เมนู

กุมารผู้เป็นอนุชาของพระเจ้ากุสราช ในกาลนั้น คือพระอานนท์
ในบัดนี้ นางค่อมคือนางขุชชุตตราอุบาสิกา ในบัดนี้ พระนาง
ประภาวดี คือพระมารดาของพระราหุล ในบัดนี้ บริษัทที่เหลือใน
กาลนั้นได้เป็นพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้ากุสราชก็คือเราตถาคต อร-
หันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล.

จบอรรถกถากุสชาดก

2. โสณนันทชาดก


ว่าด้วยพระราชาไปขอขมาโทษโสณดาบส


[134] พระผู้เป็นเจ้าเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์
เป็นท้าวสักกปุรินททะ หรือว่าเป็นมนุษย์ผู้มีฤทธิ์
ข้าพเจ้าทั้งหลายจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้อย่าไร.

[135] อาตมภาพไม่ใช่เป็นเทวดา ไม่ใช่เป็น
คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกปุรินททะ อาตมภาพเป็น
มนุษย์ผู้มีฤทธิ์ ดูก่อนภารถะ มหาบพิตรจงทราบ
อย่างนี้.

[136] ความช่วยเหลืออันมิใช่น้อยนี้ เป็นกิจที่
พระผู้เป็นเจ้ากระทำแล้ว คือ เมื่อฝนตก พระผู้เป็นเจ้า
ก็ได้ทำไม่ให้มีฝน แต่นั้น เมื่อลมจัดและแดดร้อน
พระผู้เป็นเจ้าก็ได้ทำให้มีเงาบังร่มเย็น แต่นั้น พระผู้
เป็นเจ้าได้ทำการป้องกันลูกศรในท่ามกลางแห่งศัตรู

แต่นั้น พระผู้เป็นเจ้าได้ทำบ้านเมืองอันรุ่งเรืองและ
ชาวเมืองเหล่านั้นให้ตกอยู่ในอำนาจ ของข้าพเจ้า
แต่นั้น พระผู้เป็นเจ้าได้ทำกษัตริย์ 101 พระองค์ให้
เป็นผู้ติดตามของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอขอบคุณ พระ-
ผู้เป็นเจ้ายิ่งนัก พระผู้เป็นเจ้าจะปรารถนาสิ่งที่จะให้
จิตชื่นชม คือ ยานอันเทียมด้วยช้าง รถอันเทียมด้วย
ม้า และสาวน้อยทั้งหลายที่ประดับประดาแล้ว หรือ
รมณียสถานอันเป็นที่อยู่อาศัยอันใด ขอพระผู้เป็นเจ้า
จงเลือกเอาสิ่งนั้นตามประสงค์เถิด ข้าพเจ้าขอถวาย
แก่พระผู้เป็นเจ้า หรือว่าพระผู้เป็นเจ้าจะปรารถนา
แคว้นอังคะหรือแคว้นมคธ ข้าพเจ้าก็ขอถวายแก่
พระผู้เป็นเจ้า หรือว่าพระผู้เป็นเจ้าปรารถนาแคว้น
อัสสกะหรือแคว้นอวันตี ข้าพเจ้าก็มีใจยินดีขอถวาย
แคว้นเหล่านั้นให้แก่พระผู้เป็นเจ้า หรือแม้พระผู้-
เป็นเจ้าปรารถนาราชสมบัติกึ่งหนึ่งไซร้ ข้าพเจ้าก็ขอ
ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระคุณเจ้ามีความต้องการ
ด้วยราชสมบัติทั้งหมด ข้าพเจ้าก็ขอถวาย พระคุณเจ้า
ปรารถนาสิ่งใด ขอพระคุณเจ้าบอกมาเถิด.

[137] อาตมภาพไม่มีความต้องการด้วยราช-
สมบัติ บ้านเมือง ทรัพย์ หรือแม้ชนบท อาตมภาพ
ไม่มีความต้องการเลย.

[138] ในแว่นแคว้นอาณาเขตของมหาบพิตร
มีอาศรมอยู่ในป่า มารดาและบิดาทั้งสองท่านของ

อาตมภาพ อยู่ในอาศรมนั้น อาตมภาพอยู่ในอาศรม
นั้น อาตมภาพไม่ได้เพื่อทำบุญในท่านทั้งสอง ผู้เป็น
บุรพาจารย์นั้น อาตมภาพขอเชิญมหาบพิตรผู้ประเสริฐ
ยิ่งไปขอขมาโทษโสณดาบสเพื่อสังวรต่อไป.

[139] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้าจะขอทำ
ตามคำที่พระคุณเจ้ากล่าวกะข้าพเจ้าทุกประการ ก็แต่
ว่า บุคคลผู้จะอ้อนวอนขอโทษมีประมาณเท่าใด ขอ
พระคุณเจ้าจงบอกบุคคลมีประมาณเท่านั้น.

[140] ชาวชนบทมีประมาณหนึ่งร้อยเศษ
พราหมณ์มหาศาลก็เท่ากัน กษัตริย์ผู้เป็นอภิชาตผู้
เรืองยศเหล่านี้ทั้งหมด มหาบพิตรซึ่งทรงพระนาม
ว่าพระเจ้ามโนชะ บุคคลผู้จะอ้อนวอนขอโทษประมาณ
เท่านี้ก็พอแล้ว ขอถวายพระพร.

[141] เจ้าพนักงานทั้งหลายจงเตรียมช้าง จง
เตรียมม้า นายสารถีท่านจงเตรียมรถ ท่านทั้งหลาย
จงถือเอาเครื่องผูก จงยกธงชัยขึ้นที่คันธงทั้งหลาย
เราจะไปยังอาศรมอันเป็นที่อยู่ของโกสิยดาบส.

[142] ก็ลำดับนั้น พระราชาพร้อมด้วย
จาตุรงคเสนา ได้เสด็จไปยังอาศรมอันน่ารื่นรมย์ ซึ่ง
เป็นที่อยู่ของโกสิยดาบส.

[143] ไม้คานอันทำด้วยไม้กระทุ่มของใคร ผู้
ไปเพื่อหาบน้ำ ลอยมายังเวหาสมิได้ถูกบ่า ห่าง
ประมาณ 4 องคุลี.

[144] ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพชื่อว่าโสณะ
เป็นดาบสมีวัตรอันสมาทานแล้ว มิได้เกียจคร้าน
เลี้ยงดูมารดาบิดาอยู่ทุกคืนทุกวัน ดูก่อนมหาบพิตรผู้
เป็นเจ้าแห่งทิศ อาตมภาพระลึกถึงอุปการคุณที่ท่าน
ทั้งสองได้กระทำแล้ว ในกาลก่อน จึงนำผลไม้ป่าและ
เผือกมันมาเลี้ยงดูมารดาบิดา.

[145] ข้าพเจ้าทั้งหลาย ปรารถนาจะไปยัง
อาศรมซึ่งเป็นที่อยู่ของโกสิยดาบส ข้าแต่ท่านโสณะ
ขอท่านได้โปรดบอกทางจะไปยังอาศรมนั้นแก่ข้าพเจ้า
ทั้งหลายเถิด.

[146] ดูก่อนมหาบพิตร ทางนี้เป็นทางสำหรับ
เดินคนเดียว ขอเชิญมหาบพิตรเสด็จไปยังป่าอัน
สะพรั่งไปด้วยต้นทองหลาง มีสีเขียวชอุ่มดังสีเมฆ
โกสิยดาบสอยู่ในป่านั้น.

[147] โสณมหาฤๅษีครั้นกล่าวคำนี้แล้ว ได้
พร่ำสอนกษัตริย์ทั้งหลาย ณ กลางหาว แล้วรีบหลีกไป
ยังสระอโนดาต แล้วกลับมาปัดกวาดอาศรมแต่งตั้ง
อาสนะแล้ว เข้าไปสู่บรรณศาลาแจ้งให้ดาบสผู้เป็น
บิดาทราบว่า ข้าแต่ท่านมหาฤๅษี พระราชาทั้งหลายผู้
อภิชาตเรืองยศเหล่านี้เสด็จมาหา ขอเชิญบิดาออกไป
นั่งนอกอาศรมเถิด มหาฤๅษีได้ฟังคำของโสณบัณฑิต
นั้นแล้ว รีบออกจากอาศรมมานั่งอยู่ที่ประตูของตน.

[148] โกสิยดาบสได้เห็นพระเจ้ามโนชะนั้น
ซึ่งมีหมู่กษัตริย์ห้อมล้อมเป็นกองทัพ ประหนึ่งรุ่งเรือง
ด้วยเดช เสด็จมาอยู่ จึงกล่าวคาถานี้ความว่า กลอง
ตะโพน สังข์ บัณเฑาะว์ และมโหระทึก ยังพระราชา
ผู้เป็นจอมทัพให้ร่าเริงอยู่ ดำเนินไปแล้วข้างหน้าของ
ใคร หน้าผากของใครสวมแล้วด้วยแผ่นทองอันหนา
มีสีดุจสายฟ้า ใครกำลังหนุ่มแน่น ผูกสอดด้วยกำ
ลูกศร รุ่งเรืองด้วยสิริ เดินมาอยู่ อนึ่ง หน้าของใคร
งานผุดผ่อง ดุจทองคำอันละลายคว้างที่ปากเบ้า มีสี
ดังถ่านเพลิง ใครหนอรุ่งเรืองด้วยสิริกำลังเดินมาอยู่
ฉัตรพร้อมด้วยคันน่ารื่นรมย์ใจ สำหรับกั้นแสงอาทิตย์
อันบุคคลกางแล้วเพื่อใคร ใครหนอรุ่งเรืองด้วยสิริ
กำลังเดินมาอยู่ ชนทั้งหลายถือพลัดวาลวีชนีเครื่องสูง
เดินเคียงองค์ของใคร ผู้มีบุญอันประเสริฐ มาอยู่โดย
คอช้างเศวตฉัตร ม้าอาชาไนย และทหารสวมเกราะ
เรียงรายอยู่โดยรอบของใคร ใครหนอรุ่งเรืองด้วยสิริ
กำลังเดินมาอยู่ กษัตริย์ 101 พระนครผู้เรืองยศ เป็น
อนุยนต์เดินแวดล้อมตามอยู่โดยรอบของใคร ใครหนอ
รุ่งเรืองด้วยสิริกำลังเดินมาอยู่ จาตุรงคเสนา คือ พลช้าง
พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า เดินแวดล้อมตามอยู่
โดยรอบของใคร ใครหนอรุ่งเรืองด้วยสิริกำลังเดินมา
อยู่ เสนาหมู่ใหญ่นี้นับไม่ถ้วน ไม่มีที่สุดดุจคลื่นใน
มหาสมุทร กำลังห้อมล้อมตามหลังใครมา.

[149] กษัตริย์ที่กำลังเสด็จมานั้น คือ พระเจ้า
มโนชราชาธิราชเป็นเพียงดังพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่กว่า
เทวดาชั้นดาวดึงส์ เข้าถึงความเป็นบริษัทของนันท-
ดาบส กำลังมาสู่อาศรมอันเป็นที่ประพฤติพรหมจรรย์
เสนาหมู่ใหญ่นี้นับไม่ถ้วน ไม่มีที่สุด ดุจคลื่นใน
มหาสมุทร กำลังตามหลังพระเจ้ามโนชะนั้นมา.

[150] พระราชาทุกพระองค์ ทรงลูบไล้ด้วย
จันทน์หอม ทรงผ้ากาสิกพัสตร์อย่างดี ทุกพระองค์
ทรงประคองอัญชลีเข้าไปยังสำนักของฤๅษีทั้งหลาย.

[151] พระคุณเจ้าผู้เจริญไม่มีโรคพาธดอกหรือ
พระคุณเจ้าสุขสำราญดีอยู่หรือ พระคุณเจ้าพอยังอัต-
ภาพให้เป็นไปได้สะดวกด้วยการแสวงหามูลผลาหาร
แลหรือ เหง้ามันและผลไม้มีมากแลหรือ เหลือบ ยุง
และสัตว์เลื้อยคลานมีน้อยแลหรือ ในป่าอันเกลื่อน-
กล่นไปด้วยพาฬมฤค ไม่มีมาเบียดเบียนบ้างหรือ.

[152] ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพทั้งหลาย
ไม่มีโรคาพาธ มีความสุขสำราญดี เยียวยาอัตภาพ
ได้สะดวกด้วยการแสวงหามูลผลาหาร ทั้งมูลมันผลไม้
ก็มีมาก เหลือบ ยุงและสัตว์เลื้อยคลานมีน้อย ในป่า
อันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาฬมฤคไม่มีมาเบียดเบียนอาต-
มภาพ เมื่ออาตมภาพได้อยู่ในอาศรมนี้หลายปี มาแล้ว
อาตมภาพไม่รู้สึกอาพาธอันไม่เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ

เกิดขึ้นเลย ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาดีแล้ว
เสด็จมาถึงแล้ว ขอจงตรัสบอกสิ่งที่ทรงชอบพระหฤทัย
ซึ่งมีอยู่ ณ ที่นี้เถิด ขอเชิญมหาบพิตรเสวยผลมะพลับ
ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้
มีรสหวานน้อย ๆ เชิญเลือกเสวยแต่ผลที่ดี ๆ เถิด
น้ำนี้เย็นนำมาแต่ซอกเขา ขอเชิญมหาบพิตรดื่มเถิด
ถ้าพระองค์ทรงปรารถนา.

[153] สิ่งใดที่พระคุณเจ้าให้ ข้าพเจ้าขอรับสิ่ง
นั้น พระคุณเจ้ากระทำให้ถึงแก่ข้าพเจ้าทั้งปวง ขอ
พระคุณเจ้าจงเงี่ยโสตสดับคำของนันทดาบสติท่านจะ
กล่าวนั้นเถิด ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบริษัทของนันทดา-
บส มาแล้วสู่สำนักของพระคุณเจ้า ขอพระคุณเจ้าโปรด
สดับคำของข้าพเจ้า ของนันทดาบสและของบริษัทเถิด.

[154] ชาวชนบทร้อยเศษ พราหมณ์มหาศาล
ประมาณเท่านั้น กษัตริย์อภิชาตผู้เรืองยศทั้งหมดนี้
และพระเจ้ามโนชะผู้เจริญ จงเข้าใจคำของข้าพเจ้า
ยักษ์ทั้งหลายภูตและเทวดาทั้งหลายในป่า เหล่าใด
ซึ่งมาประชุมกันอยู่ในอาศรมนี้ ขอจงฟังคำของข้าพ-
เจ้า ข้าพเจ้าขอกระทำความนอบน้อมแก่เทวดาทั้ง-
หลายแล้วจักกล่าวกะฤๅษีผู้มีวัตรอันงาม ข้าพเจ้านั้น
ชาวโลกสมมติแล้วว่าเป็นชาวโกสิยโคตรร่วมกับท่าน

จึงนับว่าเป็นแขนขวาของท่าน ข้าแต่ท่านโกสิยะผู้มี
ความเพียร เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ประสงค์จะเลี้ยงดูมารดา
บิดาของข้าพเจ้า ฐานะนี้ชื่อว่าเป็นบุญ ขอท่านอย่า
ได้ห้ามข้าพเจ้าเสียเลย จริงอยู่ การบำรุงมารดาบิดานี้
สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว ขอท่านจงอนุญาตการ
บำรุงมารดาบิดานี้แก่ข้าพเจ้า ท่านได้กระทำกุศลมา
แล้วสิ้นกาลนาน ด้วยการลุกขึ้นทำกิจวัตรและการบีบ
นวด บัดนี้ข้าพเจ้าปรารถนาจะทำบุญในมารดาและ
บิดา ขอท่านจงให้โลกสวรรค์แก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าแต่
พระฤๅษี มนุษย์ทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในบริษัทนี้ ทราบบท
แห่งธรรมในธรรมว่าเป็นทางแห่งโลกสวรรค์ เหมือน
ดังท่านทราบ ฉะนั้น การบำรุงมารดาบิดาด้วยการ
อุปัฏฐากและการบีบนวดชื่อว่านำความสุขมาให้ ท่าน
ห้ามข้าพเจ้าจากบุญนั้น ชื่อว่าเป็นอันห้ามทางอัน
ประเสริฐ.

[155] ขอมหาบพิตรผู้เจริญทั้งหลาย ผู้เป็น
บริษัทของนันทะ จงสดับถ้อยคำของอาตมภาพ ผู้ใด
ยังวงศ์ตระกูลแต่เก่าก่อนให้เสื่อม ไม่ประพฤติธรรม
ในบุคคลผู้เจริญทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมเข้าพึงนรก ดูก่อน
ท่านผู้เป็นใหญ่ในทิศ ส่วนชนเหล่าใดเป็นผู้ฉลาดใน
ธรรมอันเป็นของเก่า และถึงพร้อมด้วยจารีต ชนเหล่า
นั้นย่อมไม่ไปสู่ทุคติ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย

พี่สาวน้องสาว ญาติและเผ่าพันธุ์ ชนเหล่านั้นทั้งหมด
ย่อมเป็นภาระของพี่ชายใหญ่ ขอพระองค์ทรงทราบ
อย่างนี้เถิด มหาบพิตร ดูก่อนมหาบพิตรผู้เป็นจอมทัพ
ก็อาตมภาพเป็นพี่ชายใหญ่ จึงต้องรับภาระอันหนัก
ทั้งสามารถจะปฏิบัติท่านเหล่านั้นได้ เหมือนนายเรือ
รับภาระอันหนัก สามารถจะนำเรือไปได้โดยสวัสดี
ฉะนั้น เหตุนั้น อาตมภาพจึงไม่ละลืมธรรม.

[156] ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ไปแล้วในความมืด
วันนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายเกิดความรู้ขึ้นแล้ว ท่านโกสิย
ฤๅษีได้แสดงธรรมแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนส่องแสง
อันรุ่งเรืองจากไฟ ฉะนั้น พระอาทิตย์เป็นเทพเจ้าแห่ง
แสง มีรัศมีเจิดจ้า เมื่ออุทัย ย่อมแสดงรูปดีและรูปชั่ว
ให้ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านโกสิยฤๅษีก็
แสดงธรรมแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน.

[157] ถ้าพี่จะไม่รับอัญชลีของข้าพเจ้าผู้วิง-
วอนอยู่อย่างนี้ ข้าพเจ้า จักดำเนินไปตามถ้อยคำของ
พี่ จักบำรุงบำเรอพี่ผู้อยู่ด้วยความไม่เกียจคร้าน.

[158] ดูก่อนนันทะ เธอรู้แจ้งสัทธรรมที่สัต-
บุรุษทั้งหลายแสดงแล้วเป็นแน่ เธอเป็นคนงาม มี
มารยาทอันงดงาม พี่ชอบใจเป็นยิ่งนัก พี่จะกล่าวกะ
มารดาบิดาว่า ขอท่านทั้งสองจงฟังคำของข้าพเจ้า
ภาระนี้หาใช่เป็นภาระเพียงชั่วครั้งชั่วคราวของข้าพเจ้า

ไม่ การบำรุงที่ข้าพเจ้าบำรุงแล้วนี้ ย่อมนำความสุข
มาให้แก่มารดาบิดาได้ แต่นันทะย่อมกระทำการ
ขอร้องอ้อนวอนเพื่อบำรุงท่านทั้งสองบ้าง บรรดาท่าน
ทั้งสองผู้สงบระงับ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ หากว่า
ท่านใดปรารถนา ข้าพเจ้าจะบอกกะท่านนั้น ขอให้
ท่านทั้งสองผู้หนึ่งจงเลือกนันทะตามความปรารถนา
เถิด นันทะจะบำรุงใครในท่านทั้งสอง.

[159] ดูก่อนพ่อโสณะ เราทั้งสองคนอาศัย
เจ้าอยู่ ถ้าเจ้าอนุญาต แม่ก็จะพึงได้จุมพิตลูกนันทะผู้
ประพฤติพรหมจรรย์ที่ศีรษะ.

[160] ใบอ่อนของต้นอัสสัตถพฤกษ์ เมื่อลม
รำเพยพัดต้องแล้ว ย่อมหวั่นไหวไปมา ฉันใด หัวใจ
ของแม่ก็หวั่นไหว เพราะนาน ๆ จึงได้เห็นลูกนันทะ
ฉันนั้น เมื่อใด เมื่อแม่หลับแล้วฝันเห็นลูกนันทะมา
แม่ก็ดีใจอย่างล้นเหลือว่าลูกนันทะของแม่นี้มาแล้ว
แต่เมื่อใด ครั้นแม่ตื่นขึ้นแล้ว ไม่ได้เห็นลูกนันทะ
ของแม่มา ความเศร้าโศกและความเสียใจมิใช่น้อย
ก็ทับถมยิ่งนัก วันนี้ แม่ได้เห็นลูกนันทะผู้จากไปนาน
กลับมาแล้ว ขอลูกนันทะจงเป็นที่รักของบิดาเจ้าและ
ของแม่เอง ขอลูกนันทะจงเข้าไปสู่เรือนของเราเถิด
ดูก่อนพ่อโสณะ ลูกนันทะเป็นที่แสนรักของบิดา
ลูกนันทะยังไม่ได้เข้าไปสู่เรือนใด ขอให้ลูกนันทะจง
ได้เรือนนั้น ขอลูกนันทะจงบำรุงแม่เถิด.

[161] ดูก่อนฤาษี มารดาเป็นผู้อนุเคราะห์ เป็น
ที่พึ่งและเป็นผู้ให้ขีรรสแก่เราก่อน เป็นทางแห่งโลก-
สวรรค์ มารดาปรารถนาเจ้า มารดาเป็นผู้ให้ขีรรส
ก่อน เป็นผู้เลี้ยงดูเรามา เป็นผู้ชักชวนเราในบุญกุศล
เป็นทางแห่งโลกสวรรค์ มารดาปรารถนาเจ้า.

[162] มารดาหวังผลคือบุตร จึงนอบน้อมแก่
เทวดา และไต่ถามถึงฤกษ์ ฤดูและปีทั้งหลาย เมื่อ
มารดานั้นมีระดู ความก้าวลงแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์
ก็ย่อมมี เพราะสัตว์เกิดในครรภ์นั้น มารดาจงแพ้ท้อง
เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า เป็นผู้มี
ใจดี มารดาบริหารครรภ์อยู่หนึ่งปีหรือหย่อนกว่าปีแล้ว
จึงคลอด เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า ชนยันตี
และชเนตตี ผู้ยังบุตรให้เกิด มารดาย่อมปลอบบุตร
ผู้ร้องไห้อยู่ให้รื่นเริง ด้วยการให้ดื่มน้ำนมบ้าง ด้วย
การขับกล่อมบ้าง ด้วยการอุ้มแนบไว้กับอกบ้าง
เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า ปลอบบุตรให้
รื่นเริง ต่อแต่นั้น มารดาเห็นบุตรผู้ยังเป็นเด็กอ่อน
ไม่รู้จักเดียงสา เล่นอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดด
อันกล้าก็เข้ารับขวัญ เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียก
มารดานั้นว่า โปเสนตี ผู้เลี้ยงดูบุตร มารดาย่อม
คุ้นครองทรัพย์แม้ทั้งสองฝ่าย คือ ทรัพย์ของมารดา
และทรัพย์ของบิดา เพื่อบุตรนั้น ด้วยตั้งใจว่า ทรัพย์

ทั้งสองฝ่ายพึงเป็นของบุตรแห่งเรา มารดายังบุตรให้
ศึกษาดังนี้ว่า อย่างนี้ซิลูก อย่างโน้นซิลูก ย่อมลำบาก
เมื่อบุตรกำลังรุ่นหนุ่มคะนอง มารดาย่อมคอยมองดู
บุตรผู้หลงเพลิดเพลินในภรรยาผู้อื่น จนพลบค่ำก็ยัง
ไม่กลับมา ย่อมเดือดร้อนด้วยประการฉะนี้.

บุตรผู้อันมารดาเลี้ยงดูมาแล้ว ด้วยความลำบาก
อย่างนี้ ไม่บำรุงมารดา บุตรนั้นชื่อว่าประพฤติผิดใน
มารดาย่อมเข้าถึงนรก บุตรผู้อันบิดาเลี้ยงมาแล้วด้วย
ความลำบากอย่างนี้ ไม่บำรุงบิดา บุตรนั้นชื่อว่าประ-
พฤติผิดในบิดา ย่อมเข้าถึงนรก เราได้สดับมาว่า
เพราะไม่บำรุงมารดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลายผู้
ปรารถนาทรัพย์ย่อมฉิบหาย หรือบุตรนั้นย่อมเข้าถึง
ความยากแค้น เราได้สดับมาว่า เพราะไม่บำรุงบิดา
แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาทรัพย์ ย่อม
ฉิบหาย หรือบุตรนั้นย่อมเข้าถึงความยากแค้น ความ
รื่นเริง ความบันเทิง และความหัวเราะเล่นหัวกันทุก
เมื่อ บัณฑิตผู้รู้แจ้งพึงได้เพราะการบำรุงมารดา ความ
รื่นเริง ความบันเทิง และความหัวเราะเล่นหัวกันทุก
เมื่อ บัณฑิตผู้รู้แจ้งพึงได้เพราะการบำรุงบิดา สังคห-
วัตถุ 4 ประการนี้ คือทาน การให้ 1 ปิยวาจา เจรจา
คำน่ารัก 1 อัตถจริยา การประพฤติประโยชน์ 1
สมานัตตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลาย

ตามสมควรในที่นั้น ๆ 1 ย่อมมีในโลกนี้ เหมือน
เพลารถย่อมมีแก่รถที่กำลังแล่นไป ฉะนั้น ถ้าว่า
สังคหวัตถุเหล่านี้ไม่พึงมีไซร้ มารดาก็จะไม่พึงได้รับ
ความนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร หรือ
บิดาก็จะไม่พึงได้ความนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุ
แห่งบุตร ก็เพราะบัณฑิตทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็น
สังคหวัตถุนี้ ฉะนั้น บัณฑิตเหล่านั้นย่อมถึงความ
เป็นผู้ประเสริฐ และเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์พึง
สรรเสริญ มารดาและบิดาบัณฑิตเรียกว่า เป็นพรหม
ของบุตร เป็นบุรพาจารย์ของบุตร เป็นผู้ควรรับของ
คำนับของบุตร และว่าเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร เพราะ
เหตุนั้นแล บุตรผู้เป็นบัณฑิต พึงนอบน้อมและ
สักการะมารดาบิดาทั้ง 2 นั้นด้วย ข้าว น้ำ ผ้านุ่ง
ผ้าห่ม ที่นอน การขัดสี การให้อาบน้ำ และการ
ล้างเท้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุตรนั้น ด้วย
การบำรุงในมารดาบิดาในโลกนี้ ครั้นบุตรนั้นละโลก
นี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์.

จบโสณนันทชาดกที่ 2
จบสัตตตินิบาต

อรรถกถาโสณนันทชาดก


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภภิกษุผู้เลี้ยงมารดารูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
เทวตา นุสิ ดังนี้.
เนื้อเรื่องของชาดกนี้ คล้ายกับเรื่องในสุวรรณสามชาดกทีเดียว.
ก็ในกาลนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธออย่าติเตียน
ภิกษุรูปนี้เลย บัณฑิตแต่ปางก่อนทั้งหลาย แม้ได้ราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น
ก็ยังไม่ยอมรับเอาราชสมบัตินั้น ย่อมเลี้ยงแต่มารดาบิดาถ่ายเดียว แล้วทรงนำ
อตีตนิทานมา ตรัสว่า
ในอดีตกาล กรุงพาราณสี ได้เป็นพระนครที่มีชื่อว่า พรหมวัธน์.
พระราชาทรงมีพระนามว่า มโนชะ เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครนั้น. มี
พราหมณ์มหาศาลผู้หนึ่ง มีทรัพย์สมบัติประมาณ 80. โกฏิ แต่หาบุตรมิได้
อาศัยอยู่ในพระนครนั้น. นางพราหมณีผู้เป็นภริยาของพราหมณ์นั้น เมื่อ
พราหมณ์ผู้สามีนั้นกล่าวว่า นางผู้เจริญ เธอจงปรารถนาบุตรเถิด ดังนี้ ก็ได้
ปรารถนาแล้ว. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ เสด็จจุติจากพรหมโลก ทรงถือปฏิสนธิ
ในครรภ์ของนางพราหมณีนั้น. เมื่อกุมารนั้นเกิดแล้ว มารดาบิดาจึงตั้งชื่อว่า
โสณกุมาร ในกาลเมื่อโสณกุมารนั้นเดินได้ แม้สัตว์อื่น ก็จุติจากพรหมโลก
ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางพราหมณีนั้นอีก มารดาบิดาตั้งชื่อกุมารนั้นว่า
นันทกุมาร เมื่อกุมารทั้ง 2 คนนั้นเรียนพระเวท จนจบการศึกษาศิลปศาสตร์
ทั้งหมดแล้ว พราหมณ์ผู้บิดามองเห็นรูปสมบัติอันเจริญวัย จึงเรียกนางพราหมณี
มา แล้วพูดว่า แน่ะนางผู้เจริญ เราจักผูกพันโสณกุมารลูกชายของเราไว้ด้วย