เมนู

4. กุณาลชาดก


ว่าด้วยนกดุเหว่า


[296] เล่ากันมาอย่างนี้ ได้ยินมาอย่างนี้ ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ได้ยินว่า ที่ภูเขาหิมพานต์ อันทรงไว้ซึ่งแผ่นดินที่มีโอสถทุกชนิด ดาดาษ
ไปด้วยดอกไม้และของหอมมากมายหลายพันธุ์ เป็นที่สัญจรไปมาแห่งช้าง โค
กระบือ กวางทอง จามรี เนื้อฟาน แรด ระมาด ราชสีห์ เสือโคร่ง
เสือเหลือง หมี หมาไน เสือดาว นาก ชะมด เสือปลา กระต่ายและวัว
กระทิง เป็นที่อยู่อาศัยแห่งหมู่ช้างใหญ่ ช้างตระกูลอันประเสริฐ เกลื่อนกล่น
อยู่ทั่วปริมณฑลอันราบเรียบ มีต่าง ลิง อีเห็น ละมั่ง เนื้อสมัน เนื้อฟาน
ม้าและลา กินนร ยักษ์และรากษสอยู่อาศัย ดาดาษไปด้วยหมู่ไม้นับไม่ถ้วน
ทรงไว้ซึ่งดอกตูมและก้าน มีดอกบานตลอดปลาย มีนกเขา นกโพระโดก
นกหัสดีลิงค์ นกยูง นกพิราบ นกพริก นกกระจาบ นกยาง นกแขกเต้า
และนกการเวกส่งเสียงร้องกึกก้องไพเราะ เป็นประเทศที่ประดับไปด้วยแร่ธาตุ
หลายร้อยชนิด เป็นต้นว่าอัญชัน มโนศิลา หรดาล มหาหิงค์ ทอง เงิน
และทองคำ เป็นไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์เห็นปานนี้ มีนกดุเหว่าชื่อกุณาละ
มีตัว ปีก และขนงดงามยิ่งนัก อาศัยอยู่ และนกดุเหว่าชื่อกุณาละนั้น มีนาง
นกดุเหว่าเป็นนางบำเรอ ประมาณ 3,500 ตัว นางนกดุเหว่าสองตัวเอาปาก
คาบท่อนไม้ให้นกดุเหว่าชื่อกุณาละนั้นจับตรงกลางแล้วพาบินไป ด้วยความ
ประสงค์ว่า นกดุเหว่ากุณาละนั้น อย่าได้มีความเหน็ดเหนื่อยในหนทางไกลเลย
นางนกดุเหว่า 500 ตัว บินไปเบื้องค่ำ ด้วยความประสงค์ว่า ถ้านกกุณาละ

นี้จะตกจากคอน พวกเราจะเอาปีกรับไว้ นางนกดุเหว่าอีก 500 ตัว บินไป
ข้างบนด้วยความประสงค์ว่า แดดอย่าได้ส่องถูกนกกุณาละเลย นางนกดุเหว่า
บินไปโดยช้างทั้งสองข้างละ 500 ตัว ด้วยความประสงค์ว่า ความหนาว
ความร้อน หญ้า ละออง ลม หรือน้ำค้าง อย่าได้ถูกนกกุณาละนี้เลย นาง
นกดุเหว่าอีก 500 ตัว บินไปข้างหน้าด้วยความประสงค์ว่า คนเลี้ยงโค คน
เลี้ยงปศุสัตว์ คนเกี่ยวหญ้า คนหาฟืน หรือคนทำการงานในป่าอย่าได้ขว้างปา
นกกุณาละนั้นด้วยท่อนไม้ กระเบื้อง ก้อนหิน ก้อนดิน กระบอง ศาสตรา
หรือก้อนกรวดเลย นกกุณาละนี้อย่าได้กระทบด้วยกอไม้ เครือเถา ต้นไม้
กิ่งไม้ เสา หิน หรือพวกนกที่มีกำลังกว่าเลย นางนกดุเหว่าอีก 500 ตัว
บินไปข้างหลังเจรจาด้วยถ้อยคำอันเกลี้ยงเกลา อ่อนหวาน ไพเราะจับใจ ด้วย
ความประสงค์ว่า นกกุณาละนี้ อย่าได้เงียบเหงาอยู่บนคอนนี้เลย นางนก
ดุเหว่าอีก 500 ตัว บินไปยังทิศานุทิศ นำผลไม้นานาชนิดจากต้นไม้ต่าง ๆ
มาให้ด้วยความประสงค์ว่า นกกุณาละนี้อย่าได้ลำบากเพราะความหิวเลย
ได้ยินว่า นางนกดุเหว่าเหล่านั้นพานกกุณาละนั้นจากป่านี้ไปสู่ป่าโน้น จาก
สวนนี้ไปสู่สวนโน้น จากท่าน้ำนี้ไปสู่ท่าน้ำโน้น จากยอดเขานี้ไปสู่ยอดเขาโน้น
จากสวนมะม่วงนี้ไปสู่สวนมะม่วงโน้น จากสวนชมพูนี้ไปสู่สวนชมพู่โน้น จาก
สวนขนุนสำมะลอนี้ไปสู่สวนขนุนสำมะลอโน้น จากสวนมะพร้าวนี้ไปสู่สวน
มะพร้าวโน้นโดยรวดเร็ว เพื่อต้องการให้ร่าเริง ยินดี นกกุณาละอันนางนก
ดุเหว่าเหล่านั้นบำเรออยู่ทุก ๆ วันอย่างนี้ ยังรุกรานอย่างนี้ว่า อีถ่อยฉิบหาย
อีถ่อยละลาย อีนางโจร อีนางนักเลง อีเผอเรอ อีใจง่าย อีไม่ระจักคุณคน
อีไปตามใจเหมือนลม.

[297] ดูก่อนท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า ณ ด้านทิศบุรพาแห่งขุนเขา
หิมพานต์ มีแม่น้ำอันไหลมาแต่ซอกเขาอันละเอียดสุขุม มีสีเขียว ณ ภูเขา
หิมพานต์อันเป็นประเทศที่น่ารื่นเริงบันเทิงใจด้วยกลิ่นหอม อันเกิดเดี๋ยวนั้น
จากดอกอุบล ดอกปทุม ดอกโกมุท ดอกบัวขม ดอกบัวผัน ดอกจงกลนี
และดอกบัวเผื่อน เป็นป่าทึบมากไปด้วยไม้ต่าง ๆ ชนิด คือไม้โกฏดำ ไม้จิก
ไม้เกด ไม้ย่างทราย ไม้อ้อยช้าง ต้นบุนนาค ต้นพิกุล ต้นหมากหอม ต้น
ประยงค์ ต้นขมิ้น ต้นสาละ ต้นสน ต้นจำปา ต้นอโศก ต้นกากะทิง
ต้นหงอนไก่ ต้นราชดัด ต้นโลดทะนง และต้นจันทน์ เป็นราวป่าที่สล้างไป
ด้วยต้นกฤษณาดำ ต้นปทุม ต้นประยงค์ ต้นเทพทาโรและต้นกล้วย ทรงไว้
ซึ่งต้นรกฟ้า ต้นมวกเหล็ก ต้นปรู ต้นซาก ต้นกรรณิการ์ ต้นชบา ต้น
ว่านหางช้าง ต้นทองหลาง ต้นทองกวาว ต้นคัดเค้า ต้นมะลิป่า ต้นแก้ว
ต้นซึกและต้นขานางอันงามยิ่งนัก และมีไม้ดอกสำหรับร้อยเป็นพวงมาลัย
ดาดาษไปด้วยดอกมะลิ ว่านเปราะหอม ต้นคนทา ต้นกำยาน ต้นแฝกหอม
ต้นกระเบาและไม้กอ เป็นประเทศอันประดับไปด้วยลดาวัลย์ ดาดาษยิ่งนัก
มีหมู่หงส์ นกนางนวล นกกาน้ำและนกเป็ดน้ำ ส่งเสียงร้องกึกก้อง เป็นที่
สถิตอยู่แห่งหมู่ฤๅษีสิทธิ์วิทยาธรสมณะและดาบส เป็นประเทศที่ท่องเที่ยวไป
แห่งหมู่มนุษย์ เทพยดา ยักษ์ รากษส ทานพ คนธรรพ์ กินนรและ
พญานาค เป็นไพรสณฑ์ที่น่ารื่นรมย์เห็นปานนี้ มีนกดุเหว่าขาวชื่อ ปุณณมุขะ
มีถ้อยคำอันไพเราะยิ่งนัก มีนัยน์ตาแดงดังนัยน์ตาคนเมาสอดส่ายไปมา อาศัย
อยู่ ได้ยินว่า พญานกปุณณมุขะนี้ มีนางนกดุเหว่าบำเรอ 350 ตัว เล่ากัน
มาว่า นางนกดุเหว่า 2 ตัว เอาปากดาบท่อนไม้ให้พญานกปุณณมุขะนั้น

จับตรงกลางพาบินไป ด้วยความประสงค์ว่า พญานกปุณณมุขะนั้นอย่าได้มี
ความเหน็ดเหนื่อยในหนทางไกลเลย นางนกดุเหว่า 50 ตัว บินไปเบื้องต่ำ
ด้วยความประสงค์ว่า ถ้าพญานกปุณณมุขะนี้จักพลาดจากคอน พวกเราจัก
เอาปีกทั้งสองรับไว้ นางนกดุเหว่าอีก 50 ตัว บินขึ้นไปข้างบนด้วยความ
ประสงค์ว่า แสงแดดอย่าได้แผดเผานกดุเหว่าชาวชื่อปุณณมุขะนั้นเลย นาง
นกดุเหว่าบินไปโดยข้างทั้งสองข้างละ 50 ตัว ด้วยความประสงค์ว่า ความหนาว
ความร้อน หญ้า ธุลีหรือน้ำค้าง อย่าได้ตกต้องนกดุเหว่าขาวชื่อปุณณมุขะ
นั้นเลย นางนกดุเหว่าอีก 50 ตัว บินขึ้นไปช้างหน้าด้วยความประสงค์ว่า
คนเลี้ยงโค คนเลี้ยงปศุสัตว์ คนเกี่ยวหญ้า คนหาฟืน หรือคนทำงานในป่า
อย่าได้ขว้างปานกดุเหว่าขาวชื่อปุณณมุขะนั้นด้วยท่อนไม้ กระเบื้อง ก้อนหิน
ก้อนดิน ไม้ค้อน ศาสตรา หรือก้อนกรวดเลย และนกดุเหว่าขาวชื่อปุณณมุขะ
นี้ อย่าได้กระทบกับกอไม้ เถาวัลย์ ต้นไม้ กิ่งไม้ เสา หิน หรือกับนก
ที่มีกำลังมากกว่าเลย นางนกดุเหว่าอีก 50 ตัว บินไปข้างหลังเจรจาด้วยวาจา
อันเกลี้ยงเกลา อ่อนหวาน ไพเราะจับใจ ด้วยความประสงค์ว่า นกดุเหว่า
ขาวชื่อปุณณมุขะนี้อย่าเงียบเหงาบนคอนเลย นางนกดุเหว่าอีก 50 ตัว บินไป
ยังทิศานุทิศ นำเอาผลไม้นานาชนิดจากต้นไม้ต่าง ๆ มาให้ด้วยความประสงค์
ว่า นกดุเหว่าชื่อปุณณมุขะนี้ อย่าได้ลำบากเพราะความหิวเลย ได้ยินว่า
นางนกดุเหว่าเหล่านั้น พานกดุเหว่าชาวชื่อปุณณมุขะนั้น จากป่านี้ไปสู่ป่าโน้น
จากสวนนี้ไปสู่สวนโน้น จากท่าน้ำนี้ไปสู่ท่าน้ำโน้น จากยอดเขานี้ไปสู่ยอดเขา
โน้น จากสวนมะม่วงนี้ไปสู่สวนมะม่วงโน้น จากสวนชมพู่นี้ไปสู่สวนชมพู่โน้น
จากสวนขนุนสำมะลอนี้ไปสู่สวนขนุนสำมะลอโน้น จากสวนมะพร้าวนี้ไปสู่
สวนมะพร้าวโน้น โดยรวดเร็ว เพื่อต้องการให้ร่าเริง ได้ยินว่า นกดุเหว่า

ขาวชื่อปุณณมุขะ อันนางนกดุเหว่าเหล่านั้นบำเรออยู่ทุกวัน ๆ ย่อมสรรเสริญ
อย่างนี้ว่า ดีละ ๆ น้องหญิงทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายบำรุงบำเรอสามีอย่างนี้
สมควรแก่เธอทั้งหลายผู้เป็นกุลธิดา.
[298] ได้ยินว่า ในกาลต่อมา นกดุเหว่าขาวชื่อปุณณมุขะได้เข้า
ไปหาพญานกกุณาละถึงที่อยู่ พวกนางนกดุเหว่าบริจาริกาของพญานกกุณาละ
ได้เห็นพญานกปุณณมุขะนั้นกำลังบินมาแต่ไกล จึงพากันเข้าไปหา แล้วพูด
กะพญานกปุณณมุขะนั้นว่า ดูก่อนสหายปุณณมุขะ พญานกกุณาละนี้เป็น
นกหยาบช้า มีวาจาหยาบคายเหลือเกิน แม้ไฉน พวกเราจะพึงได้วาจาอัน
น่ารักเพราะอาศัยท่านบ้าง พญานกปุณณมุขะจึงตอบว่า บางทีจะได้กระมัง
น้องหญิงทั้งหลาย แล้วเข้าไปหาพญานกกุณาละกล่าวสัมโมทนียกถากับ
พญานกกุณาละแล้ว สถิตอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพญานก
ปุณณมุขะได้กล่าวกะพญานกกุณาละว่า ดูก่อนสหายกุณาละ เพราะเหตุไร
ท่านจึงปฏิบัติผิดต่อนางนกทั้งหลายที่มีชาติเสมอกัน เป็นลูกของผู้มีสกุล ซึ่ง
ปฏิบัติดีต่อท่านเล่า ดูก่อนสหายกุณาละ นางนกทั้งหลายถึงเขาจะพูดไม่ถูกใจ
เราก็ควรจะพูดให้ถูกใจ จะป่วยกล่าวไปไยถึงนางนกที่พูดถูกใจเล่า เมื่อพญา
นกปุณณมุขะกล่าวอย่างนี้แล้ว พญานกกุณาละได้รุกรานพญานกปุณณมุขะ
อย่างนี้ว่า แนะสหายลามกชั่วถ่อย เจ้าฉิบหาย เจ้าละลาย ใครจะเป็น
ผู้ฉลาดด้วยการชนะเมียยิ่งไปกว่าเจ้า ก็แหละพญานกปุณณมุขะถูกรุกรานอย่าง
นี้แล้ว ก็กลับไปเสียจากที่นั้น.
[299] ได้ยินว่า สมัยต่อมา โดยกาลล่วงไปไม่นานนัก อาพาธ
อันแรงกล้าเกิดขึ้นแก่พญานกปุณณมุขะ คือ ลงเป็นโลหิต เกิดเวทนากล้าแข็ง

จวนจะตาย ครั้งนั้น พวกนางนกดุเหว่า ที่เป็นบริจาริกาของพญานกปุณณมุขะ
เกิดความปริวิตกว่า พญานกปุณณมุขะนี้ อาพาธหนักนกแล ไฉนจะพึงหายจาก
อาพาธนี้หนอ นางนกดุเหว่าเหล่านั้น ละทิ้งพญานกปุณณมุขะไว้แต่ตัวเดียว
ไม่มีเพื่อนสอง พากันเข้าไปหาพญานกกุณาละ พญานกกุณาละได้เห็นนางนก
ดุเหว่าเหล่านั้นพากันมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้กล่าวกะนางนกดุเหว่านั้นว่า พวก
อีถ่อย ผัวของเจ้าไปไหนเสียเล่า นางนกดุเหว่าเหล่านั้นจึงตอบว่า ท่านสหาย
กุณาละ พญานกปุณณมุขะอาพาธหนักนักแล ไฉนจะพึงหายจากอาพาธหนักนั้น
เมื่อนางนกดุเหว่าเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว พญานกกุณาละได้รุกรานนางนก
ดุเหว่าเหล่านั้นอย่างนี้ว่า อีถ่อยฉิบหาย อีถ่อยละลาย อีนางโจร อีนางนักเลง
อีเผอเรอ อีใจง่าย อีไม่รู้จักคุณคน อีไปตามใจเหมือนลม ครั้นกล่าวรุกราน
แล้ว ได้เข้าไปหาพญานกปุณณมุขะ แล้วร้องเรียกว่า เฮ้ยสหายปุณณมุขะ
พญานกปุณณมุขะขานรับว่า อ้าสหายกุณาละ ได้ยินว่า พญานกกุณาละเข้าไป
ประคบประหงมพญานกปุณณมุขะด้วยปีกและจะงอยปาก พอให้ลุกขึ้นได้แล้ว
ให้ดื่มยาต่าง ๆ อาพาธของพญานกปุณณมุขะก็สงบระงับ.
[300] ได้ยินว่า พญานกกุณาละได้กล่าวกะพญานกปุณณมุขะที่หาย
จากไข้ยังไม่นานนักว่า ดูก่อนสหายปุณณมุขะ เราเห็นมาแล้ว นางกัณหา
สองพ่อ นางมีผัว 5 คน ยังมีจิตปฏิพัทธ์ในบุรุษคนที่ 6 ซึ่งเป็นคนเปลี้ย
เหมือนศพศีรษะขาด.
และในเรื่องนี้มีคำเป็นยาถาอีกส่วนหนึ่งว่า
ครั้งนั้น นางคนหนึ่งล่วงละเมิดสามี 5 คนคือ
พระเจ้าอัชชุนะ พระเจ้านกุละ พระเจ้าภีมเสน พระ-

เจ้ายุธิษฐิล และพระเจ้าสหเทพ แล้วได้กระทำลามก
กับบุรุษเปลี้ยแคระ.

ดูก่อนสหายปุณณมุขะ เราเห็นนาแล้ว นางสมณีชื่อปัญจตปาวี อยู่
ในท่ามกลางป่าช้า อดอาหาร 4 วันจึงบริโภคครั้งหนึ่ง ได้กระทำกรรมอัน
ลามกกับนักเลงสุรา ดูก่อนสหายปุณณมุขะ เราเห็นมาแล้ว นางเทวีนามว่า
กากวดี อยู่ในท่ามกลางสมุทร เป็นภรรยาของพญาครุฑชื่อว่าท้าวเวนไตย
ได้กระทำกรรมอันลามกกับกุเวรผู้เจนจบในการฟ้อน ดูก่อนสหายปุณณมุขะ
เราเห็นมาแล้ว นางขนงามนามว่า กรุงคเทวี รักใคร่ได้เสียกับเอฬกกุมาร
ได้กระทำกรรมอันลามกกับธนันเตวาสีผู้เป็นคนใช้ของฉฬังคกุมาร เป็นความ
จริง เราได้รู้มาอย่างนี้แล พระมารดาของพระเจ้าพรหมทัต ทรงทอดทิ้ง
พระเจ้าโกศลราช ได้ทรงกระทำกรรมอันลามกกับพราหมณ์ชื่อปัญจาลจัณฑะ
หญิง 5 คนนี้ก็ดี หญิงอื่นก็ดี ได้กระทำมาแล้ว
ซึ่งกรรมอันลามก เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่วิสาสะ
ไม่สรรเสริญหญิงทั้งหลาย มหาปฐพีอันทรงไว้ซึ่ง
สรรพสัตว์ ยินดีเสมอกัน เป็นที่รับรองสิ่งดีและ
สิ่งชั่ว ทนทานได้หมด ไม่ดิ้นรน ไม่หวั่นไหว ฉันใด
หญิงทั้งหลายก็เหมือนกัน นรชนจึงไม่ควรวิสาสะกับ
หญิงเหล่านี้ ราชสีห์ซึ่งเป็นสัตว์ดุร้าย กินเนื้อและ
เลือดเป็นอาหาร มีอาวุธ 5 อย่าง เป็นสัตว์หยาบช้า
ยินดีในการเบียดเบียนสัตว์อื่น ข่มขี่สัตว์ทั้งหลายกิน

ฉันใด หญิงทั้งหลายก็ฉันนั้น นรชนจึงไม่ควรวิสาสะ
กับหญิงเหล่านั้น.

ดูก่อนปุณณมุขะ ได้ยินว่า หญิงทั้งหลายไม่ใช่แพศยา ไม่ใช่นางงาม
ไม่ใช่หญิงสัญจร ชื่อทั้ง 3 นี้ ไม่ใช่ชื่อโดยกำเนิด หญิงเหล่านี้คือ แพศยา
นางงาม หญิงสัญจร เป็นชื่อผู้ฆ่า หญิงทั้งหลายมุ่นมวยผมเหมือนพวก
โจรประทุษร้ายให้เป็นพิษเหมือนสุราเจือยาพิษ พูดโอ้อวดเหมือนคนขายของ
ตลบตะแลง พลิกแพลงเหมือนเขาเนื้อ สองลิ้นเหมือนงู ปกปิดเหมือนหลุมคูถ
ที่ปิดด้วยกระดาน ให้เต็มได้ยากเหมือนไฟ ให้ยินดีได้ยากเหมือนรากษส นำไป
โดยส่วนเดียวเหมือนพญายม กินทุกอย่างเหมือนไฟ พัดพาไปทุกอย่างเหมือน
แม่น้ำ ประพฤติตามปรารถนาเหมือนลม ไม่ทำอะไรให้วิเศษเหมือนเขาเมรุมาศ
ผลิตผลเป็นนิตย์เหมือนต้นไม้มีพิษ.
และในเรื่องนี้มีคำกล่าวเป็นคาถาไว้อีกส่วนหนึ่งว่า
หญิงทั้งหลายมุ่นมวยผมเหมือนโจร ประทุษร้าย
เหมือนสุราเจือยาพิษ พูดโอ้อวดเหมือนคนขายของ
ตะแลงพลิกแพลงเหมือนเขาเนื้อ สองลิ้นเหมือน
งู ปกปิดเหมือนหลุมคูถที่ปิดด้วยกระดาน ให้เต็ม
ได้ยากเหมือนไฟ ให้ยินดีได้ยากเหมือนรากษส นำไป
ส่วนเดียวเหมือนพญายม กินทุกอย่างเหมือนไฟ พัด
พาไปทุกอย่างเหมือนแม่น้ำ ประพฤติตามปรารถนา
เหมือนลม ไม่ทำอะไรให้วิเศษเหมือนเขาเมรุมาศ

ผลิตผลเป็นนิตย์เหมือนต้นไม้มีพิษ หญิงทั้งหลายเป็น
ผู้กำรัตนะไว้ในมือจนนับไม่ถ้วน ทำโภคสมบัติใน
เรือนให้พินาศ.

[301] ดูก่อนปุณณมุขะ ทรัพย์ 4 อย่างนี้ คือ โคผู้ โคนม ยาน
ภรรยา ไม่ควรให้อยู่ในสกุลอื่น บัณฑิตไม่พึงรักษาทรัพย์ 4 อย่างนี้ให้อยู่
พรากจากเรือน.
คนฉลาดย่อมไม่ฝากทรัพย์ 4 อย่างนี้ คือ โคผู้ 1
โคนม 1 ยานพาหนะ 1 ภรรยา 1 ไว้ในตระกูลญาติ
เพราะว่าคนที่ไม่มียานพาหนะ ย่อมใช้รถที่ฝากไว้
ย่อมฆ่าโคผู้เสีย เพราะใช้ลากเข็นเกินกำลัง ย่อมฆ่า
ลูกโคเพราะรีดนม ภรรยาย่อมประทุษร้ายในตระกูล
ญาติ.

[302] ดูก่อนสหายปุณณมุขะ สิ่งของ 6 อย่างนี้ เมือกิจธุระเกิดขึ้น
ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ คือ
ธนูไม่มีสาย 1 ภรรยาอยู่ในตระกูลญาติ 1
เรือที่ฝั่งโน้น 1 ยานพาหนะที่เพลาหัก 1 มิตรอยู่ไกล
1 สหายลามก 1 สิ่งของทั้ง 6 นี้ เมื่อกิจธุระเกิดขึ้น
ใช่ประโยชน์ไม่ได้.

[303] ดูก่อนสหายปุณณมุขะ หญิงย่อมดูหมิ่นสามีเพราะเหตุ 8
ประการ คือ เพราะสามีเป็นคนจน 1 เพราะสามีเจ็บกระเสาะกระแสะ 1
เพราะสามีเป็นคนแก่ 1 เพราะสามีเป็นนักเลงสุรา 1 เพราะสามีเป็นคนโง่ 1

เพราะสามีเป็นคนมัวเมา 1 เพราะคล้อยตามในกิจทุกอย่าง 1 เพราะไม่ก่อ
ให้ทรัพย์ทุกอย่างเกิดขึ้น 1 ดูก่อนสหายปุณณมุขะ ได้ยินว่า หญิงย่อมดูหมิ่น
สามีด้วยเหตุ 8 ประการนี้.
และในเรื่องนี้มีถ้อยคำเป็นคาถาอีกส่วนหนึ่งว่า
หญิงย่อมดูหมิ่นสามีด้วยเหตุ 8 ประการ คือ
ความจน 1 เจ็บกระเสาะกระแสะ 1 เป็นคนแก่ 1
เป็นนักเลงสุรา 1 เป็นคนโง่ 1 เป็นคนมัวเมา 1
คล้อยตามในกิจทุกอย่าง ไม่ก่อสิ่งปรารถนาทุกอย่าง
ให้เกิดขึ้น 1.

[304] ดูก่อนสหายปุณณมุขะ หญิงย่อมนำความประทุษร้ายมาให้
สามี ด้วยเหตุ 9 ประการ คือ หญิงเป็นคนมักไปป่า 1 มักไปสวน 1 มักไป
ท่าน้ำ 1 มักไปหาตระกูลญาติ 1 มักไปหาตระกูลอื่น 1 มักชอบใช้กระจกและ
ชอบประดับด้วยผ้า 1 มักดื่มน้ำเมา 1 มักเยี่ยมมองหน้าต่าง 1 มักยืนแอบ
ประตู 1 ดูก่อนสหายปุณณมุขะ ได้ยินว่า หญิงย่อมนำความประทุษร้ายมาให้
สามีเพราะเหตุ 9 ประการนี้แล.
และในเรื่องนี้มีถ้อยคำกล่าวเป็นคาถาไว้อีกส่วนหนึ่งว่า
หญิงย่อมนำความประทุษร้ายมาให้สามีด้วยเหตุ
9 ประการนี้ คือ มักไปป่า 1 มักไปสวน 1 มักไป
ท่าน้ำ 1 มักไปหาตระกูลญาติ 1 มักไปหาตระกูลอื่น 1
มักชอบใช้กระจกและชอบประดับด้วยผ้า 1 มักดื่ม
น้ำเมา 1 มักเยี่ยมมองหน้าต่าง 1 มักยืนแอบประตู 1.

[305] ดูก่อนสหายปุณณมุขะ หญิงย่อมยั่วยวนชายด้วยเหตุ 40
ประการ คือ ดัดกาย ก้มตัว กรีดกราย ทำอาย แกะเล็บ เอาเท้า
เหยียบกัน เอาไม้ขีดแผ่นดิน ทำกระโดดเอง ให้เด็กกระโดด เล่นเอง ให้
เด็กเล่น จุมพิตเด็ก ให้เด็กจุมพิต กินเอง ให้เด็กกิน ให้ของแก่เด็ก
ขอของจากเด็ก ทำตามที่เด็กกระทำ พูดเสียงสูง พูดเสียงต่ำ พูดเปิดเผย
พูดกระซิบ ทำซิกซี้ด้วยการฟ้อน การขับ การประโคม ร้องไห้ กรีดกราย
ด้วยการแต่งกาย ทำปิ่ง ยักเอว ส่ายผ้าที่ปิดของลับ เลิกขา ปิดขา ให้เห็นนม
ให้เห็นรักแร้ ให้เห็นท้องน้อย หลิ่วตา เลิกคิ้ว เม้มปาก แลบลิ้น ขยายผ้า
กลับนุ่งผ้า สยายผม มุ่นผม ดูก่อนสหายปุณณมุขะ ได้ยินว่า หญิงย่อม
ยั่วยวนชายด้วยเหตุ 40 ประการนี้แล.
[306] ดูก่อนสหายปุณณมุขะ พึงทราบเถิดว่า หญิงเป็นคนประทุษ-
ร้ายสามีด้วยเหตุ 25 ประการ คือ ย่อมพรรณนาการไปแรมคืนของสามี
ย่อมไม่ระลึกถึงสามีที่ไปแรมคืน ย่อมไม่ยินดีกะสามีที่มาแล้ว ย่อมกล่าวโทษ
สามี ไม่กล่าวคุณแห่งสามี ย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สามี ย่อม
ไม่ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สามี ย่อมการทำกิจที่ไม่สมควรแก่สามี ย่อม
ไม่กระทำกิจที่สมควรแก่สามี ย่อมคลุมหัวนอน นอนเบือนหน้าไปทางอื่น
ย่อมนอนพลิกกลับไปมา ย่อมทำวุ่นวายนอนถอนหายใจยาว ย่อมทำระทม
ทุกข์ ย่อมไปอุจจาระปัสสาวะบ่อย ๆ ย่อมประพฤติตรงกันข้าม ได้ยินเสียง
ชายอื่นย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมล้างผลาญทรัพย์สมบัติ ย่อมทอดสนิทชิดชอบกับชาย
ผู้คุ้นเคย ย่อมออกนอกบ้านเสมอ ประพฤติผิดจากความดี ย่อมประพฤติ
นอกใจไม่เคารพในสามี มีใจประทุษร้าย ย่อมยืนอยู่ที่ประตูเนือง ๆ ย่อมทำ

ให้เห็นรักแร้ นม ย่อมไปเพ่งดูทิศต่าง ๆ ดูก่อนสหายปุณณมุขะ พึงทราบ
เถิดว่า หญิงเป็นคนประทุษร้ายสามีด้วยเหตุ 25 ประการนี้แล.
และในเรื่องนี้มีคำกล่าวเป็นคาถาอีกส่วนหนึ่งว่า
หญิงย่อมพรรณนาการไปแรมทางไกลของสามี
ย่อมไม่เศร้าโศกถึงการไปของสามี ครั้นเห็นสามีกลับ
มาก็ไม่แสดงความยินดี ย่อมไม่กล่าวคุณแห่งสามีใน
กาลไหน ๆ อาการเหล่านี้เป็นลักษณะของหญิงผู้
ประทุษร้าย หญิงผู้ไม่สำรวม ย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่
เป็นประโยชน์แก่สามี ย่อมทำประโยชน์ของสามีไม่
เสื่อม ย่อมกระทำกิจที่ไม่สมควรแก่สามี ย่อมคลุม
หัวนอน นอนเปื้อนหน้าไปทางอื่น อาการเหล่านี้เป็น
ลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้าย หญิงย่อมนอนพลิก
กลับไปมา ย่อมทำวุ่นวาย นอนถอนหายใจยาว ย่อม
ทำระทมทุกข์ ย่อมไปอุจจารปัสสาวะบ่อย ๆ อาการ
เหล่านี้เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้าย หญิงย่อม
ประพฤติตรงกันข้าม ไม่กระทำกิจที่สมควรแก่สามี
ย่อมเงี่ยหูฟังเมื่อชายอื่นพูด ล้างผลาญโภคสมบัติ
กระทำความสนิทสนมชมชอบกับชายอื่น อาหารเหล่า
นี้เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้าย หญิงย่อมทำ
ทรัพย์สมบัติที่สามีได้มาโดยความลำบาก หามาได้โดย
ฝืดเคือง เก็บสะสมไว้ได้ด้วยความยากแค้นให้พินาศ
อนึ่ง ย่อมกระทำความสนิทสนมชมชอบกับชายที่

คุ้นเคยกัน อาการเหล่านี้เป็นลักษณะของหญิงผู้
ประทุษร้าย หญิงออกนอกบ้านเสมอ ประพฤติผิด
จากความดี มีใจคิดประทุษร้ายในสามีอยู่เป็นนิตย์
เป็นผู้ประพฤตินอกใจ ปราศจากความเคารพ อาการ
เหล่านี้เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้าย หญิงย่อม
ยินอยู่ที่ใกล้ประตูเนือง ๆ แสดงนมบ้าง รักแร้บ้าง
ให้เห็น มีจิตวอกแวกเพ่งดูทิศต่าง ๆ อาการเหล่านี้
เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้าย แม่น้ำทั้งปวงมีทาง
คดเคี้ยว และป่าทั้งปวงรกเรี้ยวด้วยต้นไม้ ฉันใด
หญิงทั้งปวงเมื่อได้ช่อง (ที่ลับ ) พึงกระทำกรรมอัน
ลามก ฉันนั้น ถ้าว่าพึงได้โอกาส ที่ลับ หรือพึงได้
ช่องเช่นนั้น หญิงทั้งปวงพึงกระทำกรรมอันลามก
เป็นแน่ ไม่ได้ชายที่สมบูรณ์อื่น ก็ยอมทำกับคนเปลี้ย
ในพวกนารีที่หลายใจ เป็นผู้กระทำความยั่วยวนแก่
ชายทั้งหลาย ไม่มีใครข่มขี่ได้ ถ้านารีเหล่าใดแม้จะ
ทำให้พอใจโดยประการทั้งปวง ก็ไม่ควรวางใจในนารี
เหล่านั้น เพราะว่า นารีเหล่านั้นเสมอด้วยท่าน้ำ.

[307] บัณฑิตได้เห็นเรื่องอย่างไร ของพระเจ้า
กินนรและพระนางกินรีเทวี แล้วพึงรู้เถิดว่า หญิง
ทั้งปวงย่อมไม่ยินดีในเรือนของตน พระนางกินรีเทวี
ทรงเห็นบุรุษอื่นแม้จะเป็นคนง่อยเปลี้ย ยังละทิ้ง
พระราชสวามีเช่นพระเจ้ากินนร ไปทำกรรมอันลามก
กับบุรุษเปลี้ยนั้นได้.

[308] พระเจ้าพกะและพระเจ้าพาวรีย์ ทรง
หมกมุ่นอยู่ในกามเกินส่วน พระมเหสียังประพฤติ
อนาจารกับคนใช้ใกล้ชิด ซ้ำตกอยู่ในอำนาจ พึงมี
หรือที่หญิงจะไม่ประพฤติล่วงชายอื่น นอกจากคนนั้น.

[309] พระนางปิงคิยานีพระมเหสีที่รักของ
พระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง ได้ประพฤติ
อนาจารกับคนเลี้ยงม้าผู้ใกล้ชิด และเป็นไปในอำนาจ
พระนางปิงคิยานีผู้ใคร่กามนั้น ไม่ได้ประสบความใคร่
ทั้งสองราย.

[310] บุรุษผู้ไม่ถูกผีสิง ไม่ควรเชื่อหญิง
ทั้งหลายผู้หยาบช้า ใจเบา อกตัญญู ประทุษร้ายมิตร
หญิงเหล่านั้นไม่รู้จักสิ่งที่กระทำแล้ว สิ่งที่ควรกระทำ
ไม่รู่จักมารดาบิดาหรือพี่น้อง ไม่มีล0ะอาย ล่วงเสีย
ซึ่งธรรม ย่อมเป็นไปตามอำนาจจิตของตน เมื่อมี
อันตราย และเมื่อกิจเกิดขึ้น ย่อมละทิ้งสามแม้จะอยู่
ด้วยกันมานาน เป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่อนุเคราะห์
แม่เสมอกับชีวิต เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่วิสาสะกับ
หญิงทั้งหลาย จริงอยู่ จิตของหญิงเหมือนจิตของวานร
ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนเงาไม้ หัวใจของหญิงไหวไป
ไหวมา เหมือนล้อรถที่กำลังหมุน เมื่อใด หญิงทั้งหลาย
ผู้มุ่งหวัง เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรจะถือเอาได้ เมื่อนั้น
ก็ใช้วาจาอ่อนหวานชักนำบุรุษไปได้ เหมือนชาว

กัมโพชลวงม้าด้วยสาหร่าย ฉะนั้น เมื่อใด หญิง
ทั้งหลายผู้มุ่งหวัง ไม่เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรถือเอา
ได้ เมื่อนั้น ย่อมละทิ้งบุรุษนั้นไปเหมือนคนข้ามฟาก
ถึงฝั่งโน้นแล้วละทิ้งแพไป ฉะนั้น หญิงทั้งหลาย
เปรียบด้วยเครื่องผูกรัด กินทุกอย่างเหมือนเปลวไฟ
มีมายากล้าแข็ง เหมือนแม่น้ำมีกระแสเชี่ยว ย่อมคบ
บุรุษได้ทั้งที่น่ารักทั้งที่ไม่น่ารัก เหมือนเรือจอดไม่
เลือกฝั่งนี้และฝั่งโน้น ฉะนั้น หญิงทั้งหลายไม่ใช่ของ
บุรุษคนเดียวหรือสองคน ย่อมรับรองทั่วไปเหมือน
ร้านตลาด ผู้ใดสำคัญมั่นหมายหญิงเหล่านั้นว่าของเรา
ก็เท่ากับดักลมด้วยตาข่าย แม่น้ำ หนทาง ร้านเหล้า
สภาและบ่อน้ำ ฉันใด หญิงในโลกก็ฉันนั้น เขตแดน
ของหญิงเหล่านั้น ไม่มี หญิงทั้งหลายเสมอด้วยไฟ
กินเปรียง เปรียบด้วยงูเห่า ย่อมเลือกคบแต่บุรุษที่มี
ทรัพย์ เหมือนโคเลือกกินหญ้าที่ดี ๆ ในภายนอก
ฉะนั้น ไฟกินเปรียง 1 ช้างสาร 1 งูเห่า 1 พระราชา
ผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว 1 หญิงทั้งปวง 1 สิ่งทั้ง 5 นี้
นรชนพึงคบด้วยความระวังเป็นนิตย์ เพราะสิ่งทั้ง 5 นี้
มีความแน่นอนที่รู้ได้ยากแท้ หญิงที่งามเกินไป 1
หญิงที่คนหมู่มากรักใคร่ 1 หญิงที่เหมือนมือขวา 1
หญิงที่เป็นภรรยาคนอื่น 1 หญิงที่คบหาด้วยเพราะเหตุ
แห่งทรัพย์ 1 หญิง จำพวกนี้ ไม่ควรคบ.

[311] ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พญาแร้งชื่ออานนท์ รู้แจ้งซึ่งคาถา
ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดของพญานกกุณาละแล้ว ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้
ในเวลานั้นว่า
ถ้าบุรุษจะพึงให้แผ่นดินอันเต็มด้วยทรัพย์นี้ แก่
หญิงที่ตนนับถือไซร้ หญิงนั้นได้โอกาส ก็จะพึงดู-
หมิ่นบุรุษนั้น เราจึงไม่ยอมตกอยู่ในอำนาจของพวก
หญิงเผอเรอ เมื่อมีอันตรายและเมื่อกิจธุระเกิดขึ้น
หญิงย่อมละทิ้งผัวหนุ่มผู่หมั่นขยัน มีความประพฤติ
ไม่เหลาะแหละ เป็นที่รักเป็นที่พอใจ เพราะฉะนั้น
เราจึงไม่วิสาสะกับหญิงทั้งหลาย บุรุษไม่ควรวางใจว่า
หญิงคนนี้ปรารถนาเรา ไม่ควรวางใจว่า หญิงคนนี้
ร้องไห้กระซิกกระซี้เรา เพราะว่า หญิงทั้งหลาย
ย่อมคบได้ทั้งบุรุษที่น่ารักทั้งบุรุษที่ไม่น่ารัก เหมือน
เรือจอดได้ทั้งฝั่งโน้นฝั่งนี้ฉะนั้น ไม่ควรวิสาสะกะ
ใบไม้ลาดที่เก่า ไม่ควรวิสาสะกะมิตรเก่าที่เป็นโจร
ไม่ควรวิสาสะกะพระราชาว่าเป็นเพื่อนของเรา ไม่ควร
วิสาสะกะหญิงแม่จะมีลูก 10 คนแล้ว ไม่ควรวิสาสะ
ในหญิงที่กระทำความยินดีให้ เป็นผู้ล่วงศีล ไม่สำรวม
ถึงแม้ภรรยาจะพึงเป็นผู้มีความรักแน่นแฟ้น ก็ไม่ควร
วางใจ เพราะว่าหญิงทั้งหลายเสมอกับท่าน้ำ หญิง
ทั้งหลายพึงฆ่าชายก็ได้ พึงตัดเองก็ได้ พึงใช้ให้ผู้อื่น

ตัดก็ได้ พึงตัดคอแล้วดื่มเลือดกินก็ได้ อย่าพึงกระทำ
ความสิเนหาในหญิงผู้มีความรักใคร่อันเลวทราม ผู้ไม่
สำรวม ผู้เปรียบเทียบด้วยท่าน้ำ คำเท็จของหญิง
เหมือนคำจริง คำจริงของหญิงเหมือนคำเท็จ หญิง
ทั้งหลายย่อมเลือกคบแต่ชายที่มีทรัพย์ ดังโคเลือกกิน
หญ้าที่ดี ๆ ในภายนอก หญิงทั้งหลายย่อมประเล้า
ประโลมชายด้วยการเดิน การจ้องดู ยิ้มแย้ม นุ่งผ้า
หลุด ๆ ลุ่ย ๆ และพูดไพเราะ หญิงทั้งหลายเป็นโจร
หัวใจแข็ง ดุร้าย เป็นน้ำตาลกรวด ย่อมไม่รู้อะไร ๆ
ว่า เป็นเครื่องล่อลวงในมนุษย์ ธรรมดาหญิงในโลก
เป็นคนลามก ไม่มีเขตแดน กำหนัดนักทุกเมื่อและ
คะนอง กินไม่เลือก เหมือนเปลวไฟไหม้เชื้อทุกอย่าง
บุรุษชื่อว่าเป็นที่รักของหญิงไม่มี ไม่เป็นที่รักก็ไม่มี
เพราะหญิงทั้งหลาย ย่อมคบบุรุษได้ทั้งที่รักทั้งที่ไม่รัก
เหมือนเรือจอดได้ทั้งฝั่งนี้และฝั่งโน้น บุรุษชื่อว่าเป็น
ที่รักของหญิงไม่มี ไม่เป็นที่รักก็ไม่มี หญิงย่อมผูก
พันชายเพราะต้องการทรัพย์ เหมือนเถาวัลย์พันไม้
หญิงทั้งหลายย่อมติดตามชายที่มีทรัพย์ ถึงจะเป็นคน
เลี้ยงช้าง เลี้ยงม้า เลี้ยงโค คนจัณฑาล สัปเหร่อ
คนเทหยากเยื่อก็ช่าง หญิงทั้งหลาย ย่อมละทิ้งชายผู้
มีตระกูลแต่ไม่มีอะไร เหมือนซากศพ แต่ติดตาม
ชายเช่นนั้นได้เพราะเหตุแห่งทรัพย์.

[312] ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พราหมณ์ผู้ประเสริฐชื่อนารทะรู้ชัด
ซึ่งคาถาทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดของพญาแร้งอานนท์แล้ว ได้กล่าวคาถา
เหล่านั้นในเวลานั้นว่า
ดูก่อนพญานก ท่านทั้งหลายจงพึงข้าพเจ้ากล่าว
มหาสมุทร 1 พราหมณ์ 1 พระราชา 1 หญิง 1 สี่-
อย่างนี้ย่อมไม่เต็ม แม่น้ำสายใดสายหนึ่งอาศัยแผ่นดิน
ไหลไปสู่มหาสมุทร แม่น้ำเหล่านั้นก็ยังมหาสมุทรให้
เต็มไม่ได้ เพราะฉะนั้น มหาสมุทรชื่อว่าไม่เต็ม เพราะ
ยังพร่อง ส่วนพราหมณ์เรียนเวทอันมีการบอกเป็นที่
ห้าได้แล้ว ยังปรารถนาการเรียนเวทอันไปอีก เพราะ
ฉะนั้น พราหมณ์จึงชื่อว่าไม่เต็ม เพราะยังพร่อง
พระราชาทรงชนะแผ่นดินทั้งหมด อันบริบูรณ์ด้วย
รัตนะนับไม่ถ้วน พร้อมทั้งมหาสมุทรและภูเขา ครอบ-
ครองอยู่ ก็ยังปรารถนามหาสมุทรฝั่งโน้นอีก เพราะ
ฉะนั้น พระราชาจึงชื่อว่าไม่เต็ม เพราะยังพร่อง หญิง
คนหนึ่ง ๆ มีสามีคนละ 8 คน สามีล้วนเป็นคนแกล้ว
กล้า มีกำลังสามารถนำมาซึ่งกามรสทุกอย่าง หญิงยัง
กระทำความพอใจในชายคนที่ 9 อีก เพราะฉะนั้น
หญิงจึงชื่อว่าไม่เต็ม เพราะยังพร่อง หญิงทุกคนกิน
ทุกอย่างเหมือนเปลวไฟ พาไปได้ทุกอย่างเหมือนแม่-
น้ำ เหมือนกิ่งไม้มีหนาม ย่อมละชายไปเพราะเหตุ

แห่งทรัพย์ ชายใดพึงวางความรักทั้งหมดในหญิง
ชายนั้นเหมือนดักลมด้วยตาข่าย เหมือนตักน้ำใส่
มหาสมุทรด้วยมือข้างเดียว จะพึงได้ยินแต่เสียงมือ
ของตน ภาวะของหญิงที่เป็นโจร รู้มาก หาความจริง
ได้ยาก เป็นอาการที่ใคร ๆ รู้ได้ยาก เหมือนรอยทาง
ปลาในน้ำฉะนั้น หญิงไม่มีความพอ อ่อนโยน พูด
ไพเราะ ให้เต็มได้ยากเสมอแม่น้ำ ทำให้ล่มจม บุคคล
รู้ดังนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล หญิงเป็นเหมือน
น้ำวน มีมายามาก ทำพรหมจรรย์ให้กำเริบ ทำให้
ล่มจม บุคคลรู้ดังนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล เมื่อ
หญิงคบบุรุษใด เพราะความพอใจ หรือเพราะเหตุแห่ง
ทรัพย์ ย่อมเผาบุรุษนั้นโดยพลัน เหมือนไฟป่าเผา
สถานที่เกิดของตนฉะนั้น.

[313] ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พญานกกุณาละ รู้แจ้งแล้วซึ่งเบื้องต้น
ท่ามกลางและที่สุดแห่งคาถาของนารทพราหมณ์ผู้ประเสริฐ จึงได้ภาษิตคาถา
เหล่านั้นในเวลานั้นว่า
บัณฑิตพึงเจรจากับบุรุษผู้ถือดาบอย่างคมกล้า
พึงเจรจากับปีศาจผู้ดุร้าย แม้จะพึงเข้าไปนั่งใกล้งูพิษ
ร้าย แต่ไม่ควรเจรจากับหญิงตัวต่อตัว เพราะว่าหญิง
เป็นผู้ย่ำยีจิตของโลก ถืออาวุธ คือ การฟ้อนรำ
ขับร้องและการเจรจา ย่อมเบียดเบียนบุรุษผู้ไม่ตั้งสติ

ไว้เหมือนหมู่รากษสที่เกาะเบียดเบียนพวกพ่อค้าฉะนั้น
หญิงไม่มีวินัย ไม่มีสังวร ยินดีในน้ำเมาและเนื้อสัตว์
ไม่สำรวม ผลาญทรัพย์ที่บุรุษหามาได้โดยยากให้ฉิบ-
หาย เหมือนปลาติมิงคละกลืนกินมังกรในทะเลฉะนั้น
หญิงมีกามคุณ 5 อันน่ายินดีเป็นทำเลหากิน เป็นคน
หยิ่ง จิตไม่เที่ยงตรง ไม่สำรวม ย่อมเข้าไปหาชาย
ผู้ประมาทเหมือนแม่น้ำทั้งหลาย อันไหลไปสู่มหา-
สมุทรฉะนั้น หญิงได้ชื่อว่าฆ่าชายด้วยราคะและโทสะ
เข้าไปหาชายคนใด เพราะความพอใจ เพราะความ
กำหนัด หรือเพราะต้องการทรัพย์ ย่อมเผาชายเช่น
นั้นเสีย เช่นดังเปลวไฟ หญิงรู้ว่าชายมั่งคั่ง มีทรัพย์
มาก ย่อมเข้าไปหาชาย ยอมให้ทั้งทรัพย์และตนเอง
ย่อมเกาะชายที่มีจิตถูกราคะย่อมเหมือนเถาย่านทราย
เกาะไม้สาละในป่าฉะนั้น หญิงประดับร่างกายหน้าตา
ให้สวย เข้าไปหาชายด้วยความพอใจมีประการต่าง ๆ
ทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ใช้มารยาตั้งร้อย เหมือนดังคน
เล่นกลและอสุรินทรราหู หญิงประดับประดาด้วยทอง
แก้วมณีและมุกดาถึงจะมีคนสักการะและรักษาไว้ใน
ตระกูลสามี ก็ยังประพฤตินอกใจสามี ดังหญิงที่อยู่
ในทรวงอก ประพฤตินอกใจทานพฉะนั้น จริงอยู่
นรชนผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา แม้จะมีเดช มีมหาชน
สักการะบูชา ถ้าตกอยู่ในอำนาจของหญิงแล้ว ย่อม
ไม่รุ่งเรือง เหมือนพระจันทร์ถูกราหูจับฉะนั้น โจร

ผู้มีจิตโกรธ คิดประทุษร้าย พึงกระทำแก่โจรอื่นซึ่ง
เป็นข้าศึกที่มาประจัญหน้า ส่วนผู้ตกอยู่ในอำนาจของ
หญิง ไม่มีอุเบกขา ย่อมเข้าถึงความพินาศยิ่งกว่านั้นอีก
หญิงถึงจะถูกชายฉุดกระชากลากผมและหยิกข่วนด้วย
เล็บ คุกคามทุบตีด้วยเท้า ด้วยมือและท่อนไม้ ก็กลับ
วิ่งเข้าหา เหมือนหมู่แมลงวันที่ซากศพฉะนั้น บุรุษ
ผู้มีจักษุคือปัญญา ปรารถนาความสุขแก่ตน พึงเว้น
หญิงเสียเหมือนกับบ่วงและข่ายที่ดักไว้ในสกุลในถนน
สายหนึ่ง ในราชธานี หรือในนิคม ผู้ใดสละเสียแล้ว
ซึ่งตบะคุณอันเป็นกุศล ประพฤติจริตอันมิใช่ของ
พระอริยะ ผู้นั้นต้องกลับจากเทวโลกไปคลุกเคล้าอยู่
กับนรก เหมือนพ่อค้าซื้อหม้อแตกฉะนั้น บุรุษผู้ตก
อยู่ในอำนาจของหญิง ย่อมถูกติเตียนทั้งในโลกนี้และ
โลกหน้า กรรมของตนกระทบแล้ว เป็นคนโง่เขลา
ย่อมไปพลั้ง ๆ พลาด ๆ โดยไม่แน่นอน เหมือนรถที่
เทียมด้วยลาออกถึงย่อมไปผิดทางฉะนั้น ผู้ตกอยู่ในอำนาจ
ของหญิง ย่อมเข้าถึงนรกเป็นที่เผาสัตว์ให้รุ่มร้อนและ
นรกอันมีป่าไม่งิ้ว มีหนามแหลมดังหอกเหล็ก แล้ว
มาในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ย่อมไม่พ้นจากวิสัยเปรต
และอสุรกาย หญิงย่อมทำลายความเล่นหัว ความยินดี
ความเพลิดเพลินอันเป็นทิพย์ และจักรพรรดิสมบัติ
ในมนุษย์ของชายผู้ประมาทให้พินาศ และยังทำชาย

นั้นให้ถึงทุคติอีกด้วย ชายเหล่าใดไม่ต้องการหญิง
ประพฤติพรหมจรรย์ ชายเหล่านั้นพึงได้การเล่นหัว
ความยินดีอันเป็นทิพย์จักรพรรดิสมบัติในมนุษย์ และ
นางเทพอัปสรอันอยู่ในวิมานทอง โดยไม่ยากเลย ชาย
เหล่าใดไม่ต้องการหญิง ประพฤติพรหมจรรย์ ชาย
เหล่านั้นพึงได้คิดที่ก้าวล่วงเสียซึ่งกามธาตุ รูปธาตุ
สมภพ และคติที่เข้าถึงวิสัยความปราศจากราคะ โดย
ไม่ยากเลย ชายเหล่าใดไม่ต้องการหญิง ประพฤติ
พรหมจรรย์ ชายเหล่านั้นเป็นผู้ดับแล้ว สะอาด พึง
ได้นิพพานอันเกษม อันก้าวล่วงเสียซึ่งทุกข์ทั้งปวง
ล่วงส่วนไม่หวั่นไหว ไม่มีอะไรปรุงแต่ง โดยไม่ยาก
เลย.

[314] พญานกกุณาละในครั้งนั้นเป็นเรา พญา
นกดุเหว่าขาวเป็นพระอุทายี พญาแร้งเป็นพระอานนท์
นารทฤาษีเป็นพระสารีบุตร บริษัททั้งหลายเป็นพุทธ-
บริษัทเธอทั้งหลายจงทรงจำกุณาลชาดกไว้อย่างนี้แล.

จบกุณาลชาดกที่ 4

อรรถกถากุณาลชาดก


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ ริมสระชื่อกุณาละ ทรงพระปรารภ
ภิกษุ 500 รูป ซึ่งถูกความเบื่อหน่ายอยากจะสึกบีบคั้นแล้ว จึงตรัสพระธรรม
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอวมกฺขายติ ดังนี้.
ลำดับเรื่องในกุณาลชาดกนั้นดังนี้
ดังได้สดับมาว่า ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ กับเมืองโกลิยะทั้งสอง
เมืองนี้ มีแม่น้ำชื่อว่า โลหินี สายเดียวเท่านั้นไหลผ่านลงมา ชนชาวสากิยะ
และชนชาวโกลิยะจึงทำทำนบกั้นน้ำนั้นร่วมอันเดียวกันแล้วจึงตกกล้า. ครั้งหนึ่ง
ในต้นเดือน 7 ข้าวกล้าเฉาลง พวกกรรมกรของชนชาวนครทั้งสองนั้นจึง
ประชุมกัน บรรดากรรมกรทั้งสองเมืองนั้น พวกกรรมกรชาวเมืองโกลิยะ
กล่าวขึ้นก่อนว่า น้ำที่ปิดกั้นไว้นี้ ถ้าจะไขเข้านาทั้งสองฝ่าย ก็ไม่พอเลี้ยง
ต้นข้าวของพวกเราและพวกท่าน ก็ข้าวกล้าของพวกเราจักสำเร็จเพราะน้ำ
คราวเดียวเท่านั้น พวกท่านจงให้น้ำนี้แก่พวกเราเถิด แม้พวกกรรมกรชาว
เมืองกบิลพัสดุ์ก็พูดขึ้นว่า เมื่อพวกท่านได้ข้าวกล้าเอาบรรจุไว้ในฉางจนเต็ม
แล้วตั้งปิ่งอยู่ พวกเราไม่อาจที่จะถือเอากหาปณะทองคำ เงิน นิล มณี
สัมฤทธิ์ แบกกระเช้ากระสอบเป็นต้น เที่ยวไปขอซื้อตามประตูเรือนของท่านได้
แม้ข้าวกล้าของพวกเราก็จักสำเร็จได้เพราะน้ำคราวเดียวเท่านั้นเหมือนกัน ขอ
พวกท่านจงให้น้ำนี้แก่พวกเราเถิด ทั้งสองฝ่ายต่างก็ขึ้นเสียงเถียงกันว่า พวกเรา
จักไม่ให้ แม้พวกเราก็จักไม่ยอมให้เหมือนกัน ดังนี้ ครั้นพูดกันมากขึ้น ๆ
อย่างนี้ กรรมกรคนหนึ่งก็ลุกขึ้น ตีเอาคนหนึ่งเข้า แม้คนที่ถูกตีนั้น ก็ตีคน
อื่น ๆ ต่อไป ต่างฝ่ายต่างตีกันอย่างนี้ ก็เกิดทะเลาะกระทบชาติแห่งราชตระกูล