เมนู

2. อุมมาทันตีชาดก


ว่าด้วยเสนาบดีถวายนางอุมมาทันตีแด่พระราชา


[20] ดูก่อนนายสุนันทสารถี นี่เรือนของใคร
หนอล้อมด้วยกำแพงสีเหลือง ใครหนอปรากฏอยู่ในที่
ไกล เหมือนเปลวไฟอันลุกโพลงอยู่บนเวหาสและ
เหมือนเปลวไฟบนยอดภูเขาฉะนั้น ดูก่อนนายสุนันท-
สารถี หญิงคนนี้เป็นธิดาของใครหนอเป็นลูกสะใภ้
หรือเป็นภรรยาของใคร ไม่มีผู้หวงแหนหรือ สามีของ
นางมีหรือไม่ เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกแก่เราโดยเร็ว.

[21] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชานิกร ก็
ข้าพระองค์ย่อมรู้จักหญิงนั้นพร้อมทั้งมารดา บิดา
และสามีของนาง ข้าแต่พระจอมภูมิบาล บุรุษนั้นเป็น
ผู้ไม่ประมาทในประโยชน์ของพระองค์ทั้งกลางคืน
กลางวัน สามีของนางเป็นผู้มีอิทธิพลกว้างขวางและ
มั่งคั่งทั้งเป็นอำมาตย์คนหนึ่งของพระองค์ ข้าแต่
พระราชา หญิงนั้นเป็นภรรยาของอภิปารกเสนาบดี
มีชื่อว่า อุมมาทันตี พระเจ้าข้า.

[22] ดูก่อนท่านผู้เจริญ ๆ ชื่อที่มารดาและ
บิดาตั้งให้หญิงนี้ เป็นชื่อเหมาะสมดี จริงอย่างนั้นเมื่อ
นางมองดูเรา ย่อมทำให้เราหลงใหลคล้ายคนบ้า.

[23] ในคืนเดือนเพ็ญ นางผู้มีนัยน์ตาชม้าย
คล้ายเนื้อทราย ร่างกายมีสีเหมือนดอกบุณฑริกนั่งอยู่
ใกล้หน้าต่าง ในคืนนั้น เราได้เห็นนางนุ่งห่มผ้าสีแดง
เหมือนเท้านกพิราบ สำคัญว่าพระจันทร์ขึ้นสองดวง
ราวใด นางมีหน้ากว้าง ขาวสะอาด ประเล้า ประ-
ลมอยู่ด้วยอาการอันงดงาม ชม้อยชม้ายชำเลืองดู
รา ดังจะปล้นเอาดวงใจของเราไปเสียเลย เหมือน
นางกินนรเกิดบนภูเขาในป่า ฉะนั้น ก็คราวนั้น นาง
ผู้พริ้งเพรา มีตัวเป็นสีทอง สวมกุณฑลแก้วมณี ผ้า
นุ่งห่มท่อนเดียว ชำเลืองดูเราประดุจนางเนื้อทรายมอง
ดูนายพราน ฉะนั้น เมื่อไรหนอ นางผู้นี้เล็บแดง มี
ขนงาม มีแขนนุ่มนิ่ม ลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์ มีนิ้วมือ
กลมเกลี้ยง มีกระบวนชดช้อยงามตั้งแต่ศีรษะ จักได้
ยั่วยวนเรา เมื่อไรหนอ ธิดาของท่านเศรษฐีติรีฏิวัจฉะ
ผู้มีทับทรวงอันกระทำด้วยข่ายทอง เอวกลม จักกอด
รัดเราด้วยแขนทั้งสองอันนุ่มนิ่ม ประดุจเถาย่านทราย
รวมรัดต้นไม้ที่เกิดในป่าใหญ่ ฉะนั้น เมื่อไรหนอ
นางผู้มีผิวงามแดงดังน้ำครั่ง มีถันเป็นปริมณฑลดัง
ฟองน้ำ มีอวัยวะฉาบด้วยผิวหนังเปล่งปลั่งดังดอก
บุณฑริก จักจรดปากด้วยปากกะเรา เหมือนดังนักเลง
สุราจรดจอกสุราให้แก่นักเลงสุรา ฉะนั้น ในกาลใด

เราได้เห็นนางผู้มีร่างกายทุกส่วนอันน่ารื่นรมย์ใจยืนอยู่
ในกาลนั้น เราไม่รู้สึกอะไร ๆ แก่จิตของตนเลย
เราได้เห็นนางอุมมาทันตีผู้สวมสอดกุณฑลมณีแล้ว
นอนไม่หลับทั้งกลางวันและกลางคืนเหมือนแพ้ข้าศึก
มาตั้งพันครั้ง ถ้าท้าวสักกะพึงประทานพรให้แก่เรา
ขอให้เราพึงได้พรนั้นเถิด อภิปารกเสนาบดีพึงรื่นรมย์
อยู่กับนางอุมมาทันตีคืนหนึ่งหรือสองคืน ต่อจากนั้น
พระเจ้าสีวิราชพึงได้รื่นรมย์บ้าง.

[24] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นภูตบดี เมื่อข้าพระ-
องค์นมัสการเทวดาทั้งหลายอยู่ เทวดามาบอกเนื้อ
ความนี้แก่ข้าพระองค์ว่า พระทัยของพระราชาใฝ่ฝัน
ในนางอุมมาทันตี ข้าพระองค์ขอถวายนางแด่พระองค์
ขอพระองค์จงให้นางบำเรอเถิด.

[25] ก็เราพึงพรากเสียจากบุญและไม่เป็น
เทวดา อนึ่ง คนพึงรู้ความชั่วของเรานี้ และเมื่อท่าน
ให้นางอุมมาทันตีภรรยาสุดที่รักแล้วไม่เห็นนาง ความ
แค้นใจอย่างร้ายแรงจะพึงมีแก่ท่าน.

[26] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชานิกร
ประชาชนแม้ทั้งสิ้น นอกจากข้าพระบาทและพระองค์
ไม่พึงรู้กรรมที่ทำกัน ข้าพระบาทยอมถวายนางอุมมา-
ทันตีแก่พระองค์ พระองค์จงทรงอภิรมย์อยู่กับนาง
เต็มพระหฤทัยปรารถนาแล้ว จงทรงสลัดเสีย.

[27] มนุษย์ใดผู้กระทำกรรมอันลามก มนุษย์
นั้นย่อมสำคัญว่า คนอื่นไม่รู้การกระทำนี้ เพราะว่า
นรชนเหล่าใดประกอบแล้วบนพื้นปฐพี นรชนเหล่านั้น
ย่อมเห็นการกระทำนี้ คนอื่นใครเล่าในแผ่นดินนี้ทั้งโลก
พึงเชื่อท่านหรือว่า นางอุมมาทันตีไม่เป็นที่รักแห่งเรา
เมื่อท่านให้นางอุมมาทันตีภรรยายอดรักแล้ว ไม่เห็น
นางภายหลัง ความคับแค้นใจอย่างร้ายแรงจะพึงมีแก่
ท่าน.

[28] ข้าแต่พระจอมประชาชน นางอุมมาทันตี
นั้นเป็นที่รักของข้าพระบาทโดยแท้ ข้าแต่พระภูมิบาล
นางไม่เป็นที่รักของข้าพระบาทก็หาไม่ ขอความเจริญ
มีแต่พระองค์ เชิญพระองค์เสด็จไปหานางอุมมาทันตี
เหมือนดังราชสีห์เข้าสู่ถ้ำศิลาเถิด.

[29] นักปราชญ์ทั้งหลายถูกความทุกข์ของตน
บีบคั้นแล้ว ย่อมไม่ละกรรมที่มีผลเป็นสุข แม้จะเป็น
ผู้หลงมัวเมาด้วยความสุขก็ย่อมไม่ประพฤติบาปกรรม.

[30] ก็พระองค์เป็นทั้งพระมารดาพระบิดา
เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นเจ้านาย เป็นผู้พอกเลี้ยง และเป็น
เทวดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พร้อมด้วยบุตรและ
ภรรยาเป็นทาสของพระองค์ ขอพระองค์ทรงบริโภค
กามตามความสุขเถิด.

[31] ผู้ใดย่อมทำบาปด้วยความสำคัญว่า เรา
เป็นผู้ยิ่งใหญ่ และครั้นกระทำแล้วก็ไม่สะดุ้งกลัวต่อ
ชนเหล่าอื่น ผู้นั้นย่อมไม่เป็นอยู่ตลอดอายุยืนยาวเพราะ
กรรมนั้น แม้เทวดาก็มองดูผู้นั้นด้วยนัยน์ตาอันเหยียด
หยาม.

[32] ชนเหล่าใดตั้งอยู่ในธรรม ย่อมรับทาน
ที่เป็นของผู้อื่นอันเจ้าของมอบให้แล้ว ชนเหล่านั้น
เป็นผู้รับด้วย เป็นผู้ให้ในทานนั้นด้วย ได้ชื่อว่าทำ
กรรมอันมีผลเป็นสุขในเพราะทานนั้นแท้จริง.

[33] คนอื่นใครเล่าในแผ่นดินทั้งโลก จะพึง
เชื่อท่านหรือว่า นางอุมมาทันตีไม่เป็นที่รักของเรา
เมื่อท่านให้นางอุมมาทันตีภรรยายอดรักแล้ว ไม่เห็น
นางภายหลัง ความคับแค้นใจอย่างร้ายแรงจะพึงมีแก่
ท่าน.

[34] ข้าแต่พระจอมประชาชน นางอุมมาทันตี
นั้นเป็นที่รักของข้าพระบาทโดยแท้ ข้าแต่พระภูมิบาล
นางไม่เป็นที่รักของข้าพระบาทก็หาไม่ ข้าพระบาท
ยอมถวายนางอุมมาทันตีแก่พระองค์ พระองค์จงทรง
อภิรมย์อยู่กับนาง เต็มพระหฤทัยปรารถนาแล้ว จง
ทรงสลัดเสีย.

[35] ผู้ใดก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่นด้วยทุกข์ของตน
หรือก่อความสุขของตนด้วยความสุขของผู้อื่น ผู้ใดรู้

อย่างนี้ว่า ความสุขและความทุกข์ของเราก็เหมือนของ
ผู้อื่น ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรม.

[36] คนอื่นใครเล่าในแผ่นดินทั้งโลก จะพึง
เชื่อท่านหรือว่า นางอุมมาทันตีไม่เป็นที่รักของเรา เมื่อ
ท่านให้นางอุมนาทันตีภรรยายอดรักแล้ว ไม่เห็นนาง
ภายหลัง ความคับแค้นใจอย่างร้ายแรงจะพึงมีแก่ท่าน.

[37] ข้าแต่พระองค์ผู้จอมประชาชน พระองค์
ย่อมทรงทราบว่า นางอุมมาทันตีนี้เป็นที่รักของข้าพระ-
บาทข้าแต่พระจอมภูมิบาล นางนั้นไม่เป็นที่รักของข้า
พระบาทก็หาไม่ ข้าพระบาทขอถวายสิ่งอันเป็นที่รัก
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผู้ให้สิ่งอันเป็นที่รัก ย่อม
ได้สิ่งอันเป็นที่รัก.

[38] เรานั้นจักฆ่าตนอันมีกามเป็นเหตุโดยแท้
เราไม่อาจฆ่าธรรมด้วยอธรรมได้เลย.

[39] ข้าแต่พระจอมประชาชน ผู้แกล้วกล้ากว่า
นรชน ผู้ประเสริฐ ถ้าพระองค์ไม่ต้องพระประสงค์นาง
อุมมาทันตีผู้เป็นของข้าพระบาทไซร้ ข้าพระบาทจะ
สละนางในท่ามกลางชนทั้งปวง พระองค์พึงตรัสสั่งให้
นำนางผู้พ้นจากข้าพระบาทแล้วมาจากที่นั้นเถิด พระ-
เจ้าข้า.

[40] ดูก่อนอภิปารกเสนาบดีผู้กระทำประโยชน์
ถ้าท่านจะสละนางอุมมาทันตีผู้หาประโยชน์มิได้ เพื่อ

สิ่งอันไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน ความค่อนว่าอย่างใหญ่
หลวงจะพึงมีแก่ท่าน อนึ่ง แม่การใส่ร้ายในพระนคร
ก็จะพึงมีแก่ท่าน.

[41] ข้าแต่พระจอมภูมิบาล ข้าพระบาทจักอด
กลั้นคำค่อนว่า คำนินทา คำสรรเสริญ และคำติเตียน
นี้ทั้งหมด คำค่อนว่าเป็นต้นนั้นจงตกอยู่แก่ข้าพระบาท
ข้าแต่พระจอมแห่งชนชาวสีพี ขอพระองค์ทรงบริโภค
กามตามความสำราญเถิด ผู้ใดไม่ถือเอาความนินทา
ความสรรเสริญ ความติเตียน และแม้การบูชา สิริ
และปัญญาย่อมปราศจากผู้นั้น เหมือนดังน้ำฝนปราศ
ไปจากที่ดอน ฉะนั้น ข้าพระบาทจักยอมรับความทุกข์
ความสุข สิ่งที่ล่วงธรรมดาและความคับแค้นใจทั้ง
หมดเพราะเหตุแห่งการสละนี้ ด้วยอกเหมือนดังแผ่น
ดินรองรับสิ่งของทั้งของคนมั่นคงและคนสะดุ้ง ฉะนั้น.

[42] เราไม่ปรารถนาสิ่งที่ล่วงธรรมดา ความ
คับแค้นใจและความทุกข์ของชนเหล่าอื่น เราแม่ผู้เดียว
จักเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรมไม่ยังประโยชน์หน่อยหนึ่งให้
เสื่อม ข้ามภาระนี้ไป.

[43] ข้าแต่จอมประชาชน บุญกรรมย่อมให้
เข้าถึงสวรรค์ พระองค์อย่าได้ทรงทำอันตรายแก่ข้า-
พระบาทเสียเลย ข้าพระบาทมีใจเลื่อมใสขอถวายนาง
อุมมาทันตีแด่พระองค์ ดังพระราชาทรงประทาน
ทรัพย์สำหรับบูชายัญแก่พราหมณ์ทั้งหลาย ฉะนั้น.

[44] ท่านเป็นผู้เกื้อกูลแก่เราในการกระทำ
ประโยชน์แน่แท้ นางอุมมาทันตีและพรหมทั้งหมด
เห็นความชั่วอันเป็นไปในภายหน้า พึงติเตียนได้.

[45] ข้าแต่พระเจ้าสีวิราช ชาวนิคมและชาว
ชนบททั้งหมด ไม่พึงคัดค้านกรรมอันเป็นธรรมนั้น
เลย ข้าพระบาทขอถวายนางอุมมาทันตีแก่พระองค์
ขอพระองค์จงทรงอภิรมย์อยู่กับนางเต็มพระหฤทัย
ปรารถนาแล้ว จงทรงสลัดเสีย.

[46] ท่านเป็นผู้เกื้อกูลแก่เราในการกระทำ
ประโยชน์แน่แท้ นางอุมมาทันตีและท่านเป็นสหาย
ของเรา ธรรมของสัตบุรุษที่ประกาศดีแล้ว ยากที่จะ
ล่วงละเมิดได้ เหมือนเขตแดนของสมุทร ฉะนั้น.

[47] ข้าแต่พระราชา พระองค์เป็นผู้ควรของ
คำนับของข้าพระองค์ เป็นผู้หวังประโยชน์เกื้อกูล เป็น
ผู้ทรงไว้ เป็นผู้ประทานความสุข และทรงรักษาความ
ปรารถนาไว้ ยัญที่บูชาในพระองค์ย่อมมีผลมาก ขอ
พระองค์ทรงรับนางอุมมาทันตีตามความปรารถนาของ
ข้าพระบาทเถิด.

[48] ดูก่อนอภิปารกเสนาบดีผู้เป็นบุตรแห่ง
ท่านผู้กระทำประโยชน์ ท่านได้ประพฤติแล้วซึ่งธรรม
ทั้งปวงแก่เราโดยแท้ นอกจากท่าน มนุษย์อื่นใครเล่า
หนอจักเป็นผู้กระทำความสวัสดีในเวลาอรุณขึ้น ใน
ชีวโลกนี้.

[49] พระองค์เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ยอดเยี่ยม
พระองค์ทรงดำเนินโดยธรรม ทรงรู้แจ้งธรรม มีพระ
ปัญญาดี ขอพระองค์ผู้อันธรรมคุ้มครองแล้ว จงทรง
พระชนม์ยั่งยืนนาน ข้าแต่พระองค์ผู้รักษาธรรม ขอ
พระองค์โปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด.

[50] ดูก่อนอภิปารกเสนาบดี เชิญท่านฟังคำ
ของเราเถิด เราจักแสดงธรรมที่สัตบุรุษส้องเสพแก่
ท่าน พระราชาชอบใจธรรมจึงจะดีงาม นรชนผู้มี
ความไม่ประทุษร้ายต่อมิตรเป็นความดี การไม่กระทำ
บาปเป็นสุข มนุษย์ทั้งหลายพึงอยู่เป็นสุข ในแว่นแคว้น
ของพระราชาผู้ไม่ทรงกริ้วโกรธ ทรงตั้งอยู่ในธรรม
เหมือนเรือนของตนอันมีร่มเงาเย็นฉะนั้น เราย่อมไม่
ชอบใจกรรมที่ทำด้วยความไม่พิจารณาอันเป็นกรรมไม่
ดีนั้นเลย แม้พระราชาเหล่าใดทรงทราบแล้วไม่ทรง
ทำเอง เราชอบใจกรรมของพระราชาเหล่านั้น ขอ
ท่านจงพึงอุปมาของเราต่อไปนี้ เมื่อฝูงโคว่ายข้ามฟาก
ไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูงว่ายไปคด โคทั้งหมดนั้นก็ว่าย
ไปคดในเมื่อโคนำฝูงว่ายคด ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็
ฉันนั้น ผู้ใดได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ประเสริฐ ถ้าผู้นั้น
ประพฤติอธรรมจะป่วยกล่าวไปไยถึงประชาชนนอกนี้
รัฐทั้งหมดย่อมอยู่เป็นทุกข์ ถ้าพระราชาไม่ทรงตั้งอยู่
ในธรรมเมื่อฝูงโคว่ายข้ามฟากไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูงว่ายไป

ตรง โคทั้งหมดนั้นก็ว่ายไปตรง ในเมื่อโคนำฝูงว่ายไป
ตรง ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ผู้ใดได้รับยกย่องว่า
เป็นผู้ประเสริฐ ถ้าผู้นั้นประพฤติธรรมจะป่วยกล่าวไป
ไยถึงประชาชนนอกนี้ รัฐทั้งหมดย่อมอยู่เป็นสุข ถ้า
พระราชาทรงตั้งอยู่ในธรรม ดูก่อนอภิปารกเสนาบดี
เราไม่พึงปรารถนาเพื่อความเป็นเทวดา และเพื่อครอบ
ครองแผ่นดินทั้งหมดนี้ โดยอธรรม รัตนะอย่างใด
อย่างหนึ่ง คือ โค ทาส เงิน ผ้า และจันทน์เทศ
มีอยู่ในมนุษย์นี้ เราจะไม่ประพฤติผิดธรรมเพราะ
ความปรารถนารัตนะเหล่านั้น บุคคลไม่พึงประพฤติ
ผิดธรรมเพราะเหตุแห่งสมบัตินั้น เป็นต้นว่าม้า หญิง
แก้วมณี หรือแม้พระจันทร์และพระอาทิตย์ที่รักษาอยู่
เราเป็นผู้องอาจ เกิดในท่ามกลางแห่งชาวสีพีทั้งหลาย
ฉะนั้น เราจะไม่ประพฤติผิดธรรมเพราะเหตุแห่ง
สมบัตินั้น เราจะเป็นผู้นำ จะเป็นผู้เกื้อกูล เป็นผู้
เฟื้องฟู ปกครองแว่นแคว้น จักเป็นผู้เคารพธรรม
ของชาวสีพี จะเป็นผู้คิดค้นซึ่งธรรม เพราะฉะนั้น เรา
จะไม่เป็นไปในอำนาจแห่งจิตของตน.

[51] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ทรงประ-
พฤติธรรมอันไม่มีความฉิบหาย เป็นแดนเกษมอยู่เป็น
นิจแน่แท้ พระองค์จักดำรงราชสมบัติอยู่ยั่งยืนนาน
เพราะพระปัญญาของพระองค์เป็นเช่นนั้น พระองค์ไม่
ทรงประมาทธรรมใด ข้าพระองค์ขออนุโมทนาธรรม

นั้นของพระองค์ กษัตริย์เป็นอิสระทรงประมาทธรรม
แล้ว ย่อมเคลื่อนจากรัฐ ข้าแต่พระมหากษัตริย์ขัตติย-
ราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพระชนนีและ
พระชนก ครั้นทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้วจัก
เสด็จสู่สวรรค์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรม
ในพระราชบุตรและพระมเหสี ครั้นทรงประพฤติ
ธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์ ขอพระองค์จง
ทรงประพฤติธรรมในมิตรและอำมาตย์...ในราชพา-
หนะและทแกล้วทหาร ...ในบ้านและนิคม ...ใน
แว่นแคว้นและชนบท... ในสมณะพราหมณ์ ...ใน
เนื้อและนกทั้งหลาย...ครั้นพระองค์ทรงประพฤติ
ธรรมในโลกนี้แล้วจักเสด็จสู่สวรรค์ ข้าแต่พระมหา-
ราชเจ้า ขอพระองค์จงประพฤติธรรมเถิด เพราะว่า
ธรรมที่ประพฤติแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ครั้นพระองค์
ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงประพฤติ-
ธรรมเถิด ด้วยว่าพระอินทร์ เทวดา พร้อมทั้งพรหม
เป็นผู้ถึงทิพยสถานเพราะธรรมที่ประพฤติแล้ว ข้าแต่
พระราชา พระองค์อย่าทรงประมาทธรรมเลย.

จบอุมมาทันตีชาดกที่ 2

อรรถกถาปัญญาสนิบาต


อรรถกถาอุมมาทันตีชาดก


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหารทรงพระปรารภ
อุกกัณฐิตภิกษุ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า นิเวสนํ กสฺส นุทํ สุนนฺท
ดังนี้เป็นต้น.
ได้ยินว่า วันหนึ่ง ภิกษุรูปนั้นเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ได้
มองเห็นหญิงคนหนึ่ง ซึ่งประดับตกแต่งร่างกาย มีรูปร่างงดงามอย่างยิ่ง เกิด
มีจิตปฏิพัทธ์ ไม่อาจจะกลับใจหักห้ามได้ มายังวิหาร จำเดิมแต่นั้น ก็เป็น
ผู้อ่อนแอเพราะโรค ดุจถูกลูกศรทิ่มแทงแล้ว มีส่วนเปรียบด้วยเนื้อที่วิ่งพล่าน
ไป ฝ่ายผอม ร่างกายมีเส้นเอ็นขึ้นสะพรั่ง กลายเป็นคนผอมเหลือง ไม่ยินดี
(ในพระศาสนา) เมื่อไม่ได้ความสบายใจ แม้ในอิริยาบถหนึ่ง จึงละเว้นวัตร
มีอาจริยวัตรและอุปัชฌายวัตรเป็นต้น อยู่ชนิดที่เว้นว่างจากการประกอบความ
เพียรในอุทเทส ปริปุจฉา และกัมมัฏฐาน. เธอถูกพวกเพื่อนภิกษุถามว่า
อาวุโส เมื่อก่อนท่านมีอินทรีย์เปล่งปลั่ง มีสีหน้าผ่องใส แต่เดี๋ยวนี้ หาได้เป็น
อย่างนั้นไม่ เพราะเหตุอะไรกันหนอ ? จึงตอบว่า อาวุโส ผมไม่ยินดียิ่ง
(ในพระศาสนา) เลย. ลำดับนั้น พวกเพื่อนภิกษุเหล่านั้น จึงกล่าวสอนเธอ
ว่า อาวุโสเอย ! ท่านจงยินดียิ่ง (ในพระศาสนา) เถิด ธรรมดาว่า การ
อุบัติเกิดแห่งพระพุทธเจ้า เป็นสภาวะที่ได้โดยยาก การได้ฟังพระสัทธรรม
และการได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่ได้โดยยากเหมือนกัน ท่านนั้นได้
อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อปรารถนาจะทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ได้ จึงละคนผู้
เป็นญาติมีน้ำตานองใบหน้าแล้ว บวชด้วยศรัทธา เพราะเหตุไร ท่านจึงตก