบอุ่นของบุตร
เรายังเป็นไปอยู่ บุตรเราจักสลบด้วยกำลังยาพิษ เราจักกระทำสัจจกิริยาแก่
บุตรเรา เพื่อถอนพิษออกเสีย คิดฉะนี้แล้วได้กระทำสัจจกิริยา
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
มารดาผู้ระทมจิตด้วยความโศกถึงบุตร ได้เห็น
สามะผู้เป็นบุตรนอนเกลือกเปื้อนด้วยฝุ่นทราย ได้
กล่าวคำสัจว่า ลูกสามะมิได้เป็นผู้ประพฤติธรรมเป็น
ปกติ ได้เป็นผู้ประพฤติดังพรหมเป็นปกติ ได้เป็นผู้

กล่าวคำจริงมาแต่ก่อน ได้เป็นผู้เลี้ยงบิดามารดา ได้
เป็นผู้ประพฤติยำเกรงต่อท่านผู้เจริญในสกุล เป็นผู้
เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา โดยความจริงใด ๆ ด้วย
การกล่าวความจริงนั้น ๆ ขอพิษของลูกสามะจงหายไป
บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามะกระทำแล้วแก่เราและ
แก่บิดาของเธอ มีอยู่ ด้วยอานุภาพกุศลบุญนั้นทั้งหมด
ขอพิษของลูกสามะจึงหายไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยน สจฺเจน ได้แก่ ด้วยความจริงใด
คือด้วยสภาวะใด. บทว่า ธมฺมจารี ได้แก่ ผู้ประพฤติธรรมคือกุศลกรรมบถ
สิบ. บทว่า สจฺจวาที ความว่า. ไม่กล่าวมุสาวาท แม้ด้วยการหัวเราะ.
บทว่า มาตาเปติภโร ความว่า เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน เลี้ยงดูบิดามารดา
ตลอดคืนวัน . บทว่า กุเล เชฏฺฐาปจฺจายิโก ความว่า เป็นผู้กระทำสักการะ
แก่บิดาเป็นต้นผู้เจริญที่สุด.
เมื่อมารดาทำสัจจกิริยาด้วยเจ็ดคาถาอย่างนี้ สามกุมารก็พลิกตัวกลับ
นอนต่อไป ลำดับนั้น บิดาคิดว่า ลูกของเรายังมีชีวิตอยู่ เราจักทำสัจจกิริยา
บ้าง จึงได้ทำสัจจกิริยาอย่างนั้น.
พระศาสดาเพื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
บิดาผู้ระทมจิตด้วยความโศกถึงบุตร ได้เห็น
สามะผู้เป็นบุตรนอนเกลือกเปื้อนด้วยฝุ่นทราย ได้
กล่าวคำสัจว่า ลูกสามะมิได้เป็นผู้ประพฤติธรรมเป็น
ปกติ ได้เป็นผู้ประพฤติดังพรหมเป็นปกติ ได้เป็นผู้
กล่าวคำจริงมาแต่ก่อน ได้เป็นผู้เลี้ยงบิดามารดา ได้

เป็นผู้ประพฤติยำเกรงต่อท่านผู้เจริญในสกุล เป็นผู้
เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา โดยความจริงใด ๆ ด้วย
การกล่าวความจริงนั้น ๆ ขอพิษของลูกสามะจงหายไป
บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามะกระทำแล้วแก่เราและ
แก่มารดาของเธอ มีอยู่ ด้วยอานุภาพกุศลบุญนั้น
ทั้งหมด ขอพิษของลูกสามะจงหายไป.

เมื่อบิดาทำสัจจกิริยาอยู่อย่างนี้ พระมหาสัตว์พลิกตัวอีกข้างหนึ่งนอน.
ต่อไป ลำดับนั้น เทพธิดาผู้มีนามว่าพสุนธรีได้ทำสัจจกิริยาลำดับที่สามแก่
พระมหาสัตว์นั้น.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
นางพสุนธรีเทพธิดา อันตรธานไปจากภูเขา
คันธมาทน์ มากล่าวสัจจวาจาด้วยความเอ็นดูสามกุมาร
ว่า เราอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ตลอดราตรีนาน ใคร ๆ
อื่นซึ่งเป็นที่รักของเรากว่าสามกุมาร ไม่มี ของหอม
ล้วนแล้วด้วยไม้หอมทั้งหมด ณ คันธมาทน์บรรพต
มีอยู่ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจงหายไป
เมื่อฤๅษีทั้งสองบ่นเพ้อรำพันเป็นอันมากน่าสงสาร
สามกุมารผู้หนุ่มงดงามน่าทัศนา ก็ลุกขึ้นเร็วพลัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพตฺยาหํ ตัดบทเป็น ปพฺพเต อหํ
ความว่า เราอยู่ ณ บรรพต. บทว่า วนมยา ได้แก่ ล้วนแล้วไปด้วยต้นไม้
มีกลิ่นหอม ที่ภูเขานั้น ไม่มีต้นไม้อะไร ๆ ที่ไม่มีกลิ่นหอมเลย. บทว่า เตสํ
ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อฤาษีทั้งสองนั้นบ่นเพ้อรำพันกันอยู่นั่นแล

สามกุมารได้ลุกขึ้นเร็วพลัน ในกาลที่เทพธิดาทำสัจจกิริยาจบลง ความเจ็บป่วย
ของสามกุมารนั้นได้คลายหายไปเหมือนน้ำกลิ้งจากใบบัว ไม่ปรากฏแผลที่ถูก
ยิงว่า ถูกยิงตรงนี้ ถูกยิง ณ ที่นี้.
อัศจรรย์ทั้งปวงคือ พระมหาสัตว์หายโรค ฤาษีผู้เป็นบิดามารดาได้
ดวงตากลับเห็นเป็นปกติ แสงอรุณขึ้น และท่านั่งสี่เหล่านั้นปรากฏที่อาศรม
ได้มีขึ้นในขณะเดียวกันทีเดียว บิดามารดาทั้งสองได้ดวงตาดีเป็นปกติแล้ว
ยินดีอย่างเหลือเกินว่า ลูกสามะหายโรค ลำดับนั้น สามบัณฑิตได้กล่าวกะท่าน
เหล่านั้น ด้วยคาถานี้ว่า
ข้าพเจ้ามีนามว่าสามะ ขอความเจริญจงมีแก่
ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าลุกขึ้นได้แล้วโดยสวัสดี ขอ
ท่านทั้งหลายอย่าคร่ำครวญนักเลย จงพูดกะข้าพเจ้า
ด้วยเสียงอันไพเราะเถิด.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์แลเห็นพระราชา เมื่อจะทูลปฏิสันถาร จึง
กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
ข้าแต่มหาบพิตร พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง
พระองค์เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้ พระองค์ผู้มี
อิสระเสด็จมาลงแล้ว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยู่ในที่นี้
ข้าแต่มหาบพิตร เชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผล
มะซาง และผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้เล็กน้อย
ขอได้โปรดเลือกเสวยผลที่ดี ๆ เถิด ข้าแต่มหาบพิตร
ขอจงทรงดื่มน้ำซึ่งเป็นน้ำเย็น นำมาแต่มิคสัมมตานที
ซึ่งไหลจากซอกเขา ถ้าทรงพระประสงค์.

ฝ่ายพระราชาทอดพระเนตรเห็นอัศจรรย์นั้น จึงตรัสว่า
ข้าพเจ้าหลงเอามา หลงเอาจริง ๆ มืดไป
ทั่วทิศ ข้าพเจ้าได้เห็นสามบัณฑิตนั้นทำกาลกิริยาแล้ว
ทำไมท่านเป็นได้อีกเล่าหนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เปตํ ความว่า ได้เห็นสามบัณฑิตทำ
กาลกิริยาแล้ว. บทว่า โก นุ ตฺวํ ความว่า พระราชาตรัสถามว่า ท่าน
กลับเป็นขึ้นมาได้อย่างไรหนอ.
ฝ่ายสามบัณฑิตดำริว่า พระราชาทรงกำหนดเราว่าตายแล้ว เราจัก
ประกาศความที่เรายังไม่ตายแก่พระองค์ จึงทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า โลกย่อมสำคัญซึ่งบุคคลผู้ยัง
มีชีวิตอยู่ เสวยเวทนาอย่างหนัก มีความดำริในใจ
เข้าไปใกล้แล้ว ยังเป็นอยู่แท้ ๆ ว่าตายแล้ว ข้าแต่
มหาราชเจ้า โลกย่อมสำคัญซึ่งบุคคลผู้ยังมีชีวิตอยู่
เสวยเวทนาอย่างหนัก ถึงความดับสนิทระงับแล้วนั้น
ยังเป็นอยู่แท้ ๆ ว่าตายแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ ชีวํ ได้แก่ ยังเป็นอยู่แท้ ๆ. บทว่า
อุปนีตมนสงฺกปฺปํ ได้แก่ มีจิตวาระหยั่งลงในภวังค์. บทว่า ชีวนฺตํ
แปลว่า ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ. บทว่า มญฺญเต ความว่า โลกนี้ย่อมสำคัญว่า
ผู้นี้ตายแล้ว. บทว่า นิโรธคตํ ความว่า สามบัณฑิตกล่าวว่า โลกย่อมสำคัญ
ซึ่งบุคคลผู้ยังมีชีวิตอยู่ มีอัสสาสะปัสสาสะ ถึงความดับสนิท ระงับแล้วยัง
เป็นอยู่แท้ ๆ เช่นข้าพระองค์ ว่าตายแล้วอย่างนี้.
ก็แลครั้นทูลอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ประสงค์จะประกอบพระราชา
ไว้ในประโยชน์ เมื่อแสดงธรรมจึงได้กล่าวคาถาอีกสองคาถาว่า

บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม เทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมแก้ไขคุ้มครองบุคคลผู้เลี้ยงดูบิดา
มารดานั้น บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม นัก-
ปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้นั้นในโลกนี้
บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงอยู่ใน
สวรรค์.

พระราชาได้สดับคำนั้นแล้ว ทรงดำริว่า น่าอัศจรรย์หนอ แม้เทวดา
ทั้งหลายก็เยียวยาโรคที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้เลี้ยงดูบิดามารดา สามบัณฑิตนี้
งดงามเหลือเกิน ทรงดำริฉะนี้แล้ว ประคองอัญชลีตรัสว่า
ข้าพเจ้านี้หลงเอามากจริง ๆ มืดไปทั่วทิศ
ท่านสามบัณฑิต ข้าพเจ้าขอถึงท่านเป็นสรณะ และ
ขอท่านจงเป็นสรณะของข้าพเจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิยฺโย ความว่า เพราะข้าพเจ้าได้ทำผิด
ในผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมเช่นท่าน ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงหลงเอา
จริง ๆ เหลือเกิน. บทว่า ตฺวญฺจ เม สรณํ ภว ความว่า ข้าพเจ้าขอ
ถึงท่านเป็นสรณะ และขอท่านจงเป็นสรณะ คือจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าผู้ขอ
ถึงสรณะ คือขอท่านจงทำข้าพเจ้าให้ไปเทวโลก.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ถ้าพระองค์
มีพระประสงค์เสด็จสู่เทวโลก มีพระประสงค์บริโภคทิพยสมบัติใหญ่ จงทรง
ประพฤติในทศพิธราชธรรมจรรยาเหล่านี้เถิด เมื่อจะถวายโอวาทแด่พระราชา
จึงได้กล่าวคาถาอันว่าด้วยการประพฤติทศพิธราชธรรมว่า

ข้าแต่ขัตติยมหาราช ขอพระองค์ทรงประพฤติ-
ธรรมในพระชนกพระชนนี ในพระโอรสและ
พระมเหสี ในมิตรและอมาตย์ ในพาหนะและพล
นิกาย ในชาวบ้านและชาวนิคม ในชาวแว่นแคว้น
และชาวชนบท ในสมณะและพราหมณ์ ในฝูงมฤค
และฝูงปักษีเถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรม
นั้น ๆ ในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์ ข้าแต่
มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรมเถิด ธรรม
ที่พระองค์ทรงประพฤติแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้
ครั้น พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จัก
เสด็จสู่สวรรค์ ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรง
ประพฤติธรรมเถิด พระอินทร์ เทพเจ้าพร้อมทั้ง
พระพรหมถึงแล้วซึ่งทิพยสถาน ด้วยธรรมที่ประพฤติ
ดีแล้ว ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์อย่าทรงประมาท
ธรรม.

ก็เนื้อความของคาถาเหล่านั้น มีกล่าวไว้โดยพิสดารแล้วในสกุณชาดก
นั้นแล.
พระมหาสัตว์แสดงธรรมถวายพระราชาอย่างนี้แล้ว เมื่อจะถวายโอวาท
ยิ่งขึ้น ได้ถวายเบญจศีล พระราชาทรงรับโอวาทของพระมหาสัตว์นั้นด้วย
พระเศียร ทรงไหว้พระโพธิสัตว์ ขอขมาโทษพระโพธิสัตว์แล้วเสด็จกลับกรุง
พาราณสี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลมีทานเป็นต้น ทรงรักษาเบญจศีลครองราช
สมบัติโดยธรรมโดยเสมอ ในที่สุดแห่งพระชนม์ ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปใน
เบื้องหน้า ฝ่ายพระโพธิสัตว์ปฏิบัติบำรุงบิดามารดา ยังอภิญญาและสมาบัติ

ให้บังเกิดพร้อมด้วยบิดามารดา มิได้เสื่อมจากฌาน ในที่สุดแห่งอายุได้เข้าถึง
พรหมโลกพร้อมด้วยบิดามารดานั้นแล.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ชื่อว่าการเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นวงศ์ของบัณฑิตทั้งหลาย ตรัสฉะนี้
แล้ว ทรงประกาศอริยสัจสี่ประชุมชาดก ในเวลาเทศนาอริยสัจสี่จบลง ภิกษุ
นั้นบรรลุโสดาปัตติผล พระราชาปิลยักขราช ในกาลนั้นกลับชาติมาเป็นภิกษุ
ชื่ออานนท์ในกาลนี้ พสุนธรีเทพธิดาเป็นภิกษุณีชื่ออุบลวรรณา ท้าวสักก-
เทวราชเป็นภิกษุชื่ออนุรุทธะ. ทุกูลบัณฑิตผู้บิดาเป็นภิกษุชื่อมหากัสสปะ
นางปาริกา
ผู้มารดาเป็นภิกษุณีชื่อภัททกาปิลานี ก็สุวรรณสามบัณฑิต
คือเราผู้สัมมาสัมพุทธะนี้เองแล.
จบ สุวรรณสามชาดก

4. เนมิราชชาดก



ว่าด้วยพระเจ้าเนมิราชทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี


[525] เมื่อใดพระเจ้าเนมิราชผู้เป็นบัณฑิต
มีพระประสงค์ด้วยกุศล เป็นพระราชาผู้ปราบข้าศึก
ทรงบริจาคทานแก่ชาววิเทหะทั้งปวง เมื่อนั้นบุคคล
ฉลาดย่อมเกิดขึ้นในโลก ความเกิดขึ้นของท่าน
เหล่านั้นน่าอัศจรรย์หนอ เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรง
บำเพ็ญทานนั้นอยู่ ก็เกิดพระราชดำริขึ้นว่า ทานหรือ
พรหมจรรย์อย่างไหนมีผลานิสงส์มาก.