เมนู

อรรถกถาโสณนันทชาดก


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภภิกษุผู้เลี้ยงมารดารูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
เทวตา นุสิ ดังนี้.
เนื้อเรื่องของชาดกนี้ คล้ายกับเรื่องในสุวรรณสามชาดกทีเดียว.
ก็ในกาลนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธออย่าติเตียน
ภิกษุรูปนี้เลย บัณฑิตแต่ปางก่อนทั้งหลาย แม้ได้ราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น
ก็ยังไม่ยอมรับเอาราชสมบัตินั้น ย่อมเลี้ยงแต่มารดาบิดาถ่ายเดียว แล้วทรงนำ
อตีตนิทานมา ตรัสว่า
ในอดีตกาล กรุงพาราณสี ได้เป็นพระนครที่มีชื่อว่า พรหมวัธน์.
พระราชาทรงมีพระนามว่า มโนชะ เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครนั้น. มี
พราหมณ์มหาศาลผู้หนึ่ง มีทรัพย์สมบัติประมาณ 80. โกฏิ แต่หาบุตรมิได้
อาศัยอยู่ในพระนครนั้น. นางพราหมณีผู้เป็นภริยาของพราหมณ์นั้น เมื่อ
พราหมณ์ผู้สามีนั้นกล่าวว่า นางผู้เจริญ เธอจงปรารถนาบุตรเถิด ดังนี้ ก็ได้
ปรารถนาแล้ว. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ เสด็จจุติจากพรหมโลก ทรงถือปฏิสนธิ
ในครรภ์ของนางพราหมณีนั้น. เมื่อกุมารนั้นเกิดแล้ว มารดาบิดาจึงตั้งชื่อว่า
โสณกุมาร ในกาลเมื่อโสณกุมารนั้นเดินได้ แม้สัตว์อื่น ก็จุติจากพรหมโลก
ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางพราหมณีนั้นอีก มารดาบิดาตั้งชื่อกุมารนั้นว่า
นันทกุมาร เมื่อกุมารทั้ง 2 คนนั้นเรียนพระเวท จนจบการศึกษาศิลปศาสตร์
ทั้งหมดแล้ว พราหมณ์ผู้บิดามองเห็นรูปสมบัติอันเจริญวัย จึงเรียกนางพราหมณี
มา แล้วพูดว่า แน่ะนางผู้เจริญ เราจักผูกพันโสณกุมารลูกชายของเราไว้ด้วย

เครื่องผูกคือเรือน นางรับว่า ดีละ แล้วบอกเนื้อความนั้นแก่บุตรให้ทราบ.
โสณกุมารนั้น จึงพูดว่า อย่าเลยแม่ เรื่องการอยู่ครองเรือนสำหรับฉัน ฉัน
จะปฏิบัติคุณพ่อและคุณแม่จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เมื่อคุณพ่อและคุณแม่ล่วงไป
แล้ว ก็จะเข้าป่าหิมพานต์บวช. นางพราหมณี จึงบอกเนื้อความนั้นแก่พราหมณ์
ให้ทราบ. คนทั้ง 2 คนนั้น แม้กล่าวอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่ได้ความยินยอมพร้อมใจ
จากโสณกุมารนั้น จึงเรียกนันทกุมารมาแล้วพูดว่า ลูกเอ๋ย ถ้าอย่างนั้น เจ้าจง
ครอบครองทรัพย์สมบัติเถิด เมื่อนันทกุมารพูดว่า ฉันจะยื่นศีรษะออกไปรับ
ก้อนเขฬะ ที่พี่ชายถ่มทิ้งแล้วไม่ได้แน่ ก็ตัวฉันเองเมื่อพ่อแม่ถึงแก่กรรมแล้ว
ก็จะออกบวชพร้อมกับพี่ชายเหมือนกัน ฟังคำของลูกชายทั้งสองคนนั้นแล้ว
จึงพากันคิดว่า ลูกชายทั้งสองคนนี้กำลังหนุ่มอยู่อย่างนี้ ก็ยังละกามารมณ์
ทั้งหลายเสียได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงเราทั้งสองคนเล่า พวกเราพากันบวชเสีย
ให้หมดเถิด จึงพูดกะบุตรทั้งสองคนว่า ลูกเอ๋ย เมื่อแม่และพ่อหาชีวิตไม่แล้ว
การบวชของเจ้าทั้ง 2 จะมีประโยชน์อะไร เราทั้งหมดจักออกบวชพร้อมกัน
เสียในบัดนี้เถิด แล้วกราบทูลแด่พระราชา สละทรัพย์ทั้งหมดลงในทางทาน
กระทำชนผู้เป็นทาสให้เป็นไท ให้ส่งของที่สมควรให้แก่หมู่ญาติ พร้อมกัน
ทั้ง 4 คนด้วยกัน ออกจากนครพรหมวัธน์ สร้างอาศรมอยู่ในชัฏป่าอันน่า
รื่นรมย์ใจ อาศัยสระอันดารดาษไปด้วยดอกปทุมเบญจวรรณ ในหิมวันต-
ประเทศ แล้วบรรพชาอาศัยอยู่ในอาศรมนั้น. แม้พระโสณะและพระนันทะ
ทั้ง 2 นั้น ก็ช่วยกันปฏิบัติมารดาบิดา ตื่นเช้าก็จัดไม้สำหรับชำระฟันและน้ำ
ล้างหน้าให้แก่ท่านทั้ง 2 แล้วไปกวาดบรรณศาลาและบริเวณอาศรม ตั้งน้ำฉัน
ไว้เสร็จแล้ว พากันไปเลือกผลไม้น้อยใหญ่ ซึ่งมีรสอันอร่อยมาจากป่า นำมา
ให้มารดาบิดาได้บริโภค ถึงยามร้อนก็หาน้ำเย็นมาให้อาบ คอยชำระสะสาง
มวยผมให้สะอาด กระทำการบีบนวดเป็นต้น แก่มารดาบิดาทั้งสองคนนั้น.

ด้วยการปฏิบัติอยู่อย่างนี้ เวลาล่วงไปนาน คราวหนึ่ง นันทบัณฑิต
ดำริว่า เราจะให้มารดาบิดาได้บริโภคผลไม้น้อยใหญ่ที่เราหามาได้ก่อน. เธอ
จึงรีบไปล่วงหน้าพี่ชายแต่เช้าตรู่ หาผลไม้ลูกเล็กลูกใหญ่ เท่าที่พอจะหาได้
มาจากที่ที่ตนเคยเก็บเมื่อวานบ้าง วานซืนบ้าง แล้วรีบนำมาให้มารดาบิดา
บริโภคก่อน. มารดาบิดาบริโภคผลไม้แล้ว บ้วนปากสมาทานอุโบสถ. ส่วน
โสณบัณฑิตไปยังที่ไกล ๆ เลือกหาผลไม้น้อยใหญ่ ที่มีรสอันอร่อยกำลังสุกงอมดี
แล้วนำเข้าไปให้. ลำดับนั้น มารดาบิดาจึงกล่าวกะโสณบัณฑิตนั้นว่า ลูกเอ๋ย
เราได้บริโภคผลไม้ที่น้องชายของเจ้าหามาให้เรียบร้อยแล้วแต่เช้าตรู่ (เดี๋ยวนี้)
สมาทานอุโบสถแล้ว บัดนี้เราไม่มีความต้องการ. ผลไม้ดี ๆ ของโสณดาบส
นั้น ไม่มีใครได้บริโภคเลย ก็จะเน่าเสียไปด้วยประการฉะนี้. แม้ในวันต่อ ๆ มา
ก็เป็นเช่นนั้นอีกเหมือนกัน. พระโสณดาบสนั้น สามารถจะไปยังสถานที่ไกล ๆ
แล้วนำผลไม้มาได้ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะท่านได้อภิญญา 5 ประการ. แต่
มารดาบิดา ก็มิได้บริโภค. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงคิดว่า มารดาบิดา
ของเราเป็นสุขุมาลชาติ น้องนันทะไปหาผลไม้ลูกเล็กลูกใหญ่ดิบบ้างสุกบ้าง
มาให้ท่านบริโภค เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านทั้งสองนี้ ก็จะไม่เป็นอยู่เช่นนี้ได้ตลอด
กาลนาน เราจักห้ามเธอเสีย. ลำดับนั้น โสณบัณฑิต จึงเรียกน้องชายนั้นมา
แล้วบอกว่า ดูก่อนน้อง จำเดิมแต่นี้ไปเมื่อน้องหาผลไม้มาได้แล้ว จงรอให้
พี่กลับมาเสียก่อน เราทั้งสองคนจักให้มารดาบิดาบริโภคพร้อม ๆ กัน . แม้เมื่อ
พระมหาสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว พระนันทะ ก็มุ่งหวังแต่ความดีของตนอย่างเดียว
จึงมิได้กระทำตามคำของพี่ชาย. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์คิดว่า น้องนันทะ
ไม่กระทำตามคำของเรา กระทำหน้าที่อันไม่สมควร จะต้องขับไล่เธอไปเสีย
แต่นั้น เราผู้เดียวเท่านั้นจะปฏิบัติมารดาบิดา จึงดีดนิ้วมือขู่ขับนันทดาบสด้วย

วาจาว่า ดูก่อนนันทะ เจ้าเป็นคนที่ไม่อยู่ในถ้อยคำ ไม่กระทำตามคำของ
บัณฑิตทั้งหลาย เราเป็นพี่ชายของเจ้า มารดาบิดาจงเป็นหน้าที่รับผิดชอบ
ของเราผู้เดียว เราผู้เดียวเท่านั้นจักปฏิบัติมารดาบิดา เจ้าจักไม่ได้เพื่อจะอยู่
ในที่นี้ จงไปในที่อื่น. นันทบัณฑิตนั้น ถูกพระโสณบัณฑิตพี่ชายนั้นขับไล่
ไม่อาจจะอยู่ในสำนักของพี่ชายได้ จึงไหว้พี่ชายแล้วเข้าไปหามารดาบิดา. เล่า
ความนั้นให้ฟัง ไหว้มารดาบิดาแล้ว เข้าไปสู่บรรณศาลาของตน เพ่งดูกสิณ
เป็นอารมณ์ ในวันนั้นนั่นเอง ก็ทำอภิญญา 5 และสมาบัติให้บังเกิดขึ้นได้แล้ว
คิดว่า เราจะนำทรายแก้วมาแต่เชิงเขาสิเนรุ โปรยลงในบริเวณบรรณศาลาแห่ง
พี่ชายของเรา ก็เป็นการเพียงพอที่จะให้พี่ชายอภัยโทษเราได้ แม้การกระทำ
อย่างนี้จักยังไม่งดงาม เราก็จะไปนำน้ำมาจากสระอโนดาต รดลงในบริเวณ
บรรณศาลาแห่งพี่ชายของเรา ก็จะพอยังพี่ชายให้อภัยโทษเราได้ แม้อย่างนี้
ก็จักยังไม่งดงาม ถ้าเราพึงทำพี่ชายของเราให้อภัยโทษเราได้ ด้วยอำนาจเทวดา
ทั้งหลาย เราก็จะนำท้าวมหาราชทั้ง 4 และท้าวสักกะมาก็พอจะยังพี่ชายให้
อภัยโทษได้ แม้อย่างนี้จักยังไม่งดงาม เราจักไปนำพระราชาทั้งหลาย มีพระเจ้า
มโนชะผู้เป็นพระราชาล้ำเลิศ ในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้ไปเป็นประธาน ก็พอจะให้
พี่ชายอภัยโทษเราได้ เมื่อเป็นเช่นนี้คุณงามความดีแห่งพี่ชายของเรา ก็จะแผ่
ตลบทั่วไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น จักปรากฏประดุจพระจันทร์และพระอาทิตย์
ฉะนั้น.
ขณะนั้น พระนันทดาบสนั้น ก็เหาะไปด้วยฤทธิ์ ลงที่ประตูพระราช
นิเวศน์ของพระราชานั้น ในพรหมวัธนนคร สั่งให้ราชบุรุษกราบทูลแด่พระ
ราชาว่า ได้ยินว่า พระดาบสองค์หนึ่ง ต้องการจะเข้าเฝ้าพระองค์. พระราชา
ทรงดำริว่า เราเห็นบรรพชิตจะได้ประโยชน์อะไร ชะรอยว่าบรรพชิตรูปนั้น
คงจักมาเพื่อต้องการอาหารเป็นแน่ จึงจัดส่งภัตตาหารไปถวาย. พระดาบส

ไม่ปรารถนาภัตร. พระองค์จึงทรงส่งข้าวสารไปถวาย พระดาบสนั้น ก็มิได้
ปรารถนาข้าวสาร. จึงทรงส่งผ้าไปถวาย พระดาบสก็มิได้รับผ้า. จึงทรงส่ง
หมากพลูไปถวาย. พระดาบสนั้น ก็มิได้รับหมากพลู. ลำดับนั้น พระองค์
จึงทรงส่งทูตไปยังสำนักของพระดาบสนั้นว่า พระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว เพื่อประสงค์
อะไรกัน พระดาบสเมื่อถูกทูตถามจึงบอกว่า เรามาเพื่อบำรุงพระราชา. พระ
ราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้คนไปบอกว่า พวกคนอุปัฏฐากของเรา
มีอยู่มากมายแล้ว ท่านดาบสจงบำเพ็ญหน้าที่ดาบสของตนเถิด. พระดาบสฟัง
คำนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า เราจักถือเอาราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น ด้วยกำลัง
ของเราแล้ว ถวายแก่พระราชาของท่านทั้งหลาย. พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว
จึงทรงพระดำริว่า ธรรมดาว่า บรรพชิตทั้งหลายเป็นบัณฑิต คงจักทราบ
อุบายอะไรบ้างกระมัง จึงรับสั่งให้นิมนต์พระดาบสนั้นเข้ามา ให้นั่งบนอาสนะ
ทรงไหว้แล้ว ตรัสถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ได้ยินว่า พระผู้เป็นเจ้า
จะถือเอาราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้นแล้ว ยกให้แก่ข้าพเจ้าหรือ. พระดาบส
ทูลว่า เป็นเช่นนั้นมหาบพิตร พระราชาตรัสถามว่า พระผู้เป็นเจ้าจักถือเอา
ได้อย่างไร. พระดาบสทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพจะมิต้องให้โลหิต
แม้มาตรว่าแมลงวันตัวน้อย ดื่มกินได้ โดยกำหนดอย่างต่ำให้บังเกิดขึ้นแก่
ใคร ๆ เลย ทั้งไม่กระทำความสิ้นเปลืองแห่งพระราชทรัพย์ของพระองค์ด้วย
จักถือเอาด้วยฤทธิ์ของอาตมภาพแล้ว ยกถวายแด่พระองค์ ก็แต่ว่า ไม่ควรจะ
การทำความชักช้าอย่างเดียว รีบเสด็จออกเสียในวันนี้แหละ. พระราชาทรง
เชื่อถ้อยคำของนันทดาบสนั้น แวดล้อมไปด้วยหมู่เสนางคนิกร เสด็จออกจาก
พระนคร ผิว่าความร้อนเกิดขึ้นแก่หมู่เสนา นันทบัณฑิตก็เนรมิต ให้มีเงา
กระทำให้ร่มเย็นด้วยฤทธิ์ของตน เมื่อฝนตก ก็มิได้ตกลงในเบื้องบนหมู่เสนา
ห้ามความร้อนและความหนาวเสียได้ บันดาลให้อันตรายทั้งหมดเป็นต้นว่า

ขวากหนาม และตอไม้ในระหว่างทาง ให้อันตรธานสูญหายไปหมด กระทำ
หนทางให้ราบเรียบดุจมณฑลแห่งกสิณ แม้ตนเองปูแผ่นหนังนั่งบนบัลลังก์
มีหมู่เสนาแวดล้อม แล้วเหาะลอยไปในอากาศ.
พระนันทบัณฑิตนั้น พาหมู่เสนาไปด้วยอาการอย่างนี้ ลุถึงแคว้น
โกศลเป็นครั้งแรก จึงสั่งให้หยุดกองทัพตั้งค่ายไม่ไกลเมือง แล้วส่งทูตเข้าไป
ทูลพระเจ้าโกศลราชว่า จะให้การยุทธ์แก่พวกเราหรือว่าจะให้เศวตฉัตร.
พระเจ้าโกศลราชนั้น ได้ทรงสดับถ้อยคำของทูตก็ทรงพิโรธตรัสว่า เราไม่ใช่
พระราชาหรืออย่างไร เราจะให้การรบ ทรงกระทำเสนาข้างหน้าเสด็จยกพล
ออกไป. เสนาทั้งสองฝ่ายเริ่มจะรบกัน. ลำดับนั้น นันทบัณฑิตจึงเนรมิต
หนังเสือเหลือง ซึ่งเป็นอาสนะที่นั่งของตนให้ใหญ่โต ขึงไว้ในระหว่างกองทัพ
ทั้ง 2 แล้วคอยรับลูกศรที่พวกเสนาทั้ง 2 ฝ่าย ต่างยิงกันไปมาด้วยแผ่นหนัง
นั้นทีเดียว. เสนาแม้สักคนหนึ่ง ใคร ๆ ที่ชื่อว่าถูกลูกศรแทงแล้ว ไม่ได้มีเลย.
กองทัพแม้ทั้ง 2 นั้น ก็หมดความอุตสาหะ ลงยืนเฉยอยู่ เพราะลูกศรที่อยู่
ในมือหมดด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย. นันทบัณฑิตจึงไปยังสำนักของพระเจ้ามโนชราช
ทูลปลอบเอาพระทัยว่า พระองค์อย่าทรงวิตกไปเลย มหาบพิตร แล้วไปยัง
สำนักของพระเจ้าโกศลราชทูลว่า พระองค์อย่าทรงวิตกไปเลย มหาบพิตร
อันตรายจักไม่มีแก่พระองค์ ราชสมบัติของพระองค์ก็จักคงยังเป็นของพระองค์
อยู่ทีเดียว ขอให้พระองค์ทรงอ่อนน้อมแก่พระเจ้ามโนชราชอย่างเดียวเท่านั้น.
พระเจ้าโกศลราชทรงเชื่อนันทบัณฑิตนั้น ก็ทรงรับว่าดีละ ดังนี้. ลำดับนั้น
นันทบัณฑิตจึงนำเสด็จท้าวเธอไปยังสำนักของพระเจ้ามโนชราช แล้วทูลว่า
ดูก่อนมหาบพิตร พระเจ้าโกศลราชทรงยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์ แต่ขอให้
ราชสมบัติของพระเจ้าโกศลราชนี้ จงยังคงเป็นของท้าวเธออยู่ตามเดิมเถิด.

พระเจ้ามโนชราชทรงรับว่าดีละ ทรงกระทำพระเจ้าโกศลราชพระองค์นั้น ให้
อยู่ในอำนาจของพระองค์แล้ว ยกพลเสนาทั้ง 2 กองทัพเสด็จไปยังแคว้นอังคะ
ได้แคว้นอังคะแล้ว ต่อจากนั้น ก็ไปยังแคว้นมคธ ได้แคว้นมคธ โดยอุบาย
อย่างนี้ ทรงกระทำพระราชาทั้งหลาย ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ให้ตกอยู่ในอำนาจ
ของพระองค์ได้ทั้งหมด แต่นั้น ก็เป็นผู้มีพระราชาเหล่านั้น เป็นบริวาร เสด็จ
ไปยังพรหมวัธนนครทีเดียว. ก็พระเจ้ามโนชราชนี้ ทรงถือเอาราชสมบัติอยู่
ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วันจึงเสร็จเรียบร้อย. พระเจ้ามโนชราชนั้น รับสั่งให้
พระราชาเหล่านั้นนำของเคี้ยวและของบริโภคมีประการต่าง ๆ จากราชธานีของ
คนทุก ๆ พระนคร ทรงพาพระราชาทั้ง 101 พระองค์เหล่านั้น ชวนกันดื่ม
เครื่องดื่มเป็นการใหญ่กับพระราชาเหล่านั้นตลอดถึง 7 วัน.
นันทบัณฑิตดาบสคิดว่า พระราชายังเสวยความสุขที่เกิดแต่ความเป็น
ใหญ่อยู่ตราบใด เราจักไม่แสดงตนแก่ท้าวเธอตราบนั้น จึงเที่ยวไปบิณฑบาต
ในอุตตรกุรุทวีปแล้ว ไปอยู่ที่ปากถ้ำทองในหิมวันตประเทศ 7 วัน. แม้
พระเจ้ามโนชราช ในวันที่ 7 ทรงแลดูสิริราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
ก็ทรงระลึกถึงนันทบัณฑิตดาบสว่า อิสริยยศทั้งหมดนี้ มารดาบิดาของเรามิ
ได้ให้ ชนเหล่าอื่นก็มิได้ให้แก่เรา บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยนันทบัณฑิตดาบส
ก็เราไม่ได้เห็นท่านเลยถึง 7 วันเข้าวันนี้แล้ว บัดนี้ท่านผู้ให้อิสริยยศแก่เรา
อยู่ที่ไหนหนอ. นันทบัณฑิตนั้นได้ทราบว่า ท้าวเธอระลึกถึงตน จึงเหาะมา
ยืนอยู่บนอากาศตรงพระพักตร์พระราชา. พระราชานั้นทอดพระเนตรเห็น
นันทดาบสมายืนอยู่ จึงทรงพระดำริอย่างนี้ว่า เรายังไม่ทราบว่า พระดาบส
นี้จะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ก็ถ้าเธอเป็นมนุษย์ เราจักยกราชสมบัติในชมพูทวีป
ทั้งหมดให้แก่เธอทีเดียว ถ้าเธอเป็นเทวดา เราจักกระทำเครื่องสักการะสำหรับ

เทวดาแก่เธอ. พระราชาพระองค์นั้น เมื่อจะทรงสอบถามนันทบัณฑิตนั้นให้
ทราบชัด จึงตรัสพระคาถาเป็นปฐมว่า
พระผู้เป็นเจ้าเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ เป็นท้าว
สักกปุรินททะ หรือว่าเป็นมนุษย์ผู้มีฤทธิ์ ข้าพเจ้าทั้ง-
หลายจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร.

นันทดาบสนั้นสดับคำของพระราชานั้นแล้ว เมื่อจะทูลบอกตามความ
จริง จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า
อาตมภาพไม่ใช่เป็นเทวดา ไม่ใช่เป็นคนธรรพ์
ไม่ใช่ท้าวสักกปุรินททะ อาตมภาพเป็นมนุษย์ผู้มีฤทธิ์
ดูก่อนภารถะ มหาบพิตร จงทราบอย่างนี้เถิด.

นันทบัณฑิตเรียกพระราชาพระองค์นั้นอย่างนี้ว่า ภารถ ดังนี้ ใน
คาถานั้น เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งภาระของรัฐ.
พระราชาทรงได้สดับคำนั้นแล้ว จึงทรงพระดำริว่า ได้ยินว่า พระดาบส
นี้เป็นมนุษย์ เธอมีอุปการะมากถึงเพียงนี้แก่เรา เราจักให้เธออิ่มหนำด้วย
อิสริยยศ จึงตรัสว่า
ความช่วยเหลืออันมิใช่น้อยนี้ เป็นกิจที่พระผู้
เป็นเจ้ากระทำแล้ว คือ เมื่อฝนตกพระผู้เป็นเจ้าก็ได้
ทำไม่ให้มีฝน แต่นั้น เมื่อลมจัดและแดดร้อน พระ
ผู้เป็นเจ้าก็ได้ทำให้มีเงาบังร่มเย็น แต่นั้น พระผู้เป็น
เจ้าได้ทำการป้องกันลูกศร ในท่ามกลางแห่งศัตรู
แต่นั้น พระผู้เป็นเจ้าได้ทำบ้านเมืองอันรุ่งเรืองและ
และชาวเมืองเหล่านั้นให้ตกอยู่ในอำนาจ ของข้าพเจ้า

แต่นั้นพระผู้เป็นเจ้าได้ทำกษัตริย์ 101 พระองค์ ให้
เป็นผู้ติดตามของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอขอบคุณพระผู้
เป็นเจ้ายิ่งนัก พระผู้เป็นเจ้าจะปรารถนาสิ่งที่จะให้จิต
ชื่นชม คือ ยานอันเทียมด้วยช้าง รถอันเทียมด้วยม้า
และสาวน้อยทั้งหลายที่ประดับประดาแล้ว หรือรมณีย-
สถานอันเป็นที่อยู่อาศัย อันใด ขอพระผู้เป็นเจ้า จง
เลือกเอาสิ่งนั้นตามประสงค์เถิด ข้าพเจ้าขอถวายแก่
พระผู้เป็นเจ้า หรือว่าพระผู้เป็นเจ้าจะปรารถนาแคว้น
อังคะหรือแคว้นมคธ ข้าพเจ้าก็ขอถวายแก่พระผู้เป็น
เจ้า หรือว่าพระผู้เป็นเจ้าปรารถนาแคว้นอัสสกะ หรือ
แคว้นอวันตี ข้าพเจ้าก็มีใจยินดีขอถวายแคว้นเหล่านั้น
ให้แก่พระผู้เป็นเจ้า หรือแม้พระผู้เป็นเจ้าปรารถนา
ราชสมบัติกึ่งหนึ่งไซร้ ข้าพเจ้าก็ขอถวายแก่พระผู้เป็น
เจ้า ถ้าพระคุณเจ้ามีความต้องการด้วยราชสมบัติทั้ง-
หมด ข้าพเจ้าก็ขอถวาย พระคุณเจ้าปรารถนาสิ่งใด
ขอพระคุณเจ้าบอกมาเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตรูปมิทํ ได้แก่ มีสภาพอันพระคุณเจ้า
กระทำแล้ว . บทว่า เวยฺยาวจฺจํ ได้แก่ การงานที่ช่วยเหลือกันทางกาย.
บทว่า อโนวสฺสํ ได้แก่ มิให้ฝนตก. อธิบายว่า พระคุณเจ้าได้กระทำโดย
ประการที่ฝนจะไม่ตกลงมา. บทว่า สีตจฺฉายํ ได้แก่ มีเงาอันร่มเย็น. บทว่า
วสิโน เต ได้แก่ พระคุณเจ้าได้กระทำประชาชนชาวแคว้นเหล่านั้น ให้
อยู่ในอำนาจของข้าพเจ้า. บทว่า ขตฺเย ได้แก่ กษัตริย์ทั้งหลาย. แม้ใน

อรรถกถาท่านก็กล่าวไว้อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ปติตาสฺสุ มยํ ได้แก่
ข้าพเจ้ายินดียิ่งนัก. บทว่า วร ตํ ภุญฺชมิจฺฉสิ ความว่า คำว่า ภุญชะนี้
เป็นชื่อของรัตนะ (สิ่งที่ทำให้เกิดความยินดี) อธิบายว่า ข้าพเจ้าจะให้พร
แก่ท่าน ท่านปรารถนารัตนะอันใด ท่านจงเลือกเอารัตนะอันนั้นเถิด. พระ-
ราชาทรงแสดงรัตนะนั้น โดยรวบยอดด้วย คำว่า หตฺถิยานํ ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า อสฺสกาวนฺตี ได้แก่ แคว้นอัสสกะ หรือแคว้นอวันตี. ด้วยบทว่า
รชฺเชน นี้ พระราชาทรงแสดงว่า ถ้าแม้พระคุณเจ้ามีความปรารถนาราชสมบัติ
ในชมพูทวีปทั้งหมด ข้าพเจ้าก็จะให้ราชสมบัตินั้นแก่พระคุณเจ้า แล้วจักมี
มือถือโล่และอาวุธ วิ่งไปข้างหน้ารถของพระคุณเจ้า ดังนี้. บทว่า ยทิจฺฉสิ
ความว่า พระคุณเจ้าปรารถนาสิ่งใด ทุกอย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วเหล่านี้
ก็จงบอกคือจงสั่งสิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด.
นันทบัณฑิตดาบส ได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว เมื่อจะชี้แจงความ
ประสงค์ของตนให้แจ่มแจ้ง จึงทูลว่า
อาตมภาพ ไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ
บ้านเมือง ทรัพย์ หรือแม้ชนบท อาตมภาพไม่มีความ
ต้องการเลย.

นันทบัณฑิตทูลต่อไปว่า ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าพระองค์มีความรัก
ในอาตมภาพ ขอได้ทรงกระทำตามคำของอาตมาภาพสักอย่างหนึ่ง แล้วทูล
เป็นคาถาว่า
ในแว่นแคว้นอาณาเขตของมหาบพิตร มีอาศรม
อยู่ในป่า มารดาและบิดาทั้งสองท่านของอาตมภาพ
อยู่ในอาศรมนั้น อาตมภาพอยู่ในอาศรมนั้น อาตม-

ภาพไม่ได้เพื่อทำบุญในท่านทั้งสอง ผู้เป็นบุรพาจารย์
นั้น อาตมภาพขอเชิญมหาบพิตร ผู้ประเสริฐยิ่งไป
ขอขมาโทษโสณดาบส เพื่อสังวรต่อไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รฏฺเฐ ได้แก่ ในความเป็นพระราชา.
บทว่า วิชิเต ได้แก่ สถานที่ที่พระองค์แผ่ราชอาญาไป. บทว่า อสฺสโม
ได้แก่ ในป่าแห่งหิมวันตประเทศนั้น มีอาศรมอยู่แห่งหนึ่ง. บทว่า สมฺมนฺติ
ได้แก่ อยู่ในอาศรมนั้น. บทว่า เตสาหํ ตัดบทเป็น เตสุ อหํ แปลว่า
อาตมภาพมิได้กระทำบุญในบุรพาจารย์ทั้ง 2 นั้น. บทว่า กาตเว ความว่า
อาตมาภาพไม่ได้กระทำบุญ กล่าวคือวัตรปฏิบัติและการนำผลไม้น้อยใหญ่มา
เพราะว่าพี่ชายของอาตมภาพชื่อโสณบัณฑิต ได้ขับไล่อาตมภาพ เพราะความ
ผิดอย่างหนึ่งของอาตมภาพว่า เจ้าจงอย่าอยู่ในที่นี้เลย. บทว่า อชฺฌาวรํ
ความว่า อาตมภาพจะขออัญเชิญพระองค์ผู้ประเสริฐยิ่ง พร้อมด้วยบริวาร
เสด็จไปขอขมาโทษโสณบัณฑิต คือ อาตมภาพจะขอสำรวมต่อไป. บาลีว่า
ยาเจมิ มํ วรํ แปลว่า อาตมภาพจะขอพรอันนี้ ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า
อาตมภาพจะไปอ้อนวอนพระโสณะให้ยกโทษพร้อมกับพระองค์ คือ อาตมภาพ
จะรับเอาพรอันนี้จากสำนักของพระองค์.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะนันทดาบสนั้นว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้าจะขอทำตามคำที่
พระคุณเจ้ากล่าวกะข้าพเจ้าทุกประการ ก็แต่ว่า บุคคล
ผู้จะอ่อนวอนขอโทษมีประมาณเท่าใด ขอพระคุณเจ้า
จงบอกบุคคลมีประมาณเท่านั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กโรมิ ความว่า พระราชารับสั่งว่า
ข้าพเจ้าจะให้ราชสมบัติในชนพูทวีปทั้งหมด จักมิได้กระทำกรรมอะไรมี
ประมาณเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าก็จะกระทำตามคำของท่าน. บทว่า กึวนฺโต
ได้แก่ มีประมาณเท่าใด.
นันทบัณฑิตทูลว่า
ชาวชนบทมีประมาณหนึ่งร้อยเศษ พราหมณ์
มหาศาลก็เท่ากัน กษัตริย์ผู้เป็นอภิชาต ผู้เรืองยศเหล่า
นี้ทั้งหมด ทั้งมหาบพิตรซึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้า
นโนชะ บุคคลผู้จะอ้อนวอนขอโทษ ประมาณเท่านี้
ก็พอแล้ว ขอถวายพระพร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชานปทา ได้แก่ คฤหบดีมหาศาล.
บทว่า พฺราหฺมณา ได้แก่ พราหมณ์ผู้จบพระเวทประมาณร้อยเศษเท่ากัน.
บทว่า อลํ เหสฺสนฺติ ความว่า จักเป็นการเพียงพอแล้ว . บทว่า ยาจกา
ได้แก่ บุคคลที่จะไปขอร้องให้โสณบัณฑิตยกโทษ เพื่อประโยชน์แก่อาตมภาพ.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะนันทบัณฑิตนั้นว่า
เจ้าพนักงานทั้งหลาย จงเตรียมช้าง จงเตรียมม้า
นายสารถี ท่านจงเตรียมรถ ท่านทั้งหลายจงถือเอา
เครื่องผูก จงยกธงชัยขึ้นที่คันธงทั้งหลาย เราจะไปยัง
อาศรมอันเป็นที่อยู่ของโกสิยดาบส.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โยเชนฺตุ ความว่า นายควาญช้างทั้งหลาย
จงจัดเตรียมช้าง และนายควาญม้าทั้งหลาย จงจัดเตรียมม้า. บทว่า รถํ
สนฺนยฺห สารถิ
ความว่า ดูก่อนสารถีผู้เป็นสหาย แม้ตัวท่านก็จงผูกสอด

รถนั้น. บทว่า อาพนฺธนานิ ความว่า ท่านทั้งหลาย จงถือเอาเครื่องที่
สำหรับจะผูกทั่ว ๆ ไป ในช้าง ม้าและรถทั้งหลาย. บทว่า ปาเทสุสฺสารยทฺธเช
ความว่า จงยกคือให้ยกธงที่คันธงซึ่งตั้งอยู่บนรถ. บทว่า โกสิโย ความว่า
พระราชาตรัสว่า พระดาบสผู้โกสิยโคตร อยู่ในอาศรมใด ดังนี้.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
ก็ลำดับนั้น พระราชาพร้อมด้วยจาตุรงคเสนา
ได้เสด็จไปยังอาศรมอันน่ารื่นรมย์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของ
โกสิยดาบส.

นี้เป็นคาถาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเพิ่มเข้ามา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตโต จ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระราชาพระองค์นั้น ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ในลำดับนั้น จึงทรงพากษัตริย์
101 พระองค์ แวดล้อมด้วยเสนาหมู่ใหญ่ ให้พระดาบสนันทบัณฑิตนำหน้า
เสด็จออกจากพระนคร. บทว่า จตุรงฺคินี ความว่า เสด็จไปยังอาศรมพร้อม
ด้วยจตุรงคเสนา. แม้กำลังเสด็จประทับอยู่ในระหว่างทาง ท่านก็กล่าวไว้อย่าง
นี้ เพราะจะต้องเสด็จไปอย่างแน่นอน นันทบัณฑิตดาบส เดินทางไปพร้อม
ด้วยหมู่พลเสนาประมาณได้ 24 อักโขภิณี เนรมิตทางที่กว้างได้ 8 อุสภะ
ให้ราบเรียบ ด้วยอานุภาพแห่งฤทธิ์ แล้วลาดแผ่นหนังในอากาศทีเดียว นั่ง
ขัดสมาธิบนแผ่นหนังนั้น มีเสนาแวดล้อมแล้ว กล่าวถ้อยคำอันประกอบด้วย
ธรรมะ กับพระราชาผู้ประทับนั่งบนคอช้าง ทำประทับแล้ว เสด็จไปด้วยกัน
ห้ามเสียซึ่งอันตรายมีความเย็นและความร้อนเป็นต้น ได้ไปแล้ว.
ในวันเมื่อพระนันทดาบสนั้นมาถึงอาศรม โสณบัณฑิตดาบส รำพึงว่า
น้องชายของเราออกไปเสียนานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วันแล้ว จึงเล็งแล

ดูด้วยทิพยจักษุญาณว่า บัดนี้เธอไปอยู่ที่ไหนหนอ ก็เห็นว่า น้องชายของเรา
กำลังพาพระราชา 101 พระองค์ พร้อมด้วยบริวารประมาณ 24 อักโข-
ภิณีมา เพื่อจะให้เรายกโทษเป็นแน่แท้ จึงดำริต่อไปว่า กษัตริย์เหล่านั้น พร้อม
ทั้งบริษัทได้เห็นปาฏิหาริย์ของน้องชายเราเป็นอันมาก แต่ยังมิได้ทราบอานุภาพ
ของเรา ก็จะพากันมาเจรจาข่มขู่ดูหมิ่นเราว่า ผู้นี้แหละเป็นชฏิลโกง ช่างไม่รู้
จักประมาณตนเองเสียเลย จะมาต่อยุทธ์กับพระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย ดังนี้
ทั้งหมดก็จะพึงมีนรกอเวจีเป็นที่เป็นไปในเบื้องหน้า เราจักแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
แก่พวกกษัตริย์และบริษัทเหล่านั้น พระโสณบัณฑิตดาบสนั้น จึงวางไม้คาน
สำหรับทาบน้ำในอากาศ โดยมิให้ถูกบ่าห่างประมาณ 4 องคุลี แล้วเหาะไป
ทางอากาศ ในที่ไม่ไกลแต่พระราชา เพื่อจะนำเอาน้ำมาจากสระอโนดาด
นันทบัณฑิตดาบส พอเห็นพี่ชายเหาะมา ไม่อาจจะแสดงตนได้ จึงอันตรธาน
ไปในที่นั่งนั้นทีเดียว หนีเข้าไปยังป่าหิมวันต์ พระเจ้ามโนชราช ทอดพระเนตร
เห็นพระโสณบัณฑิตดาบสนั้น เหาะมาด้วยเพศฤาษีอันน่าเลื่อมใส จึงตรัสพระ
คาถาว่า
ไม้คานอันทำด้วยไม้กระทุ่มของใคร ผู้ไปเพื่อ
หาบน้ำ ลอยมายังเวหาสมิได้ลูกบ่า ห่างประมาณ
4 องคุลี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาพมฺพโย ได้แก่ ทำด้วยไม้กระทุ่ม.
บทว่า อํสํ อสํผุสํ เอติ ความว่า ไม้คานนี้มิได้ถูกต้องบ่า ลอยมาอยู่.
บทว่า อุทกาหารสฺส ความว่า ไม้คานนี้ของใคร ผู้ไปอยู่เพื่อนำน้ำมา คือ
ท่านชื่ออะไร หรือว่า ท่านมาจากไหนกัน.

แม้เมื่อพระราชาตรัสอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์จึงกล่าวคาถา 2 คาถาว่า
ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพชื่อว่า โสณะ เป็น
ดาบสมีวัตรอันสมาทานแล้ว มิได้เกียจคร้านเลี้ยงดู
มารดาบิดาอยู่ทุกคืนทุกวัน ดูก่อนมหาบพิตร ผู้เป็น
เจ้าแห่งทิศ อาตมภาพระลึกถึงอุปการคุณ ที่ท่านทั้ง
สองได้กระทำแล้ว ในกาลก่อน จึงนำผลไม้ป่าและ
เผือกมันมาเลี้ยงดูมารดาบิดา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สหิตพฺพโต ความว่า พระโสณบัณฑิต
ดาบสนั้นกล่าวว่า อาตมภาพเป็นดาบสองค์หนึ่ง เป็นผู้มีวัตรอันสมาทานแล้ว
คือเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและมารยาท. บทว่า ภรามิ แปลว่า เลี้ยงดูประจำ.
บทว่า อตนฺทิโต ได้แก่ เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน. บทว่า ปุพฺเพกตมนุสฺสรํ
ความว่า อาตมภาพระลึกถึงอยู่ซึ่งบุญคุณ ที่มารดาและบิดาทั้งสองนั้นได้
กระทำไว้แล้วแก่อาตมภาพในกาลก่อน.
พระราชา ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว มีพระประสงค์ใคร่จะทอดพระเนตร
อาศรม พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์นั้น จึงได้ตรัสคาถาอันเป็นลำดับต่อไปว่า
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ปรารถนาจะไปยังอาศรม ซึ่ง
เป็นที่อยู่ของโกสิยดาบส ข้าแต่ท่านโสณะ ขอท่านได้
โปรดบอกทาง ที่จะไปยังอาศรมนั้น แก่ข้าพเจ้าทั้ง
หลายเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสมํ ความว่า ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ปรารถนาจะไปยังอาศรมบทของท่านทั้งหลาย.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ จึงเนรมิตหนทางสำหรับไปยังอาศรมบท
ด้วยอานุภาพของตน แล้วทูลกะพระเจ้ามโนชราชนั้นว่า

ดูก่อนมหาบพิตร หนทางนี้เป็นหนทางสำหรับ
เดินคนเดียว ขอเชิญมหาบพิตร เสด็จไปยังป่าอัน
สะพรั่งไปด้วยต้นทองหลาง มีสีเขียวชอุ่มดังสีเมฆ
โกสิยดาบสอยู่ในป่านั้น.

เนื้อความแห่งคำอันเป็นคาถานั้น มีดังต่อไปนี้ ดูก่อนมหาบพิตร
หนทางนี้เป็นหนทางเท้าสำหรับเดินไปได้เพียงคนเดียว ขอเชิญพระองค์เสด็จ
ไป โดยทิศาภาคที่หมู่ไม้อันสะพรั่งไปด้วยต้นทองหลาง มีดอกอันเบ่งบาน
ดีแล้ว มีสีเหมือนเมฆปรากฏอยู่นี้. บิดาของอาตมภาพผู้โกสิยโคตร อยู่ใน
อาศรมนี้ นั่นคืออาศรมแห่งบิดาของอาตมภาพ.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
โสณมหาฤๅษี ครั้นกล่าวคำนี้แล้ว ได้พร่ำสอน
กษัตริย์ทั้งหลาย ณ กลางหาวแล้วรีบหลีกไปยัง
สระอโนดาต แล้วกลับมาปัดกวาดอาศรม แต่งตั้ง
อาสนะแล้ว เข้าไปสู่บรรณศาลา แจ้งให้ดาบสผู้เป็น
บิดาทราบว่า ข้าแต่ท่านมหาฤๅษี พระราชาทั้งหลาย
ผู้เป็นอภิชาตเรืองยศเหล่านี้ เสด็จมาหา ขอเชิญบิดา
ออกไปนั่งนอกอาศรมเถิด มหาฤๅษี ได้ฟังคำของ
โสณบัณฑิตนั้นแล้ว รีบออกจากอาศรมมานั่งอยู่ที่
ประตูของตน.

นี้เป็นพระคาถาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพิ่มขึ้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปกฺกามิ ได้แก่ ไปยังสระอโนดาต.
บทว่า อสฺสมํ ปริมชฺชิตฺวา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฤๅษีนั้นรีบไป
ยังสระอโนดาตโดยเร็วพลัน แล้วตักน้ำดื่มมา เมื่อพระราชาเหล่านั้น ยังไม่
ทันถึงอาศรมนั่นแล ก็กลับมาก่อนจัดแจงตั้งหม้อน้ำดื่มไว้ในโรงน้ำ แล้วอบน้ำ
ด้วยดอกไม่ในป่าทั้งหลาย ด้วยคิดว่า มหาชนจักได้ดื่มน้ำ แล้วถือเอาไม้กวาด
มากวาดอาศรม จัดแจงแต่งตั้งอาสนะของบิดาไว้ที่ประตูบรรณศาลาแล้ว เข้า
ไปบอกให้บิดาได้ทราบ. บทว่า อุปาวิสิ ได้แก่ นั่งบนอาสนะสูง.
ส่วนมารดาของพระโพธิสัตว์ นั่งบนอาสนะต่ำกว่าบิดา ซึ่งตั้งอยู่
ข้างหลัง. พระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนอาสนะต่ำ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ฝ่ายนันทบัณฑิตดาบส ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ไปตักน้ำดื่มมาจากสระ
อโนดาต กลับมายังอาศรมแล้ว จึงไปยังสำนักของพระราชา ให้หยุดพัก
กองทัพไว้ ณ ที่ใกล้อาศรม. ลำดับนั้น พระเจ้ามโนชราชทรงสรงสนาน
ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง มีกษัตริย์ 101 พระองค์ ห้อมล้อมเป็น
บริวาร พานันทบัณฑิตเสด็จเข้าไปยังอาศรม ด้วยความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม
แห่งสิริอันยิ่งใหญ่ เพื่อจะขอให้พระโพธิสัตว์ยกโทษ. ลำดับนั้น บิดาพระ-
โพธิสัตว์เห็นพระราชานั้นเสด็จมาดังนั้น จึงถามพระโพธิสัตว์. แม้พระโพธิสัตว์
ก็ได้เล่าถึงความเป็นไปทั้งหมดให้บิดาได้ทราบ.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
โกสิยดาบสได้เห็นพระเจ้ามโนชะนั้น ซึ่งมีหมู่
กษัตริย์ห้อมล้อมเป็นกองทัพ ประหนึ่งรุ่งเรืองด้วยเดช
เสด็จมาอยู่ จึงกล่าวคาถานี้ความว่า กลอง ตะโพน
สังข์ บัณเฑาะว์ และมโหระทึก ยังพระราชาผู้เป็น

จอมทัพให้ร่าเริงอยู่ ดำเนินไปแล้วข้างหน้าของใคร
หน้าผากของใครสวมแล้วด้วยแผ่นทองอันหนามีสีดุจ
สายฟ้า ใครกำลังหนุ่มแน่นผูกสอดด้วยกำลูกศร รุ่ง-
เรืองด้วยสิริ เดินมาอยู่ อนึ่งหน้าของใครงามผุดผ่อง
ดุจทองคำอันละลายคว้างที่ปากเบ้า มีสีดังถ่านเพลิง
ใครหนอรุ่งเรืองด้วยสิริ กำลังเดินมาอยู่ ฉัตรพร้อม
ด้วยคันน่ารื่นรมย์ใจ สำหรับกั้นแสงอาทิตย์ อันบุคคล
กางแล้วเพื่อใคร ใครหนอรุ่งเรืองด้วยสิริ กำลังเดิน
มาอยู่ ชนทั้งหลาย ถือพัดวาลวีชนีเครื่องสูง เดินเคียง
องค์ของใคร ผู้มีบุญอันประเสริฐ มาอยู่โดยคอช้าง
เศวตฉัตร ม้าอาชาไนย และทหารสวมเกราะ
เรียงรายอยู่โดยรอบของใคร ใครหนอรุ่งเรืองด้วยสิริ
กำลังเดินมาอยู่ กษัตริย์ 101 พระนครผู้เรืองยศเสด็จ
พระราชดำเนินแวดล้อมตามอยู่โดยรอบของใคร ใคร
หนอรุ่งเรืองด้วยสิริ กำลังเดินมาอยู่ จาตุรงคเสนา
คือ พลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า เดิน
แวดล้อมตามอยู่โดยรอบของใคร ใครหนอรุ่งเรือง
ด้วยสิริ กำลังเดินมาอยู่ เสนาหมู่ใหญ่นี้นับไม่ถ้วน
ไม่มีที่สุดดุจคลื่นในมหาสมุทรกำลังห้อมล้อมตามหลัง
ใครมา.

พระมหาสัตว์ เมื่อจะบอกพระนามของพระเจ้ามโนชราชนั้น จึงได้
กล่าวคาถา 2 คาถาเหล่านี้ว่า

กษัตริย์ที่กำลังเสด็จมานั้น คือ พระเจ้ามโนราชา-
ราช เป็นเพียงดังพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาชั้น
ดาวดึงส์ เข้าถึงความเป็นบริษัทของนันทดาบส กำลัง
มาสู่อาศรม อันเป็นที่ประพฤติพรหมจรรย์ เสนาหมู่
ใหญ่นี้ นับไม่ถ้วน ไม่มีที่สุด ดุจคลื่นในมหาสมุทร
กำลังตามหลังพระเจ้ามโนชะนั้นมา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชลนฺตริว แปลว่า ราวกะรุ่งเรืองอยู่.
บทว่า ปฏิปนฺนานิ ความว่า เครื่องดนตรีเหล่านี้มาข้างหน้าของใคร. บทว่า
ทาสยนฺตา ได้แก่ ให้ยินดีอยู่. บทว่า กญฺจนปฏฺเฏน ความว่า พระดาบส
ผู้เป็นบิดา ถามว่า ลูกเอ๋ย ที่สุดแห่งหน้าผากของใครสวมแล้ว ด้วยแผ่นทอง
คืออุณหิสอันทำด้วยทองคำ มีสีประดุจสายฟ้า. บทว่า ยุวา ได้แก่ กำลัง
รุ่นหนุ่ม. บทว่า กลาปสนฺนทฺโธ ได้แก่ มีแล่งลูกศรอันผูกสอดเสร็จแล้ว.
บทว่า อุกฺกามุขปหฏฺฐํว ได้แก่ ประดุจทองคำที่กำลังคว้างอยู่ในเตาของ
นายช่างทอง. บทว่า ขทิรงฺคารสนฺนิภํ ได้แก่ มีสีคล้ายถ่านเพลิงของไม้
ตะเคียนที่เขาถากไว้ดีแล้ว. บทว่า อาทิจฺจรํสาวรณํ ได้แก่ สำหรับกั้น
รัศมีทั้งหลายแห่งดวงอาทิตย์. บทว่า องฺคํ ปริคฺคยฺห ความว่า เดินล้อมรอบ
คือเดินแวดล้อมองค์. บทว่า วาลวีชนิมุตฺตมํ ได้แก่ พัดวาลวีชนีอันเป็น
เครื่องสูงสุดชนิดหนึ่ง. บทว่า จรนฺติ แปลว่า เดินไปพร้อม ๆ กัน. บทว่า
ฉตฺตานิ ได้แก่ ฉัตรที่พวกทหารห่มเกราะนั่งบนหลังม้าถือไว้. บทว่า
ปริกิรนฺติ ความว่า ยืนเรียงรายกันอยู่ ในทิศาภาคทั้งหมดโดยรอบของใคร.
บทว่า จตุรงฺคินี ความว่า เสนาอันประกอบด้วยองค์ 4 มีช้างเป็นต้นเหล่านั้น.
บทว่า อกฺโขภินี ได้แก่ ไม่อาจจะนับได้ บทว่า สาครสฺเสว ได้แก่

หาที่สุดมิได้ประดุจลูกคลื่นในมหาสมุทรฉะนั้น . บทว่า ราชาภิราชา ความว่า
ชื่อว่าเป็นพระราชาภิราช เพราะเป็นผู้อันพระราชาทั้ง 101 พระองค์บูชาแล้ว
หรือว่าเป็นพระราชาที่ยิ่งกว่าพระราชาเหล่านั้น. บทว่า ชยตํ ปติ ความว่า
เป็นผู้เจริญที่สุดกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ทั้งหลายผู้ถึงความชนะแล้ว. บทว่า
อชิฌาวรํ ความว่า พระราชาพระองค์นั้น เข้าถึงความเป็นบริษัทของนันท-
ดาบสมาอยู่ เพื่อให้ลูกยกโทษ.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระราชาทุกพระองค์ ทรงลูบไล้ด้วยจันทน์หอม
ทรงผ้ากาสิกพัสตร์อย่างดี ทุกพระองค์ทรงประคอง
อัญชลีเข้าไปยังสำนักของฤาษีทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อชฺฌุปาคมุํ ความว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พระราชาเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ทรงลูบไล้ด้วยผงจันทน์อันมีกลิ่นหอม
ทรงผ้าซึ่งมาจากแคว้นกาสีอย่างดีเลิศ ทรงยกอัญชลีขึ้นบนพระเศียร เข้าไป
ยังสำนักของฤาษีทั้งหลาย.
ลำดับนั้น พระเจ้ามโนชราช ทรงนมัสการบิดาของพระโพธิสัตว์
นั้นแล้ว ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง เมื่อจะทรงกระทำปฏิสันถารจึงตรัส
คาถา 2 คาถาว่า
พระคุณเจ้าผู้เจริญไม่มีโรคาพาธดอกหรือ พระ-
คุณเจ้าสุขสำราญดีอยู่หรือ พระคุณเจ้าพอยังอัตภาพ
ให้เป็นไปได้สะดวก ด้วยการแสวงหามูลผลาหาร
แลหรือ เหง้ามันและผลไม้มีมากแลหรือ เหลือบ ยุง
และสัตว์เลื้อยคลานมีน้อยแลหรือ ในป่าอันเกลื่อนกล่น
ไปด้วยพาฬมฤค ไม่มีมาเบียดเบียนบ้างหรือ.

ต่อไปนี้เป็นคาถาที่พระดาบสบิดาของพระโพธิสัตว์ และพระเจ้า
มโนชราชกล่าวถามและตอบกัน 2 คนว่า
ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพทั้งหลายไม่มีโรคา-
พาธ มีความสุขสำราญดี เยียวยาอัตภาพได้สะดวก
ด้วยการแสวงหามูลผลาหาร ทั้งมูลมัน ผลไม้ก็มีมาก
เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานมีน้อย ในป่าอัน
เกลื่อนกล่นไปด้วยพาฬมฤค ไม่มีมาเบียดเบียนอาตม-
ภาพ เมื่ออาตมภาพได้อยู่ในอาศรมนี้หลายปีมาแล้ว
อาตมภาพไม่รู้สึกอาพาธ อันไม่เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ
เกิดขึ้นเลย ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาดีแล้ว
และพระองค์ไม่ได้เสด็จมาร้าย พระองค์ผู้เป็นอิสระ
เสด็จมาถึงแล้ว ขอจงตรัสบอกสิ่งที่ทรงชอบพระ-
หฤทัย ซึ่งมีอยู่ ณ ที่นี้เถิด ขอเชิญมหาบพิตรเสวย
ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่า
อันเป็นผลไม้มีรสหวานน้อย ๆ เชิญเลือกเสวยแต่ผลที่
ดี ๆ เถิด น้ำนี้เย็น นำมาแต่ซอกเขา ขอเชิญมหาบ-
พิตรดื่มเถิด ถ้าพระองค์ทรงปรารถนา.

สิ่งใดที่พระคุณเจ้าให้ ข้าพเจ้าขอรับเอาสิ่งนั้น
พระคุณเจ้ากระทำให้ถึงแก่ข้าพเจ้าทั้งปวง ขอพระ-
คุณเจ้าจงเงี่ยโสตสดับคำของนันทดาบส ที่ท่านจะ
กล่าวนั้นเถิด ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบริษัทของนันทดา-
บสมาแล้วสู่สำนักของพระคุณเจ้าขอพระคุณเจ้าโปรด
สดับคำของข้าพเจ้า ของนันทดาบสและของบริษัท
เถิด.

คาถาเหล่านี้ มีข้อความเกี่ยวเนื่องกันชัดแล้ว โดยส่วนมากทีเดียว.
ส่วนในที่นี้ ข้าพเจ้าจักกล่าวเฉพาะคำที่ยังไม่ชัดเจนเท่านั้น. บทว่า ปเวทย
ความว่า พระดาบสทูลว่า ขอพระองค์จงตรัสบอกสิ่งนั้นที่มีอยู่ในที่นี้ ซึ่งเป็น
ที่ชอบพระทัยของพระองค์ แก่อาตมภาพเถิด. บทว่า ขุทฺทกปฺปานิ ความว่า
ผลไม้ต่าง ๆ เหล่านั้นมีรสหวาน มีส่วนเปรียบด้วยรสหวานนิดหน่อย. บทว่า
วรํ วรํ ความว่า ของพระองค์จงเลือกเอาผลไม้ที่ดี ๆ จากผลไม้เหล่านี้แล้ว.
เชิญเสวยเถิด. บทว่า คิริคพฺภรา ได้แก่ จากสระอโนดาต. บทว่า สพฺพสฺส
อคฺฆิยํ
ความว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายถามแล้วด้วยสิ่งใด สิ่งนั้นชื่อว่าเป็นอัน
ข้าพเจ้าทั้งหลายรับแล้ว อนึ่งชื่อว่า สิ่งนั้นเป็นของอันพระคุณเจ้าให้แล้วทีเดียว
อธิบายว่า พระคุณเจ้ากระทำให้เป็นของถึงแก่ชนนี้ทั้งหมด ด้วยการกระทำ
มีประมาณเพียงเท่านี้ คือ กระทำสิ่งทั้งหมดแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายก่อน บทว่า
นนฺทสฺสาปิ ความว่า พระคุณเจ้ากระทำสิ่งทั้งหมดแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายก่อน
แล้ว บัดนี้ นันทบัณฑิต ปรารถนาจะกล่าวถ้อยคำเล็กน้อย ขอพระคุณเจ้า
จงฟังคำของเธอก่อน. บทว่า อชฺฌาวรมฺหา ความว่า พระราชาตรัสว่า
ข้าพเจ้าทั้งหลายมาแล้วด้วยเหตุอื่นก็หาไม่ ก็ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบริษัทของ
นันทบัณฑิตมาแล้ว เพื่อจะยังท่านทั้งหลายให้ยกโทษ. บทว่า ภวํ ความว่า
พระคุณเจ้าผู้มีชื่อว่า โสณบัณฑิต จงสดับเถิด.
เมื่อพระเจ้ามโนชราชตรัสอย่างนี้แล้ว นันทบัณฑิตจึงลุกจากอาสนะ
ไหว้มารดาบิดาและพี่ชาย เมื่อจะเจรจากับบริษัท จึงกล่าวว่า
ชาวชนบทร้อยเศษ พราหมณ์มหาศาลประมาณ
เท่านั้น กษัตริย์อภิชาตผู้เรืองยศทั้งหมดนี้ และพระเจ้า
มโนชะผู้เจริญ จงเข้าใจคำของข้าพเจ้า ยักษ์ทั้งหลาย

ภูตและเทวดาทั้งหลายในป่า เหล่าใด ซึ่งมาประชุมกัน
อยู่ในอาศรมนี้ ขอจงฟังคำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอ
กระทำความนอบน้อมแก่เทวดาทั้งหลายแล้ว จักกล่าว
กะฤๅษีผู้มีวัตรอันงาม ข้าพเจ้านั้นชาวโลกสมมติแล้ว
ว่า เป็นชาวโกสิยโคตรร่วมกับท่าน จึงนับว่าเป็น
แขนขวาของท่าน ข้าแต่ท่านโกสิยะผู้มีความเพียร
เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ประสงค์จะเลี้ยงดูมารดาบิดาของ
ข้าพเจ้า ฐานะนี้ชื่อว่าเป็นบุญ ขอท่านอย่าได้ห้าม
ข้าพเจ้าเสียเลย จริงอยู่ การบำรุงมารดาบิดานี้ สัต-
บุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว ขอท่านจงอนุญาตการ
บำรุงมารดาบิดานี้แก่ข้าพเจ้า ท่านได้กระทำกุศลมา
แล้วสิ้นกาลนาน ด้วยการลุกขึ้นทำกิจวัตรและการ
บีบนวด บัดนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาจะทำบุญในมารดา
และบิดา ขอท่านจงให้โลกสวรรค์แก่ข้าพเจ้าเถิด
ข้าแต่พระฤๅษี มนุษย์ทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในบริษัทนี้
ทราบบทแห่งธรรมในธรรมว่าเป็นทางแห่งโลกสวรรค์
เหมือนดังท่านทราบ ฉะนั้น การบำรุงมารดาบิดาด้วย
การอุปัฏฐากและการบีบนวด ชื่อว่านำความสุขมาให้
ท่านห้ามข้าพเจ้าจากบุญนั้น ชื่อว่า เป็นอันห้ามทาง
อันประเสริฐ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุมญฺญนฺตุ ความว่า จงรู้ คือ จง
กระทำให้ดีให้ประจักษ์. บทว่า สมิตาโร ได้แก่ มาประชุมกันอยู่พร้อมแล้ว.

บทว่า อรญฺเญ ภูตภพฺยานิ ความว่า ภูตทั้งหลายด้วย เทวดาทั้งหลาย
ผู้ถึงแล้วซึ่งแดนแห่งความเจริญด้วย และเทวดาหนุ่ม ๆ ทั้งหลายด้วยเหล่าใด
ในป่าหินวันตประเทศนี้ เทวดาเหล่านั้นทั้งหมด จงฟังคำของข้าพเจ้า. บทว่า
นโม กตฺวาน ความว่า พระนันทบัณฑิตนั้น ครั้นให้สัญญานี้แก่บริษัทแล้ว
กระทำการนอบน้อมแก่เทวดาทั้งหลาย ผู้เกิดแล้วในชัฏแห่งป่านั้นนั่นแล จึง
ได้กล่าวแล้ว. เนื้อความแห่งคำนั้น มีอธิบายว่า ในวันนี้แหละเทวดาผู้อยู่ใน
หิมวันตประเทศทั้งหลายเป็นอันมาก พึงมาประชุมกันเพื่อจะฟังธรรมกถาของ
พี่ชายเรา เพราะฉะนั้น นันทบัณฑิตจึงได้กล่าวว่า ก็ความนอบน้อมนี้ เป็น
ความนอบน้อมแก่ท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงเป็นสหายของข้าพเจ้า.
นันทบัณฑิตนั้นประคองอัญชลีแก่เทวดาทั้งหลาย ยังบริษัทให้ทราบแล้ว จึง
กล่าวคำเป็นต้นว่า ข้าพเจ้าจักกล่าวกะพระฤๅษี ดังนี้. คำว่า อิสึ ในคาถา
นั้น ท่านกล่าวหมายถึงโสณบัณฑิต. บทว่า สมฺมโต ความว่า ธรรมดาว่า
พี่ชายทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้เสมอด้วยร่างกาย เพราะฉะนั้น พระนันทบัณฑิตนั้น
จึงสมมติเอาว่า ข้าพเจ้าเท่ากับเป็นแขนขวาของท่าน จึงแสดงว่า ท่านทั้งหลาย
จึงควร เพื่อจะยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเหตุนั้น. บทว่า วีร ได้แก่ ข้าแต่พี่
ผู้มีความพยายาม ผู้มีความบากบั่นมาก. บทว่า ปุญฺญมิทํ ฐานํ ความว่า
นันทบัณฑิตกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าการบำรุงมารดาบิดานี้ เป็นบุญ คือ เป็นเหตุที่
จะยังหมู่สัตว์ให้เป็นไปพร้อมเพื่อบังเกิดในสวรรค์ เพราะฉะนั้น ท่านอย่าได้
ห้ามข้าพเจ้าผู้จะทำบุญนั้นเลย. บทว่า สพฺภิเหตํ ความว่า จริงอยู่ ธรรมดาว่า
การบำรุงมารดาบิดานี้ บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญแล้ว คือเข้าไปรู้แล้วและ
พรรณนาแล้ว. บทว่า มเมตํ อุปนิสฺสช ความว่า ขอท่านจงอนุญาต คือ
จงสละ จงให้การบำรุงมารดาบิดานี้แก่ข้าพเจ้าเถิด. บทว่า อุฏฺฐานปาทจริยาย
ได้แก่ ด้วยความเพียรเป็นเหตุให้ลุกขึ้น และด้วยการบำเรอเท้า. บทว่า กตํ

ได้แก่ ท่านกระทำกุศลไว้แล้วสิ้นกาลนาน. บทว่า ปุญฺญานิ ความว่า บัดนี้
ข้าพเจ้าใคร่จะทำบุญในมารดาบิดาทั้ง 2. บทว่า มม โลกทโท ความว่า
นันทบัณฑิตกล่าวว่า ขอท่านจงให้โลกสวรรค์แก่ข้าพเจ้านั้น ด้วยว่า ข้าพเจ้า
กระทำวัตรคือการบำรุงมารดาบิดาทั้ง 2 นั้น จักได้อิสริยยศหาประมาณมิได้
ในเทวโลก ขอท่านจงเป็นทายกของข้าพเจ้านั้นเถิด. บทว่า ตเถว ความว่า
ท่านย่อมรู้ด้วยประการใด แม้ชนเหล่าอื่นที่มีอยู่ในบริษัทนี้ ชนเหล่านั้น
ย่อมกล่าวซึ่งธรรมทั้งหลายมีประการต่าง ๆ คือส่วนแห่งธรรม กล่าวคือความ
เป็นผู้ประพฤติอ่อนน้อมต่อบุคคลผู้เจริญที่สุดนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน. ถามว่า
ชนเหล่านั้นกล่าวว่าอย่างไร ? ตอบว่า ชนเหล่านั้นกล่าวว่า ธรรมคือการบำรุง
มารดาบิดานี้ เป็นทางแห่งโลกสวรรค์. บทว่า สุขาวหํ ความว่า นำความสุข
มาให้แก่มารดาบิดา ด้วยการลุกขึ้นและด้วยการบำเรอ. บทว่า ตํ มํ ความว่า
โสณบัณฑิตผู้เป็นพี่ชาย ย่อมห้ามคือกีดกันข้าพเจ้านั้น แม้ผู้ปฏิบัติชอบอย่างนี้
เสียจากบุญนั้น. บทว่า อริยมคฺคาวโร ความว่า ย่อมห้ามเสียซึ่งอริยมรรค.
นระนั้นห้ามอยู่ซึ่งบุญอย่างนี้ คือ นระนี้ชื่อว่าย่อมเป็นผู้ห้ามเสียซึ่งหนทางแห่ง
เทวโลกกล่าวคืออริยะ เพื่อจะแสดงซึ่งความรักแก่ข้าพเจ้า.
เมื่อนันทบัณฑิตกล่าวอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์จึงประกาศว่า ท่าน
ทั้งหลายได้สดับถ้อยคำของนันทบัณฑิตนี้ก่อนแล้ว บัดนี้ ขอเชิญสดับถ้อยคำ
ของข้าพเจ้าบ้าง ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า
ขอมหาบพิตรผู้เจริญทั้งหลาย ผู้เป็นบริษัทของ
น้องนันทะ จงสดับถ้อยคำของอาตมภาพ ผู้ใดยัง
วงศ์ตระกูลแต่เก่าก่อนให้เสื่อม ไม่ประพฤติธรรมใน
บุคคลผู้เจริญทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมเข้าถึงนรก ดูก่อน

ท่านผู้เป็นใหญ่ในทิศ ส่วนชนเหล่าใด เป็นผู้ฉลาด
ในธรรมอันเป็นของเก่า และถึงพร้อมด้วยจารีต ชน
เหล่านั้น ย่อมไม่ไปสู่ทุคติ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย
พี่สาว น้องสาว ญาติและเผ่าพันธุ์ ชนเหล่านั้นทั้งหมด
ย่อมเป็นภาระของพี่ชายใหญ่ ขอพระองค์ทรงทราบ
อย่างนี้เถิดมหาบพิตร ดูก่อนมหาบพิตรผู้เป็นจอมทัพ
ก็อาตมภาพเป็นพี่ชายใหญ่ จึงต้องรับภาระอันหนัก
ทั้งสามารถจะปฏิบัติท่านเหล่านั้นได้ เหมือนนายเรือ
รับภาระอันหนัก สามารถจะนำเรือไปได้โดยสวัสดี
ฉะนั้น เหตุนั้น อาตมภาพจึงไม่ละลืมธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาตุรชฺฌาวรา มม ความว่า ท่าน
ผู้เจริญทั้งหลาย คือพระราชาทั้งหลายทั้งหมด ซึ่งเป็นบริษัทแห่งน้องชายของ
ข้าพเจ้าพากันมาแล้ว จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าก่อนบ้าง. บทว่า ปริหาปยํ
ได้แก่ ให้เสื่อมรอบอยู่. บทว่า ธมฺมสฺส ได้แก่ ธรรมคือความประพฤติ
อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ คือธรรมอันเป็นประเพณี. บทว่า กุสลา ได้แก่
เฉียบแหลม. บทว่า จาริตฺเตน จ ได้แก่ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยมารยาทและ
ศีล. บทว่า ภารา ความว่า ชนเหล่านั้นทั้งหมด อันพี่ชายใหญ่พึงนำไป
คือพึงปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ชนเหล่านั้นจึงชื่อว่าเป็นภาระของพี่ชายใหญ่นั้น.
บทว่า นาวิโก วิย ความว่า เหมือนอย่างว่า นายเรือรับภาระหนัก บรรทุก
ลงในเรือแล้ว ก็ต้องอุตสาหะพยายามที่จะนำเรือไปในท่ามกลางมหาสมุทรด้วย
ความสวัสดี สินค้าและชนทั้งหมดพร้อมทั้งเรือ ย่อมเป็นภาระของนายเรือนั้น
คนเดียว ฉันใด ญาติทั้งหมด ย่อมเป็นภาระของข้าพเจ้าผู้เดียว และข้าพเจ้า

อาจสามารถที่จะปฏิบัติเลี้ยงดูชนเหล่านั้นได ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพเจ้าจึง
ไม่ละเลยเชฏฐาปจายนธรรมนั้น อนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นพี่ชายใหญ่ ของชนเพียงนี้
เท่านั้นก็หาไม่ ข้าพเจ้ายังเป็นพี่ชายใหญ่ของชาวโลกแม้ทั้งสิ้นอีกด้วย เพราะ
ฉะนั้น ข้าพเจ้าแล จึงสมควรแล้วที่จะปฏิบัติมารดาบิดาพร้อมทั้งน้องนันทะด้วย.
พระราชาเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็พากันดี
พระทัยตรัสว่า เราทั้งหลายรู้แล้วในวันนี้เองว่า ได้ยินว่า หน้าที่คือการปฏิบัติ
มารดาบิดาทั้งหลายที่เหลือ ย่อมเป็นหน้าที่ของพี่ชายใหญ่ จึงพากันทอดทิ้ง
นันทบัณฑิต เข้าไปอาศัยพระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงกระทำความชมเชยพระ-
มหาสัตว์นั้น จึงตรัสคาถา 2 คาถาว่า
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้ไปแล้วในความมืด วันนี้
ข้าพเจ้าทั้งหลาย เกิดความรู้ขึ้นแล้ว ท่านโกสิยฤๅษี
ได้แสดงธรรมแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนส่องแสง
อันรุ่งเรืองจากไฟ ฉะนั้น พระอาทิตย์เป็นเทพเจ้าแห่ง
แสง มีรัศมีเจิดจ้าเมื่ออุทัย ย่อมแสดงรูปดีและรูปชั่ว
ให้ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านโกสิยฤๅษี
แสดงธรรมแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธิคตมฺหา ความว่า ในกาลก่อนแต่นี้
ข้าพเจ้าทั้งหลายตกอยู่ในความมืดอันปกปิดเสียซึ่งเชฏฐาปจายนธรรม จึงไม่รู้
จักธรรมนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เกิดความรู้ขึ้นในวันนี้เอง เหมือนแสงประทีป
ส่องสว่างอยู่ฉะนั้น. บทว่า เอวเมว โน ความว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่บนยอดเขา
อันมืดทึบ ส่องแสงสว่างอยู่โดยรอบ ย่อมแสดงรูปทั้งหลายให้ปรากฏได้ฉันใด
พระฤาษีโกสิยโคตรผู้เจริญ ก็แสดงธรรมแก่พวกเราฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า

วาสุเทโว ความว่า เทวดาผู้เป็นเจ้าแห่งแสง เป็นผู้ส่องแสงสว่าง และเป็น
ผู้ประกาศธรรม.
พระมหาสัตว์ ทำลายความเลื่อมใสในนันทบัณฑิตนั้นแล้ว ยังพระ-
ราชาเหล่านั้น ซึ่งมีพระทัยเลื่อมใสในเธอ เพราะได้เห็นปาฏิหาริย์ทั้งหลาย
ของนันทบัณฑิตตลอดกาลเพียงเท่านี้ ให้กลับมาถือเอาถ้อยคำของตนแล้ว
ได้ทำให้พระราชเหล่านั้นทั้งหมดนั่นแล ต่างจ้องดูหน้าของตน ด้วยกำลังแห่ง
ญาณของตน ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น นันทบัณฑิต คิดว่า พี่ชายของเราเป็นบัณฑิต เป็น
ธรรมกถึกอย่างเฉียบแหลม ได้แยกพระราชาของเราแม้ทั้งหมด กระทำให้เป็น
ฝักฝ่ายของตนได้ เว้นพี่ชายของเรานี้เสียแล้ว คนอื่นที่จะเป็นที่พึ่งของเราได้
ไม่มีเลย จำเราจักต้องอ้อนวอนพี่ชายของเรานี้ผู้เดียวเถิด จึงกล่าวคาถานี้ว่า
ถ้าพี่จะไม่รับอัญชลีของข้าพเจ้า ผู้วิงวอนอยู่
อย่างนี้ ข้าพเจ้าก็จักดำเนินไปตามถ้อยคำของพี่ จัก
บำรุงบำเรอพี่ ผู้อยู่ด้วยความไม่เกียจคร้าน.

เนื้อความแห่งคำอันเป็นคาถานั้น มีดังต่อไปนี้ ถึงแม้ว่าพี่จะไม่ยอมรับ
คือ ไม่รับอัญชลีของข้าพเจ้า ผู้วิงวอนอยู่อย่างนี้ ซึ่งข้าพเจ้าประคองอยู่เพื่อ
ต้องการให้พี่ยกโทษ พี่จงบำรุงมารดาบิดาเถิด ส่วนข้าพเจ้า ก็จะประพฤติ
ตามถ้อยคำของพี่ คือจักเป็นผู้กระทำตามถ้อยคำ จะตั้งใจบำรุงด้วยความเป็น
ผู้ไม่เกียจคร้าน ทุกคืนทุกวัน คือข้าพเจ้าจักปฏิบัติบำรุงพี่.
แม้ตามปกติพระมหาสัตว์ จะมิได้ถือโทษหรือผูกเวรในนันทบัณฑิต
เลยก็ตาม แต่เมื่อนันทบัณฑิตนั้น กล่าวถ้อยคำอันกระด้างกระเดื่องเป็นอย่างยิ่ง
จึงได้กระทำดังนั้น ก็เพื่อจะข่มให้เธอลดละมานะเสีย ครั้นมาบัดนี้ได้สดับ

ถ้อยคำของเธอ จึงมีจิตยินดีเกิดความเลื่อมใสในเธอ กล่าวว่า นันทะน้องเอ๋ย
บัดนี้พี่ยกโทษให้แก่เธอแล้ว และเธอจักได้ปฏิบัติมารดาบิดา เมื่อจะประกาศ
คุณของนันทบัณฑิตนั้น จึงกล่าวว่า
ดูก่อนนันทะ เธอรู้แจ้งสัทธรรมที่สัตบุรุษ
ทั้งหลายแสดงแล้วเป็นแน่ เธอเป็นคนดี มีมารยาท
อันงดงาม พี่ขอบใจเป็นยิ่งนัก พี่จะกล่าวกะมารดา
บิดาว่า ขอท่านทั้งสองจงฟังคำของข้าพเจ้า ภาระนี้
หาใช่เป็นภาระเพียงชั่วครั้งชั่วคราวของข้าพเจ้าไม่
การบำรุงที่ข้าพเจ้าบำรุงแล้วนี้ ย่อมนำความสุขมาให้
แก่มารดาบิดาได้ แต่นันทะย่อมทำการขอร้องอ้อนวอน
เพื่อบำรุงท่านทั้งสองบ้าง บรรดาท่านทั้งสองผู้สงบ
ระงับ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ หากว่าท่านใดปรารถนา
ข้าพเจ้าจะบอกกะท่านนั้น ขอให้ท่านทั้งสองผู้หนึ่งจง
เลือกนันทะตามความปรารถนาเถิด นันทะจะบำรุง
ใครในท่านทั้งสอง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อริโย ได้แก่ เป็นคนดี. บทว่า
อริยสมาจาโร ได้แก่ เธอเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย. บทว่า พาฬฺหํ
ความว่า บัดนี้เธอย่อมเป็นที่ชอบใจแก่พี่ยิ่งนัก. บทว่า สุณาถ ความว่า
ข้าแต่มารดาและบิดา ขอท่านจงฟังคำของข้าพเจ้า. บทว่า นายํ ภาโร ความว่า
ภาระคือการปฏิบัติมารดาบิดานี้ จะว่าเป็นเพียงภาระของข้าพเจ้า ในกาลบาง-
ครั้งบางคราวก็หาไม่. บทว่า ตํ มํ ความว่า ท่านทั้งหลาย ได้สำคัญว่าการ
บำรุงมารดาบิดานั้นเป็นภาระข้าพเจ้าคนเดียว ก็เลี้ยงดูท่านทั้งหลายได้. บทว่า

อุปฏฺฐานาย ยาจติ ความว่า นันทะได้มาอ้อนวอนเรา เพื่อจะขอบำรุง
ท่านทั้งสองบ้าง. บทว่า โย เจ อิจฺฉติ ความว่า ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่สมควร
จะพูดว่า เธอจงบำรุงมารดาหรือบิดาของพี่ แต่บรรดาท่านทั้งสอง ผู้สงบระงับ
แล้ว ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าท่านผู้ใดใครผู้หนึ่งปรารถนา ข้าพเจ้าจะบอก
กะท่านผู้นั้น บรรดาท่านทั้งสอง ขอให้ท่านเลือกเอานันทะตามความปรารถนา
เถิด ท่านทั้งหลายย่อมชอบใจนันทะน้องชายของข้าพเจ้านั้น ในบรรดาท่าน
ทั้งสอง นันทะนี้สมควรจะบำรุงใคร ด้วยว่าเราทั้งสองคน ต่างก็เป็นบุตรของ
ท่านด้วยกันนั่นแล.
ลำดับนั้น มารดาจึงลุกขึ้นจากอาสนะกล่าวว่า พ่อโสณบัณฑิตเอ๋ย
น้องชายของพ่อจากไปเสียนานแล้ว แม้เธอมาแล้ว จากที่ไกลอย่างนี้ แม่ก็ไม่
อาจจะอ้อนวอนได้ ด้วยว่าเราทั้งสองคน ได้อาศัยพ่ออยู่แล้ว แต่บัดนี้พ่อ
อนุญาตแล้ว แม่ก็จักได้กอดรัดลูกนันทะ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์นี้ ด้วยแขน
ทั้งสองแล้ว พึงได้การจูบศีรษะ เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้ จึงกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนพ่อโสณะ เราทั้งสองคนอาศัยเจ้าอยู่ ถ้า
เจ้าอนุญาต แม่ก็จะพึงได้จุมพิตลูกนันทะผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์ที่ศีรษะ.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ พูดว่า ข้าแต่แม่ ถ้าอย่างนั้นลูกยอมอนุญาต
แม่จงไปสวมกอดนันทะลุกชายของแม่แล้วจงจูบและจุมพิตที่ศีรษะนันทะ จงทำ
ความเศร้าโศกภายในใจของแม่ให้ดับไปเสียเถิด. มารดาพระโพธิสัตว์นั้น จึง
ไปหานันทะนั้นแล้วสวมกอดนันทบัณฑิต ในท่ามกลางบริษัททีเดียว แล้วจูบ
และจุมพิตนันทะนั้น ที่ศีรษะดับความเศร้าโศกในควงใจเสียให้หายแล้ว เมื่อจะ
เจรจากับพระมหาสัตว์ จึงกล่าวว่า

ใบอ่อนของต้นอัสสัตถพฤกษ์ เมื่อลมรำเพยพัด
ต้องแล้ว ย่อมหวั่นไหวไปมา ฉันใด หัวใจของแม่ก็
หวั่นไหว เพราะนาน ๆ จึงได้เห็นลูกนันทะ ฉันนั้น
เมื่อใด เมื่อแม่หลับแล้วฝันเห็นลูกนันทะมา แม่ก็ดีใจ
อย่างล้นเหลือว่า ลูกนันทะของแม่นี้มาแล้ว แต่เมื่อใด
ครั้นแม่ตื่นขึ้นแล้ว ไม่ได้เห็นลูกนันทะของแม่มา
ความเศร้าโศกและความเสียใจมิใช่น้อย ก็ทับถมยิ่งนัก
วันนี้ แม่ได้เห็นลูกนันทะผู้จากไปนาน กลับมาแล้ว
ขอลูกนันทะ จงเป็นที่รักของบิดาเจ้าและของแม่เอง
ขอลูกนันทะ จงเข้าไปสู่เรือนของเราเถิด ดูก่อนพ่อ
โสณะเอ๋ยลูกนันทะเป็นที่แสนรักยิ่งของบิดา ลูกนันทะ
ยังไม่ได้เข้าไปสู่เรือนใด ขอให้ลูกนันทะจงได้เรือนนั้น
ขอลูกนันทะจงบำรุงแม่เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาลุเตริตํ ความว่า มารดาของพระ-
มหาสัตว์กล่าวว่า ใบของต้นอัสสัตถพฤกษ์ถูกลมพัดแล้ว ย่อมโยกไหวไปมา
ฉันใด ในวันนี้หัวใจของแม่ ก็ย่อมหวั่นไหว เพราะได้พบเห็นลูกนันทะ ซึ่ง
จากไปนานฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า สุตฺตา ความว่า ดูก่อนพ่อโสณะเอ๋ย
คราวใดเมื่อแม่หลับแล้วฝันเห็นนันทะมา แม้ในคราวนั้น แม่ก็ดีใจเหลือเกิน.
บทว่า ภตฺตุ จ ได้แก่ ย่อมเป็นที่รักแห่งพ่อและแม่. บทว่า นนฺโท โน
ปาวิสี ฆรํ
ความว่า ดูก่อนพ่อโสณะเอ๋ย นันทะลูกชายของแม่จงเข้าไปสู่
บรรณศาลา บทว่า ยํ ความว่า เพราะเหตุที่นันทะนั้น ย่อมเป็นที่รักอย่าง
สนิทแท้ของบิดา เพราะฉะนั้น นันทะนั้น จึงไม่ต้องจากเรือนนี้ไปอีก. บทว่า

นนฺโท ตํ ความว่า ดูก่อนพ่อโสณะเอ๋ย นันทะปรารถนาสิ่งใด จงได้สิ่ง
นั้นเถิด. บทว่า มํ นนฺโท ความว่า ดูก่อนพ่อโสณะเอ๋ย พ่อจงบำรุงบิดา
ของพ่อเถิด ส่วนนันทะจงบำรุงแม่.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์รับคำของมารดาว่า จงเป็นไปตามคำพูดของ
แม่อย่างนี้เถิด ดังนี้แล้ว จึงกล่าวสอนน้องชายว่า ดูก่อนน้องนันทะ น้องได้
ส่วนปันของพี่แล้ว ธรรมดาว่ามารดาเป็นผู้กระทำคุณไว้เป็นยิ่งนัก น้องอย่า
ประมาทพึงตั้งใจปฏิบัติท่านเถิด เมื่อจะประกาศคุณของมารดา จึงได้กล่าว
คาถา 2 คาถาว่า
ดูก่อนฤๅษี มารดาเป็นผู้อนุเคราะห์ เป็นที่พึ่ง
และเป็นผู้ให้ขีรรสแก่เราก่อนเป็นทางแห่งโลกสวรรค์
มารดาปรารถนาเจ้า มารดาเป็นผู้ให้ขีรรสก่อน เป็น
ผู้เลี้ยงดูเรามา เป็นผู้ชักชวนเราในบุญกุศล เป็นทาง
แห่งโลกสวรรค์ มารดาปรารถนาเจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุกมฺปกา ได้แก่ เป็นผู้มีจิตใจ
อ่อนโยน. บทว่า ปุพฺเพ รสทที ได้แก่ เป็นผู้ให้รสคือนำนมของตนเป็น
ครั้งแรกทีเดียว. บทว่า มาตา ตํ ความว่า มารดาของเราไม่ปรารถนาเรา
ท่านเลือกเจ้า คือปรารถนาเจ้า. บทว่า โคตฺตี ได้แก่ เป็นผู้ปกครองดูแล.
บทว่า ปุญฺญูปสญฺหิตา ได้แก่ เป็นที่อยู่อาศัยแห่งบุญ เป็นผู้ให้ซึ่งบุญ.
พระมหาสัตว์ ครั้นได้พรรณนาคุณงามความดีของมารดาด้วยคาถา
2 คาถาอย่างนี้แล้ว พอมารดากลับมานั่ง ณ อาสนะเดิม จึงกล่าวสอนน้อง
อีกว่า ดูก่อนน้องนันทะเอ๋ย น้องได้มาราดาผู้ทำกิจที่ทำได้ยากไว้แล้ว แม้เรา
ทั้งสองคน มารดาท่านก็ได้ประคับประคองมาโดยยากลำบาก บัดนี้น้องอย่าได้




ประมาทนะ จงพยายามปฏิบัติมารดาท่านเถิด น้องอย่าให้ท่านบริโภคผลไม้
น้อยใหญ่ทั้งหลายที่ไม่อร่อยอีกนะ เมื่อจะประกาศว่ามารดาได้เป็นผู้กระทำกิจ
อันแสนยากที่คนอื่นจะทำได้ ในท่ามกลางบริษัทนั่นแล จึงกล่าวว่า
มารดาหวังผลคือบุตร จึงนอบน้อมแก่เทวดา
และไต่ถามถึงฤกษ์ ฤดูและปีทั้งหลาย เมื่อมารดานั้น
มีระดู ความก้าวลงแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ก็ย่อมมี
เพราะสัตว์เกิดในครรภ์นั้น มารดาจึงแพ้ท้อง เพราะ
เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า เป็นผู้มีใจดี
มารดาบริหารครรภ์อยู่หนึ่งปี หรือหย่อนกว่าปีแล้วจึง
คลอด เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียนมารดานั้นว่า ชนยันตี
และชเนตตี ผู้ยังบุตรให้เกิด มารดาย่อมปลอบบุตร
ผู้ร้องไห้อยู่ให้รื่นเริงด้วยการให้ดื่มน้ำนมบ้างด้วยการ
ขับกล่อมบ้าง ด้วยการอุ้มแนบไว้กับอกบ้าง เหตุนั้น
บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า ปลอบบุตรให้รื่นเริง ต่อ
แต่นั้น มารดาเห็นบุตรผู้ยังเป็นเด็กอ่อน ไม่รู้จักเดียงสา
เล่นอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดดอันกล้า ก็เข้ารับ
ขวัญ เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า
โปเสนตี ผู้เลี้ยงดูบุตร มารดาย่อมคุ้มครองทรัพย์แม้
ทั้งสองฝ่าย คือทรัพย์ของมารดา และทรัพย์ของบิดา
เพื่อบุตรนั้น ด้วยตั้งใจว่า ทรัพย์ทั้งสองฝ่ายพึงเป็น
ของบุตรแห่งเรา มารดายังบุตรให้ศึกษาดังนี้ว่า อย่างนี้
ซิลูก อย่างโน้นซิลูก ย่อมลำบาก เมื่อบุตรกำลังรุ่น

หนุ่มคะนอง มารดาย่อมคอยมองดูบุตร ผู้หลงเพลิด-
เพลินในภรรยาผู้อื่น จนพลบค่ำก็ยังไม่กลับมา ย่อม
เดือดร้อนด้วยประการฉะนี้.

บุตรผู้อันมารดาเลี้ยงดูมาแล้ว ด้วยความลำบาก
อย่างนี้ ไม่บำรุงมารดา บุตรนั้นชื่อว่า ประพฤติผิด
ในมารดา ย่อมเข้าถึงนรก บุตรผู้อันบิดาเลี้ยงมาแล้ว
ด้วยความลำบากอย่างนี้ ไม่บำรุงบิดา บุตรนั้นชื่อ
ว่าประพฤติผิดในบิดา ย่อมเข้าถึงนรก เราได้สดับ
มาว่า เพราะไม่บำรุงมารดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตร
ทั้งหลาย ผู้ปรารถนาทรัพย์ย่อมฉิบหายหรือบุตรนั้น
ย่อมเข้าถึงความยากแค้น เราได้สดับมาว่า เพราะไม่
บำรุงบิดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลาย ผู้ปรารถนา
ทรัพย์ ย่อมฉิบหาย หรือบุตรนั้นย่อมเข้าถึงความ
ยากแค้น ความรื่นเริง ความบันเทิงและความหัว-
เราะเล่นหัวกันทุกเมื่อ บัณฑิตผู้รู้แจ้งพึงได้เพราะ
การบำรุงมารดา ความรื่นเริง ความบันเทิงและ
ความหัวเราะเล่นหัวกันทุกเมื่อ บัณฑิตผู้รู้แจ้งพึง
ได้เพราะการบำรุงบิดา สงคหวัตถุ 4 ประการนี้ คือ
ทาน การให้ 1 ปิยวาจา เจรจาคำน่ารัก 1 อัตถจริยา
การประพฤติประโยชน์ 1 สมานัตตตา ความเป็นผู้มี
ตนเสมอในธรรมทั้งหลายตามสมควรในที่นั้น ๆ 1
ย่อมมีในโลกนี้ เหมือนเพลารถ ย่อมมีแก่รถที่กำลัง
แล่นไป ฉะนั้น ถ้าสังคหวัตถุเหล่านี้ ไม่พึงมีไซร้

มารดาก็จะไม่พึงได้รับความนับถือหรือการบูชา เพราะ
เหตุแห่งบุตร หรือบิดาก็จะไม่พึงได้ความนับถือหรือ
การบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร ก็เพราะบัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมพิจารณาเห็นสังคหวัตถุนี้ ฉะนั้น บัณฑิตเหล่านั้น
ย่อมถึงความเป็นผู้ประเสริฐ และเป็นผู้อันเทวดาและ
มนุษย์พึงสรรเสริญ มารดาและบิดา บัณฑิตเรียกว่า
เป็นพรหมของบุตร เป็นบุรพาจารย์ของบุตร เป็นผู้
ควรรับของคำนั้นจากบุตร และว่าเป็นผู้อนุเคราะห์
บุตร เพราะเหตุนั้นแล บุตรผู้เป็นบัณฑิตพึงนอบน้อม
และสักการะมารดาบิดาทั้ง 2 นั้นด้วย ข้าว น้ำ ผ้านุ่ง
ผ้าห่ม ที่นอน การขัดสี การให้อาบน้ำ และการ
ล้างเท้า บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญบุตรนั้น ด้วย
การบำรุงในมารดาบิดาในโลกนี้ ครั้นบุตรนั้นละโลกนี้
ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺตผลํ แปลว่า ผลคือบุตร. บทว่า
เทวตาย นมสฺสติ ความว่า ย่อมทำการนอบน้อมบวงสรวงเทวดาว่า ขอ
ให้บุตรจงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเถิด. บทว่า นกฺขตฺตานิ จ ปุจฺฉติ ความว่า
และย่อมถามถึงนักขัตฤกษ์ทั้งหลายอย่างนี้ว่า บุตรผู้เกิดแล้วโดยฤกษ์ยามไหน
จึงจะมีอายุยืนยาวนาน เกิดฤกษ์ยามไหนมีอายุสั้น. บทว่า อุตฺสํวจฺฉรานิ จ
ความว่า อนึ่ง มารดาย่อมถามถึงฤดูและปีทั้งหลายอย่างนี้ว่า บุตรที่เกิดในฤดู

ไหน ในบรรดาฤดูทั้ง 61 จึงจะมีอายุยืนยาวนาน เกิดในฤดูไหนจึงจะมีอายุ
สั้น หรือเมื่อมารดามีอายุเท่าไร บุตรเกิดมาจึงจะมีอายุยืน เมื่อมารดามีอายุ
เท่าไร บุตรเกิดมาจึงจะมีอายุสั้น. บทว่า อุตุสิ นหาตาย ได้แก่ เมื่อระดู
เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่า อาบในเพราะระดู (มารดาชื่อว่ามีระดู). บทว่า อวกฺกโม
ความว่า การตั้งครรภ์ย่อมมีเพราะการประชุมพร้อมแห่งเหตุ2 3 ประการ
ครรภ์จึงตั้งขึ้นในท้อง. บทว่า เตน ความว่า มารดานั้นย่อมแพ้ท้องเพราะ
ครรภ์นั้น. บทว่า เตน ความว่า ในกาลนั้นมารดาจึงเกิดความรักในบุตรธิดา
ซึ่งเป็นประชาเกิดขึ้นต้องของตน เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกว่า สุหทา
หญิงมีใจดี. บทว่า เตน ความว่า เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกว่า ชน-
ยันตีบ้าง ชเนตตีบ้าง แปลว่าผู้ยังบุตรให้เกิด. บทว่า องฺคปาวุรเณนจ
ความว่า ด้วยการให้บุตรนอนในระหว่างนมทั้ง 2 ยังสัมผัสแห่งสรีระให้แผ่
ไปทั่วแล้ว จึงให้อบอุ่นด้วยเครื่องคลุมคืออวัยวะนั่นแล. บทว่า โตเสนฺตี
ได้แก่ ให้รู้สึก ให้ร่าเริง. บทว่า มมฺมํ กตฺวา อุทิกฺขติ ความว่า มารดา
ทำการรับขวัญอย่างนี้ว่า โอ้หนอ ลมพัดแดดแผดเผาในเบื้องบนบุตรของเรา
ย่อมมองดูด้วยน้ำใจอันรักใคร่. บทว่า อุภยมฺเปตสฺส ความว่า มารดาย่อม
ไม่ต้องการจะให้ทรัพย์แม้ทั้ง 2 ฝ่ายนี้ แก่ชนเหล่าอื่น จะเก็บรักษาไว้ในห้อง
อันมั่นคงเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่บุตรนี้. บทว่า เอวํ ปุตฺต อทุํ ปุตฺต

1. เหมหฺโต สิสิรมุตู ฉ วา วสนฺโต คิมฺหวสฺสานา สรโทติ กมา มาสา เทฺว เทฺว วุตฺตา-
นุสาเรน ฤดูทั้ง 6 คือ เหมันตะ ฤดูหิมะ สิสิร ฤดูหนาว วสันตะ ฤดูใบไม้ผลิ คิมหะ
ฤดูร้อน วัสสานะ ฤดูฝน สรทะ ฤดูอบอ้าว ฤดูละ 2 เดือน ๆ เรียงลำดับนับตามข้อที่กล่าว
แล้วนั้น (จากอภิธานัปปทีปิกา ข้อที่ 79)
2. เหตุแห่งการตั้งครรภ็มี 3 ประการคือ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ มารดาบิดาอยู่
ร่วมกัน 1 มาตา จ อุตุนี โหติ มารดามีระดู 1 คพฺโภ จ ปจฺจปฏฺฐิโต โหติ สัตว์ผู้จะ
เกิดถือปฏิสนธิในท้องมารดานั้น 1 (มหาตัณหาสังขยสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์).

ความว่า มารดาให้บุตรศึกษาอยู่เป็นนิตย์ว่า โอ่ลูกน้อยเอ๋ย เจ้าจงเป็นผู้ไม่
ประมาท ในราชสกุลเป็นต้นอย่างนี้ อนึ่ง เจ้าจงกระทำกรรมอย่างโน้น มารดา
ย่อมลำบาก ด้วยประการฉะนี้. บทว่า อิติ มาตา วิหญฺญติ ได้แก่ ย่อม
เหน็ดเหนื่อย. บทว่า ปตฺตโยพฺพเน ความว่า เมื่อบุตรถึงความเป็นหนุ่ม
หรือเป็นสาว กำลังคะนอง มารดารู้ว่า บุตรนั้นมัวเมาในภรรยาผู้อื่นจนมืดค่ำ
ก็ยังไม่กลับมา จึงจ้องมองดูลูกอยู่ด้วยนัยน์ตาอันเปียกชุ่มด้วยน้ำตา. บทว่า
วิหญฺญติ แปลว่า เหน็ดเหนื่อย. บทว่า กิจฺฉาภโต ได้แก่ บุตรที่มารดา
เลี้ยงดูมา คือ ทะนุบำรุงมาด้วยความยากลำบาก. บทว่า มิจฺฉาจริตฺวาน
ได้แก่ ไม่ปฏิบัติมารดา. บทว่า ธนาปิ คือ ทรัพย์สมบัติทั้งหมด. อีกอย่างหนึ่ง
บาลีก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน. มีคำที่ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า
แม้ทรัพย์ที่บังเกิดขึ้นแก่บุตรผู้อยากได้ทรัพย์ แต่มิได้ปฏิบัติมารดา ย่อมพินาศ
ฉิบหายไป. บทว่า กิจฺฉํ วา โส ความว่า ทรัพย์ของเขาย่อมพินาศไปบ้าง
เขาย่อมเข้าถึงความลำบากเองบ้าง ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ลพฺภเมตํ
ความว่า ความสุขมีความบันเทิงเป็นต้น ในโลกนี้และในโลกหน้า บัณฑิต
ผู้รู้แจ้งจะพึงได้เพราะการบำรุงมารดา คือบัณฑิตผู้เช่นนั้นอาจจะได้. บทว่า
ทานญฺจ ความว่า บุตรพึงให้ทานแก่มารดาบิดาทั้ง 2 พึงเจรจาถ้อยคำอัน
เป็นที่รัก พึงประพฤติประโยชน์ ด้วยอำนาจการกระทำหน้าที่ ที่บังเกิดขึ้นแล้ว
ให้เสร็จไป. บทว่า ธมฺเมสุ ความว่า ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรม คือ
ความเป็นผู้ประพฤติอ่อนน้อมต่อบุคคลผู้เจริญ อันบุตรพึงกระทำในที่นั้น ๆ
คือ ในท่ามกลางบริษัทหรือในที่ลับ ด้วยอำนาจการกราบไหว้เป็นต้น บุตร
จะทำการอภิวาทเป็นต้นในที่ลับแล้ว ไม่ยอมกระทำในบริษัทไม่สมควรเลย

พึงเป็นผู้ประพฤติเสมอในที่ทั้งหมดทีเดียว. บทว่า เอเต จ สงฺคหา นาสฺสุ
ความว่า ถ้าว่าสังคหวัตถุทั้ง 4 ประการเหล่านั้น จะไม่พึงมีไซร้. บทว่า
สมเปกฺขนฺติ ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมเล็งเห็นโดยนัย โดยเหตุ
โดยชอบ. บทว่า มหตฺตํ แปลว่า ความเป็นผู้ประเสริฐ. บทว่า พฺรหฺมา
ได้แก่ มารดาบิดาทั้งหลาย เป็นผู้สูงสุด เป็นผู้ประเสริฐสุด เสมอด้วยพระ-
พรหมของพวกบุตร. บทว่า ปุพฺพาจริยา ได้แก่ เป็นอาจารย์คนแรก.
บทว่า อาหุเนยฺยา ได้แก่ เป็นผู้ควรรับของคำนับ คือเป็นผู้สมควรแก่สักการะ
ทุกอย่าง บทว่า อนฺเนน อโถ ได้แก่ ทั้งข้าว ทั้งน้ำ. บทว่า เปจฺจ
ความว่า ในที่สุดแห่งการทำกาลกิริยา (ตาย) บุตรนั้นไปจากโลกนี้แล้ว ย่อม
บันเทิงอยู่ในโลกสวรรค์.
พระมหาสัตว์ ได้แสดงพระธรรมเทศนาจบลง ประดุจว่าพลิกภูเขา
สิเนรุขึ้น ด้วยประการฉะนี้. พระราชาเหล่านั้น และหมู่พลนิกายแม้ทั้งหมด
ได้สดับพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ต่างก็พากันเลื่อมใสแล้ว. ลำดับนั้น พระ-
มหาสัตว์ จึงแนะนำพระราชาเหล่านั้น ให้ตั้งอยู่ในศีลห้า แล้วสั่งสอนว่า ขอ
มหาบพิตรทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่ประมาทในบุญมีทานเป็นต้นเถิด แล้วส่งเสด็จ
พระราชาเหล่านั้นกลับไป. พระราชาเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ทรงปกครองราช
สมบัติโดยธรรม ในเวลาสิ้นพระชนมายุ ก็ทรงกระทำเทพนครให้เต็ม.
โสณบัณฑิต และนันทบัณฑิตดาบส 2 พี่น้อง ได้ปฏิบัติบำรุงมารดาบิดา
ตราบจนถึงสิ้นอายุ ก็ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศ
สัจจะทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้เลี้ยงมารดาบิดาได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

แล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า มารดาบิดาของเราในกาลนั้น ได้มาเป็นตระกูล
มหาราช
ในบัดนี้ พระเจ้ามโนชราชในกาลนั้น ได้มาเป็นพระสารีบุตร.
พระราชา
101 พระองค์ ได้มาเป็นพระอสีติมหาเถระ และมาเป็นพระสาวก
อื่น ๆ.
หมู่พลนิกาย 24 อักโขภิณี ก็ได้มาเป็นพุทธบริษัท. นันทบัณฑิต
ได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนโสณบัณฑิต ก็คือเราตถาคตนั่นเอง ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาโสณนันทชาดก
จบอรรถกถาสัตตตินิบาต ด้วยประการฉะนี้

รวมชาดกในสัตตตินิบาตนั้น มี 2 ชาดก คือ


กุสชาดก 1 โสณนันทชาดก 1 ชาดกทั้งสองนี้ปรากฏอยู่ในสัตตติ-
นิบาต และอรรถกถา.