เมนู

อรรถกถาปัญญาสนิบาต


อรรถกถาอุมมาทันตีชาดก


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหารทรงพระปรารภ
อุกกัณฐิตภิกษุ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า นิเวสนํ กสฺส นุทํ สุนนฺท
ดังนี้เป็นต้น.
ได้ยินว่า วันหนึ่ง ภิกษุรูปนั้นเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ได้
มองเห็นหญิงคนหนึ่ง ซึ่งประดับตกแต่งร่างกาย มีรูปร่างงดงามอย่างยิ่ง เกิด
มีจิตปฏิพัทธ์ ไม่อาจจะกลับใจหักห้ามได้ มายังวิหาร จำเดิมแต่นั้น ก็เป็น
ผู้อ่อนแอเพราะโรค ดุจถูกลูกศรทิ่มแทงแล้ว มีส่วนเปรียบด้วยเนื้อที่วิ่งพล่าน
ไป ฝ่ายผอม ร่างกายมีเส้นเอ็นขึ้นสะพรั่ง กลายเป็นคนผอมเหลือง ไม่ยินดี
(ในพระศาสนา) เมื่อไม่ได้ความสบายใจ แม้ในอิริยาบถหนึ่ง จึงละเว้นวัตร
มีอาจริยวัตรและอุปัชฌายวัตรเป็นต้น อยู่ชนิดที่เว้นว่างจากการประกอบความ
เพียรในอุทเทส ปริปุจฉา และกัมมัฏฐาน. เธอถูกพวกเพื่อนภิกษุถามว่า
อาวุโส เมื่อก่อนท่านมีอินทรีย์เปล่งปลั่ง มีสีหน้าผ่องใส แต่เดี๋ยวนี้ หาได้เป็น
อย่างนั้นไม่ เพราะเหตุอะไรกันหนอ ? จึงตอบว่า อาวุโส ผมไม่ยินดียิ่ง
(ในพระศาสนา) เลย. ลำดับนั้น พวกเพื่อนภิกษุเหล่านั้น จึงกล่าวสอนเธอ
ว่า อาวุโสเอย ! ท่านจงยินดียิ่ง (ในพระศาสนา) เถิด ธรรมดาว่า การ
อุบัติเกิดแห่งพระพุทธเจ้า เป็นสภาวะที่ได้โดยยาก การได้ฟังพระสัทธรรม
และการได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่ได้โดยยากเหมือนกัน ท่านนั้นได้
อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อปรารถนาจะทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ได้ จึงละคนผู้
เป็นญาติมีน้ำตานองใบหน้าแล้ว บวชด้วยศรัทธา เพราะเหตุไร ท่านจึงตก

ไปสู่อำนาจแห่งกิเลสเล่า ขึ้นชื่อว่า กิเลสเหล่านั้น มีทั่วไปแก่คนพาลทุก
จำพวก ตั้งแต่สัตว์มีชีวิตไส้เดือนขึ้นไป มีอุปมาเหมือนผลไม้ กิเลสเหล่านั้น
เป็นที่ตั้งแห่งวัตถุกาม กามแม้เหล่านั้น มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความ
คับแค้นมาก โทษในกามเหล่านั้น มีประมาณยิ่ง กามทั้งหลาย เปรียบเหมือน
ร่างกระดูก กามทั้งหลายเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ กามทั้งหลายเปรียบเหมือนคบ
เพลิงหญ้า กามทั้งหลายเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง กามทั้งหลายเปรียบ
เหมือนความฝัน กามทั้งหลายเปรียบเหมือนของที่ยืมเขามา กามทั้งหลาย
เปรียบเหมือนผลของต้นไม้ที่มีพิษ กามทั้งหลาย เปรียบเหมือนหอกและหลาว
กามทั้งหลาย เปรียบเหมือนหัวงู ธรรมดาว่าท่านบวชแล้ว ในพระศาสนาเห็น
ปานนี้ ยังตกไปสู่อำนาจของเหล่ากิเลส ซึ่งเป็นเหตุกระทำความพินาศถึงอย่าง
นั้นได้ดังนี้ เมื่อไม่สามารถจะให้ภิกษุนั้นรับเอาถ้อยคำของตนได้ จึงพากันนำ
ไปเข้าเฝ้าพระศาสดายังธรรมสภา เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอพาภิกษุผู้ไม่มีความปรารถนาจะมา ทำไม ? จึงพากันกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทราบว่าภิกษุรูปนี้ เป็นผู้มีความเบื่อหน่าย เจ้าข้า. พระ
ศาสดาตรัสถามว่า ที่เล่ามาเป็นความจริงหรือ เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า เป็น
ความจริง พระเจ้าข้า ดังนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ โปราณกบัณฑิตทั้งหลาย
แม้ตามพร่ำสอน ซึ่งพระราชาผู้ครอบครองราชสมบัติอยู่ จนไม่ตกไปสู่อำนาจ
กิเลสที่เกิดขึ้น ห้ามจิตเสียได้ ไม่ยอมทำสิ่งที่ไม่สมควร ดังนี้แล้ว ทรงนำ
อดีตนิทานมาตรัสว่า
ในอดีตกาล ในแคว้นสีวี พระราชาทรงพระนามว่า สีวี ทรงครอบ
ครองราชสมบัติ ในอริฏฐบุรีนคร. พระโพธิสัตว์ บังเกิดในพระครรภ์พระ
อัครมเหสีของพระราชาพระองค์นั้นแล้ว. พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย พากัน
ขนานพระนามพระราชโอรสนั้นว่า สีวิกุมาร. แม้บุตรของท่านเสนาบดี ก็

คลอดแล้ว. พวกหมู่ญาติ พากันค้างชื่อเด็กนั้นว่า อภิปารกะ. เด็กทั้งสองคน
นั้น เป็นสหายกัน พอเจริญวัยที่อายุได้ 16 ปี ไปยังกรุงตักกศิลา พอเล่า
เรียนศิลปะจบแล้ว ก็พากันกลับมา. พระราชาได้ทรงพระราชทานพระราช-
สมบัติให้พระราชโอรสครอบครอง. แม้พระราชโอรสนั้น ก็ทรงแต่งตั้ง
อภิปารกะไว้ในตำแหน่งเสนาบดีแล้ว ทรงครอบครองราชสมบัติโดยธรรม.
ในพระนครนั้นนั่นเอง มีบุตรสาวของท่านติริฏิวัจฉเศรษฐี ผู้มีทรัพย์สมบัติ
ประมาณ 80 โกฏิ เธอมีรูปร่างสวยยิ่งนัก เลอเลิศด้วยความงาม ประกอบ
ด้วยลักษณะอันงดงาม. ในวันตั้งชื่อ หมู่ญาติได้ตั้งชื่อเธอว่า อุมมาทันตี. ใน
เวลาเธอมีอายุได้ 16 ปี เธอมีผิวพรรณเกินล้ำหมู่มนุษย์ งดงาม น่าดูน่าชม
ปานเทพยดาชั้นฟ้า. พวกปุถุชนที่พบเห็นเธอเข้าทุกคน ๆ คน ไม่สามารถจะ
ดำรงอยู่ได้โดยภาวะของตน เป็นผู้เมาแล้ว ด้วยความเมาคือกิเลส เหมือนเมา
แล้วด้วยน้ำเมา ฉะนั้น ชื่อว่า สามารถจะตั้งสติได้ ไม้ได้มีแล้ว. ครั้งนั้น
ท่านติริฏิวัจฉะผู้เป็นบิดาของนาง เข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้สมมติเทพ อิตถีรัตนะอันสมควรแด่พระเจ้าแผ่นดิน ได้บังเกิดขึ้น
แล้วในเรือนของข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดส่งพราหมณ์ผู้ท่านายลักษณะ
ทั้งหลายไป ให้พิจารณาอิตถีรัตนะนั้นแล้ว โปรดจงทำคามความพอพระทัย
เถิด. พระราชา ทรงรับคำแล้วทรงสั่งพราหมณ์ทั้งหลายไปแล้ว. พราหมณ์
เหล่านั้นไปยังเรือนของท่านเศรษฐีแล้ว ได้รับการต้อนรับด้วยสักการะและ
สัมมานะ พากันบริโภคข้าวปายาสแล้ว.
ในขณะนั้น นางอุมมาทันตี ผู้ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการพร้อม
สรรพ ได้ไปสู่สำนักของพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว. พราหมณ์เหล่านั้น พอพบ
เห็นนางเข้าก็ไม่สามารถจะดำรงสติไว้ได้ เป็นผู้เมาด้วยความเมาคือกิเลส ไม่

ได้รู้เลยว่าตนกำลังบริโภคค้างอยู่. บางพวก ก็จับคำข้าวเอาวางไว้บนศีรษะ
ด้วยสำคัญว่าเราจะบริโภค. บางพวก ก็ยัดใส่ในระหว่างชอกรักแร้. บางพวก
ก็ทุบตีฝาเรือน. พวกพราหมณ์ได้กลายเป็นคนบ้าไปแม้ทั้งหมด. นางเห็น
พราหมณ์เหล่านั้นเข้า จึงกล่าวว่า ทราบว่าพราหมณ์เหล่านี้ จักตรวจดูลักษณะ
ของเรา ท่านทั้งหลาย จงลากคอพราหมณ์เหล่านั้นออกไปให้หมด ดังนี้แล้ว
ให้คนรับใช้นำพราหมณ์เหล่านั้นออกไป. พราหมณ์เหล่านั้น เป็นผู้ขวยเขิน
ไปยังพระราชนิเวศน์แล้ว โกรธต่อนางอุมมาทันตีจึงกราบทูลความเท็จว่า ขอ
เดชะ ผุ้หญิงคนนั้น เป็นหญิงกาลกรรณี มิได้สมควรแก่พระองค์เลยพระเจ้าข้า.
พระราชา ทรงทราบว่า หญิงคนนั้น เป็นกาลกรรณี จึงมิได้ทรงรับสั่งให้
นำหญิงนั้นมา. นางอุมมาทันตีได้ทราบเรื่องนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า พระราชาไม่
ทรงรับเราด้วยทรงสำคัญว่า ทราบว่าเราเป็นคนกาลกรรณี ขึ้นชื่อว่า หญิง
กาลกรรณี ย่อมไม่มีรูปร่างอย่างนี้เป็นแน่ ดังนี้ จึงผูกอาฆาตในพระราชา
พระองค์นั้นว่า ช่างเถอะ ก็ถ้าว่าเราจักได้เข้าเฝ้าพระราชา ก็จักรู้กัน. ครั้น
ต่อมา ท่านบิดา ได้มอบเธอให้แก่ท่านอภิปารกะ. นางได้เป็นที่รัก ที่ชอบ
ใจของท่านอภิปารกะเสนาบดี. ถามว่า ก็นางได้มีรูปร่างงดงามอย่างนี้ เพราะ
วิบากแห่งกรรมอะไร ? ตอบว่า ด้วยวิบากแห่งการถวายผ้าแดง.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี นางได้บังเกิดในตระกูลที่ขัดสน
ในวันมหรสพ เธอมองเห็นผู้หญิงทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยบุญ นุ่งผ้าที่ย้อมแล้ว
ด้วยดอกดำ ประดับประดาตกแต่งกำลังเล่นกันอยู่ เป็นเหตุให้เธอต้องการจะ
นุ่งผ้าเช่นนั้นเล่นกับเขาบ้าง จึงบอกให้มารดาบิดาได้ทราบ เมื่อท่านทั้ง 2
นั้นกล่าวว่า ลูกเอ๋ย ! พวกเราเป็นคนจนขัดสน พวกเราจะได้ผ้าอย่างนั้น
แต่ที่ไหนเล่า ดังนี้ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นท่านจงอนุญาตให้เรา ทำการรับ

จ้างในตระกูลมั่งคั่งแห่งหนึ่งเถิด พวกนายจ้างเหล่านั้น รู้คุณของเราแล้วก็คง
จักให้เอง ดังนี้ พอได้รับอนุญาตจากมารดาบิดาแล้ว จึงเข้าไปยิ่งตระกูลหนึ่ง
กล่าวว่า ดิฉันมาสมัครทำงานรับจ้าง เพื่อต้องการผ้าที่ย้อมด้วยดอกคำ.
ลำดับนั้น พวกนายจ้างกล่าวกะเธอว่า เมื่อเจ้าทำงานครบ 3 ปีแล้ว พวกเรา
รู้คุณความดีของเจ้าแล้วจักให้แน่. นางรับคำแล้วเริ่มทำงาน พวกนายจ้าง.
เหล่านั้น รู้คุณความดีของนางแล้ว ในเมื่อยังไม่ครบ 3 ปีบริบูรณ์ดีนั่นเอง
จึงได้มอบผ้าชนิดอื่นพร้อมกับผ้าที่ย้อมแล้วด้วยดอกดำชนิดเนื้อแน่น ให้แก่
นางแล้วสั่งนางว่า เธอจงไปอาบน้ำพร้อมกับพวกสหายของเธอเสร็จแล้ว จง
ลองนุ่งผ้า (นี้ดู). นางไปกับพวกหญิงสหายแล้ว วางผ้าที่ย้อมแล้วไว้บนฝั่ง
อาบน้ำแล้ว. ในขณะนั้น พระสาวกของพระทศพลทรงพระนามว่ากัสสปะ
รูปหนึ่ง มีจีวรถูกโจรชิงเอาไป นุ่งและห่มกิ่งไม้ที่หักได้ มาถึงยังที่นั้นแล้ว.
นางเห็นท่านแล้วคิดว่า ท่านผู้เจริญรูปนี้ เห็นที่จักถูกโจรชิงจีวรไปแล้ว ผ้า
นุ่งของเราเป็นของหาได้ยาก เพราะไม่ได้ให้ทานไว้แม้ในกาลก่อน จึงฉีกผ้า
นั้นออกเป็น 2 ส่วน คิดว่า จักถวายส่วนหนึ่งแด่พระผู้เป็นเจ้า ดังนี้ ขึ้น
จากน้ำแล้ว นุ่งผ้านุ่งสำหรับส่วนตัวแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าขา นิมนต์หยุดก่อน
เจ้าข้า จึงไปไหว้พระเถระแล้ว ฉีกผ้านั้นในท่ามกลาง ได้ถวายส่วนหนึ่งแก่
พระเถระนั้น. พระเถระนั้น ยืนอยู่ในที่กำบังส่วนหนึ่ง ทิ้งกิ่งไม้ที่หักได้เสีย
นุ่งผ้าผืนนั้นชายหนึ่ง ห่มชายหนึ่ง แล้วจึงออกไป. ลำดับนั้น เพราะรัศมี
แห่งผ้าอาบทั่วร่างพระเถระ ได้มีแสงรัศมีเป็นอันเดียวกัน ดุจดังพระอาทิตย์
ทอแสงอ่อน ๆ ฉะนั้น. นางมองดูพระเถรนั้นแล้ว คิดว่า ทีแรกพระผู้เป็น
เจ้าของเราไม่งามเลย บัดนี้งามรุ่งโรจน์ดุจพระอาทิตย์ทอแสงอ่อน ๆ ฉะนั้น
เราจักถวายแม้ผ้าท่อนนี้แก่พระผู้เป็นเจ้านี้แหละ. แล้วถวายผ้าส่วนที่สอง ได้
ตั้งความปรารถนาว่า ท่านผู้เจริญ ดิฉันเที่ยวไปในภพ พึงเป็นผู้ทรงไว้ซึ่ง

รูปอันงดงาม คนใดคนหนึ่ง พบเห็นดิฉันแล้ว อย่าได้อาจดำรงอยู่โดยภาวะ
ของตนเลย ผู้หญิงอื่น ที่ชื่อว่ามีรูปสวยงานเกินกว่าดิฉัน อย่าได้มีเลย แม้
พระเถระ กระทำอนุโมทนาแล้ว ก็หลีกไป. นางท่องเที่ยวไปในเทวโลก
บังเกิดในอริฏฐบุรีในกาลนั้นแล้ว ได้มีรูปร่างงดงาม เหมือนอย่างที่ได้ปรารถนา
ไว้แล้วนั้น.
ลำดับนั้น ในพระนครนั้น ประชาชนทั้งหลายได้โฆษณางานมหรสพ
ประจำเดือนกัตติกมาส (เดือน) ประชาชนทั้งหลายได้ตระเตรียมพระนครไว้
ในวันมหรสพ เพ็ญเดือนกัตติกมาสแล้ว. ท่านอภิปารกเสนาบดีเมื่อจะไปยัง
ที่รักษา (ที่ทำงาน) ของตน จึงเรียกภริยาสุดที่รักนั้นมาแล้วพูดว่า อุมมา-
ทันตี น้องรัก ! วันนี้ เวลาค่ำคืนแห่งกัตติกมาส จะมีมหรสพ พระราชา
จักทรงทำประทักษิณพระนคร เสด็จผ่านประตูเรือนของเรานี้เป็นเรือนแรก น้อง
อย่าปรากฏตัวให้พระราชาทรงเห็นนะ เพราะถ้าพระองค์เห็นน้องแล้ว จักไม่
อาจดำรงสติไว้ได้. นางอุมมาทันตีนั้นรับคำสามีว่า ไปเถอะ คุณพี่ (ถึงเวลา
นั้นแล้ว) ดิฉันจักรู้ ดังนี้ เมื่อสามีไปแล้ว จึงสั่งบังคับนางทาสีว่า ในเวลา
ที่พระราชาเสด็จมายังประตูเรือนของเรานี้ เจ้าจงบอกแก่เราให้ทราบด้วยนะ.
ลำดับนั้น เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว พระจันทร์เพ็ญลอยเด่นขึ้นแทนที่
พระนครที่ประดับประดาตกแต่งแล้ว ดูงดงามปานเทวนคร ประทีปลุกโพลง
สว่างไสวทั่วทุกทิศ พระราชาทรงประดับตกแต่งด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ
ทรงประทับบนรถม้าคันประเสริฐ แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ ทรงกระทำ
ประทักษิณพระนครด้วยยศใหญ่ เสด็จถึงประตูเรือนของท่านอภิปารกเสนาบดี
เป็นเรือนแรกทีเดียว. ก็เรือนหลังนั้น แวดล้อมด้วยกำแพงสีดังมโนศิลา มี
หอคอยอยู่ที่ซุ้มประตูอันประดับตกแต่งจนงามเลิศ น่าดูชม. ขณะนั้น นางทาสี
ได้เรียนแจ้งให้นางอุมมาทันตีทราบแล้ว. นางอุมมาทันนี้ให้นางทาสีถือพาน

ดอกไม้แล้ว ยืนพิงบานหน้าต่างด้วยลีลาอันงดงามดุจนางกินรี โปรยดอกไม้
ใส่พระราชา. พระราชาเหลือบแลดูนาง ทันทีก็เกิดความเมาด้วยความเมาคือ
กิเลส ไม่อาจจะดำรงสติไว้ได้ จนไม่สามารถจะจำได้ว่า เรือนหลังนี้ เป็น
ของท่านอภิปารกเสนาบดี.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสเรียกนายสารถีมาแล้ว เมื่อจะตรัสถาม จึง
ได้ตรัสพระคาถา 2 คาถาว่า
ดูก่อนนายสุนันทสารถี นี่เรือนของใครหนอล้อม
ด้วยกำแพงสีเหลือง ใครหนอปรากฏอยู่ในที่ไกล
เหมือนเปลวไฟอันลุกโพลงอยู่บนเวหาส และเหมือน
เปลวไฟบนยอดภูเขา ฉะนั้น ดูก่อนนายสุนันทสารถี
หญิงคนนี้เป็นธิดาของใครหนอ เป็นลูกสะใภ้หรือเป็น
ภรรยาของใคร ไม่มีผู้หวงแหนหรือ สามีของนาง
หรือไม่ เราถามแล้วขอท่านจงบอกแก่เราโดยเร็ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กสฺส นุทํ ตัดบทเป็น กสฺส นุ อิทํ
แปลว่า นี้ (เรือน) ของใครหนอ. บทว่า ปณฺฑุมเยน ได้แก่ อันสำเร็จ
ด้วยกำแพงอิฐสีแดง. บทว่า ทิสฺสติ ความว่า ปรากฏยืนอยู่ที่บานหน้าต่าง.
บทว่า อจฺจิ ได้แก่ กองไฟที่มีลมโหมลุกโพลง. บทว่า ธีตา นายํ ตัด
บทเป็น ธีตา นุ อยํ เป็นธิดา (ของใคร) หนอ. บทว่า อวาวตา ได้แก่
ไม่มีผู้กีดกั้น คือ ไม่มีผู้หวงแหนหรือ. บทว่า ภตฺตา ความว่า สามีของ
นางมีหรือไม่ เจ้าจงบอกความนี้แก่เรา.
ลำดับนั้น นายสารถี เมื่อจะกราบทูลแจ้งเนื้อความแด่พระราชา จึง
ได้กราบทูลคาถา 2 คาถาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชานิกร ก็ข้าพระ-
องค์ย่อมรู้จักหญิงนั้นพร้อมทั้งมารดา บิดา และสามี
ของนาง ข้าแต่พระจอมภูมิบาล บุรุษนั้นเป็นผู้ไม่
ประมาทในประโยชน์ของพระองค์ทั้งกลางคืนกลางวัน
สามีของนางเป็นผู้มีอิทธิพลกว้างขวางและมั่งคั่ง ทั้ง
เป็นอำมาตย์คนหนึ่งของพระองค์ ข้าแต่พระราชา
หญิงนั้น คือ ภรรยาของอภิปารกเสนาบดี เธอมีชื่อ
ว่า อุมมาทันตี พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตฺยา จ ความว่า ข้าพระองค์ย่อมรู้
จักหญิงคนนั้นพร้อมทั้งมารดาและบิดา. ศัพท์ว่า อโถปิ นายสารถีกราบทูล
ว่า แม้สามีของนางข้าพระองค์ก็รู้จัก. บทว่า อิทฺโธ แปลว่า เป็นผู้ได้รับ
ความสำเร็จแล้ว. บทว่า ผีโต ได้แก่ พรั่งพร้อมด้วยผ้าและเครื่องอลังการ
ทั้งหลาย. บทว่า สุวฑฺฒิโต ได้แก่ เป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์ดี. บทว่า นามเธยฺเยน
แปลว่า มีชื่อ. จริงอยู่ หญิงคนนี้ ย่อมทำบุรุษผู้ที่มองดูนางให้หลงใหลคล้าย
คนบ้า คือ ไม่ให้บุรุษนั้นดำรงสติอยู่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า
อุมมาทันตี ดังนี้.
พระราชาได้ทรงสดับคำทูลนั้นแล้ว เมื่อจะทรงชมเชยชื่อของนางนั้น
จึงตรัสคาถาติดต่อกันว่า
ดูก่อนท่านผู้เจริญ ๆ ชื่อที่มารดาและบิดาตั้งให้
หญิงคนนี้ เป็นชื่อเหมาะสมดีจริงอย่างนั้น เมื่อนาง
มองดูเรา ย่อมทำให้เราหลงใหลคล้ายคนบ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตฺยา จ เปตฺยา จ แปลว่า ที่มารดา
และบิดา. บทว่า มยฺหํ เป็นสัมปทานะใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. บทว่า
อวโลกยนฺตี ความว่า เธอถูกเรามองดูแล้ว หันกลับมามองดูเราบ้าง ได้
ทำเราให้หลงใหลคล้ายคนบ้า.
แม้นางอุมมาทันตีนั้น ทราบว่า พระราชาพระองค์นั้นทรงหวั่นไหว
พระหทัยแล้ว จึงปิดหน้าต่างแล้ว ได้เข้าสู่ห้องอันประกอบด้วยสิริตามเดิม.
จำเดิมแต่กาลที่พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นนางแล้ว พระองค์ไม่ได้มี
พระหทัยที่จะทรงการทำประทักษิณพระนครเลย. พระราชาตรัสเรียกนายสารถี
มาแล้ว ตรัสว่า สุนันทะสหายเอ๋ย ! เจ้าจงกลับรถเถิด งานมหรสพนี้ไม่
สมควรแก่พวกเรา แต่สมควรแก่อภิปารกเสนาบดี ถึงพระราชสมบัติ ก็
สมควรแก่อภิปารกเสนาบดีนั้นเหมือนกัน ดังนี้ จึงให้นายสารถีกลับรถแล่น
ถึงสถานที่ เสด็จขึ้นพระปราสาทแล้ว ทรงบรรทมบ่นเพ้อบนที่บรรทมอัน
ประกอบด้วยสิริ ตรัสว่า
ในคืนเดือนเพ็ญ นางผู้มีนัยน์ตาชม้ายคล้ายเนื้อ
ทราย ร่างกายมีสีเหมือนดอกบุณฑริก นั่งอยู่ใกล้
หน้าต่าง ในคืนนั้น เราได้เห็นนางนุ่งห่มผ้าสีแดง
เหมือนเท้านกพิราบ สำคัญว่าพระจันทร์ขึ้นสองดวง
คราวใด นางมีหน้ากว้าง ขาวสะอาด ประเล้าประโลม
อยู่ด้วยอาการอันงดงาม ชม้อยชม้ายชำเลืองดูเราดัง
จะปล้นเอาดวงใจของเราไปเสียเลย เหมือนนางกินนร
เกิดบนภูเขาในป่า ฉะนั้น ก็คราวนั้น นางผู้พริ้งเพรา
มีตัวเป็นสีทอง สวมกุณฑลแก้วมณี ผ้านุ่งผ้าห่มท่อน

เดียว ชำเลืองดูเราประดุจนางเนื้อทราย มองดูนาย
พราน ฉะนั้น เมื่อไรหนอ นางผู้มีเล็บแดง มีขนงาม
มีแขนนุ่มนิ่ม ลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์ มีนิ้วมือกลมเกลี้ยง
มีกระบวนชดช้อย งามตั้งแต่ศีรษะจักได้ยั่วยวนเรา
เมื่อไรหนอ ธิดาของท่านเศรษฐีติริฏิวัจฉะ ผู้มีทับ-
ทรวงอันกระทำด้วยข่ายทอง เอวกลม จักกอดรัดเรา
ด้วยแขนทั้งสองอันนุ่มนิ่ม ประดุจเถาย่านทราย รวบ
รัดต้นไม้ที่เกิดในป่าใหญ่ ฉะนั้น เมื่อไรหนอ นางผู้
มีผิวงามแดงดังน้ำครั่ง มีถันเป็นปริมณฑลดังฟองน้ำ
มีอวัยวะฉาบด้วยผิวหนังเปล่งปลั่งดังดอกบุณฑริก จัก
จรดปากด้วยปากกะเรา เหมือนดังนี้เลงสุราจรดจอก
สุราให้แก่นักเลงสุรา ฉะนั้น ในกาลใด เราได้เห็น
นางผู้มีร่างกายทุกส่วนอันน่ารื่นรมย์ใจยืนอยู่ ในกาล
นั้น เราไม่รู้สึกอะไร ๆ แก่จิตของตนเลย เราได้เห็น
นางอุมมาทันตีผู้สวมสอดกุณฑลมณีแล้วนอนไม่หลับ
ทั้งกลางวันและกลางคืนเหมือนแพ้ข้าศีลมาตั้งพันครั้ง
ถ้าท้าวสักกะพึงประทานพรให้แก่เรา ขอให้เราพึงได้
พรนั้นเถิด อภิปารกเสนานดีพึงรื่นรมย์อยู่กับนาง
อุมมาทันตีคืนหนึ่งหรือสองคืน ต่อจากนั้น พระเจ้า-
สีวิราช พึงได้รื่นรมย์บ้าง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุณฺณมาเส ได้แก่ ในคือพระจันทร์-
เพ็ญ. บทว่า นิคมนฺทโลจนา ความว่า ชื่อว่า มิคมันทโลจนา เพราะอรรถว่า

มีนัยน์ตาชม้ายคล้ายนัยน์เนื้อทรายที่กำลังตกใจกลัวลูกศร วิ่งหนีไปยืนแอบอยู่
ในระหว่างป่าแล้วเหลือบแลดูนายพราน ฉะนั้น. บทว่า อุปาวิสี ความว่า
เธอนั่งใกล้หน้าต่าง เอาฝ่ามือสวยงามสีเหมือนดอกปทุม หยิบดอกไม้โปรยใส่
แล้วแลดูเรา. บทว่า ปุณฺฑรีกตฺตจงฺคี ได้แก่ ร่างกายมีสีเหมือนดอกปทุม
แดง. บทว่า เทฺว ปุณฺณมาโย ความว่า ในวันนั้น คือในวันงานมหรสพ
นั้น เราได้เห็นนางนุ่งห่มผ้าสีแดงเสมอสีเท้านกพิราบนั้นแล้ว แลดูความงาม
แห่งใบหน้าของนางอยู่ ได้สำคัญว่า พระจันทร์ขึ้นสองดวง เพราะความที่
พระจันทร์เพ็ญลอยเด่นขึ้นสองดวงคือ ดวงหนึ่งซึ่งมีประจำโลกขึ้นทางทิศ-
พระวันออก ดวงหนึ่งขึ้นในนิเวศน์ของอภิปารกเสนาบดี. บทว่า อฬารปมฺเหหิ
แปลว่า มีหน้ากว้าง. บทว่า สุเภหิ แปลว่า ขาวสะอา . บทว่า วคฺคูภิ
แปลว่า ด้วยอาการสวยงาม. บทว่า อุทิกฺขติ ได้แก่ ในขณะที่นางแลดูเรา
ด้วยนัยน์ตาทั้งสองเห็นปานนั้น. บทว่า ปพฺพเต ความว่า คล้ายจะปล้นเอา
ดวงใจของเราไปเสียเลย เหมือนนางกินรีเกิดบนภูเขาหิมวันต์ ในป่าที่มีดอก
ไม้บานสะพรั่ง อาศัยพิณซึ่งเทียบเสียงของตนกับเสียงสายพิณ ย่อมชักนำใจ
บุรุษมาได้ ฉะนั้น. บทว่า พฺรหตี คือนางผู้ประเสริฐ. บทว่า สามา คือ
ผู้มีตัวเป็นสีทองคำ. บทว่า เอกจฺจวสนา ได้แก่ อยู่ด้วยผ้าชิ้นเดียว อธิบาย
ว่า ผ้านุ่งห่มท่อนเดียว. บทว่า ภนฺตาวุทิกฺขติ พระราชาตรัสว่า หญิงผู้
สูงสุดคนนั้น มีเส้นผมละเอียด มีหน้าผากกว้าง มีคิ้วยาวเรียว มีนัยน์ตาโต
งาม มีจมูกโด่ง มีริมฝีปากแดง มีซี่ฟันทั้งหลายขาวสะอาด มีเขี้ยวคม มี
คอกลมเกลี้ยงดี มีแขนอ่อนนิ่ม มีนมตั้งเต่งสวยงาม มีเอวงามเหมือนนางเนื้อ
ทราย มีตะโพกใหญ่ มีรูปร่างเสมอเหมือนต้นกล้วยทองคำ ในขณะที่นางแล

ดูเราพลางหนีเข้าป่าด้วยความกลัวแล้วหันมามองดูเราเหมือนนางเนื้อทรายหัน
กลับมามองดูนายพราน ฉะนั้น. บทว่า พาหามุทุ แปลว่า มีแขนนุ่มนิ่ม.
บทว่า สนฺนตธีรกุตฺติยา ได้แก่ มีกระบวนอันฉลาดชดช้อย บทว่า อุปญฺ-
ญิสฺสติ มํ
ความว่า พระราชาทรงบ่นเพ้อปรารถนาว่า นารีผู้งดงามนั้น
มีเล็บทุกเล็บสีแดง มีกระบวนการอันฉลาดชดช้อยงามตั้งแต่ศีรษะ เมื่อไรหนอ
จึงจักยั่วยวนเรา. บทว่า กาญฺจุนชาลุรจฺฉทา ได้แก่ ผู้มีทับทรวงทำด้วย
ทองคำประดับตกแต่ง. บทว่า วิลากมชฺฌา ได้แก่ ร่างกายส่วนที่เป็นเอว.
บทว่า พฺรหาวเน แปลว่า ในป่าใหญ่. บทว่า รตฺตสุจฺฉวี ได้แก่ มีผิว
ดุจแก้วประพาฬงามแดงดังน้ำครั่ง ในที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ปลายเล็บ และเนื้อ
ริมฝีปาก. บทว่า พินฺทุตฺถนี ได้แก่ มีนมเป็นปริมณฑลดุจฟองน้ำ. บท
ว่า ตโต ความว่า จำเดิมแต่กาลที่เราได้เห็นนางยืนอยู่. บทว่า สกสฺส
จิตฺตสฺส
อธิบายว่า เราไม่ได้มีความเป็นใหญ่ เกิดแก่จิตของตนเลย. บทว่า
กญฺจิ นํ อธิบายว่า พระราชาตรัสว่า เราไม่รู้จักนางนั้นว่าเป็นใคร คือไม่
รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ มีชื่อดังนั้น เราเกิดเป็นบ้าขึ้นเสียแล้ว. บทว่า ทิฏฺฐา
แปลว่า พอเห็นนางแล้ว. บทว่า น สุปฺปามิ ความว่า เราย่อมไม่ได้
ความหลับทั้งกลางคืนและกลางวัน. บทว่า โส จ ลเภถ ความว่า ขอให้
พรที่ท้าวสักกะประทานแก่เรา จงเป็นของเราเถิด คือเราพึงได้พรนั้นเถิด.
พวกราชบุรุษจึงพากันไปบอกแก่ท่านอภิปารกเสนาบดีว่า ข้าแต่นาย
ท่าน พระเจ้าแผ่นดินทรงกระทำประทักษิณพระนคร พอมาถึงประตูบ้านของ
ท่านแล้ว ก็เสด็จกลับวังขึ้นสู่ปราสาท. อภิปารกเสนาบดีนั้น จึงไปยังเรือน
ของตนแล้ว เรียกนางอุมมาทันตีออกมาถามว่า น้องรักของพี่ น้องแสดงตัว
ปรากฏแก่พระราชาหรือจ๊ะ. นางตอบว่า พี่จ๋า มีชายคนหนึ่ง ท้องใหญ่
เขี้ยวโต ยืนมาบนรถ ดิฉันไม่รู้จักชายคนนั้นว่า เป็นพระราชา หรือมิใช่

พระราชา แต่เมื่อผู้คนเล่ากันว่า เป็นเอกบุรุษเป็นใหญ่ ดังนี้ ดิฉันยืนอยู่
ริมหน้าต่าง จึงได้โปรยดอกไม้ลงไป ชายผู้นั้น ยืนอยู่สักครู่หนึ่งแล้ว ก็กลับ
ไป. อภิปารกเสนาบดีได้สดับคำนั้นแล้วจึงกล่าวว่า น้องทำให้พี่ต้องฉิบหาย
เสียแล้วเป็นแน่ ดังนี้ ครั้นวันรุ่งขึ้น จึงรีบไปยังพระราชนิเวศน์แต่เช้าตรู่
ยืนอยู่ที่ประตูห้องอันเป็นสิริ ได้ยินเสียงพระราชาบ่นเพ้อถึงนางอุมมาทันตี จึง
คิดว่า พระราชาพระองค์นี้ มีจิตรักใคร่ผูกพันในน้องอุมมาทันตี ถ้าไม้ได้
นางคงจักสวรรคตเป็นแน่ เราควรจะช่วยปลดเปลื้องโทษอันมิใช่คุณทั้งของ
พระราชาและของเราเสีย แล้วถวายชีวิตแด่พระราชาพระองค์นี้เถิด จึงกลับไป
สู่เรือนของตนแล้ว สั่งให้เรียกคนใช้คนสนิทผู้หนึ่งมาสั่งว่า นี่แน่ะพ่อคุณเอ๋ย
ตรงที่โน้น มีต้นไม้ใหญ่ มีโพรงอยู่ต้นหนึ่ง ท่านอย่าให้ใคร ๆ รู้นะ พอพระ
อาทิตย์อัสดงคตแล้ว ท่านจงไปในที่นั้นแล้ว เข้าไปนั่งอยู่ภายในต้นไม้ เรา
จะทำพลีกรรมที่ต้นไม้นั้น พอไปถึงต้นไม้นั้นนมัสการเทวดาแล้ว จักวิงวอน
ว่า ข้าแต่เทวราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อมหรสพมีในพระนคร พระราชาของพวก
ข้าพเจ้า ไม่ยอมทรงเล่น กลับเสด็จไปยังห้องอันเป็นสิริ ทรงบรรทมบ่นเพ้อ
พวกข้าพเจ้าไม่ทราบถึงเหตุในข้อนั้นเลย พระราชาทรงมีอุปการะมากมายแก่
พวกเทวดาฟ้าดิน ทรงสละทรัพย์พันหนึ่งให้กระทำพลีกรรมทุกกึ่งปี ขอพวก
ท่านจงบอกว่า พระราชาทรงเพ้อรำพันเพราะอาศัยเหตุชื่อนี้ ดังนี้ เราจัก
อ้อนวอนว่า จงให้ชีวิตทานแก่ราชาของพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด ในขณะนั้น
ตัวท่านพึงเปลี่ยนเสียงแล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านเสนาบดี ขึ้นชื่อว่าความเจ็บไข้
มิได้มีแก่พระราชาของพวกท่านเลย แต่พระองค์มีจิตผูกพันรักใคร่ในนาง
อุมมาทันตีผู้เป็นภรรยาของท่าน หากพระองค์ได้นางก็จักดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้า
ไม่ได้ก็จักสวรรคตเป็นแน่ ถ้าท่านปรารถนาจะให้พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่

ก็จงถวายนางอุมมาทันตีแด่พระองค์เถิด ดังนี้ เมื่อเสนาบดีให้คนใช้จำเอาถ้อย
คำอย่างนี้แล้วก็สั่งไป. คนใช้นั้นไปนั่งอยู่ในต้นไม้นั้น. ครั้นวันรุ่งขึ้น ท่าน
เสนาบดีไปยังสถานที่นั้นแล้ว จึงกล่าวคำอ้อนวอน. คนใช้ได้ทำตามคำสั่งทุก
ประการ. ท่านเสนาบดีกล่าวว่า ดี (ใช้ได้) แล้วไหว้เทวดาฟ้าดิน บอกให้
พวกอำมาตย์ทราบเรื่องแล้ว เข้าไปยังพระนคร ขึ้นไปบนราชนิเวศน์แล้ว
เคาะประตูห้องบรรทมอันประกอบด้วยสิริ. พอพระเจ้าแผ่นดินกลับได้สติ จึง
ตรัสถามว่า นั่นใคร. เขากราบทูลว่า ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ข้าพระองค์คืออภิปารกเสนาบดี พระเจ้าข้า. ลำดับนั้น พระราชาทรงเปิดพระ-
ทวาร (ประตู) ให้เขา. เขาจึงเข้าไปถวายบังคมแด่พระราชาแล้ว กล่าวคาถา
ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นภูตบดี (ผู้เป็นจอมแห่งหมู่
มนุษย์) เมื่อข้าพระองค์นมัสการเทวดาทั้งหลายอยู่
เทวดามาบอกเนื้อความนี้แก่ข้าพระองค์ว่า พระทัย
ของพระราชาคลุ้มคลั่งในนางอุมมาทันตี ข้าพระองค์
ขอถวายนางแด่พระองค์ ขอพระองค์ให้นางบำเรอเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น. บทว่า นมสฺสโต ได้แก่ เมื่อข้าพระองค์กระทำ
พลีกรรมบวงสรวงอยู่ เพื่อจะรู้ถึงเหตุแห่งการบ่นเพ้อรำพันของพระองค์.
บทว่า ตํ ความว่า ข้าพระองค์ขอถวายนางอุมมาทันดีนั้นให้เป็นบาทบริจาริกา
ประจำพระองค์.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามท่านเสนาบดีว่า ดูก่อนอภิปารกะผู้สหาย
แม้พวกเทวดารู้เรื่องที่เราบ่นเพ้อเพราะมีจิตรักใคร่ในนางอุมมาทันตีด้วยหรือ
เสนาบดีทูลตอบว่า เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า. พระราชาทรงดำริว่า ข่าวว่า

ความชั่วของเรา ชาวโลกทั้งหมดรู้กันแล้ว ดังนี้ จึงทรงดำรงอยู่ในธรรมคือ
ความตายแล้ว ตรัสคาถา ติดต่อกันไปว่า
ก็เราพึงพรากเสียจากบุญและไม่เป็นเทวดา อนึ่ง
คนพึงรู้ความชั่วของเรานี้ และเนื้อท่านให้นางอุมมา-
ทันตีภรรยาสุดที่รักแล้วไม่เห็นนาง ความแค้นใจอย่าง
อย่างร้ายแรง จะพึงมีแก่ท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิธํเส ความว่า ดูก่อนอภิปารกเสนาบดี
ผู้สหายเอ่ย ! เมื่อเราบำเรออยู่กับนางด้วยอำนาจกิเลส พึงเสื่อมจากบุญ และ
จะไม่ได้เป็นเทวดาผู้สมมติเทพ เพราะเหตุเพียงการอยู่บำเรอกับนางนั้น อนึ่ง
มหาชนพึงทราบความชั่วช้าลามกนี้ ต่อแต่นั้นก็จะพึงติเตียนว่า พระราชาทรง
กระทำสิ่งที่ไม่สมควรเลย อนึ่ง ท่านให้นางผู้เป็นภรรยาสุดที่รักแก่เราแล้ว ภาย
หลังท่านไม่ได้เห็นภรรยา ความคับแค้นในใจ ก็จะพึงมีแก่ท่าน.
คาถาที่เหลือ ที่เป็นคำถามและคำตอบของตนแม้ทั้งสอง (คือของ
พระราชาและอภิปารกเสนาบดี) มีดังต่อไปนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชานิกร ประชาชน
แม้ทั้งสิ้นนอกจากข้าพระบาทและพระองค์ ไม่พึงรู้
กรรมที่ทำกัน ข้าพระบาท ยอมถวายนางอุมมาทันตี
แก่พระองค์ พระองค์จงทรงอภิรมย์อยู่กับนางเต็มพระ
หทัยปรารถนาแล้ว จงทรงสลัดเสีย.

มนุษย์ใดกระทำกรรมอันลามก มนุษย์นั้นย่อม
สำคัญว่า คนอื่นไม่รู้การกระทำนี้เพราะว่านรชนเหล่า
ใดประกอบแล้ว บนพื้นปฐพี นรชนเหล่านั้น ย่อม

เห็นการกระทำนี้ คนอื่นใครเล่าในแผ่นดินนี้ทั้งโลก
พึงเชื่อท่าน หรือว่า นางอุมมาทันตีไม่เป็นที่รักแห่ง
เรา เมื่อท่านให้นางอุมมาทันตีภรรยายอดรักแล้ว ไม่
เห็นนางภายหลัง ความคับแค้นใจอย่างร้ายแรง จะพึง
มีแก่ท่าน.

ข้าแต่พระจอมประชาชน นางอุมมาทันตีนั้นเป็น
ที่รักของข้าพระบาทโดยแท้ ข้าแต่พระภูมิบาล นางไม่
เป็นที่รักของข้าพระบาทก็หาไม่ ขอความเจริญจงมีแด่
พระองค์ เชิญพระองค์เสด็จไปหานางอุมมาทันตีเถิด
เหมือนดังราชสีห์ เข้าสู่ถ้ำศิลา ฉะนั้น.

นักปราชญ์ทั้งหลาย ถูกความทุกข์ของตนบีบคั้น
แล้วย่อมไม่ละกรรมที่มีผลเป็นสุข แม้จะเป็นผู้หลงมัว
มาด้วยความสุข ก็ย่อมไม่ประพฤติบาปกรรม.

พระองค์เป็นทั้งพระมารดาและบิดาเป็นผู้เลี้ยงดู
เป็นเจ้านายเป็นผู้พอกเลี้ยง และเป็นเทวดาของข้าพระ-
องค์ ข้าพระองค์พร้อมด้วยบุตรและภรรยาเป็นทาสของ
พระองค์ ขอพระองค์ทรงบริโภคกามตามความสุขเถิด.

ผู้ใดย่อมทำบาปด้วยคามสำคัญว่า เราเป็นผู้ยิ่ง
ใหญ่ และครั้นกระทำแล้ว ก็ไม่สะดุ้งกลัวต่อชนเหล่า
อื่น ผู้นั้นย่อมไม่เป็นอยู่ตลอดอายุยืนยาวเพราะกรรม
นั้น แม้เทวดาก็มองดูผู้นั้น ด้วยนัยน์ตาอันเหยียดหยาม.

ชนเหล่าใดตั้งอยู่ในธรรม ย่อมรับทานที่เป็นของ
ผู้อื่นอันเจ้าของมอบให้แล้ว ชนเหล่านั้นเป็นผู้รับด้วย

เป็นผู้ให้ในทานนั้นด้วย ได้ชื่อว่าทำกรรมอันมีผลเป็น
สุขในเพราะทานนั้นแท้จริง.

คนอื่นใครเล่า ในแผ่นดินทั้งโลก จะพึงเชื่อ
ท่านหรือว่า นางอุมมาทันตีไม่เป็นที่รักของเรา เมื่อ
ท่านให้นางอุมมาทันตีภรรยายอดรักแล้ว ไม่เห็นนาง
ภายหลัง ความคับแค้นใจอย่างร้ายแรง จะพึงมีแก่
ท่าน.

ข้าแต่พระจอมประชาชน นางอุมมาทันตีนั้น
เป็นที่รักของข้าพระบาทโดยแท้ ข้าแต่พระภูมิบาล
นางไม่เป็นที่รักของข้าพระบาทก็หาไม่ ข้าพระบาท
ยอมถวายนางอุมมาทันตีแก่พระองค์ พระองค์จงทรง
อภิรมย์อยู่กับนาง เต็มพระหทัยปรารถนาแล้ว จงทรง
สลัดเสีย.

ผู้ใดก่อทุกข์ให้แก่ผู่อื่นด้วยทุกข์ของตน หรือก่อ
ความสุขของตนด้วยความสุขของผู้อื่น ผู้ใดรู้อย่าง
นี้ว่า ความสุขและความทุกข์ของเรานี้ก็เหมือนของ
ผู้อื่น ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรม.

คนอื่นใครเล่า ในแผ่นดินทั้งโลก จะพึงเชื่อ
ท่านหรือว่า นางอุมมาทันตีไม่เป็นที่รักของเรา เมื่อ
ท่านให้นางอุมมาทันตีภรรยายอดรักแล้ว ไม่เห็นนาง
ภายหลัง ความคับแค้นใจอย่างร้ายแรง จะพึงมีแก่
ท่าน.

ข้าแต่พระองค์ผู้จอมประชาชน พระองค์ย่อม
ทรงทราบว่า นางอุมมาทันตีนี้เป็นที่รักของข้าพระบาท

ข้าแต่พระจอมภูมิบาล นางนั้นไม่เป็นที่รักของข้าพระ-
บาทก็หาไม่ ข้าพระบาทขอถวายสิ่งอันเป็นที่รักแก่
พระองค์ด้วยสิ่งอันเป็นที่รัก ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
ผู้ให้สิ่งอันเป็นที่รักย่อมได้สั่งอันเป็นที่รัก.

เรานั้นจักฆ่าตนอันมีกามเป็นเหตุโดยแท้ เราไม่
อาจฆ่าธรรมด้วยอธรรมได้เลย.

ข้าแต่พระจอมประชาชน ผู้แกล้วกล้าแก่นรชน
ประเสริฐ ถ้าพระองค์ไม่ต้องพระประสงค์นางอุมมา-
ทันตี ผู้เป็นของข้าพระบาทไซร้ ข้าพระบาทจะสละ
นางในท่ามกลางชนทั้งปวง พระองค์พึงตรัสสั่งให้นำ
นางผู้พ้นจากข้าพระบาทแล้วมาจากที่นั้นเถิด พระเจ้า
ข้า.

ดูก่อนอภิปารกเสนาบดีผู้กระทำประโยชน์ ถ้า
ท่านจะสละนางอุมมาทันตีผู้หาประโยชน์มิได้ เพื่อสิ่ง
อันไม่เป็นประโยชน์นี้แก่ท่าน ความค่อนว่าอย่างใหญ่
หลวง จะพึงมีแก่ท่าน อนึ่ง แม้การใส่ร้ายในพระนคร
ก็จะพึงมีแก่ท่าน.

ข้าแต่พระจอมภูมิบาล ข้าพระบาทจักอดกลั้น
คำค่อนว่า คำนินทา คำสรรเสริญ และคำติเตียน
นี้ทั้งหมด คำค่อนว่าเป็นต้นนั้นจงตกอยู่แก่ข่าพระบาท
ข้าแต่พระจอมแห่งชนชาวสีพี ขอพระองค์ทรงบริโภค
กามตามความสำราญเถิด. ผู้ใดไม่ถือเอาความนินทา
ความสรรเสริญ ความติเตียน และแม้การบูชา สิริ
และปัญญาย่อมปราศไปจากผู้นั้น เหมือนดังน้ำฝน

ปราศไปจากที่ดอน ฉะนั้น ข้าพระบาทจักยอมรับ
ความทุกข์และความสุข สิ่งที่ล่วงธรรมดาและความ
คับแค้นใจทั้งหมด เพราะเหตุแห่งการสละนี้ ด้วยอก
เหมือนดังแผ่นดินรองรับสิ่งของทั้งของคนมั่นคง และ
คนสะดุ้ง ฉะนั้น.

เราไม่ปรารถนาสิ่งที่ล่วงธรรมดา ความคับแค้น
ใจและความทุกข์ของชนเหล่าอื่น เราผู้เดียวเท่านั้น
จักเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ยังประโยชน์หน่อยหนึ่ง
ให้เสื่อม ข้ามภาระนี้ไป.

ข้าแต่จอมประชาชน บุญกรรมย่อมให้เข้าถึง
สวรรค์ พระองค์อย่าได้ทรงทำอันตรายแก่ข้าพระบาท
เสียเลย ข้าพระบาทมีใจเลื่อมใสขอถวายนางอุมมาทันตี
แต่พระองค์ ดังพระราชาทรงประทานทรัพย์สำหรับ
บูชายัญแก่พราหมณ์ทั้งหลาย ฉะนั้น.

ท่านเป็นผู้เกื้อกูลแก่เราในการกระทำประโยชน์
แน่แท้ นางอุมมาทันตีและท่านเป็นสหายของเรา
เทวดาและพรหมทั้งหมด เห็นความชั่วอันเป็นไปใน
ภายหน้า พึงติเตียนได้.

ข้าแต่พระเจ้าสีวิราช ชาวนิคมและชาวชนบท
ทั้งหมด ไม่พึงคัดค้านกรรมอันเป็นธรรมนั้นเลย ข้า-
พระบาทขอถวายนางอุมมาทันตีแด่พระองค์ พระองค์
จงทรงอภิรมย์ อยู่กับนางเต็มพระหทัยปรารถนาแล้ว
จงทรงสลัดเสีย.

ท่านเป็นผู้เกื้อกูลแก่เราในการกระทำประโยชน์

แน่แท้ นางอุมมาทันตีและท่านเป็นสหายของเรา ธรรม
ของสัตบุรุษที่ประกาศดีแล้ว ยากที่จะล่วงละเมิดได้
เหมือนเขตแดนของมหาสมุทร ฉะนั้น.

ข้าแต่พระราชา พระองค์เป็นผู้ควรของคำนับ
ของข้าพระองค์ เป็นผู้หวังประโยชน์นี้เกื้อกูล เป็นผู้
ทรงไว้ เป็นผู้ประทานความสุข และทรงรักษาความ
ปรารถนาไว้ ด้วยว่า ยัญที่บูชาในพระองค์ ย่อมมี
ผลมาก ขอพระองค์ทรงรับนางอุมมาทันตีตามความ
ปรารถนาของข้าพระบาทเถิด.

ดูก่อนอภิปารกเสนาบดีผู้เป็นบุตรแห่งท่านผู้กระ
ทำประโยชน์ ท่านได้ประพฤติแล้วซึ่งธรรมทั้งปวงแก่
เราโดยแท้ นอกจากท่าน มนุษย์อื่น ใครเล่าหนอ
จักเป็นผู้กระทำความสวัสดี ในเวลาอรุณขึ้น ในชีว
โลกนี้.

พระองค์เป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ยอดเยี่ยม พระองค์
ทรงดำเนินโดยธรรม ทรงรู้แจ้งธรรม มีพระปัญญาดี
ขอพระองค์ผู้อันธรรมคุ้มครองแล้ว จงทรงพระชนม์
ยั่งยืนนาน ข้าแต่พระองค์ผู้รักษาธรรม ขอพระองค์
โปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด.

ดูก่อนอภิปารกเสนาบดี เชิญท่านฟังคำของเรา
เถิด เราจักแสดงธรรมที่สัตบุรุษส้องเสพแก่ท่าน พระ
ราชาชอบใจธรรมจึงจะดีงาม นรชนผู้มีความรู้รอบจึง
จะดีงาม ความไม่ประทุษร้ายต่อมิตรเป็นความดี การ

ไม่กระทำบาปเป็นสุข มนุษย์ทั้งหลายพึงอยู่เป็นสุข
ในแว่นแคว้นของพระราชาผู้ไม่ทรงกริ้วโกรธ ทรงตั้ง
อยู่ในธรรม เหมือนเรือนของตนอันมีร่มเงาเย็น ฉะนั้น
เราย่อมไม่ชอบใจกรรมที่ทำด้วยความไม่พิจารณา อัน
เป็นกรรมไม่ดีนั้นเลย แม้พระราชาเหล่าใด ทรงทราบ
แล้วไม่ทรงทำเอง เราชอบใจ กรรมของพระราชาเหล่า
นั้น ขอท่านจงฟังอุปมาของเราต่อไปนี้

เมื่อฝูงโคข้ามฟากไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูงว่าย
ไปคด โคทั้งหมดนั้นก็ว่ายไปนคด ในเมื่อโคตัวผู้
นำฝูงว่ายไปคด ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ผู้
ใดได้รับยกย่องว่า เป็นผู้ประเสริฐ ถ้าผู้นั้นประพฤติ
อธรรม จะป่วยกล่าวไปไย ถึงประชาชนนอกนี้เล่า
รัฐทั้งหมดย่อมอยู่เป็นทุก ถ้าพระราชาไม่ทรงตั้งอยู่
ในธรรม เมื่อฝูงโค ข้ามฟากไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูง
ว่ายไปตรง โคทั้งหมดนั้นก็ว่ายไปตรง ในเมื่อโคตัวผู้
นำฝูงว่ายไปตรง ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ผู้
ใดได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ประเสริฐ ถ้าผู้นั้นประพฤติ
ธรรม จะป่วยกล่าวไปไยถึงประชาชนนอกนี้ รัฐทั้ง
หมดย่อมอยู่เป็นสุข ถ้าพระราชาทรงตั้งอยู่ในธรรม
ดูก่อนอภิปารกเสนาบดี เราไม่พึงปรารถนาเพื่อความ
เป็นเทวดา และเพื่อครอบครองแผ่นดินทั้งหมดนี้โดย
อธรรม รัตนะอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โค ทาส เงิน
ผ้า และจันทน์เทศ มีอยู่ในมนุษย์นี้ เราจะไม่ประพฤติ

ผิดธรรม เพราะความปรารถนารัตนะเหล่านั้น บุคคล
ไม่พึงประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งสมบัตินั้น
เป็นต้นว่า ม้า หญิง แก้วมณี หรือแม้พระจันทร์
และพระอาทิตย์ที่รักษาอยู่ เราเป็นผู้องอาจ เกิดใน
ท่ามกลางแห่งชาวสีพีทั้งหลาย ฉะนั้น เราจะไม่ประ-
พูดผิดธรรม เพราะเหตุแต่งสมบัตินั้น เราจะเป็น
ผู้นำ จะเป็นผู้เกื้อกูล เป็นผู้เฟื่องฟูปกครองแว่นแคว้น
จักเป็นผู้เคารพธรรมของชาวสีพี จะเป็นผู้คิดค้นซึ่ง
ธรรม เพราะฉะนั้น เราจะไม่เป็นไปในอำนาจแห่ง
จิตของตน.

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ทรงประพฤติ
ธรรมอันไม่มีความฉิบหาย เป็นแดนเกษมอยู่เป็นนิจ
แน่แท้ พระองค์จักดำรงราชสมบัติอยู่ยั่งยื่นนานเพราะ
พระปัญญาของพระองค์เป็นเช่นนั้น พระองค์ไม่ทรง
ประมาทธรรมใด ข้าพระองค์ขออนุโมทนาธรรมนั้น
ของพระองค์ กษัตริย์ผู้เป็นอิสระทรงประมาทธรรม
แล้ว ย่อมเคลื่อนจากรัฐ.

ข้าแต่พระมหากษัตริย์ขัตติยราช ขอพระองค์จง
ทรงประพฤติธรรมในพระชนนีและพระชน ครั้นทรง
ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้วจักเสด็จสู่สวรรค์. ขอพระ-
องค์ จงทรงประพฤติธรรมในพระราชบุตรและพระ-
มเหสี ครั้นทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จ
สู่สวรรค์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในมิตรและ

อำมาตย์... ในราชพาหนะและทแกล้วทหาร... ใน
บ้านและนิคม...ในแว่นแคว้นและชนบท...ในสมณะ
และพราหมณ์... ในเนื้อและนกทั้งหลาย... ครั้นพระ-
องค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์.

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงประพฤติ
ธรรมเถิด เพราะว่าธรรมที่ประพฤติแล้ว ย่อมนำ
สุขมาให้ ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้
แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์ ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอ
พระองค์จงทรงประพฤติธรรมเถิด ด้วยว่าพระอินทร์
เทวดา พร้อมทั้งพรหม เป็นผู้ถึงทิพยสถานเพราะ
ธรรมที่ประพฤติแล้ว ข้าแต่พระราชา พระองค์อย่า
ทรงประมาทธรรมเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพาปิ ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
เป็นจอมแห่งหมู่ชน ข้าพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น จักปกปิดเรื่องนี้แล้ว นำนาง
(อุมมาทันตี) มาถวาย เพราะฉะนั้น เว้นจากพระองค์และข้าพระองค์เสียแล้ว
ประชาชนคนอื่นแม้ทั้งหมด ไม่พึงรู้ คือ จักไม่รู้แม้เพียงกิริยาอาการแห่ง
เรื่องที่ทำมาแล้วนี้. บทว่า ภุเสหิ อธิบายว่า ข้าพระองค์นำนางอุมมาทันตี
มาถวายพระองค์แล้ว ขอพระองค์จงทรงร่วมอภิรมย์กับนางเถิด จงทำกรรม
อันหยาบ คือ ตัณหาดุจต้นไม้ตั้งอยู่ในป่าของตน จงยังตัณหานั้นให้เจริญ
ได้แก่ จงทำความปรารถนาแห่งใจให้เต็มเปี่ยมเถิด. บทว่า สชาหิ ความว่า
ก็ครั้งพระองค์ทำความปรารถนาแห่งใจเต็มที่แล้ว หากนางไม่เป็นที่ถูกพระทัย
ของพระองค์ไซร้ ภายหลังพระองค์จะทอดทิ้งนางเสียก็ได้ ได้แก่ จงให้คืน
แก่ข้าพระองค์ตามเดิมเถิด. บทว่า กมฺม กรํ ความว่า ดูก่อนอภิปารก-

เสนาบดีผู้เป็นสหาย มนุษย์ผู้ใดทำกรรมอันเป็นบาป ภายหลังมนุษย์ผู้นั้น
สำคัญคือคิดว่า ชนเหล่าอื่นในโลกนี้อย่าสำคัญคือ อย่ารู้กรรมอันเป็นบาปนี้
(ของเรา) เลย ความคิดของบุคคลนั้นเป็นความคิดที่ชั่วร้าย. ถามว่า เพราะ
เหตุไร ? ตอบว่า เพราะว่านรชนเหล่านั้น ย่อมเห็นการกระทำนี้ อธิบายว่า
ก็พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพุทธบุตรทั้งหลาย เป็นผู้ประกอบ
แล้วด้วยฤทธิ์เหล่านั้น ย่อมเห็นการกระทำนั้นนั่นแล. บทว่า น เม ปิยา
ความว่า ดูก่อนอภิปารกเสนาบดีผู้สหายรัก คนอื่นใครเล่าในโลกนี้ คือใน
แผ่นดินทั้งสิ้น จะพึงเชื่อท่านอย่างนี้ว่า นางอุมมาทันตีมิได้เป็นที่รักของตัว.
บทว่า สีโหว เสลสฺส คุหํ ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถ้าพระองค์
จะไม่ให้นำนางมาในที่นี้ไซร้ ขอพระองค์จงเสด็จไปยังที่อยู่ของนางนั้นเถิด
คือ จงทำความปรารถนาของพระองค์ให้สำเร็จบริบูรณ์ในที่นั้นเถิด เหมือน
ราชสีห์ เมื่อเกิดความเร่าร้อนแห่งกิเลสขึ้น ก็จะเข้าไปสู่ถ้ำแก้วอันเป็นที่อยู่
ของนางราชสีห์น้อย ฉะนั้น. บทว่า สุขปฺผลํ ความว่า ดูก่อนอภิปารก-
เสนาบดีผู้สหายรัก หมู่บัณฑิตถูกความทุกข์กระทบตนแล้ว ย่อมไม่ละกรรมที่
ให้ผลเป็นสุข หรือแม้ว่าจะเป็นผู้ลุ่มหลงแล้ว คือ หลงด้วยโมหะ มัวเมา
ด้วยความสุข ย่อมไม่ยอมประพฤติกรรมอันเป็นบาป. บทว่า ยถาสุขํ สีวิ
กโรหิ กามํ
ความว่า ข้าแต่พระเจ้าสีวิราชผู้เป็นใหญ่ ขึ้นชื่อว่า ความติเตียน
ย่อมไม่มีแก่นายผู้ใช้ให้ทาสีของตนบำรุงบำเรอเลย ขอพระองค์จงบริโภคกาม
ตามความสบายตามอัธยาศัย คือ จงทำความปรารถนาของพระองค์ให้บริบูรณ์
เถิด. บทว่า น เตน โส ชีวติ ความว่า ดูก่อนอภิปารกเสนาบดีผู้สหายรัก
ผู้ใดทำบาปด้วยสำคัญว่า เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ครั้น ทำแล้ว ก็มิได้สะดุ้งมิได้กลัว
ว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จักชี้แจงถึงกรรมนั้น เพราะกรรมนั้น ผู้นั้น

ย่อมไม่ดำรงชีพอยู่ได้ตลอดกาลนาน ย่อมตายเสียโดยฉับพลันทีเดียว อนึ่งแม้
เทวดาทั้งหลายก็ย่อมพากันแลดูด้วยสายตาอันเหยียดหยามว่า การที่บุคคลนั้น
เอาหม้อทรายผูกคอฆ่าตัวตายเสียยังประเสริฐกว่าการครองราชสมบัติของพระ-
ราชาผู้ลามกนี้ มิใช่หรือ. บทว่า อญฺญาตกํ ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า
ทานที่เป็นของตนเหล่าอื่นอันเจ้าของเหล่านั้นมอบให้แล้ว ชนเหล่าใด ตั้งอยู่
ในธรรมของตนแล้ว ย่อมรับทานนั้น ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ชื่อว่าเป็นทั้ง
ผู้รับและเป็นทั้งผู้ให้ในทานนั้น ย่อมพากันทำแต่กรรมที่มีผลเป็นสุขอย่างเดียว
ก็เมื่อปฏิคาหกรับทานอยู่ ทานนั้นย่อมให้ผลเป็นอันมากแก่ทายก. คาถานั้นว่า
อญฺโญ นุ ฯเปฯ อทฺธา ปิยา ฯเปฯ โย อตฺตทุกฺเขน ความว่า
ดูก่อนอภิปารกเสนาบดีผู้สหายรัก ผู้ใดตัวเองถูกความทุกข์บีบคั้นแล้ว ย่อม
ใส่ความทุกข์นั้นให้แก่ผู้อื่น คือนำความทุกข์ออกไปเสียจากสรีระของตัวแล้ว
ใส่ไปในสรีระของผู้อื่น หรือถือเอาความสุขของตนด้วยความทุกข์ของผู้อื่น คือ
เอาความสุขของผู้อื่นนั้นมาใส่ในตน ชื่อว่าย่อมทำผู้อื่นให้ถึงความทุกข์ ด้วย
สำคัญว่า เราจักนำความทุกข์ของตนออกไปเสีย ดังนี้ ชื่อว่าย่อมทำผู้อื่นให้
ถึงความทุกข์ ด้วยสำคัญว่า เราจักทำตัวเองให้มีความสุขสบาย ดังนี้ ชื่อว่า
ย่อมทำความสุขของตนอื่นให้พินาศ ด้วยสำคัญว่า เราจักทำตัวเองให้มีความ
สุขสบาย ดังนี้ บุคคลนั้นชื่อว่าย่อมไม่รู้ธรรม. ส่วนผู้ใดย่อมรู้อย่างนี้ว่า
ความสุขและความทุกข์ของเรานั้นเป็นฉันใด ของคนอื่นก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน
ดังนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรม คือรู้จักธรรม. บทว่า ปิเยน เต ทมฺม ความว่า
ข้าพระองค์ปรารถนาผลอันเป็นที่รัก ด้วยสิ่งอันเป็นที่รักซึ่งเป็นเหตุจึงได้ถวาย
แด่พระองค์. บทว่า ปิยํ ลภนฺติ ความว่า เมื่อยังท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ
ย่อมได้สิ่งอันเป็นที่รักเหมือนกัน . บทว่า กามเหตุกํ ความว่า ดูก่อน
อภิปารกเสนาบดีผู้สหายรัก เราเกิดความปริวิตกขึ้นว่า เราจักทำสิ่งอันไม่สมควร

มีกามเป็นเหตุแล้ว จักฆ่าตนเสีย. บทว่า มยฺห สตึ ได้แก่ อันเป็นของมี
อยู่แก่ข้าพระองค์. ปาฐะว่า มยฺห สติ ดังนี้ก็มี อธิบายว่า พระองค์ทรง
สำคัญอยู่อย่างนี้ว่า นางอุมมาทันตีนั้นเป็นของข้าพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่ทรง
ปรารถนานางแล้วไซร้. บทว่า สพฺพชนสฺส ความว่า ข้าพระองค์จักให้
เสนาทั้งหมดประชุมกันแล้ว สละแก่ชนทั้งหมดนั้นว่า หญิงคนนี้ไม่เป็นประ-
โยชน์แก่เราเลย ดังนี้ . บทว่า ตโต อวฺหเยสิ ความว่า พระองค์พึงนำ
นางมาจากที่นั้นเถิด เพราะไม่มีใครหวงแหน. บทว่า อทูสิยํ ได้แก่ ผู้ไม่
มีความผิด. พระราชาตรัสเรียกอภิปารกเสนาบดีนั้นโดยชื่ออื่นอีกว่า กัตตะ
ดังนี้ ด้วยว่าอภิปารกเสนาบดีนั้น ย่อมทำประโยชน์เกื้อกูลแด่พระราชา
เพราะฉะนั้น จึงเรียกกันว่า กัตตะ. บทว่า น จาปิ ตฺยสฺส ความว่า แม้
คนฝ่ายตรงกันข้ามใคร ๆ ในพระนคร ไม่พึงมีแก่ท่านว่า เสนาบดีทำการอัน
ไม่ใช่หน้าที่. บทว่า นินฺทํ ความว่า อภิปารกเสนาบดีกราบทูลว่า จะมีคำ
ค่อนว่าอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ หากแม้ใคร ๆ จักนินทาหรือสรรเสริญข้าพระ-
องค์ต่อหน้าก็ตาม จักยกโทษขึ้นติเตียนก็ตาม ข้าพระองค์จักอดกลั้นคำนินทา
คำสรรเสริญ และคำติเตียนนั้นทั้งหมด จงมาตกอยู่แก่ข้าพระองค์เถิด. บทว่า
ตมฺหา ความว่า ผู้ใดไม่ถือเอาคำนินทาเป็นต้นเหล่านี้ สิริคืออิสริยยศ และ
ลักขีคือปัญญา ย่อมไปปราศจากบุรุษนั้น คือ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ เหมือนน้ำ
คือนำฝนไหลลงจากที่ดอน ฉะนั้น. บทว่า อิโต ความว่า จากเหตุที่ข้า-
พระองค์ได้เสียสละนางแล้วนี้. บทว่า ธมฺมาติสารญฺจ ความว่า สิ่งใดสิ่ง
หนึ่งที่เป็นอกุศลธรรม เป็นไปล่วงพ้นธรรมมีอยู่. บทว่า ปฏิจฺฉิสฺสามิ แปลว่า
จักรับเอาเฉพาะ. บทว่า ถาวรานํ ตสานํ ความว่า อภิปารกเสนาบดี
ย่อมแสดงว่า มหาปฐพีจะไม่ยอมรับสิ่งใด ๆ ของพระขีณาสพทั้งหลาย และ
ของปูถุชนทั้งหลาย ก็หาไม่ คือย่อมอดกลั้นสิ่งทั้งหมดได้ ฉันใด แม้ข้า-

พระองค์ก็ฉันนั้น จักยอมรับ จักอดกลั้นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้ได้. บทว่า
เอโกปิมํ ความว่า แม้เราผู้เดียวเท่านั้น จักทำให้พ้น จักข้าม คือจักนำ
ไปซึ่งภาระคือความทุกข์ของตนนี้เสีย. บทว่า ธมฺเม ฐิโต ความว่า เป็นผู้
ตั้งอยู่ในธรรมเครื่องวินิจฉัย ในธรรมที่เกี่ยวข้องกับประเพณี และในธรรม
คือสุจริต 3 ประการ. บทว่า สคฺคูปคํ ความว่า ธรรมดาว่าบุญกรรมที่
เป็นเหตุให้ได้เป็นเทวดานี้ ย่อมเป็นเหตุให้เข้าถึงสวรรค์. บทว่า ยญฺญํ ธนํ.
ได้แก่ ทรัพย์ในการบูชายัญ. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า
สขา ได้แก่ แม้นางอุมมาทันตีก็เป็นสหายของเรา แม้ตัวท่านก็เป็นสหาย
ของเรา. บทว่า ปิตโร ได้แก่ พระพรหม. บทว่า สพฺเพ ความว่า
มิใช่แต่เทวดาและพระพรหมเท่านั้น แม้ประชาชนชาวเมืองทั้งหมด ก็จะพึง
พากันนินทาเราได้ว่า ชาวเราเอ๋ย ! พวกท่านจงดูเถิด หญิงผู้เป็นสหายได้
เป็นภรรยาของเสนาบดีที่เคยเป็นเพื่อนกันพระราชาพระองค์นี้ยังทำไว้ในเรือน
ได้ลงคอ. บทว่า นเหตํ ธมฺมํ ความว่า ชนทั้งหมดไม่พึงเว้นกรรมอัน
ประกอบด้วยธรรมนี้เลย. บทว่า ยํ เต มยา ความว่า เพราะข้าพระองค์
ถวายนางอุมมาทันตีแก่พระองค์ ฉะนั้น สิ่งนี้จึงไม่ปรากฏว่าเป็นอธรรมเลย.
บทว่า สตํ ความว่า ธรรมทั้งหลายคือความอดทนเมตตาภาวนาศีลและ
มรรยาท ของสัตบุรุษทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น จัดว่าพรรณนาไว้ดีแล้ว.
บทว่า สมุทฺทเวลาว ทุรจฺจยานิ อธิบายว่า พระราชาตรัสว่า เพราะฉะนั้น
แม้เราก็จักไม่ก้าวล่วงขอบเขตแห่งศีล เหมือนมหาสมุทรไม่ล่วงล้นฝั่งอันเป็น
ขอบเขต ฉะนั้น. บทว่า อาหุเนยฺโย เมสิ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
พระองค์เป็นผู้สมควรแก่ของคำนับของต้อนรับ และสักการะของข้าพระองค์.
บทว่า ธาตา วิธาตา จสิ กามปาโล ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
พระองค์ชื่อว่าเป็นผู้ทรงไว้ เพราะทรงไว้ซึ่งข้าพระองค์ ชื่อว่าเป็นผู้ทรงไว้
อย่างพิเศษ เพราะทรงก่อให้เกิดความสุขในอิสริยยศ และทรงรักษาความ

ต้องการที่ข้าพระองค์อยากได้และปรารถนาแล้ว จึงชื่อว่า ผู้รักษาความ
ปรารถนา. บทว่า ตยี หุตา คือ นางที่ข้าพระองค์ถวายแด่พระองค์. บทว่า
กาเมน เม ความว่า ขอพระองค์จงทรงรับนางอุมมาทันตีตามความต้องการ
ของข้าพระองค์ คือ ตามความปรารถนาของข้าพระองค์เถิด. อภิปารกเสนาบดี
ถวายนางอุมมาทันตีแด่พระราชา ด้วยคำพูดอย่างนี้. พระราชาทรงปฏิเสธว่า
เราไม่ต้องการนาง. พระราชาและท่านเสนาบดีทั้ง 2 คน ย่อมละทิ้งนางอุมมา-
ทันตี เหมือนบุคคลเอาหลังเท้าเตะรังนกตกอยู่บนพื้นดิน ให้ลอยไปตกใน
ดง ฉะนั้น.
บัดนี้ พระราชาเมื่อจะทรงคุกคามขู่ท่านเสนาบดีนั้น เพื่อจะไม่ให้
เขากล่าวต่อไปอีก จึงตรัสคาถาเริ่มต้นว่า อทฺธา หิ ดังนี้. บรรดาบทเหล่า
นั้น บทว่า กตฺตุปุตฺตา ความว่า แม้บิดาของท่านอภิปารกเสนาบดีนั้น ก็
มีชื่อว่า กัตตะ เหมือนกัน เพราะเหตุนั้น พระราชาจึงตรัสเรียกเขาอย่างนั้น
มีคำที่ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า พระราชาตรัสคุกคามขู่อภิปารกเสนาบดีนั้นว่า
แน่นอนละ เมื่อก่อนแต่นี้ ท่านได้ประพฤติธรรมทั้งหมดแก่เรา ได้บำเพ็ญ
ประโยชน์เกื้อกูล และความเจริญแก่เรา แต่มาบัดนี้ ท่านกลับกลายเป็น
ปฏิปักษ์ เอาแต่พูดถ้อยคำเป็นอันมาก ท่านอย่าบ่นเพ้ออย่างนี้เลย คนอื่นที่
จะให้แสงสว่างแก่ท่านมีอยู่หรือในชีวโลกนี้ ผู้ที่จะกระทำความสวัสดีให้ท่านใน
เวลาอรุณขึ้นมีอยู่หรือ ก็ถ้าจักได้มีพระราชาองค์อื่นมีจิตผูกพันรักใคร่ในภรรยา
ของท่านเหมือนอย่างเราแล้วไซร้ ก็จะพึงใช้ให้คนตัดศีรษะของท่านเสียภายใน
อรุณทีเดียว แล้วชิงนางมาไว้ในพระราชวังของพระองค์เป็นแน่ แต่เราไม่ยอม
กระทำอย่างนั้น เพราะกลัวต่ออกุศลกรรม ท่านจงนิ่งเฉยเสียเถิด เรามิได้มี
ความต้องการนางเลย. อภิปารกเสนาบดี พอได้สดับพระดำรัสนั้นแล้ว เมื่อ
ไม่อาจจะกราบทูลคำอะไร ๆ อีกได้ จึงกล่าวคาถาเริ่มต้นว่า ตฺวํ นุ ดังนี้

ด้วยมุ่งจะกล่าวชมเชยพระราชา. เนื้อความแห่งบาทคาถานั้นว่า ข้าแต่พระ-
มหาราชเจ้า พระองค์เท่านั้น เป็นพระราชาผู้ประเสริฐสูงสุดแก่พระราชาผู้
เป็นจอมแห่งประชาชนทั้งหมด ชนชมพูทวีปทั้งสิ้น พระองค์เป็นพระราชาผู้
อันธรรมคุ้มครองแล้ว เพราะทรงรักษาธรรมเป็นเครื่องวินิจฉัย ธรรมอัน
เกี่ยวเนื่องด้วยประเพณีและธรรมคือความสุจริต พระองค์เป็นพระราชาผู้รู้
แจ้งธรรม เพราะรู้แจ้งตลอดทั่วถึงธรรมเหล่านั้น พระองค์เป็นผู้มีปัญญาเฉียบ
แหลม พระองค์เป็นผู้อันธรรมที่รักษาไว้คุ้มครองแล้ว ขอพระองค์จงดำรง
พระชนมายุยั่งยืนยาวนานเถิด ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้รักษาคุ้มครอง
ธรรม ขอพระองค์จงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด.
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสคาถาเริ่มต้นว่า
ตทิงฺฆ ดังนี้. ศัพท์ว่า อิงฺฆ ในคาถานั้น เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่าตักเตือน
อธิบายว่า เพราะท่านตักเตือนเรา ฉะนั้นท่านจงฟังคำของเรา. บทว่า สตํ
ได้แก่ ธรรมที่สัตบุรุษทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นซ่องเสพแล้ว. คำว่า
สาธุ คือ ความดีงาม คือ ความประเสริฐสุด. พระราชาทรงชื่อว่าเป็นผู้
ชอบใจในธรรม เพราะอรรถว่า ทรงพอพระหทัยในวินิจฉัยธรรม ประเพณี
ธรรม และสุจริตธรรม. จริงอยู่ พระราชาเช่นนั้นแม้จำต้องสละพระชนชีพ
ก็ไม่ยอมทรงทำกรรมอันมิใช่พระราชกรณียกิจ เพราะฉะนั้น จึงเป็นพระราชา
มีความดีงาม. บทว่า ปญฺญาณวา คือถึงพร้อมด้วยญาณ. บทว่า มิตฺตานํ
อทุพฺโภ
คือ ความเป็นผู้ไม่ประทุษร้ายต่อมิตร. บทว่า ฐิตธมฺมสฺส คือ
มีธรรมทั้ง 3 อย่างตั้งไว้ดีแล้ว. บทว่า อาเสถ คือ พึงนอนพึงนั่ง. จริง
อยู่ คำว่า พึงนอน นี้เป็นหัวข้อแห่งเทศนาเท่านั้น ก็ในข้อนี้ มีคำอธิบาย
ว่า พึงสำเร็จความสุขในอิริยาบถทั้ง 4 ดังนี้. บทว่า สีตจฺฉายาย ได้แก่
เงาอันร่มเย็น ระหว่างบุตรภรรยา ญาติและมิตรทั้งหลาย. บทว่า สํฆเร

คือ สกฆเร ได้แก่ ในบ้านของตนเอง พระราชาทรงแสดงว่า พวกมนุษย์
ที่ไม่ถูกเบียดเบียนด้วยพลีกรรมและอาชญาอัน ไม่เป็นธรรมเป็นต้น พึงอยู่เป็น
สุข. บทว่า น จาหเมตํ ความว่า ดูก่อนอภิปารกะผู้สหาย กรรมอันใดที่
ทำแล้วไม่ดีโดยมิได้พิจารณาก่อนทำลงไป เราไม่ชอบใจกรรมนั้นเสียเลย. บท
ว่า ญตฺวาน อธิบายว่า ก็เราชอบใจกรรมของพระราชาผู้ทรงรู้แล้ว คือ
พิจารณาใคร่ครวญแล้วตนเองไม่ยอมทำ. ก็ในคำว่า อิมา อุปมา นี้ มีความ
ว่า ขอท่านจงตั้งใจฟังคำอุปมา 2 ประการนี้ของเราเถิด. บทว่า ชิมฺหํ แปล
ว่า ทางคด. บทว่า เนตฺเต ได้แก่ โคอุสภะตัวประเสริฐนำฝูงแม่โคไป.
คำว่า ปเคว ความว่า เมื่อพระราชาพระองค์นั้น ทรงประพฤติอธรรมอยู่
ประชาชนนอกนี้ก็ย่อมพากันประพฤติอธรรมไปด้วย คือ ยิ่งประพฤติทำการ
หนักขึ้น. บทว่า ธมฺมิโก ได้แก่ พระราชาทรงละการถึงอคติ 4 ประการ
แล้ว เสวยราชสมบัติอยู่โดยธรรม. บทว่า อมรตฺตํ คือ ความเป็นเทพเจ้า.
บทว่า รตนํ ได้แก่ สวิญญาณกรัตนะและอวิญญาณกรัตนะ. บทว่า วตฺถิยํ
คือ ผ้ากาสิกพัสตร์. บทว่า อสฺสิตฺถิโย หมายถึงน้ำที่วิ่งไวเหมือนลมพัด
และหมายถึงผู้หญิงที่มีรูปสวยงดงามยิ่งนัก. บทว่า รตนํ มณิกญฺจ หมาย
ถึงแก้ว 7 ประการและสิ่งของที่มีราคามากมาย. บทว่า อภิปาลยนฺติ ความ
ว่า ย่อมรักษาชาวโลกทำให้สว่างไสวอยู่. บทว่า น ตสฺส ความว่า บุคคล
ไม่ควรประพฤติความผิด แม้เพราะเหตุแห่งความเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น
เลย. บทว่า อุสภสฺมิ ความว่า เพราะเราเกิดเป็นพระราชาผู้ประเสริฐที่สุด
ในท่ามกลางประชาชนชาวสีพี ฉะนั้น เราจึงไม่ยอมประพฤติความผิดแม้เป็น
เหตุให้ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรติ. บทว่า เนตา ความว่า เราทำให้มหาชน
ตั้งอยู่ในกุศลกรรมแล้วนำไปยังเทวนครเป็นผู้ประกอบประโยชน์ เพราะทำ
ประโยชน์ให้แก่มหาชนนั้นเป็นผู้มีชื่อเสียงกระเดื่องเด่น เพราะมีประชาชนรู้จัก
ทั่วชมพูทวีปทั้งสิ้นว่า เขาลือกันว่า พระเจ้าสีวิราชเป็นผู้ทรงประพฤติธรรม

เป็นผู้ปกครองแว่นแคว้น เพราะทรงได้ปกครองแว่นแคว้นโดยความเป็นธรรม
สม่ำเสมอ. บทว่า อปจายมาโน คือ อ่อนน้อมต่อธรรมที่เกี่ยวเนื่องด้วย
พระราชประเพณีของพระราชาแต่ครั้งโบราณกาล ของชนชาวสีพีทั้งหลาย.
บทว่า โส อธิบายว่า เรานั้นเป็นผู้เลือกเฟ้นธรรมนั้นอยู่ทีเดียว เพราะเหตุ
นั้น เราจึงไม่เป็นไปในอำนาจแห่งจิตของตัวเอง.
อภิปารกเสนาบดีพอได้สดับธรรมกถาของพระมหาสัตว์อย่างนั้นแล้ว
เมื่อจะทำความชมเชย จึงกล่าวคาถาเริ่มต้นว่า อทฺธา ดังนี้. บทว่า นปฺปมชฺ-
ชสิ
ความว่า ไม่ทรงหลงลืมธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้ว คือ ทรงประพฤติ
ในธรรมนั้นเท่านั้น. บทว่า ธมฺมํ ปมชฺช ได้แก่ ทรงลืมธรรมเสียแล้ว
เป็นไปด้วยอำนาจอคติ อภิปารกเสนาบดีนั้น ครั้นทำความชมเชยพระมหาสัตว์
อย่างนี้แล้ว จึงกล่าวคาถาสั่งสอน 10 คาถาประกอบคำว่า ธมฺมํ จร ดังนี้
เป็นต้นให้ยิ่งขึ้นไปอีก. เนื้อความแห่งคาถาเหล่านั้น ได้พรรณนาไว้แล้ว ใน
เรื่องเตสกุณชาดก ในหนหลังแล.
เมื่ออภิปารกเสนาบดีแสดงธรรมแด่พระราชาอย่างนี้แล้ว พระราชาก็
ได้ทรงบันเทาพระทัยที่จะผูกพันรักใคร่ในนางอุมมาทันตีเสียได้สิ้น.
พระศาสดา ครั้นได้ทรงนำพระธรรมเทศนานั้นมาแล้ว จึงทรงประกาศ
สัจจะทั้งหลายแล้วประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุรูปนั้น ก็ดำรงอยู่ในโสดา
ปัตติผล สุนันทสารถีในกาลน้น ได้เป็นพระอานนท์ . อภิปารกเสนาบดี
ได้เป็นพระสารีบุตร นางอุมมาทันตี ได้เป็นนางอุบลวรรณา บริษัท
ที่เหลือเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าสีวิราช ก็คือเราตถาคตนั่นแล.
จบอรรถกถาอุมมาทันตีชาดก

3. มหาโพธิชาดก


ว่าด้วยปฏิปทาของผู้นำ


[52] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เพราะเหตุไรหนอ
ท่านจึงรีบร้อนถือเอาไม้เท้า หนังสือ ร่ม รองเท้า
ไม้ขอ บาตร และผ้าพาด ท่านปรารถนาจะไปยังทิศ
ไหนหนอ.

[53] ตลอดเวลา 12 ปีที่อาตมภาพอยู่ในสำนัก
ของมหาบพิตรนี้ อาตมภาพไม่เคยรู้จักเสียงที่สุนัข สี่
เหลืองมันคำรามด้วยหูเลย สุนัขมันแยกเขี้ยวขาวเห่า
อยู่ คล้ายกับว่าไม่เคยรู้จักกัน เพราะมันได้ยินถ้อยคำ
ของมหาบพิตรกับพระชายาผู้ศรัทธาจึงกล่าวกะอาตม-
ภาพอย่างนี้.

[54] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ โทษที่ข้าพเจ้าทำ
แล้วนั้น จริงตามที่ท่านกล่าว ข้าพเจ้านี้ย่อมเลื่อมใส
ยิ่งนัก ขอท่านจงอยู่เถิด อย่าเพิงไปเสียเลย ท่าน
พราหมณ์.

[55] เมื่อก่อนข้าวสุกขาวล้วน ภายหลังก็มีสิ่ง
อื่นเจือปน บัดนี้แดงล้วน เวลานี้เป็นเวลาสมควรที่
อาตภาพจะหลีกไป อนึ่ง เมื่อก่อนอาสนะมีในภายใน