เมนู

สัตตตินิบาตชาดก


1. กุสชาดก


ว่าด้วยพระเจ้ากุสราชลุ่มหลงรูปโฉมของนางประภาวดี


[94] รัฐของพระองค์นี้ มีทรัพย์ มียาน
มีเครื่องราชกกุธภัณฑ์ สมบูรณ์ด้วยสิ่งที่น่าปรารถนา
ทั้งปวง ข้าแต่พระมารดา ขอพระองค์จงทรงปกครอง
ราชสมบัติของพระองค์นี้ หม่อนฉันจะขอทูลลาไปยัง
เมืองสาคละ ซึ่งเป็นที่สถิตแห่งพระนางประภาวดี
ที่รัก.

[95] พระองค์ทรงนำหาบใหญ่มาด้วยพระทัย
อันไม่ซื่อตรง จักต้องทรงสวยทุกข์ใหญ่ทั้งกลางวัน
และกลางคืน ขอเชิญพระองค์เสด็จกลับไปยังกุสาวดี
นครเสียโดยเร็วเถิด หม่อมฉันไม่ปรารถนาให้พระองค์
ซึ่งมีผิวพรรณชั่วอยู่ในที่นี้.

[96] ประภาวดีเอ๋ย พี่ติดใจในผิวพรรณของ
เธอ จึงจะจากที่นี้ไปยังเมืองกุสาวดีไม่ได้ พี่ยินดีใน
การเห็นเธอ ได้ละทิ้งบ้านเมืองมารินรมย์อยู่ในพระ-
ราชนิเวศน์อันน่ารื่นรมย์ของพระเจ้ามัททราช ดูก่อน
น้องประภาวดี พี่ติดใจในผิวพรรณของเธอจนลุ่มหลง
เที่ยวไปยังพื้นแผ่นดิน พี่ไม่รู้จักทิศว่า คนมาแล้วจาก

ที่ไหน พี่หลงไหลในตัวเธอ ผู้มีดวงเนตรอันแจ่มใส
เหมือนดวงตามฤค ผู้ทรงผ้ากรองทอง ดูก่อนพระน้อง
ผู้มีตะโพนอันผึ่งกาย พี่ปรารถนาแต่ตัวเธอ พี่ไม่ต้อง
การด้วยราชสมบัติ.

[97] ดูก่อนพระเจ้ากุสราช ผู้ใดปรารถนาคน
ที่เขาไม่ปรารถนาตน ผู้นั้นย่อมมีแต่ความไม่เจริญ
หม่อมฉันไม่รักพระองค์ พระองค์ก็จะให้หม่อมฉันรัก
เมื่อเขาไม่รัก พระองค์ก็ยังปรารถนาให้เขารัก.

[98] นรชนใดได้คนที่เขาไม่รักตัว หรือที่รัก
ตัวมาเป็นที่รัก เราสรรเสริญการได้ในสิ่งนี้ ความไม่
ได้ในสิ่งนั้นเป็นความชั่วช้า.

[99] พระองค์ทรงปรารถนา ซึ่งหม่อมฉันผู้ไม่
ปรารถนา เปรียบเหมือนพระองค์เอาไม่กรรณิการ์มา
แคะเอาเพชรในหิน หรือเหมือนเอาตาข่ายมาดักลม
ฉะนั้น.

[100] หินคงฝังอยู่ในหฤทัยมีลักษณะอ่อน
ละมุนละไม ของเธอเป็นเเน่ เพราะตั้งแต่ฉันมาจาก
ชนบทภายนอก ยังไม่ได้ความชื่นชมจากเธอเลย
พระราชบุตรียังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มองดูฉันอยู่ตราบ
ใด ฉันก็คงต้องเป็นพนักงาน เครื่องต้นภายในบุรีของ
พระเจ้ามัททราชอยู่ตราบนั้น ต่อเมื่อใดพระราชบุตร
ยิ้มแย้มแจ่มใสมองดูฉัน ฉันก็จะเลิกเป็นพนักงาน
เครื่องต้น กลับเป็นพระเจ้ากุสราชเมื่อนั้น.


[101] ก็ถ้าถ้อยคำของโหรทั้งหลายจักเป็นจริง
ไซร้ พระองค์คงไม่ใช่พระสวามีของหม่อนฉันแน่แท้
เขาเหล่านั้นคงจะบั่นเราออกเป็นเจ็ดท่อนแน่.

[102] ก็ถ้าถ้อยคำของโหรเหล่าอื่นหรือของ
หม่อมฉันจักเป็นจริงไซร้ พระสวามีของเธอ นอกจาก
พระเจ้ากุสราชผู้มีพระเสียงดังราชสีห์ จะเป็นคนอื่น
ไม่มีเลย.

[103] แน่ะนางขุชชา เรากลับไปถึงกรุงกุสาวดี
แล้ว จักให้นายช่างทำเครื่องประดับคอทองคำให้แก่เจ้า
ถ้าเจ้าทำให้พระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้าง
แลดูเราได้... ถ้าเจ้าทำพระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงาม
ดังงวงช้างให้เจรจาแก่เราได้...ถ้าเจ้าทำพระนางประภา-
วดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้างให้ยิ้มแย้มแก่เราได้... ถ้า
เจ้าทำพระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้าง ให้
หัวเราะร่าเริงแก่เราได้ แน่ะนางขุชชา เรากลับไป ถึง
กรุงกุสาวดีแล้ว จักให้นายช่างทำเครื่องประดับคอ
ทองคำให้แก่เจ้า ถ้าเจ้าทำพระนางประภาวดีผู้มีขา-
อ่อนงามดังงวงช้าง มาลูบคลำจับตัวเรา ด้วยมือของ
เธอได้.

[104] พระราชบุตรีนี้ คงไม่ได้ประสบแม้ความ
สำราญในสำนักแห่งพระเจ้ากุสราชเสียเลยเป็นแน่
พระนางจึงไม่ทรงกระทำแม้เพียงการปฏิสันถาร ใน

บุรุษผู้เป็นพนักงานเครื่องต้น เป็นคนรับใช้ ไม่ต้อง
การด้วยค่าจ้าง.

[105] นางขุชชานี้ เห็นจะไม่ต้องถูกตัดลิ้น
ด้วยมีดอันคมเป็นแน่ จึงมาพูดคำหยาบช้าอย่างนี้.

[106] ข้าแต่พระนางประภาวดี พระนางอย่า
ทรงเทียบพระเจ้ากุสราชนั้น ด้วยพระรูปอันเลอโฉม
ของพระนางซิ ข้าแต่พระนางผู้มีความรุ่งเรือง
พระนางจงกระทำไว้ในพระทัยว่า พระเจ้ากุสราช
พระองค์นั้นทรงมีพระอิสริยยศใหญ่ แล้วจงกระทำ
ความรักในพระเจ้ากุสราช ผู้มีความงามอันนี้ ข้าแต่
พระนางประภาวดี พระนางอย่าทรงเทียบพระเจ้า
กุสราชพระองค์นั้นด้วยพระรูปอันเลอโฉมของพระนาง
ซิ ข้าแต่พระนางผู้มีความรุ่งเรือง พระนางจงกระทำ
ไว้ในพระทัยว่า พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้นทรงมี
พระราชทรัพย์เป็นอันมาก... มีทแกล้วทหาร. . มี
พระราชอาณาจักรสว่างใหญ่... เป็นพระมหาราชา
มีพระสุรเสียงเหมือนเสียงราชสีห์... มีพระสุรเสียง
ไพเราะ ... มีพระสุรเสียงหยดย้อย ... มีพระสุรเสียง
กลมกล่อม ... มีพระสุรเสียงล่อนหวาน... ทรง
ชำนาญศิลป์ตั้งร้อยอย่าง... เป็นกษัตริย์... พระแม่เจ้า
ประภาวดี พระนางอย่าเทียบพระเจ้ากุสราชนั้นด้วย
พระรูปอันเลอโฉมของพระนางซิ พระนางจงกระทำ

ไว้ในพระทัยว่า พระราชาพระองค์นั้น มีพระนาม
เหมือนกับหญ้าคาที่ท้าวสักกะทรงประทาน แล้วจง
กระทำความรักในพระเจ้ากุสราชผู้มีความงามอันนี้.

[107] ช้างเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสัตว์แข็งกระด้าง
ตั้งอยู่เหมือนจอมปลวก จะพากันพังกำแพงเข้ามา
เสียก่อน ขอพระองค์ส่งข่าวแก่พระราชาเหล่านั้นว่า
เชิญเสด็จมานำเอานางประภาวดีนี้ไปเถิด.

[108] เราจะบั่นนางประภาวดีนี้ออกเป็นเจ็ด-
ท่อน แล้วจักให้แก่กษัตริย์ผู้เสด็จมา ณ ที่นี้เพื่อจะ
ฆ่าเรา.

[109] พระราชบุตรผู้มีผิวผ่องดังทองคำ ทรง
ผ้าโกไสยพัสตร์ มีพระเนตรนองด้วยน้ำตา อันหมู่
ทาสีแวดล้อม เสด็จไปยังห้องพระมารดา.

[110] ข้าแต่พระมารดา หน้าของลูกอันผัดแล้ว
ด้วยแป้ง ส่องแล้วที่กระจกเงา งดงาม มีดวงเนตร
คมคาย ผุดผ่องเป็นนวลใย จักถูกกษัตริย์ทั้งหลาย
โยนทิ้งเสียในป่าเป็นแน่แล้ว ฝูงแร้งก็จะพากันเอาเท้า
ยื้อแย่งผมของลูกอันดำ มีปลายงอน ละเอียดอ่อน
ลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมแก่นจันทน์ ในท่ามกลางป่าช้า
อันเปรอะเปื้อนเป็นแน่ แขนอ่อนนุ่มทั้งสองของลูก
อันมีเล็บแดง มีขนละเอียด ลูบไล้ด้วยจุรณจันทน์
ก็จะถูกกษัตริย์ทั้งหลายตัดทิ้งเสียในป่า และฝูงกาก็

จะโฉบคาบเอาไปตามความปรารถนาเป็นแน่ สุนัข
จิ้งจอกมาเห็นถันทั้งสองของลูกเช่นกับผลตาลอันห้อย
อยู่ ซึ่งลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์แคว้นกาสี ก็จะยืน
คร่อมที่ถันทั้งสองของลูกเป็นแน่ เหมือนลูกอ่อนที่
เกิดแต่ตนของมารดา ตะโพนอันกลมผึ่งผายของลูก
ผูกรัดด้วยสร้อยสะอิ้งทอง ก็จะถูกกษัตริย์ทั้งหลายตัด
เป็นชิ้น ๆ แล้วโยนทิ้งไปในป่า ฝูงสุนัขจิ้งจอกก็จะ
พากันมาฉุดคร่าไปกิน ฝูงสุนัขป่า ฝูงกา ฝูงสุนัข-
จิ้งจอกและสัตว์ที่มีเขี้ยวเหล่าอื่นซึ่งมีอยู่ ได้กินนาง
ประภาวดีแล้ว คงไม่รู้จักแก่กันเป็นแน่ ข้าแต่พระ-
มารดา ถ้ากษัตริย์ทั้งหลายผู้มาแต่ที่ไกลได้นำเอาเนื้อ
ของลูกไปหมดแล้ว พระมารดาได้ทรงโปรดขอเอา
กระดูกมาเผาเสียในระหว่างทางใหญ่ พระมารดา
ได้สร้างสวนดอกไม้แล้ว จงปลูกต้นกรรณิการ์ในสวน
เหล่านั้น ข้าแต่พระมารดา ในกาลใด ดอกกรรณิการ์
เหล่านั้นบานแล้วในเวลาหิมะตกในฤดูเหมันต์ ใน
กาลนั้น ขอพระมารดาพึงรำลึกถึงลูกว่า ประภาวดีมี
ผิวพรรณอย่างนี้.

[111] พระมารดาของพระนางประภาวดีเป็น
ขัตติยานี มีพระฉวีวรรณดังเทพอัปสรได้ประทับยืน
อยู่แล้ว ทอดพระเนตรเห็นดาบและธนูวางอยู่ตรง
พระพักตร์พระเจ้ามัททราช ภายในบุรี.

[112] จึงทรงพิลาปรำพันว่า พระองค์จะทรง
ฆ่าธิดาของหม่อมฉัน บั่นให้เป็นท่อน ๆ ด้วยดาบนี้
แล้วจะประทานแก่กษัตริย์ทั้งหลาย แน่หรือเพค๊ะ.

[113] ลูกน้อยเอ๋ย พระบิดาไม่ทรงกระทำตาม
คำของแม่ใคร่ประโยชน์ เจ้านั้นเปรอะเปื้อนโลหิต
ไปสู่สำนักพระยายมในวันนี้ ถ้าบุรุษผู้ใดไม่ทำตามคำ
ของบิดามารดาผู้เกื้อกูลมองเห็นประโยชน์ บุรุษนั้น
ย่อมได้รับโทษอย่างนี้ และจะต้องเข้าถึงโทษที่ลามก
กว่า ในวันนี้ถ้าลูกจะทรงไว้ซึ่งกุมารทรงโฉมงดงาม
ดังสีทอง เป็นกษัตริย์เกิดกับพระเจ้ากุสราช สวม
สร้อยสังวาลย์แก้วมณีแกมทอง อันหมู่พระญาติบูชา
แล้วไซร้ ลูกก็จะไม่ต้องไปยังสำนักพระยายม ลูกหญิง
เอ๋ย เสียงกลองชัยเภรีดังอยู่อึ่งมี่ และเสียงช้างร้องก้อง
อยู่ในตระกูลแห่งกษัตริย์ทั้งหลายใด ลูกเห็นอะไร
เล่าหนอที่มีควานสุขยิ่งกว่าตระกูลนั้น จึงได้มาเสีย
เสียงม้าศึกคะนองร้องคำรนอยู่ที่ประตู เสียงกุมาร
ร้องรำทำเพลงอยู่ในตระกูลกษัตริย์ทั้งหลาย ลูกเห็น
อะไรเล่าหนอที่มีความสุขยิ่งไปกว่าตระกูลนั้น จึงได้
มาเสีย ในตระกูลแห่งกษัตริย์ทั้งหลาย มีนกยูง นก-
กระเรียนและนกดุเหว่าส่งเสียงร้องก้องเสนาะเพราะ
จับใจ ลูกเห็นอะไรเล่าหนอที่จะมีความสุขยิ่งไปกว่า
ตระกูลนั้น จึงได้มาเสีย.

[114] พระเจ้ากุสราชพระองค์ใด ผู้มีพระปรีชา
อย่างยอดเยี่ยม ผู้ย่ำยีกษัตริย์ทั้งเจ็ดพระนคร ทรง
ปราบปรามแคว้นอื่นให้พ่ายแพ้ พึงทรงปลดเปลื้อง
เราทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ได้ พระเจ้ากุสราชพระองค์
นั้นประทับอยู่ที่ไหนหนอ.

[115] พระเจ้ากุสราชพระองค์ใดผู้มีพระปรีชา
อย่างยอดเยี่ยม ผู้ย่ำยีกษัตริย์ทั้งเจ็ดพระนคร ทรง
ปราบปรามแคว้นอื่นให้พ่ายแพ้ จักทรงกำจัดกษัตริย์
เหล่านั้นทั้งหมดได้ พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น
ประทับอยู่ที่นี่แหละเพค้ะ.

[116] เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือจึงได้พูดอย่างนี้
หรือว่าเจ้าเป็นอันธพาล จึงได้พูดอย่างนี้ ถ้าพระเจ้า
กุสราชพึงเสด็จมาจริง ทำไมพวกเราจะไม่รู้จัก
พระองค์เล่า.

[117] พระเจ้ากุสราชนั้นทรงปลอมพระองค์
เป็นบุรุษพนักงานเครื่องต้น ทรงพระภูษาหยักรั้งมั่นคง
กำลังก้มพระองค์ล้างหม้ออยู่ ในระหว่างพระตำหนัก
ของพระกุมารีทั้งหลายเพค้ะ.

[118] เจ้าเป็นหญิงชั่วช้าจัณฑาลหรือ หรือว่า
เจ้าเป็นหญิงประทุษร้ายตระกูล เจ้าเกิดแล้วในตระกูล
พระเจ้ามัททราช เหตุใดจึงกระทำพระสวามีให้เป็น
ทาส.

[119] หม่อมฉันไม่ได้เป็นหญิงชั่วช้าจัณฑาล
ไม่ใช่เป็นหญิงประทุษร้ายตระกูล นั่นพระเจ้ากุสราช
โอรสของพระเจ้าโอกกากราช ขอความเจริญจงมีแด่
พระมารดา แต่พระมารดาทรงเข้าพระทัยว่าเป็นทาส.

[120] ขอความเจริญจงมีแด่พระมารดา พระ-
ราชาพระองค์ใด ทรงเชื้อเชิญพราหมณ์สองหมื่นคน
ให้บริโภคภัตตาหารในกาลทุกเมื่อ พระราชาพระองค์
นั้น คือ พระเจ้ากุสราชพระโอรสแห่งพระเจ้าโอก-
กากราช แต่พระมารดาเข้าพระทัยว่าเป็นทาส เจ้า
พนักงานเตรียมช้างไว้สองหมื่นเชือก. . . เตรียมม้า
สองหมื่นตัว... ขอความเจริญจงมีแด่พระมารดา เจ้า
พนักงานรีดนมโคสองหมื่นตัว ในกาลทุกเมื่อเพื่อพระ
ราชาพระองค์ใด พระราชาพระองค์นั้น คือ พระเจ้า
กุสราชโอรสของพระเจ้าโอกกากราช แต่พระมารดา
เข้าพระทัยว่าเป็นทาส.

[121] ดูก่อนเจ้าผู้เป็นพาล เจ้ากระทำกรรม
อันชั่วร้ายเหลือเกิน ที่เจ้าไม่บอกพ่อว่า พระเจ้ากุส-
ราชผู้เป็นกษัตริย์มีทแกล้วทหารมาก ผู้เป็นพระยาช้าง
มาด้วยเพศแห่งกบ.

[122] ข้าแต่พระมหาราชผู้จอมทัพ ขอพระ
องค์ได้ทรงพระกรุณา โปรดงดโทษแก่หม่อมฉัน ที่
ไม่ทราบว่าพระองค์เสด็จมาในที่นี้ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้
จักด้วยเถิด.

[123] คนเช่นหม่อนฉันมิได้ปกปิดเลย หม่อม
ฉันนั้นเป็นพนักงานเครื่องต้น พระองค์เท่านั้นทรง
เลื่อมใสแก่หม่อมฉัน ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ แต่
พระองค์ไม่มีกรรมชั่วช้า ที่หม่อมฉันจะต้องอดโทษ.

[124] ดูก่อนเจ้าคนพาล เจ้าจงไปขอขมาโทษ
พระเจ้ากุสราชผู้มีกำลังมากเสีย พระเจ้ากุสราชที่เจ้า
ขอขมาแล้ว จักประทานชีวิตให้เจ้า.

[125] พระนางประภาวดีผู้มีผิวพรรณดังเทพ-
ธิดา ทรงรับพระดำรัสของพระบิดาแล้ว ได้ซบพระ
เศียรลงกอดพระบาทพระเจ้ากุสราช ผู้มีพระกำลัง
มาก.

[126] ราตรีเหล่านี้ที่ล่วงไป เว้นจากพระองค์
นั้นเพียงใด หม่อมฉัน ขอถวายบังคมพระยุคลบาท
ของพระองค์ด้วยเศียรเกล้า เพียงนั้น ของพระองค์
โปรดอย่าทรงพิโรธหม่อมฉันเลย หม่อมฉันขอตั้ง
สัตย์ปฏิญาณแก่พระองค์ โปรดทรงสดับหม่อมฉัน
เถิดเพค้ะ หม่อมฉันจะไม่พึงทำความชิงชังแก่พระ-
องค์อีกต่อไปละ ถ้าพระองค์จะไม่ทรงโปรดกระทำ
ตามคำของหม่อมฉันผู้ทูลวิงวอนอยู่อย่างนี้ พระบิดา
คงเข่นฆ่าหม่อมฉัน แล้วทรงประทานแก่กษัตริย์ทั้ง-
หลาย ณ กาลบัดนี้เป็นแน่.

[127] เมื่อพระน้องอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ ไฉน
พี่จะไม่ทำตามคำของพระน้องเล่า พี่ไม่โกรธพระน้อง
เลยนะคนงาม อย่ากลัวเลยประภาวดี พี่ขอตั้งสัตย์
ปฏิญาณต่อพระน้อง โปรดขอจงทรงฟังพี่เถิดนะ
พระราชบุตรี พี่จะไม่พึงกระทำความเกลียดชังแก่พระ
น้องนางอีกต่อไปละ ดูก่อนน้องประภาวดีผู้ตะโพก
อันผึ่งผาย พี่สามารถจะทำลายตระกูลกษัตริย์มัททราช
มากมายแล้วนำพระน้องนางไปได้ แต่เพราะความรัก
พระน้องนาง พี่จึงสู้ยอมทนทุกข์มากมายได้.

[128] เจ้าพนักงานทั้งหลาย จงตระเตรียมรถ
และม้า อันวิจิตรด้วยเครื่องอลังการต่าง ๆ ทั้งมั่นคง
แข็งแรง ท่านทั้งหลายจงเห็นความพยายามของเราผู้
กำจัดศัตรูทั้งหลายให้พ่ายแพ้ไปในบัดนี้ ก็นารีทั้ง-
หลายภายในพระราชวังของพระเจ้ามัททราชนั้น พา
กันมองดูพระโพธิสัตว์ ผู้เสด็จเยื้องกรายดุจราชสีห์
ทรงปรบพระหัตถ์เสวยพระกระยาหารถึงสองเท่าพระ-
องค์นั้น.

[129] ก็พระเจ้ากุสราช ครั้นเสด็จขึ้นประทับ
บนคอช้างสาร โปรดให้นางประภาวดีประทับเบื้อง
หลังแล้ว เสด็จเข้าสู่สงคราม ทรงบันลือพระสุรสีห-
นาท กษัตริย์เจ็ดพระนคร ทรงสดับพระสุรสีหนาท
ของพระเจ้ากุสราช ผู้บันลืออยู่ ถูกความกลัว แต่

เสียงของพระเจ้ากุสราชคุกคามแล้ว พากันแตกหนีไป
เหมือนดังฝูงมฤคได้ยินเสียงแห่งราชสีห์ก็พากันหนีไป
ฉะนั้น พวกพลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า ผู้
อันความกลัวแต่เสียงพระเจ้ากุสราชคุกคามแล้ว ก็พา
กันแตกตื่นเหยียบย่ำกันและกัน ท้าวสักกะจอมเทพ
ได้ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ ทรงมีชัยในท่าม
กลางสงครามนั้น มีพระทัยชื่นชมยินดี ทรงพระราช
ทานแก้วมณีอันรุ่งโรจน์ดวงหนึ่ง แก่พระเจ้ากุสราช
พระเจ้ากุสราชทรงชนะสงคราม ได้แก้วมณีอันรุ่ง-
โรจน์ แล้วเสด็จประทับบนคอช้างสารเสด็จเข้าสู่พระ
นคร ตรัสสั่งให้จับกษัตริย์เจ็ดพระนครทั้งเป็น ให้มัด
นำเข้าถวายพระสัสสุระ ทูลว่า ขอเดชะ กษัตริย์เหล่า
นี้เป็นศัตรูของพระองค์ ศัตรูทั้งหมดซึ่งคิดจะกำจัด
พระองค์เสียนี้ ตกอยู่ในอำนาจของพระองค์แล้ว เชิญ
ทรงกระทำตามพระประสงค์เถิด พระองค์ทรงกระทำ
กษัตริย์เหล่านั้นให้เป็นทาสแล้ว จะทรงปล่อยหรือจะ
ทรงประหารเสียตามแต่พระทัยเถิด.

[130] กษัตริย์เหล่านี้เป็นศัตรูของพระองค์ มิ
ได้เป็นศัตรูของหม่อนฉัน ข้าแต่พระมหาราช พระองค์
เป็นใหญ่กว่าหม่อมฉัน จะทรงปล่อยหรือจะทรง
ประหารศัตรูเหล่านั้นก็ตามเถิด.

[131] พระราชธิดาของพระองค์ ล้วนทรง
งดงามดังเทพกัญญา มีอยู่ถึง 7 พระองค์ ขอพระองค์
โปรดพระราชทานแก่กษัตริย์ทั้ง 7 นั้นองค์ละองค์
ขอกษัตริย์เหล่านั้นจงเป็นพระชามาดา ของพระองค์
เถิด.

[132] ข้าแต่พระมหาราช พระองค์เป็นใหญ่
กว่าหม่อมฉันทั้งหลาย และกว่าพวกลูกของหม่อมฉัน
ทั้งหมด เชิญพระองค์นั่นแหละทรงพระราชทานพวก
ลูกของหม่อมฉันแก่กษัตริย์เหล่านั้น ตามพระราช
ประสงค์เถิด.

[133] ในกาลนั้น พระเจ้ากุสราชผู้มีพระสุร-
เสียงดังเสียงราชสีห์ ได้ทรงยกพระราชธิดาของเจ้า
มัททราช ประทานให้แก่กษัตริย์ พระองค์นั้นองค์
ละองค์ กษัตริย์ทั้ง 7 พระองค์ทรงอิ่มพระทัยด้วยลาภ
นั้น ทรงขอบพระคุณพระเจ้ากุสราชผู้มีพระสุรเสียง
ดังเสียงราชสีห์แล้วพากันเสด็จกลับไปยังนครของตน ๆ
ในขณะนั้นทีเดียว ฝ่ายพระเจ้ากุสราชผู้มีพระกำลัง
มาก ทรงพาพระนางประภาวดีและดวงแก้วมณีอันงาม
รุ่งโรจน์เสด็จกลับยังกรุงกุสาวดี เมื่อพระเจ้ากุสราช
และพระนางประภาวดีทั้ง 2 พระองค์นั้น ประทับอยู่
ในพระราชรถคันเดียวกัน เสด็จเข้ากรุงกุสาวดี มี
พระฉวีวรรณและพระรูปพระโฉมทัดเทียมกัน มิได้

ทรงงดงามยิ่งหย่อนกว่ากันเลย พระมารดาของพระ
มหาสัตว์และพระชยัมบดีราชกุมารทั้ง 2 พระองค์ได้
เสด็จไปต้อนรับถึงนอกพระนคร แล้วเสด็จกลับ
พระนครพร้อมด้วยพระราชโอรส ในกาลนั้น พระเจ้า
กุสราชและพระนางประภาวดี ก็ทรงสมัครสมานกัน
ได้ทรงปกครองราชอาณาจักรกุสาวดีให้รุ่งเรือง
ตลอดมา.

จบกุสชาดกที่ 1

อรรถกถาสัตตตินิบาต


อรรถกถากุสชาดก


พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภภิกษุผู้ไม่ยินดีในพระธรรมวินัยมีใจคิดจะสึกรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรม
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อิทนฺเต รฏฺฐํ ดังนี้.
ได้ยินว่า กุลบุตรชาวกรุงสาวัตถีคนหนึ่ง ได้ถวายชีวิตในพระศาสนา
บรรพชาแล้ว. วันหนึ่ง เธอเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี เห็นสตรีนางหนึ่ง
ซึ่งแต่งกายงดงาม มองดูด้วยอำนาจถือเอานิมิตอันงาม ถูกกิเลสเข้าครอบงำ
จนหมดความยินดียิ่งอยู่แล้ว. เธอมีผมและเล็บงอกยาวขึ้น มีจีวรเศร้าหมอง
มีตัวผอมเหลืองเกิดแล้ว มีกายอันสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น. มีอุปมาเหมือนอย่าง