เมนู

3. สุวรรณสามชาดก



ว่าด้วยสุวรรณสามบำเพ็ญเมตตาบารมี


[482] ใครหนอใช้ลูกศรยิงเรา ผู้ประมาทกำ-
ลังแบกหม้อน้ำ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ คนไหน
ยิงเรา ซ่อนกายอยู่ เนื้อของเราก็กินไม่ได้ หนังก็ไม่
มีประโยชน์นี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเข้าใจว่าเราเป็นผู้ควร
ยิง ด้วยเหตุอะไรหนอ ท่านคือใคร หรือเป็นบุตร
ของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร ดูก่อนสหาย เรา
ถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอกเถิด ทำไมท่านจึงยิงเรา
แล้วซ่อนตัวเสีย.

[483] เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนเรียก
เราว่า พระเจ้าปิลยักษ์ เราละแว่นแคว้นเที่ยวแสวงหา
มฤคเพราะความโลภ อนึ่ง เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์
ปรากฏว่าเป็นผู้แม่นยำนัก แม้ช้างมาสู่ระยะลูกศรของ
เรา ก็ไม่พึงพ้นไปได้ ท่านคือใคร หรือเป็นบุตร
ของใคร พวกเราจะรู้จักท่านได้อย่างไร ท่านจงแจ้ง
ชื่อและโคตรของบิดาท่านและของตัวท่าน.

[484] ขอจงทรงพระเจริญ ข้าพระองค์เป็น
บุตรของนายพราน ญาติทั้งหลาย เรียกข้าพระองค์
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ว่า สามะ วันนี้ข้าพระองค์ถึงปาก
มรณะนอนอยู่อย่างนี้ ข้าพระองค์ถูกพระองค์ยิงด้วย

ลูกศรใหญ่อาบยาพิษ เหมือนมฤคที่ถูกพรานป่ายิง
แล้ว ฉะนั้น ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์จงทอดพระ
เนตรข้าพระองค์ผู้นอนจมอยู่ในโลหิตของตน เชิญ
ทอดพระเนตรลูกศร อันแล่นเข้าข้างขวาทะลุออกข้าง
ซ้าย ข้าพระองค์ บ้วนโลหิตอยู่ เป็นผู้กระสับกระส่าย
ขอทูลถามพระองค์ว่า พระองค์ยิงข้าพระองค์แล้ว จะ
ซ่อนพระองค์อยู่ทำไม เสือเหลืองถูกฆ่าเพราะหนัง
ช้างถูกฆ่าเพราะงา เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์เข้าพระ
ทัยว่า ข้าพระองค์เป็นผู้ควรยิง ด้วยเหตุอะไรหนอ.

[485] ดูก่อนสามะ มฤคปรากฏแล้ว มาสู่
ระยะลูกศร เห็นท่านเข้าก็หนีไป เพราะเหตุนั้น เรา
จึงเกิดความโกรธ.

[486] จำเดิมแต่ข้าพระองค์จำความได้ รู้จัก
ถูกและผิด ฝูงมฤคในป่าแม้ดุร้าย ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้า-
พระองค์ จำเดิมแต่ข้าพระองค์นุ่งผ้าเปลือกไม้ ตั้งอยู่
ในปฐมวัย ฝูงมฤคในป่าแม้ดุร้ายก็ไม่สะดุ้งกลัว
ข้าพระองค์ ข้าแต่พระราชา ฝูงกินนรผู้ขลาดอยู่ภูเขา
คันธมาทน์ เห็นข้าพระองค์ย่อมไม่สะดุ้งกลัว เราทั้ง-
หลายต่างชื่นชมต่อกันไปสู่ภูเขาและป่า เมื่อเป็นเช่นนี้
มฤคทั้งหลายจะสะดุ้งกลัวข้าพระองค์ด้วยเหตุไร.

[487] ดูก่อนสามะ เนื้อเห็นท่านแล้วหาได้ตก
ใจไม่ เรากล่าวเท็จแก่ท่านดอก เราถูกความโกรธและ

ความโลภครอบงำแล้ว จึงยิงท่านด้วยลูกศรนั้น ดูก่อน
สามะ ท่านมาแต่ไหน หรือใครใช้ท่านมา ท่านผู้จะ
ตักน้ำจึงไปสู่แม่น้ำมิคสัมมตา แล้วกลับมา.

[488] บิดามารดาของข้าพระองค์ตาบอด ข้า
พระองค์เลี้ยงท่านเหล่านั้นอยู่ในป่าใหญ่ ข้าพระองค์
นำน้ำมาเพื่อท่านทั้งสองนั้น จึงมาแม่น้ำมิคสัมมตา.

[489] อาหารของบิดามารดานั้นยังพอมีอยู่เมื่อ
เป็นเช่นนี้ ชีวิตของท่านทั้งสองนั้น จักดำรงอยู่ราว
หกวัน ท่านทั้งสองนั้นตามืด เกรงจะตายเสียเพราะ
ไม่ได้ดื่มน้ำ ความทุกข์ เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูก
ศรนี้ หาเป็นความทุกข์ ของข้าพระองค์นักไม่ เพราะ
ความทุกข์นี้อันบุรุษจะต้องได้ประสบ ความทุกข์ ที่
ข้าพระองค์ไม่ได้เห็นบิดามารดา เป็นความทุกข์ของ
ข้าพระองค์ ยิ่งกว่าความทุกข์ เพราะถูกพระองค์ยิง
ด้วยลูกศรนี้เสียอีก ความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิง
ด้วยลูกศรนี้ หาเป็นความทุกข์ของข้าพระองค์นักไม่
เพราะความทุกข์นี้อันบุรุษจะต้องได้ประสบ บิดา
มารดา ทั้งสองนั้น เป็นคนกำพร้าเข็ญใจ จะร้องไห้อยู่
ตลอดราตรีนาน จักเหือดแห้งไปในกึ่งราตรี หรือในที่
สุดราตรี ดุจแม่น้ำน้อยในคิมหฤดูจักเหือดแห้งไป ข้า
พระองค์เคยหมั่นบำรุงบำเรอนวดมือเท่า ของท่านทั้ง
สองนั้น บัดนี้ไม่เห็นข้าพระองค์ ท่านทั้งสองจักบ่น
เรียกหาว่า พ่อสาม ๆ เที่ยวอยู่ในป่าไหญ่ ลูกศรคือ

ความโศกที่สองนี้แหละ ยังหัวใจของข้าพระองค์ให้
หวั่นไหว เพราะข้าพระองค์ไม่ได้เห็นท่านทั้งสองผู้
จักษุบอด ข้าพระองค์เห็นจักละเสียซึ่งชีวิต.

[490] ดูก่อนสามะผู้งดงามน่าดู ท่านอย่าปริ-
เทวะมากเลย เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏใน
ชมพูทวีปทั้งสิ้นว่าเป็นผู้แม่นยำนัก จักฆ่ามฤคและ
แสวงหามูลผลาหารป่ามา ทำการงานเลี้ยงบิดามารดา
ของท่านในป่าใหญ่ ดูก่อนสามะ ป่าที่บิดามารดาของ
ท่านอยู่ อยู่ที่ไหน เราจักเลี้ยงบิดามารดาของท่าน
ให้เหมือนท่านเลี้ยง.

[491] ข้าแต่พระราชา หนทางที่เดินเฉพาะคน
เดียว ซึ่งอยู่ทางหัวนอนของข้าพระองค์นี้ เสด็จดำ-
เนินไปแต่ที่นี้ระหว่างกึ่งเสียงกู่ จะถึงสถานที่อยู่แต่ง
บิดามารดาของข้าพระองค์ ขอเสด็จดำเนินแต่ที่นี้ไป
เลี้ยงดูท่านทั้งสองในสถานที่นั้นเถิด.

[492] ข้าแต่พระเจ้ากาสิราช ข้าพระบาทขอ
น้อมกราบพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ยังชาวกาสีให้
เจริญ ข้าพระบาทขอน้อมกราบพระองค์ ของพระองค์
ทรงบำรุงเลี้ยงบิดา มารดาตามืดของข้าพระองค์ในป่า
ใหญ่ ข้าพระองค์ขอประคองอัญชลีถวายบังคมพระ-
องค์ ขอพระองค์มีพระดำรัสกะบิดามารดาของข้า-
พระองค์ให้ทราบว่า ข้าพระองค์ไหว้นบท่านด้วย.

[493] หนุ่มสามะผู้งดงามน่าดูนั้น ครั้นกล่าว
คำนี้แล้ว ถูกกำลังแห่งพิษซาบซ่าน เป็นผู้วิสัญญี
สลบไป.

[494] พระราชานั้น ทรงคร่ำครวญน่าสงสาร
เป็นอันมากว่า เราสำคัญว่าจะไม่แก่ไม่ตาย เรารู้
เรื่องนี้วันนี้ แต่ก่อนหารู้ไม่. เพราะได้เห็นสามบัณฑิต
ทำกาลกิริยา ความไม่มาแห่งมฤตยู ย่อมไม่มี สาม-
บัณฑิตถูกลูกศรอาบยาพิษ ซึมซาบแล้วพูดอยู่กะเรา.
ครั้นกาลล่วงไปอย่างนี้ในวันนี้ ไม่พูดอะไร ๆ เลย
เราจะต้องไปสู่นรกแน่นอน เราไม่มีความสงสัยใน
ข้อนี้เลย. เพราะว่าบาปหยาบช้าอันเราทำแล้ว ตลอด
ราตรีนานในกาลนั้น เราทำกรรมหยาบช้าในบ้าน-
เมือง คนทั้งหลายจะติเตียนเรา ใคร่เล่าจะควรมากล่าว
ติเตียนเรา ในราวป่าอันหามนุษย์มิได้. คนทั้งหลาย
จะประชุมกันในบ้านเมือง โจทนาว่ากล่าวเอาโทษ
เรา ใครเล่าหนอจะโจทนาว่ากล่าวเอาโทษเรา ในป่า
อันหามนุษย์มิได้.

[495] เทพธิดานั้น อันตรธานไปในภูเขาคันธ
มาทน์ มาภาษิตคาถาเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์พระรา-
ชาว่า พระองค์ทำความผิดมาก ได้ทำกรรมอันชั่วช้า
บิดามารดาและบุตร ทั้งสามผู้หาความประทุษร้ายมิได้
ถูกพระองค์ฆ่าเสียด้วยลูกศรลูกเดียวกัน เชิญเสด็จมา
เถิด ข้าพเจ้าจะพร่ำสอนพระองค์ ด้วยวิธีที่พระองค์
จะได้สุคติ พระองค์จงเลี้ยงดูบิดามารดาทั้งสองผู้มี

จักษุมืด โดยธรรมในป่า ข้าพเจ้าเข้าใจว่า สุคติจะ
พึงมีแก่พระองค์.

[496] พระราชานั้นทรงคร่ำครวญ อย่างน่า-
สงสารเป็นอันมาก ทรงถือหม้อน้ำ บ่ายพระพักตร์
ทางทิศทักษิณเสด็จหลีกไปแล้ว.

[497] นั่นเสียงฝีเท้าใครหนอ เสียงฝีเท้ามนุษย์
เดินเป็นแน่ เสียงฝีเท้าสามบุตรเรา ไม่ดัง ดูก่อน
ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครหนอ สามบุตรเรา
เดินเบา วางเท้าเบา เสียงฝีเท้าสามบุตรเราไม่ดัง
ท่านเป็นใครหนอ.

[498] เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนเรียก
เราว่า พระเจ้าปิลยักษ์ เราละแว่นแคว้นเที่ยวแสวงหา
มฤคเพราะความโลภ อนึ่ง เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์
ปรากฏว่าเป็นผู้แม่นยำนัก แม้ช้างมาสู่ระยะลูกศรของ
เรา ก็ไม่พึงพ้นไปได้.

[499] ข้าแต่มหาบพิตร พระองค์เสด็จมาดี
แล้ว อนึ่ง พระองค์เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้
พระองค์ผู้มีอิสระเสด็จมาถึงแล้ว ขอจงทรงทราบสิ่ง
ที่มีอยู่ในที่นี้ ข้าแต่มหาบพิตร เชิญเสวยผลมะพลับ
ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่าอันเป็นผล-
ไม่เล็กน้อย ขอได้โปรดเลือกเสวยผลที่ดี ๆ เถิด ข้า
แต่มหาบพิตร ขอจงทรงดื่มน้ำซึ่งเป็นน้ำเย็น นำมา
แต่มิคสัมมตานที ซึ่งไหลจากซอกเขา ถ้าทรงพระ
ประสงค์.

[500] ท่านทั้งสองจักษุมืดไม่สามารถจะเห็น
อะไร ๆ ในป่า ใครเล่าหนอนำผลไม้มาเพื่อท่านทั้งสอง
ความสะสมผลไม้น้อยใหญ่ไว้โดยเรียบร้อยนี้ ปรากฏ
แก่ข้าพเจ้าว่า ดูเหมือนคนตาดีสะสมไว้.

[501] สามะหนุ่มน้อยรูปร่างสันทัดงดงามน่าดู
เกศาของเธอยาวดำ เฟื้อยลงไปปลายงอนช้อนขึ้นข้าง
บน เธอนั่นแหละนำผลไม้มาถือหม้อน้ำจากที่นี่ ไปสู่
แม่น้ำนำน้ำมา เห็นจะกลับมาใกล้แล้ว.

[502] ข้าพเจ้าได้ฆ่าสามกุมารผู้ปฏิบัติบำรุง
ท่านเสียแล้ว ผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงสามกุมารผู้งดงามน่าดู
ใด เกศาของสามกุมารนั้นยาวดำเฟื้อยลงไปปลายงอน
ช้อนขึ้นเบื้องบน สานกุมารนั้นข้าพเจ้าฆ่าเสียแล้ว
นอนอยู่ที่หาดทรายเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต.

[503] ข้าแต่ทุกูลบัณฑิต ท่านพูดกับใครซึ่ง
บอกว่า ข้าพเจ้าฆ่าสามกุมารเสียแล้ว ใจของดิฉันย่อม
หวั่นไหวเพราะได้ยินว่า สามกุมารถูกฆ่าเสียแล้ว
กิ่งอ่อนแห่งต้นโพธิ์ใบอันลมพัดให้หวั่นไหว ฉันใด
ใจของดิฉันย่อมหวั่นไหวเพราะได้ยินว่า สามกุมารถูก
ฆ่าเสียแล้ว ฉันนั้น.

[504] ดูก่อนนางปาริกา ท่านผู้นี้คือพระเจ้า
กาสี พระองค์ทรงยิงสามกุมารด้วยลูกศร ที่มิคสัมม-
ตานที ด้วยความโกรธ เราทั้งสองอย่าปรารถนาบาป
ต่อพระองค์เลย.

[505] บุตรที่รักอันหาได้ด้วยยาก ผู้ได้เลี้ยงเรา
ทั้งสองผู้ตามืดในป่า จะไม่ยังจิตให้โกรธ ในบุคคลผู้
ฆ่าบุตรคนเดียวนั้นได้อย่างไร.

[506] บุตรที่รักอันหาได้ด้วยยาก ผู้ได้เลี้ยงเรา
ทั้งสองผู้ตามืดในป่า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ
บุคคลผู้ไม่โกรธในบุคล ผู้ฆ่าบุตรคนเดียวนั้น.

[507] ขอผู้เป็นเจ้าทั้งสองอย่าคร่ำครวญเพราะ
ข้าพเจ้ากล่าวว่า ข้าพเจ้าฆ่าสามกุมารเสียแล้ว ไปมาก
เลย ข้าพเจ้าจักรับการงานเลี้ยงดูผู้เป็นเจ้าทั้งสองใน
ป่าใหญ่ ข้าพเจ้าเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏว่า
เป็นผู้แม่นยำนัก ข้าพเจ้าจักรับการงานเลี้ยงดูผู้เป็นเจ้า
ทั้งสองในป่าใหญ่ ข้าพเจ้าจักฆ่ามฤคและแสวงหามูล
ผลในป่า รับการงานเลี้ยงดูผู้เป็นเจ้าทั้งสองในป่า
ใหญ่.

[508] ขอถวายพระพรมหาบพิตร สภาพนั่นไม่
สมควร การทรงทำอย่างนั้นไม่ควรในอาตมาทั้งสอง
สองพระองค์เป็นพระราชาของอาตมาทั้งสอง อาตมาทั้ง-
สองขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์.

[509] ข้าแต่ท่านผู้เชื้อชาติเนสาท ท่านกล่าว
เป็นธรรม ท่านบำเพ็ญความถ่อมตนแล้ว ขอท่านจง
เป็นบิดาของข้าพเจ้า ข้าแต่นางปาริกา ขอท่านจงเป็น
มารดาของข้าพเจ้า.

[510] ข้าแต่พระเจ้ากาสี อาตมาทั้งสองขอ
นอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ยังชาวกาสีให้
เจริญ อาตมาทั้งสองขอนอบน้อมแด่พระองค์ อาตมา
ทั้งสองประคองอัญชลีแด่พระองค์ ขอพระองค์โปรด
พาอาตมาทั้งสองไปให้ถึงสามกุมาร อาตมาทั้งสองจะ
สัมผัสเท้าทั้งสองและดวงหน้าอันงดงามน่าดูของเธอ
แล้วทรมานตนให้ถึงกาลกิริยา.

[511] สามกุมารถูกฆ่านอนอยู่ที่ป่าใด ดุจดวง
จันทร์ดวงอาทิตย์ตกลงเหนือแผ่นดินแล้วเกลือกเปื้อน
ด้วยฝุ่นทราย ป่านั้นเป็นป่าใหญ่ เกลือนกล่นด้วย
พาลมฤค ปรากฏเหมือนที่สุดอากาศ ผู้เป็นเจ้าทั้งสอง
จงอยู่ในอาศรมนี้แหละ.

[512] ถ้าในป่านั้นมีพาลมฤคตั้งร้อย ตั้งพันและ
ตั้งหมื่น อาตมาทั้งสองก็ไม่มีความกลัวในพาลมฤค
ทั้งหลายในป่าไหน ๆ เลย.

[513] ในกาลนั้น พระเจ้ากาสีทรงพาฤาษี
ทั้งสองผู้ตามืดไปในป่าใหญ่ สุวรรณสามถูกฆ่าอยู่ใน
ที่ใด ก็ทรงจูงมือฤๅษีทั้งสองไปในที่นั้น.

[514] ดาบสดาบสินีทั้งสองเห็นสามกุมารผู้เป็น
บุตรนอนเกลือกเปื้อนฝุ่นทราย ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่
ดุจดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ตกเหนือแผ่นดินก็ปริเทว-
นาการน่าสงสาร ประคองแขนทั้งสองร้องไห้ว่าสภาพ
ไม่ยุติธรรมมาเป็นไปในโลกนี้ พ่อสามผู้งามน่าดู พ่อ

มาหลับเอาจริง ๆ เคลิบเคลิ้มเอามากมายดั่งคนดื่มสุรา
เข้ม ขัดเคืองใครเอาใหญ่ ถือตัวมิใช่น้อย มีใจพิเศษ
ในเมื่อกาลล่วงไปอย่างนี้ในวันนี้ พ่อไม่พูดอะไร ๆ
บ้างเลย พ่อสามนี้เป็นผู้ปฏิบัติบำรุงเราทั้งสองผู้ตามืด
มาทำกาลกิริยาเสียแล้ว บัดนี้ใครเล่าจักชำระชฎาอัน
หม่นหมองเปื้อนฝุ่นละออง ใครเล่าจักจับกราดกวาด
อาศรมของเราทั้งสอง ใครเล่าจักจัดน้ำเย็นและนำร้อน
ให้อาบ ใครเล่าจักให้เราทั้งสองได้บริโภคมูลผลาหาร
ในป่า ลูกสามะนี้เป็นผู้ปฏิบัติบำรุงเราทั้งสองผู้ตามืด
มาทำกาลกิริยาเสียแล้ว.

[515] มารดาผู้ระทมจิตด้วยความโศกถึงบุตร
ได้เห็นสามะผู้เป็นบุตรนอนเกลือกเปื้อนด้วยฝุ่นทราย
ได้กล่าวคำสัจว่า ลูกสามะนี้ได้เป็นผู้ประพฤติธรรม
เป็นปกติ ได้เป็นผู้ประพฤติดังพรหมเป็นปกติ ได้เป็น
ผู้กล่าวคำจริงมาแต่ก่อน ได้เป็นผู้เลี้ยงบิดามารดา ได้
เป็นผู้ประพฤติยำเกรงต่อท่านผู้เจริญในสกุล เป็นผู้
เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเราโดยความจริงใด ๆ ด้วยการ
กล่าวความจริงนั้น ๆ ขอพิษของลูกสามะจงหายไป
บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามะกระทำแล้วแก่เราและ
แก่บิดาของเธอ มีอยู่ ด้วยอานุภาพกุศลบุญนั้น ทั้งหมด
ขอพิษของลูกสามะจงหายไป.

[516] บิดาผู้ระทมจิตด้วยความโศกถึงบุตร ได้
เห็นสามะผู้เป็นบุตรนอนเกลือกเปื้อนด้วยฝุ่นทราย ได้

กล่าวคำสัจว่า ลูกสามะนี้ได้เป็นผู้ประพฤติธรรมเป็น
ปกติ ได้เป็นผู้ประพฤติดังพรหมเป็นปกติ ได้เป็นผู้
กล่าวคำจริงมาแต่ก่อน ได้เป็นผู้เลี้ยงบิดามารดา ได้
เป็นผู้ประพฤติยำเกรงต่อท่านผู้เจริญในสกุล เป็นผู้
เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา โดยความจริงใด ๆ ด้วย
การกล่าวความจริงนั้น ๆขอพิษของลูกสามะจงหายไป
บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามะกระทำแล้วแก่เราและ
แก่มารดาของเธอ มีอยู่ ด้วยอานุภาพกุศลบุญนั้น
ทั้งหมด ขอพิษของลูกสามะจงหายไป.

[517] นางพสุนธรีเทพธิดาอันตรธานไปจาก
ภูเขาคันธมาทน์ มากล่าวสัจจวาจาด้วยความเอ็นดูสาม
กุมารว่า เราอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ตลอดราตรีนาน
ใคร ๆ อื่นซึ่งเป็นที่รักของเรากว่าสามกุมาร ไม่มี
ของหอมล้วนแล้วด้วยไม้หอมทั้งหมด ณ คันธมาทน์
บรรพตมีอยู่ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจง
หายไป เมื่อฤๅษีทั้งสองบ่นเพ้อรำพันเป็นอันมากน่า-
สงสาร สามกุมารผู้หนุ่มงดงามน่าทัศนา ก็ลุกขึ้น
เร็วพลัน.

[518] ข้าเจ้ามีนามว่าสามะ ขอความเจริญจง
มีแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าลุกขึ้นได้แล้วโดยสวัสดี
ขอท่านทั้งหลายอย่าคร่ำครวญนักเลย จงพูดกะข้าพเจ้า
ด้วยเสียงอันไพเราะเถิด.

[519] ข้าแต่มหาบพิตร พระองค์เสด็จมาดี
แล้ว อนึ่ง พระองค์เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้ พระ-
องค์ผู้มีอิสระเสด็จมาถึงแล้ว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยู่
ในที่นี้ ข้าแต่มหาบพิตร เชิญเสวยผลมะพลับ ผล
มะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้
เล็กน้อย ขอได้โปรดเสือกเสวยผลพี่ดี ๆ เถิด ข้าแต่
มหาบพิตร ขอจงทรงดื่มนำซึ่งเป็นน้ำเย็น นำมาแต่
มิคสัมมตานที ซึ่งไหลมาจากซอกเขา ถ้าทรงพระ
ประสงค์.

[520] ข้าพเจ้าหลงเอามาก หลงเอาจริง ๆ
มืดไปทั่วทิศ ข้าพเจ้าได้เห็นสามบัณฑิตนั้น ทำกาล
กิริยาแล้ว ทำไมท่านเป็นได้อีกเล่าหนอ.

[521] ข้าแต่มหาราชเจ้า โลกย่อมสำคัญซึ่ง
บุคคลผู้ยังมีชีวิตอยู่ เสวยเวทนาอย่างหนัก มีความ
ดำริในใจเข้าไปใกล้แล้ว ยังเป็นอยู่แท้ ๆ ว่าตายแล้ว
ข้าแต่มหาราชเจ้า โลกย่อมสำคัญซึ่งบุคคลผู้ยังมีชีวิต
อยู่ เสวยเวทนาอย่างหนัก ถึงความดับสนิท ระงับ
แล้วนั้น ยังเป็นอยู่แท้ ๆ ว่าตายแล้ว.

[522] บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมแก้ไขคุ้มครองบุคคลผู้
เลี้ยงบิดามารดานั้น บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดย
ธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญ บุคคลผู้นั้น

ในโลกนี้ บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิง
อยู่ในสวรรค์.

[523] ข้าพเจ้านี้หลงเอามากจริง ๆ มืดไปทั่ว
ทิศ ท่านสามบัณฑิต ข้าพเจ้าขอถึงท่านเป็นสรณะ
และขอท่านจงเป็นสรณะของข้าพเจ้า.

[524] ข้าแต่ขัตติยมหาราช ขอพระองค์ทรง
ประพฤติธรรมในพระชนกพระชนนี ในพระโอรส
และพระมเหสี ในมิตรและอมาตย์ ในพาหนะและ
พลนิกาย ในชาวบ้านและชาวนิคม ในชาวแว่นแคว้น
และชาวชนบทในสมณะและพราหมณ์ ในฝูงมฤคและ
ฝูงปักษีเถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมนั้น ๆ
ในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์ ข้าแต่มหาราชเจ้า
ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรมเถิด ธรรมที่พระองค์
ทรงประพฤติแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ครั้นพระองค์
ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์
ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรมเถิด
พระอินทร์เทพเจ้าพร้อมทั้งพระพรหมถึงแล้วซึ่งทิพย-
สถานด้วยธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ข้าแต่พระราชา ขอ
พระองค์อย่าทรงประมาทธรรม.

จบสุวรรณสามชาดกที่ 3

อรรถกถามหานิบาต



สุวรรณสามชาดก


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภ
พระภิกษุรูปหนึ่งผู้เลี้ยงมารดา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โก นุ มํ อุสุนา
วิชฺฌิ
ดังนี้ เป็นต้น.
ดังได้สดับมา ในกรุงสาวัตถี มีกุลบุตรผู้หนึ่งเป็นบุตรคนเดียวของสกุล
เศรษฐีผู้หนึ่งซึ่งมีทรัพย์สมบัติสิบแปดโกฏิ กุลบุตรนั้นเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจ
ของบิดามารดา วันหนึ่ง เขาอยู่บนปราสาทเปิดสีหบัญชรแลดูในถนนใหญ่
เห็นมหาชนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร เพื่อต้อง
การสดับพระธรรมเทศนา จึงคิดว่า แม้ตัวเราก็จักไปกับพวกนั้นบ้าง จึงให้
คนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นไปสู่พระวิหาร ถวายผ้าเภสัชและน้ำดื่ม
เป็นต้นแด่พระสงฆ์ และบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยของหอมและดอกไม้
เป็นต้น ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาแล้วเห็น
โทษในกามทั้งหลาย กำหนดอานิสงส์แห่งบรรพชา ครั้นบริษัทลุกไปแล้ว จึง
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลขอบรรพชา ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสกะกุลบุตรนั้น อย่างนี้ว่า พระตถาคตทั้งหลายไม่ยังบุตรที่บิดามารดายังมิได้
อนุญาตให้บรรพชา กุลบุตรได้พึงรับสั่งดังนั้น จึงถวายบังคมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า กลับไปเคหสถาน ไหว้บิดามารดาด้วยความเคารพเป็นอันดีแล้วกล่าว
อย่างนี้ว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ข้าพเจ้าจักบวชในสำนักพระตถาคต ลำดับนั้น
บิดามารดาของกุลบุตรนั้นได้ฟังคำของเขาแล้ว ก็เป็นราวกะมีหัวใจแตกเป็น
เจ็ดเสี่ยง เพราะมีบุตรคนเดียว หวั่นไหวอยู่ด้วยความสิเนหาในบุตร ได้กล่าว