เมนู

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ใช่ว่าอานนท์จะสละชีวิตเพื่อเราตถาคตในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้
ถึงเมื่อก่อน อานนท์ก็ได้สละชีวิตเพื่อตถาคตแล้วเหมือนกัน แล้วจึงทรง
ประมวลชาดกว่า นายพรานในกาลนั้น ได้มาเป็นภิกษุชื่อว่าฉันนะในกาลนี้
พระนางเขมาเทวีได้มาเป็นภิกษุณีชื่อว่าเขมา พระราชาได้มาเป็นสารีบุตร
สุมุขหงส์เสนาบดี ได้มาเป็นภิกษุชื่อว่าอานนท์ บริษัทนอกนั้นได้มาเป็น
พุทธบริษัท ส่วนพญาหงส์ธตรฐได้มาเป็นเราตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล.
จบอรรถกถามหาหังสชาดก

3. สุธาโภชนชาดก


ว่าด้วยอาหารเป็นทิพย์


[249] ข้าพเจ้าไม่ซื้อ ไม่ขาย อนึ่ง แม้ความ
สั่งสมของข้าพเจ้า ก็ไม่มีในที่นี้ ภัตนี้มีนิดหน่อยทั้ง
หาได้แสนยาก ข้าวสุกแล่งหนึ่งนี้หาพอแก่เราสองคน
ไม่.

[250] บุคคลควรแบ่งของน้อยให้ตามน้อย
ควรแบ่งของส่วนกลางให้ตามส่วนกลาง ควรแบ่งของ
มากให้ตามมาก การไม่ให้ย่อมไม่ควร ดูก่อนโกสิย-
เศรษฐี เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกะท่าน ท่าน
จงขั้นสู่ทางของพระอริยเจ้า จงให้ทานและจงบริโภค.
เพราะว่าผู้บริโภคคนเดียวย่อมไม่ได้ความสุข.

[251] ผู้ใด เมื่อแขกนั่งแล้ว บริโภคโภชนะ
ผู้เดียว พลีกรรมของผู้นั้นย่อมไร้ผล ทั้งความเพียร
แสวงหาทรัพย์ของผู้นั้นก็ไร้ประโยชน์ ดูก่อนโกสิย-
เศรษฐี เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกะท่าน ท่าน
จงขึ้นสู่ทางแห่งพระอริยเจ้า จงให้ทานและจงบริโภค
เพราะว่าผู้บริโภคคนเดียวย่อมไม่ได้ความสุข.

[252] ผู้ใด เมื่อแขกนั่งแล้ว ไม่บริโภคโภชนะ
แต่ผู้เดียว พลีกรรมของผู้นั้นย่อมมีผลจริง ทั้งความ
เพียรแสวงหาทรัพย์ของผู้นั้นก็มีประโยชน์จริง ดูก่อน
โกสิยเศรษฐี เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกะท่าน
ท่านจงขึ้นสู่ทางของพระอริยเจ้า จงให้ทานและจง
บริโภค เพราะว่าผู้บริโภคคนเดียวย่อมไม่ได้ความสุข.

[253] บุรุษเข้าไปสู่สระแล้ว บูชาที่แม่น้ำชื่อ
พหุกาก็ดี ที่สระชื่อคยาก็ดี ที่ท่าน้ำชื่อโทณะก็ดี ที่ท่า
น้ำชื่อติมพรุก็ดี ที่ห้วงน้ำใหญ่ มีกระแสเชี่ยวก็ดี การ
บูชา และความเพียรของเขาในที่นั้น ๆ ย่อมมีผล ผู้
ใด เมื่อแขกนั่งแล้ว ไม่บริโภคโภชนะแต่ผู้เดียว จะ
กล่าวว่าไร้ผลนั้นไม่ได้ ดูก่อนโกสิยเศรษฐี เพราะเหตุ
นั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกะท่าน ท่านจงขึ้นสู่ทางของ
พระอริยเจ้า จงให้ทานและจงบริโภค เพราะว่าผู้บริ-
โภคคนเดียวย่อมไม่ได้ความสุข.

[254] ผู้ใด เมื่อแขกนั่งแล้ว บริโภคโภชนะ
แต่ผู้เดียว ผู้นั้นเปรียบเหมือน กลืนเบ็ดอันมีสายยาว
พร้อมทั้งเหยื่อ ดูก่อนโกสิยเศรษฐี เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าขอกล่าวกะท่าน ท่านจงขึ้นสู่ทางของพระ-
อริยเจ้า จงให้ทานและจงบริโภค เพราะว่าผู้บริโภค
คนเดียวย่อมไม่ได้ความสุข.

[255] พราหมณ์เหล่านี้มีผิวพรรณงามจริง
หนอ เพราะเหตุไร สุนัขของท่านนี้จึงเปล่งรัศมีต่างๆ
ได้ ข้าแต่พราหมณ์ ท่านทั้งหลายใครเล่าหนอจะบอก
แก่ข้าพเจ้าได้.

[256] ท่านทั้งสองนี้ คือ จันทเทพบุตรและ
สุริยเทพบุตร ส่วนผู้นี้คือ มาตลีเทพสารถี ส่วนเราเป็น
ท้าวสักกะจอมเทพชาวไตรทศ และสุนัขตัวนี้เรียกว่า
ปัญจสิขเทพบุตร.

[257] ฉิ่ง ตะโพน และเปิงมาง ย่อมปลุกเทพ
บุตรผู้หลับแล้วให้ตื่นและตื่นแล้วย่อมเพลิดเพลินใจ.

[258] ชนเหล่าใด เหล่าหนึ่ง มีความตระหนี่
เหนียวแน่น มักบริภาษสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ชน
เหล่านั้นทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้แล้ว เมื่อตายแล้ว
ย่อมไปสู่นรก ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งหวังสุคติตั้งอยู่ใน
ธรรม คือ ความสำรวมและการแจกทาน ชนเหล่านั้น
ทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้แล้ว เมื่อตายไป ย่อมไป
สู่สุคติ.

[259] ท่านนั้นชื่อโกสิยเศรษฐี มีความตระ-
หนี่มีธรรมอันลามก ในชาติก่อนเป็นญาติของพวกเรา
พวกเรามาแล้วในที่นี้ เพื่อประโยชน์แก่ท่านเท่านั้น
ด้วยคิดว่า โกสิยะนี้อย่าได้มีธรรมอันลามกไปนรกเลย.

[260] ก็ท่านเหล่านั้น เป็นผู้ใคร่ประโยชน์แก่
ข้าพเจ้าโดยแท้ เพราะมาพร่ำสอนข้าพเจ้าอยู่เนือง ๆ
ข้าพเจ้านั้นจักทำ ตามคำที่ท่านทั้งหลายผู้แสวงหา
ประโยชน์กล่าวแล้วทุกประการ ข้าพเจ้านั้นจักของด
เว้นจากความเป็นคนตระหนี่เสียในวันนี้แหละ อนึ่ง
ข้าพเจ้าจะไม่พึงทำบาปกรรมอะไร ๆ ขึ้น ชื่อว่าการไม่
ให้อะไร ๆ จะไม่มีแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้ายังไม่ได้ให้
แล้วจะไม่ขอดื่มน้ำ ข้าแต่ท้าววาสวะ ก็เมื่อข้าพเจ้า
ให้อยู่อย่างนี้ตลอดกาลทั้งปวง แม้โภคสมบัติของ
ข้าพเจ้าจักสิ้นไป แต่นั้นข้าพเจ้าจักละกามทั้งหลาย
ตามส่วนที่มีอยู่แล้วจักบวช.

[261] เทพธิดาเหล่านั้น อันท้าวสักกะผู้
ประเสริฐกว่าเทวดารักษาแล้ว ย่อมบันเทิงอยู่ ณ ภูเขา
คันธมาทน์อันเป็นภูเขาประเสริฐสุด ครั้งนั้นนารท
ดาบสผู้ประเสริฐ ว่าฤาษี ผู้ไปได้ในโลกทั้งปวง ได้มา
ถือเอากิ่งไม้อันประเสริฐ มีดอกบานดีแล้ว ดอกไม้นั้น
สะอาด มีกลิ่นหอม เทพยดาชาวไตรทศกระทำสักการะ

เป็นดอกไม้สูงสุด อันท้าวสักกะผู้ประเสริฐกว่าอมรเทพ
เสพแล้ว แต่พวกมนุษย์และพวกอสูรไม่ได้ เว้นไว้แต่
พวกเทวดา เป็นดอกไม้มีประโยชน์ สมควรแก่เทวดา
เหล่านั้น ลำดับนั้น นางเทพนารี 4 องค์ คือ นาง
อาสา นางศรัทธา นางศิริ และนางหิริ ผู้มีผิวพรรณ
เปรียบด้วยทองคำ เป็นใหญ่กว่านางเทพนารีผู้รื่นเริง
ต่างลุกขึ้นกล่าวกะนารทมุนี ผู้เป็นพราหมณ์ผู้ประเสริฐ
ว่า ข้าแต่ท่านมหานุนีผู้ประเสริฐ ถ้าดอกปาริฉัตตะนี้
พระคุณเจ้าไม่เจาะจงแล้ว ก็ขอจงให้แก่พวกดีฉันเถิด
คติทั้งปวงจงสำเร็จแก่พระคุณเจ้า ขอพระคุณเจ้าจงให้
แก่พวกดีฉัน เหมือนท้าววาสวะฉะนั้นเถิด นารทดาบส
เห็นนางเทพธิดาทั้ง 4 มาขอดอกไม้ จึงกล่าวว่า ท่าน
พูดด้วยคำชวนทะเลาะ เราไม่มีความต้องการด้วยดอก
ไม้เหล่านี้สักน้อยหนึ่ง บรรดาเจ้าทั้งสี่ ผู้ใดประเสริฐ
กว่า ผู้นั้นจงประดับดอกไม้นั้นเถิด.

[262] ข้าแต่ท่านนารทะผู้อุดม พระคุณเจ้า
นั่นแลจงพิจารณาดูพวกดิฉัน พระคุณเจ้าปรารถนา
ให้แก่นางใด ก็จงให้แก่นางนั้น ก็บรรดาพวกดิฉัน
พระคุณเจ้าจักให้แก่นางใด นางนั้นแหละ จักเป็นผู้
อันดีฉันทั้งหลายยกย่องว่าประเสริฐสุด.

[263] ดูก่อนนางผู้มีกายงาม คำนี้ไม่สมควร
ใครเป็นพราหมณ์ ใครกล่าวการทะเลาะ เพราะฉะนั้น

ท่านทั้งหลายจงไปทูลถามท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งภูต
เถิด ถ้าท่านทั้งหลายไม่ทราบในที่นี้ว่า ตนสูงสุดหรือ
ว่าธรรมสูงสูด.

[264] นางเทพธิดาเหล่านั้น อันนารทดาบส
กล่าวแล้ว เป็นผู้โกรธแค้นอย่างยิ่ง เป็นผู้มัวเมาใน
ผิวพรรณ พากันไปสู่สำนักของท้าวสหัสนัยน์ แล้ว
ทูลถามท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งภูตว่า ใครหนอเป็นผู้
ประเสริฐ.

[265] ท้าวปุรินททะผู้ประเสริฐกว่าเทวดา ผู้
อันเทวดากระทำอัญชลี ทรงเห็นนางเทพธิดาทั้ง 4 นั้น
ผู้มีใจริษยา จึงตรัสว่า ดูก่อนเจ้าผู้งามเลิศ เจ้าทั้งปวง
เป็นเช่นเดียวกัน จงยกไว้ก่อน ใครเล่าหนอได้กล่าว
การทะเลาะขึ้น.

[266] ท่านนารทมหามุนีใด ผู้เที่ยวไปในโลก
ทั้งปวง ผู้ตั้งอยู่ในธรรม มีความบากบั่นอย่างแท้จริง
ท่านนั้นได้กล่าวกะพวกหม่อมฉัน ณ ภูเขาคันธมาทน์อัน
เป็นภูเขาประเสริฐว่า ท่านทั้งหลายจงไปทูลถามท้าว-
สักกะผู้เป็นจอมแห่งภูตเถิด ถ้าท่านทั้งหลายไม่ทราบ
ในที่นี้ว่า ตนประเสริฐหรือธรรมประเสริฐ.

[267] ดูก่อนเจ้าผู้มีกายงาม ท่านมหามุนีมี
นามว่าโกสิยะ อยู่ในป่าใหญ่โน้น ท่านไม่ให้ก่อนแล้ว
ย่อมไม่บริโภคภัต ท่านพิจารณาเสียก่อนแล้วจึงให้ทาน
ถ้าท่านจักให้แก่นางใด นางนั้นแลเป็นผู้ประเสริฐ.

[268] ก็ท่านโกสิยดาบสนั้นอยู่ในทิศทักษิณ
ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ข้างหิมะวันตบรรพตโน้น ท่านหา
น้ำและโภชนะได้โดยยาก ดูก่อนเทพสารถี ท่านจง
นำสุธาโภชน์ไปถวายท่าน.

[269] มาตลีเทพสารถีนั้น อันท้าวสักกะผู้-
ประเสริฐกว่าเทวดารับสั่งให้แล้ว ได้ขึ้นรถเทียมด้วย
ม้าพันตัว เข้าไปยังอาศรมโดยเร็วพลัน เป็นผู้มีกาย
ไม่ปรากฏ ได้ถวายสุธาโภชน์แก่มุนี.

[270] ก็เมื่อเราบำเรอไฟที่เราบูชาแล้ว ยืนอยู่
ใกล้พระอาทิตย์อันมีแสงสว่าง บรรเทาความมืดใน
โลกอันสูงสุดเสียได้ ท้าววาสวะผู้ครอบงำภูตทั้งปวง
หรือว่าใครหนอมาวางภัต อันขาวสะอาดลงในฝ่ามือ
ของเรา ภัตนี้ขาวเปรียบดังสังข์ ไม่มีสิ่งอื่นเปรียบปาน
น่าดู สะอาด มีกลิ่นหอมน่ารัก ยังไม่เคยมีเลย เรายัง
ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองเลย เทวดาองค์ไหน เอา
สุธาโภชน์มาวางบนฝ่ามือของเรา.

[271] ข้าแต่มหามุนีผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ข้าพเจ้าอันท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพทรงใช้แล้ว จึงได้
รีบนำเอาสุธาโภชน์มาถวาย พระคุณเจ้าจงรู้จักข้าพเจ้า
ว่ามาตลีเทพสารถี นิมนต์พระคุณเจ้าบริโภคภัตอัน
อุดม อย่าห้ามเสียเลย ก็สุธาโภชน์ที่บริโภคแล้วนั้น
ย่อมขจัดบาปธรรมได้ 2 ประการ คือ ความหิว 1
ความระหาย 1 ความไม่ยินดี (กระสัน) 1 ความ

กระวนกระวาย 1 ความเหน็ดเหนื่อย 1 ความโกรธ 1
ความเข้าไปผูกโกรธ 1 ความวิวาท ความส่อเสียด 1
ความหนาว 1 ความร้อน 1 ความเกียจคร้าน 1
สุธาโภชน์นี้มีรสสูงสุด.

[272] ดูก่อนมาตลี การที่ยังไม่ให้ก่อนแล้ว
บริโภค ไม่สมควรแก่เรา วัตรของเราดังนี้เป็นวัตร
อันอุดม อนึ่ง การบริโภคคนเดียวพระอริยเจ้าไม่บูชา
และบุคคลผู้มิได้แบ่งให้ ย่อมไม่ได้ประสบความสุข.

[273] ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นผู้ฆ่าหญิง
คบหาภรรยาของชายอื่น ประทุษร้ายต่อมิตร และด่า
สมณพราหมณ์ผู้มีวัตรดีงาม ชนเหล่านั้นทั้งปวงทีเดียว
มีความตระหนี่เป็นที่ 5 เป็นคนเลวทราม เพราะเหตุนั้น
อาตมาไม่ได้ให้ก่อนแล้ว ไม่ดื่มแม้กระทั่งน้ำ อาตมา
จักให้ทานที่ท่านผู้รู้สรรเสริญแล้ว แก่หญิงหรือชาย
เพราะว่าท่านเทล่านั้นเป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์
ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ บัณฑิตยกย่องว่า
เป็นผู้สะอาด และมีความสัตย์ในโลกนี้.

[274] ลำดับนั้น นางเทพกัญญา 4 องค์ คือ
นางอาสา นางศรัทธา นางสิริ และนางหิริ ผู้มีผิว-
พรรณเปรียบดังทองคำ ซึ่งท้าวสักกะผู้ประเสริฐกว่า
เทวดาทรงอนุมัติส่งไปแล้ว ได้ไปยังอาศรมอันเป็นที่
อยู่ของโกสิยดาบส โกสิยดาบสได้เห็นนางเทพกัญญา

ทั้งปวงนั้น ผู้บันเทิงอย่างยิ่ง มีผิวพรรณงามดังเปลว
เพลิงจึงได้กล่าวกะนางเทพกัญญาทั้ง 4 ในทิศทั้ง 4
ต่อหน้ามาตลีเทพสารถีว่า ดูก่อนเทวดาในบุรพทิศ
ท่านผู้ประดับประดาแล้ว งดงามดังดวงดาวประกาย-
พรึกอันประเสริฐกว่าดาวทั้งหลาย ท่านมีชื่อว่า
อย่างไร จงบอกไป ดูก่อนเทวดาผู้มีร่างกายคล้ายกับ
รูปทองคำ อาตมาขอถามท่าน ท่านจงบอกแก่อาตมา
ท่านเป็นเทวดาอะไร.

[275] ดิฉันชื่อว่าสิริเทวี ได้รับการบูชาใน
หมู่มนุษย์ เป็นผู้ไม่เสพสัตว์ลามกทุกเมื่อ มาสู่สำนัก
ของพระคุณเจ้าเพราะความทะเลาะกันด้วยสุธาโภชน์
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้มีปัญญาอันประเสริฐ ขอพระคุณเจ้า
จงแบ่งสุธาโภชน์นั้นให้ดิฉันบ้าง ข้าแต่ท่านมหามุนี
ผู้สูงสุดกว่าผู้บูชาทั้งหลาย ดิฉันปรารถนาความสุขแก่
นรชนใด นรชนนั้นย่อมบันเทิงด้วยกามคุณารมณ์
ทั้งปวง ขอพระคุณเจ้าจงรู้จักดิฉันว่า สิริ ข้าแต่
พระคุณเจ้าผู้มีปัญญาอันประเสริฐ ขอได้โปรดแบ่ง
สุธาโภชน์นั้นให้ดิฉันบ้าง.

[276] นรชนทั้งหลายผู้ประกอบด้วยศิลปะ
วิทยา จรณะ ความรู้ และการงานของตน มีความเพียร
เป็นผู้ที่ท่านละทิ้งเสียแล้ว ย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไร
ความขาดแคลนที่ท่านทำแล้วนั้นไม่ดีเลย อาตมาเห็น

นรชนผู้เป็นคนเกียจคร้านบริโภคมาก ทั้งมีตระกูลต่ำ
มีรูปแปลก ดูก่อนนางสิริ บุคคลผู้มีโภคทรัพย์มี
ความสุข ย่อมใช้สอยนรชนที่ท่านตามรักษาไว้ แม้จะ
สมบูรณ์ด้วยชาติ ให้เป็นเหมือนทาส เพราะฉะนั้น
อาตมารู้จักท่าน (ว่าเป็น) ผู้ไม่มีสัจจะ ไม่รู้สิ่งที่ควร
และไม่ควร แล้วคบคนผู้สมบูรณ์ด้วยศิลปะเป็นต้น
เป็นผู้หลง นำผู้รู้ให้ตกไปตาม นางเทพกัญญาเช่นท่าน
ย่อมไม่สมควรอาสนะและน้ำ ที่ไหนสุธาโภชน์จะ
สมควรเล่า เชิญไปเสียเถิด อาตมาไม่ชอบใจท่าน.

[277] ใครเป็นผู้มีฟันขาว สวมกุณฑล มี
ร่างกายอันวิจิตร ทรงเครื่องประดับอันเกลี้ยงเกลา
ทำด้วยทองคำ นุ่งห่มผ้ามีสีดังสายน้ำหยด ทัดช่อ
ดอกไม้สีแดงดังเปลวไฟไหม้หญ้าคา ย่อมงดงาม ท่าน
เป็นเหมือนนางเนื้อทรายที่นายพรานยิงผิดแล้ว มองดู
อยู่เหมือนดังเขลา ฉะนั้น ดูก่อนท่านผู้มีดวงตาอ่อน-
หวาน ในที่นี้ใครเป็นสหายของท่าน ท่านอยู่ในป่า
แต่ผู้เดียว ไม่กลัวหรือ.

[278] ข้าแต่ท่านโกสิยดาบส ในที่นี้ ดิฉัน
ไม่มีสหาย ดิฉันเป็นเทวดาชื่อว่า อาสา เกิดในดาวดึงส์
พิภพ มายังสำนักของพระคุณเจ้าเพราะหวังจะขอ
สุธาโภชน์ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้มีปัญญาอันประเสริฐ
ขอได้โปรดแบ่งสุธาโภชน์นั้นให้ดิฉันบ้าง.

[279] พ่อค้าทั้งหลายผู้แสวงหาทรัพย์ ย่อม
ขึ้นเรือแล่นไปในทะเลด้วยความหวัง พ่อค้าเหล่านั้น
ย่อมจมลงในทะเลนั้น ในกาลบางครั้ง เขาสิ้นทรัพย์
ทั้งทรัพย์อันเป็นต้นทุนก็สูญหายแล้วกลับมา ชาวนา
ทั้งหลายย่อมไถนาด้วยความหวัง หว่านพืชก็กระทำ
โดยแยบคาย เขาไม่ได้ประสบผลอะไร ๆ จากข้าวกล้า
นั้น เพราะเพลี้ยลงบ้าง เพราะฝนแล้งบ้าง อนึ่ง
นรชนทั้งหลายผู้แสวงหาความสุข มุ่งหวังเป็น
เบื้องหน้า ย่อมกระทำการงานของตนเพื่อนาย นรชน
เหล่านั้นอันศัตรูเบียดเบียนแล้ว ไม่ได้ประโยชน์
อะไร ๆ ย่อมพากันหนีไปสู่ทิศทั้งหลายก็เพื่อประโยชน์
แก่นาย สัตว์ทั้งหลายผู้แสวงหาความสุข เป็นผู้ใคร่
จะไปสวรรค์ ละทิ้งธัญญาติ ทรัพย์และหมู่ญาติแล้ว
บำเพ็ญตบะอันเศร้าหมองอยู่ตลอดกาลนาน เดินทาง
ผิด ย่อมไปสู่ทุคติเพราะความหวัง เพราะฉะนั้น
ความหวังเหล่านี้ เขาสมมติว่าทำให้เคลื่อนคลาดจาก
ความจริง ดูก่อนนางอาสา ท่านจงนำความหวัง
สุธาโภชน์ในตนออกเสียเถิด นางเทพกัญญา เช่นท่าน
ย่อมไม่สมควรอาสนะและน้ำ ที่ไหนสุธาโภชน์จะ
สมควรเล่า เชิญไปเสียเถิด อาตมาไม่ชอบใจท่าน.

[280] ท่านรุ่งเรืองด้วยยศ มียศ เขาเรียกโดย
ชื่ออันน่าเกลียดเป็นเจ้าทิศ ดูก่อนนางผู้มีร่างกายคล้าย

ทองคำ อาตมาขอถามท่าน ขอท่านจงบอกอาตมา
ท่านเป็นเทวดาอะไร.

[281] ดิฉันชื่อว่าศรัทธาเทวี ได้รับการบูชาใน
หมู่มนุษย์ เป็นผู้ไม่คบสัตว์ลามกทุกเมื่อ มายังสำนัก
ของพระคุณเจ้า เพราะวิวาทกันด้วยสุธาโภชน์ ข้าแต่
พระคุณเจ้าผู้มีปัญญาอันประเสริฐ ขอพระคุณเจ้า
โปรดแบ่งสุธาโภชน์นั้นให้ดิฉันบ้าง.

[282] ก็ในกาลบางคราว มนุษย์ทั้งหลายถือ
เอาทานการให้บ้าง ทมะ การฝึกฝนบ้าง จาคะ การ
บริจาคบ้าง สัญญมะ ความสำรวมบ้าง แล้วกระทำ
ด้วยศรัทธา แต่มนุษย์พวกหนึ่งกระทำโจรกรรมบ้าง
พูดเท็จบ้าง ล่อลวงบ่าง ส่อเสียดบ้าง ท่านอย่า
ประกอบต่อไป บุรุษผู้มีความเพ่งเล็งในภรรยาทั้งหลาย
ผู้สม่ำเสมอกัน ผู้ประกอบด้วยศีล ผู้มีวัตรในการ
ปฏิบัติสามีดี ย่อมนำความพอใจในกุลสตรี ออกเสีย
กลับไปทำความเชื้อตามคำของนางกุมภทาสี ดูก่อน
นางศรัทธา ท่านนั่นแล เป็นผู้ให้ชายอื่นคบหาภรรยา
ของผู้อื่น ท่านย่อมทำบาป ละทิ้งกุศล นางเทพกัญญา
เช่นท่านย่อมไม่สมควรอาสนะและน้ำ ที่ไหนสุธาโภชน์
จะสมควรแก่ท่านเล่า เชิญท่านไปเสียเถิด อาตมาไม่
ชอบใจท่าน.

[283] เมื่ออรุณขึ้นไปในที่สุดแห่งราตรี นาง
เทพธิดาใด เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งรูปอันอุดมปรากฏอยู่
ดูก่อนเทวดา ท่านเปรียบเหมือนนางเทพธิดานั้น จะ
พูดกะอาตมาหรือ ขอท่านจงบอกกะอาตมา ท่านเป็น
นางอัปสรอะไร ท่านมีชื่อว่าอะไร ยืนอยู่ดังเถาวัลย์ดำ
ในฤดูร้อน และดังเปลวไฟอันห้อมล้อมด้วยใบไม้
สีแดงถูกลมพัดดูงาม ฉะนั้น ท่านดูเหมือนจะพูดแต่
มิได้เปล่งถ้อยคำออกมา แลดูอยู่ดังนางเนื้อเขลา
ฉะนั้น.

[284] ดิฉันชื่อหิริเทวี ได้รับการบูชาในหมู่
มนุษย์ไม่เสพสัตว์ลามกทุกเมื่อ มายังสำนักของพระ-
คุณเจ้า เพราะวิวาทกันด้วยสุธาโภชน์ ดิฉันนั้นไม่
อาจจจะอสุธาโภชน์กับพระคุณเจ้า เพราะการขอของ
หญิง ดูเหมือนจะเป็นกิริยาที่น่าละอาย.

[285] ดูก่อนท่านผู้มีร่างกายอันงดงาม ท่าน
จักได้ตามอุบายที่ชอบ นี้เป็นธรรมทีเดียว ท่านจะได้
สุธาโภชน์เพราะการขอก็หาไม่ เพราะฉะนั้น อาตมา
พึงเชื้อเชิญท่านผู้มีได้ขอสุชาโภชน์ใด ๆ อาตมาจะให้
สุธาโภชน์แม้นั้น ๆ แก่ท่าน ดูก่อนท่านผู้มีร่างกายอัน
งดงามคล้ายทองคำ วันนี้ อาตมาขอเชิญท่านไปใน
อาศรมของอาตมา อาตมาจะบูชาท่านด้วยรสทุกอย่าง
ครั้นบูชาแล้วจึงจักให้บริโภคสุธาโภชน์.

[286] นางหิริเทพธิดานั้น ผู้ไม่คบสัตว์ลามก
ในกาลทุกเมื่อ อันโกสิยดาบสผู้มีความรุ่งเรืองอนุมัติ
แล้ว ได้เข้าไปสู่อาศรมอันน่ารื่นรมย์ สมบูรณ์ด้วย
น้ำและผลไม้ อันท่านผู้ประเสริฐบูชาแล้ว ณ ที่ใกล้
อาศรมนั้น มีรุกขชาติเป็นอันมาก กำลงผลิดอกออก
ผล คือ มะม่วง มะหาด ขนุน ทองกวาว มะรุม
อีกทั้งต้นโลท บัวบก การะเกด จันทน์กระพ้อ หมาก
หอมควาย กำลังออกดอกสะพรั่ง ในที่ใกล้อาศรมนั้น
มากไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ๆ คือ ต้นสาละ ต้นกุ่ม ต้นหว้า
ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นมะซาง ไม้ย่างทราย ราชพฤกษ์
แคฝอย ต้นจิก ต้นลำเจียก มีกิ่งก้านห้อยย้อยลงมา
กำลังส่งกลิ่นหอมน่ายวนใจ ถั่วแระ อ้อยแขม ถั่วป่า
ต้นมะพลับ ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ถั่วเหลืองเมล็ดเล็ก
กล้วยไม่มีเมล็ด ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ราชดัด ข้าวสาร
ที่เกิดเองมีอยู่เป็นอันมากที่อาศรมนั้น มีสระโปกขรณี
ที่เกิดเอง งดงามไม่ขุ่น มีท่าราบเรียบ น้ำใสจืดสนิท
ไม่มีกลิ่นเหม็น อนึ่ง ในสระโปกขรณีนั้น มีปลา
ต่าง ๆ ชนิด คือ ปลาดุก ปลากระทุงเหว ปลากราย
กุ้ง ปลาตะเพียน ปลาฉลาด ปลากา ว่ายอยู่คลาคล่ำ
ในสระโปกขรณีอันมีขอบคัน เป็นปลาที่ปล่อย มีเหยื่อ
มากชนิด มีนกต่าง ๆ ชนิด คือ หงส์ นกกระเรียน
นกยูง นกจากพราก นกออก นกกระเหว่าลาย นก

เงือก นกโพระดก มีอยู่มากมาย มีขนปีกอันวิจิตร
พากันจับอยู่อย่างสบาย ปลอดภัย มีอาหารมาก มีสัตว์
และหมู่เนื้อนานาชนิดมากมาย คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง
ช้าง หมี เสือปลา เสือดาว แรด โคลาน กระบือ
ละมั่ง กวาง เนื้อทราย หมูป่า ระมาด หมูบ้าน
กวางทอง แมว กระต่าย วัวกระทิง มีอยู่มาก พื้นดิน
หินเขา ดาดาษงามวิจิตรด้วยดอกไม้ ทั้งฝูงนกก็ส่ง
เสียงร้องกึกก้อง เป็นที่อยู่อาศัยของหมู่ปักษี.

[287] นางหิริเทพธิดานั้น ผู้มีผิวพรรณงดงาม
ทัดดอกไม้เขียว เดินเข้าไปยังอาศรม ดังสายฟ้าแลบ
ในก่อนเมฆใหญ่ โกสิยดาบสได้จัดตั่งอันมีพนักที่ถัก
ไว้เรียบร้อย สำเร็จด้วยหญ้าคาสะอาด มีกลิ่นหอม
ลาดด้วยหนังชะมด เพื่อนางหิริเทพธิดานั้น แล้วได้
กล่าวว่า ดูก่อนนางงาม เชิญนั่งทีอาสนะนี้ตามสบาย
เถิด ในกาลนั้น เมื่อนางหิริเทพธิดานั่งลงบนตั่งแล้ว
โกสิยมหามุนีผู้ทรงชฎาอันรุ่งเรือง ได้รีบนำสุธาโภชน์
มาพร้อมกับน้ำด้วยใบบัวใหม่ ๆ ด้วยตนเอง เพื่อจะให้
พอความประสงค์ นางหิริเทพธิดามีความปลื้มใจ รับ
สุธาโภชน์ด้วยมือทั้งสอง แล้วได้กล่าวกะโกสิยดาบสผู้
ทรงชฎาว่า ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ เอาละ ดิฉันเป็น
ผู้อันพระคุณเจ้าบูชาแล้ว ได้ชัยชนะแล้ว จะพึงไปสู่
ไตรทิพย์ในบัดนี้ นางหิริเทพธิดานั้น เป็นผู้มัวเมาแล้ว

ด้วยความเมาในผิวพรรณ อันโกสิยดาบสกล่าวอนุญาต
แล้ว ได้กลับไปในสำนักของท้าวสหัสนัยน์ แล้ว
กราบทูลว่า ข้าแต่ท้าววาสวะ นี่สุธาโภชน์ ขอพระองค์
จงพระราชทานชัยชนะแก่หม่อมฉัน แม้ท้าวสักกะก็
ได้ทรงบูชานางหิริเทพธิดาในกาลนั้น เทวดาพร้อม
ด้วยพระอินทร์ ได้พากันบูชานางสุกัญญาผู้อุดม นาง
หิริเทพธิดานั้นเข้าไปนั่งบนตั่งใหม่ในกาลใด ในกาล
นั้น เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายประคองอัญชลีบูชา
แล้ว.

[288] ท้าวสหัสนัยน์ผู้เป็นจอมแห่งชาวไตรทศ
ตรัสกะมาตลีเทพสารถีนั้นต่อไปว่า ท่านจงไปถามท่าน
โกสิยดาบสตามคำของเราว่า ข้าแต่ท่านโกสิยะ เว้น
นางอาสาเทพธิดา นางศรัทธาเทพธิดา และนางสิริ-
เทพธิดา นางหิริเทพธิดาผู้เดียวได้สุธาโภชน์เพราะเหตุ
อะไร.

[289] มาตลีเทพสารถี ขึ้นรถอันเลื่อนลอยไป
ตามสบาย รุ่งเรืองเช่นกับเครื่องใช้สอย มีงอนอันแล้ว
ไปด้วยทองชมพูนุทมีสีแดงคล้ายทองคำ ประดับ
ประดาแล้ว ประกอบไปด้วยเครื่องลาดทองคำงาม-
วิจิตร ในรถนี้มีภาพมากมาย คือรูปพระจันทร์ รูป
ช้าง รูปใด รูปม้า รูปกินนร รูปเสือโคร่ง รูปเสือ-
เหลือง รูปเนื้อทราย ล้วนแล้วไปด้วยทองคำ และมี

รูปนกทั้งหลาย อันล้วนแล้วด้วยรัตนะต่าง ๆ ดุจ
กระโดดโลดเต้นอยู่ รูปเนื้อในรถนั้นจัดไว้เป็นหมู่ ๆ
ล้วนแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ เทพบุตรทั้งหลายเทียมม้า
อัศวราชมีสีเหลืองดังทองคำ ประมาณพันตัว คล้าย
ดังช้างหนุ่มมีกำลังประดับประดาแล้ว มีเครื่องทับ
ทรวงล้วนแล้วด้วยข่ายทองคำ มีภู่ห้อยหู ไปโดยเสียง
ปกติไม่ขัดข้อง มาตลีเทพสารถีขึ้นสู่ยานอันประเสริฐ
นั้นแล้ว บันลือแล้วตลอดสิบทิศนี้ ยังท้องฟ้าภูเขาและ
ต้นไม้ใหญ่อันเป็นเจ้าไพร พร้อมทั้งสาคร ตลอดทั้ง
เมทนีดล ให้หวั่นไหว มาตลีเทพสารถีนั้น รีบเข้า
ไปในยาศรมอย่างนี้แล้ว กระทำผ้าทิพประพารเฉวียง
ป่าข้างหนึ่งแล้วกล่าวกะท่านโกสิยดาบส ผู้เป็นพหูสูต
ผู้เจริญ มีวัตรอันแนะนำดีแล้ว ผู้เป็นพราหมณ์ ผู้
ประเสริฐว่า ข้าแต่ท่านโกสิยดาบส เชิญท่านฟังพระ
ดำรัสของพระอินทร์ ข้าพเจ้าเป็นทูต ท้าวปุรินททะ
ตรัสถามท่านว่า ข้าแต่ท่านโกสิยดาบส เว้นนางอาสา
เทพธิดา นางศรัทธาเพทธิดาและนางสิริเทพธิดา นาง
หิริเทพธิดาผู้เดียวได้สุธาโภชน์ เพราะเหตุอะไร.

[290] ดูก่อนมาตลีเทพสารถี นางสิริเทพธิดา
ตอบอาตมาว่า "แน่" ส่วนนางศรัทธาเทพธิดาตอบ
อาตมาว่า "ไม่เที่ยง" นางอาสา อาตมาเข้าใจว่าเป็นผู้
กล่าวเคลื่อนคลานจากความจริง ส่วนนางหิริเทพธิดา
ตั้งอยู่ในคุณอันประเสริฐ.

[291] นางกุมารีก็ดี หญิงที่สกุลรักษาแล้วก็ดี
หญิงหม้ายก็ดี หญิงมีสามีก็ดี รู้ฉันทราคะ ที่เกิดแรง
กล้าในบุรุษทั้งหลาย แล้วห้ามกันจิตของตนได้ด้วยหิริ
เปรียบเหมือนบรรดาพวกนักรบผู้แพ้ในสนานรบ ที่ต่อ
สู้กันด้วยลูกศรและหอกแล้วล้มลงและกำลังหนีไป
นักรบเหล่าใดยอมสละชีวิตกลับมาได้ด้วยหิริ นักรบ
เหล่านั้นเป็นของคนละอายใจ ย่อมมารับนายอีก
ฉะนั้น นางหิริเทพธิดานี้ เป็นผู้ห้ามนรชนเสียจาก
บาป เปรียบเหมือนทำนบเป็นที่กั้นกระแสน้ำเชี่ยวไว้
ได้ ฉะนั้น ดูก่อนเทพสารถี เพราะเหตุนั้น ท่านจง
กราบทูลแด่พระอินทร์ว่า นางหิริเทพธิดานั้น อันท่าน
ผู้ประเสริฐ บูชาแล้วในโลกทั้งปวง.

[292] ข้าแต่ท่านโกสิยดาบสผู้แสวงหาคุณอัน
ยิ่งใหญ่ ท้าวมหาพรหม ท้าวมหินทร์ หรือท้าวปชาบดี
ใครเล่าเข้าใจความเห็นนั้นของพระคุณเจ้า นางหิริเทพ.
ธิดานี้เป็นธิดาของท่าวมหินทร์ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้
ประเสริฐสุดแม้ในเทวดาทั้งหลาย.

[293] ขอเชิญพระคุณเจ้ามาขึ้นรถอันเป็นของ
ข้าพเจ้านี้ ไปสู่ไตรทิพย์ในกาลบัดนี้เถิด ข้าแต่ท่านผู้
มีโคตรเสมอด้วยพระอินทร์ ทั้งพระอินทร์ก็ทรงหวัง
พระคุณเจ้าอยู่ ขอพระคุณเจ้าจงถึงความเป็นสหายกับ
พระอินทร์ในวันนี้เถิด.

[294] สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่กระทำบาปกรรมย่อม
หมดจดได้ด้วยอาการอย่างนี้ อนึ่ง ผลของกรรมที่
บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมไม่เสื่อมสูญ สัตว์เหล่าใด
เหล่าหนึ่งได้เห็นสุธาโภชน์แล้ว สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด
ทีเดียว ถึงความเป็นสหายกับพระอินทร์.

[295] นางหิริเทพธิดาเป็นนางอุบลวรรณา
โกสิยดาบสเป็นภิกษุเจ้าของทาน ปัญจสิขเทพบุตร
เป็นพระอนุรุทธะ มาตลีเทพสารถีเป็นพระอานนท์
สุริยเทพบุตรเป็นพระกัสสป จันทเทพบุตรเป็นพระ-
โมคคัลลานะ นารทดาบส เป็นพระสารีบุตร ท้าว
วาสวะเป็นพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนี้แล.

จบสุธาโภชนชาดกที่ 3

อรรถกถาสุธาโภชนชาดก


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภ
ภิกษุผู้มีอัธยาศัยในการบำเพ็ญทานรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่ม
ต้นว่า นคุตฺตเม คิริวเร คนฺธมาทเน ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นเป็นกุลบุตรคนหนึ่งในเมืองสาวัตถี ได้ฟัง
พระธรรมเทศนาของพระศาสดา จิตเลื่อมใสแล้ว จึงออกบวชกระทำศีลให้
บริบูรณ์ประกอบด้วยธุดงคคุณ มีเมตตาจิตแผ่ไปในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
เป็นผู้ไม่ประมาทในการบำรุงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ วันละ
3 ครั้ง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยมรรยาท มีอัธยาศัยชอบในการให้ทานได้บำเพ็ญ
สาราณียธรรมจนครบบริบูรณ์แล้ว ภิกษุรูปนั้นเมื่อปฏิคาหกทั้งหลายยังมีอยู่
ย่อมให้สิ่งของที่ตนได้แล้วจนหมดสิ้น แม้ตนเองถึงกับอดอาหาร เพราะฉะนั้น
เธอจึงได้ปรากฏในหมู่ภิกษุว่า เป็นผู้มีอัธยาศัยในการจำแนกทาน ยินดียิ่งในทาน.
ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ภิกษุชื่อโน้นเป็นผู้มีอัทธยาศัยในการจำแนกทาน ยินดียิ่งแล้วในทาน
ตัดความโลภเสียได้แล้ว มีน้ำประมาณเพียงซองมือหนึ่งที่ตนได้มา ก็ถวาย
แก่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายจนหมด เธอมีอัธยาศัยดุจพระโพธิสัตว์ พระ-
ศาสดาทรงได้ยินถ้อยคำนั้นด้วยพระโสตธาตุเพียงดังทิพย์ จึงเสด็จออกจาก
พระคันธกุฎีเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุม
สนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เมื่อชาติก่อน เป็นผู้ไม่ให้ทานเป็นประจำ
เป็นผู้ตระหนี่ ไม่ให้ของอะไร ๆ แก่ใคร ๆ แม้หยาดน้ำมันด้วยปลายหญ้า