เมนู

อรรถกถาสีวิราชชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
อสทิสทาน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทูเร จ วสํ เถโร ว
ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันนิทานนั้น ได้กล่าวไว้พิสดารแล้ว ในสีวิราชชาดก ใน
อัฎฐกนิบาตนั้นเอง.
ก็ในกาลนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงถวายบริขารครบทุกอย่างใน
วันที่ 7 แล้วทูลขออนุโมทนา. พระศาสดาไม่ได้ตรัสอะไรเลย เสด็จหลีก
ไปแล้ว. พระราชาเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว เสด็จไปยังพระวิหาร ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ทรงทำอนุโมทนา พระ-
ศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร เพราะบริษัทไม่บริสุทธิ์ แล้วทรงแสดง
พระธรรมเทศนาโดยพระคาถาว่า น หเว กทริยา เทวโลกํ วชนฺติ เป็นต้น
แปลว่า คนตระหนี่ทั้งหลาย ย่อมไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย ดังนี้. พระราชา
ทรงเลื่อมใส ทรงบูชาพระตถาคตด้วยผ้าอุตราสงค์ สีเวยยกพัสตร์มีราคาแสนหนึ่ง
แล้วเสด็จกลับพระนคร. ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภา
ว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเจ้าโกศลราชทรงถวายอสทิสทาน แล้วยังไม่อิ่มด้วย
การถวายทานแม้ขนาดนั้น เมื่อพระทศพลทรงแสดงธรรมแล้ว ได้ถวายผ้า
สีเวยยกพัสตร์อันมีค่าแสนหนึ่งอีก อาวุโสทั้งหลาย ตลอดเวลาที่ท้าวเธอทรง
ถวายทาน ยังไม่รู้สึกอิ่มพระทัยเลย พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูล
ให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายขึ้นชื่อว่า พาหิรภัณฑ์ บุคคลจะ

ให้ได้ง่ายก็หาไม่ โปราณกบัณฑิตทั้งหลาย กระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้เป็น
เนินสูงแล้ว ให้ทานบริจาคทรัพย์ วันละหกแสนทุก ๆ วัน ยังไม่อิ่มด้วย
พาหิรกทานเลย ผู้ให้ของรักย่อมได้ของรัก ฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลาย จึงได้
ควักดวงตาทั้งสองให้ทานแก่ยาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้า แล้วทรงนำอดีตนิทานมา
แสดงดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าสีวิมหาราช เสวยราชสมบัติในอริฎฐปุร-
นคร แคว้นสีวีรัฐ
พระมหาสัตว์เจ้าบังเกิดเป็นพระราชโอรส ของท้าวเธอ.
พระประยูรญาติทั้งหลายขนานพระนามของพระกุมารนั้นว่า สีวิราชกุมาร.
พระราชกุมารเจริญวัยแล้วไปยังพระนครตักกศิลา ศึกษาศิลปศาสตร์จบแล้ว
กลับมาแสดงศิลปศาสตร์ถวายพระชนกทอดพระเนตร จนได้รับพระราชทาน
ยศเป็นมหาอุปราช ในเวลาต่อมา เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้วก็ได้เป็น
พระราชา ละการลุอำนาจแก่อคติเสีย ไม่ยังทศพิธราชธรรมให้กำเริบ เสวย
ราชสมบัติโดยธรรม ให้สร้างศาลาโรงทานไว้ 6 แห่งคือ ที่ประตูพระนคร 4
แห่ง ท่ามกลางพระนคร 1 แห่ง และที่ประตูพระราชนิเวศน์อีก 1 แห่ง
แล้วทรงยังมหาทานให้เป็นไป ด้วยทรงบริจาคทรัพย์วันละ 6 แสนทุก ๆ วัน
และในวันอัฏฐมี จาตุททสี และปัณณรสี คือวัน 8 ค่ำ 14 ค่ำ และ 15 ค่ำ
ท้าวเธอเสด็จลงสู่โรงทาน ตรวจตราการให้ทานเป็นราชกรณีกิจประจำ.
คราวหนึ่งเป็นวันปูรณมี ดิถีที่ 15 ค่ำ เวลาเช้าพระเจ้าสีวิราช
ประทับเหนือราชบัลลังก์ ภายใต้สมุสสิตเศวตฉัตร ทรงรำพึงถึงทานที่พระองค์
ทรงบริจาค มิได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิรวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ชื่อว่าพระองค์ยัง
ไม่เคยบริจาค จึงทรงพระดำริว่า พาหิรวัตถุที่ชื่อว่า เรายังไม่เคยบริจาค
ไม่มีเลย พาหิรกทานหาได้ยังเราให้ยินดีไม่ เราประสงค์จะให้อัชฌัตติกทาน
โอหนอ เวลาที่เราไปในโรงทานวันนี้ ยาจกคนใดอย่าได้ขอพาหิรวัตถุเลย

พึงเอ่ยออกชื่อขอแต่อัชฌัตติกทานเถิด ก็ถ้าหากว่าใคร ๆ จะเอ่ยปากขอดวง-
หทัยของเราไซร้ เราจะเอาหอกแหวะอุรประเทศนำดวงหทัย ซึ่งมีหยาดโลหิต
ไหลอยู่ออกให้ ดุจถอนปทุมชาติทั้งก้านขึ้นจากน้ำอันใสฉะนั้น ถ้าหากว่าใคร
เอ่ยปากขอเนื้อในสรีรกายของเรา เราจะเถือเนื้อในสรีระให้ ดุจคนขูดจันทน์
แดงด้วยศาสตราสำหรับขูดฉะนั้น ถ้าหากว่าใครเอ่ยปากขอโลหิต เราจะวิ่ง
เข้าไปในปากแห่งยนต์ ให้คนนำภาชนะเข้าไปรองรับจนเต็มแล้วจึงจักให้โลหิต
หรือว่าถ้าใครจะพึงพูดกะเราว่า การงานในเรือนของเราไม่เรียบร้อย ท่านจง
เป็นทาสทำการงานในเรือนของเราดังนี้ เราจักละเพศกษัตริย์เสีย กระทำตน
ให้อยู่นอกตำแหน่ง แล้วประกาศตนทำการงานของทาส ถ้าใครเอ่ยปากขอ
ดวงตาของเรา เราจักควักดวงตาทั้งคู่ออกให้เหมือนดังควักจาวตาลฉะนั้น.
ท้าวเธอทรงดำริต่อไปว่า
วัตถุทานซึ่งเป็นของมนุษย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่
เรายังไม่ได้บริจาคไม่มีเลย แม้ยาจกคนใดจะพึงขอ
ดวงตากะเรา เราจะไม่หวั่นไหวให้ดวงตาแก่ยาจกนั้น
ทีเดียว

ดังนี้แล้ว ทรงสรงสนานด้วยหม้อน้ำหอม 16 หม้อทรงประดับตกแต่ง
องค์ด้วยเครื่องสรรพอลังการ เสวยพระกระยาหารที่มีรสอันเลิศต่าง ๆ แล้ว
เสด็จประทับเหนือคอมงคลหัตถีอันประดับตกแต่งแล้ว ได้เสด็จไปสู่โรงทาน.
ท้าวสักกะทรงทราบอัธยาศัยของพระองค์ จึงทรงดำริว่า วันนี้พระเจ้า
สีวิราชทรงพระดำริว่า จักควักดวงพระเนตรออกพระราชทานแก่ยาจกผู้มาถึง
ท้าวเธอจักอาจเพื่อพระราชทานหรือหาไม่หนอ เมื่อจะทดลองพระเจ้าสีวิราช
จึงทรงแปลงเป็นพราหมณ์ แก่ชรา ตาบอด ในเวลาที่พระราชาเสด็จไปสู่

โรงทาน ได้ไปยืนอยู่ที่เนินแห่งหนึ่ง ยื่นพระหัตถ์ออกถวายชัยมงคล. พระราชา
ทรงไสช้างพระที่นั่งมุ่งเข้าไปหาพราหมณ์นั้น แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์
ท่านพูดว่ากระไร ? ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกะท้าวเธอว่า ข้าแต่
มหาราชเจ้า โลกสันนิวาลทั้งสิ้น กึกก้องด้วยเสียงแซ่ซ้องสาธุการ อาศัยพระอัธ-
ยาศัยอันน้อมไปในทานของพระองค์ ฟุ้งขจรอยู่เป็นนิตย์ ส่วนข้าพระองค์เป็น
คนตาบอด พระองค์มีพระเนตรสองข้าง ดังนี้แล้ว เมื่อจะทูลขอดวงพระเนตร
จึงตรัส พระคาถาที่ 1 ความว่า
ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนชรา ไม่แลเห็นในที่ไกล
มาเพื่อจะทูลขอพระเนตร ข้าพระพุทธเจ้ามีนัยน์ตา
ข้างเดียว ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอแล้ว ขอพระองค์ได้
โปรดพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่ง แก่ข้าพระพุทธ-
เจ้าเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูเร ความว่า อยู่ไกลจากที่นี่. บทว่า
เถโร ความว่า เป็นดุจผู้เฒ่าผู้เข้าถึงความคร่ำคร่าเพราะชรา. บทว่า เอกเนตฺตา
ความว่า ขอพระองค์จงทรงพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า
ด้วยเถิด ข้าพระพุทธเจ้าผู้มีนัยน์ตาข้างเดียว จักมีสองข้างได้ด้วยวิธีนี้.
พระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว ทรงดำริว่า เรานั่งนึกอยู่ใน
ปราสาท มาเดี๋ยวนี้ทีเดียว เป็นลาภใหญ่ของเรา มโนรถของเราจักถึงที่สุด
ในวันนี้ทีเดียว เราจักบริจาคทานที่ยังไม่เคยบริจาค แล้วทรงมีพระหฤทัย
ชื่นชมโสมนัส ตรัสพระคาถาที่ 2 ความว่า
ดูก่อนวณิพก ใครเป็นผู้แนะนำท่านให้มาขอ
ดวงตาเรา ณ ที่นี้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวดวงตาใด

ว่ายากที่บุรุษจะสละได้ ท่านมาขอดวงตานั้น อันเป็น
อวัยวะเบื้องสูง ยากที่จะสละได้ง่าย ๆ.

ในพระคาถานั้น พระเจ้าสีวิราช ตรัสเรียกท้าวสักกเทวราชว่า
"วณิพก". บทว่า จกฺขุปถานิ นี้เป็นชื่อของจักษุทั้งสองข้าง. บทว่า ยมาหุ
ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวดวงตาใด อันบุรุษสละได้โดยยาก.
เบื้องหน้าแต่นี้ไป พึงทราบสัมพันธคาถาง่าย ๆ โดยนัยอันมาแล้วใน
พระบาลีดังต่อไปนี้ พราหมณ์ทูลตอบว่า
ในเทวโลกเขาเรียกท่านผู้ใดว่า สุชัมบดี ใน
มนุษยโลกเขาเรียกท่านผู้นั้นว่า "มฆวา" ข้าพระพุทธ-
เจ้าเป็นวณิพก ท่านผู้นั้นแนะนำให้มาขอพระเนตร ณ
ที่นี้ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นวณิพก การขอของข้าพระ-
พุทธเจ้าไม่มีสิ่งใดจะยิ่งไปกว่า ขอพระองค์ทรงพระ
ราชทานพระเนตรแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้มาขอเถิด บัณ-
ฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ดวงตาใดยากที่บุรุษจะสละได้ ขอ
พระองค์โปรดพระราชทานดวงเนตรนั้นที่ไม่มีสิ่งอื่น
จะยิ่งกว่าแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด.

พระเจ้าสีวิราชทรงสดับแล้ว ตรัสตอบว่า
ท่านมาด้วยประโยชน์อันใดปรารถนาประโยชน์
สิ่งใด ความดำริเหล่านั้น เพื่อประโยชน์นั้น ๆ ของ
ท่านจงสำเร็จเถิด ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงได้ดวงตา
เถิด เมื่อท่านขอข้างเดียว เราจะให้ทั้งสองข้าง ขอ
ท่านจงมีจักษุด้วยจักษุของเราไปเถิด ท่านปรารถนา
สิ่งใดจากเราผู้มุ่งหมายอยู่ ขอสิ่งนั้นจงสำเร็จแก่ท่าน
เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วนิพฺพโก ได้แก่ ยาจก บทว่า
ยาจโต ความว่า แก่ข้าพระองค์ผู้มาขออยู่. บทว่า วณึ แปลว่า การขอ.
บทว่า เต ความว่า ความมุ่งหมายคือความดำริเพื่อต้องการสิ่งนั้นของท่าน
เหล่านั้น (จงสำเร็จ).
บทว่า สจกฺขุมา ความว่า ท่านนั้นจงเป็นผู้มีจักษุด้วยจักษุของเรา
ไปเถิด. บทว่า ยทจฺฉสิ ตฺวํ ตํ เต สมิชฺฌตุ ความว่า ท่านยังปรารถนา
สิ่งใดจากสำนักของเรา ขอสิ่งนั้นจงสำเร็จแก่ท่านเถิด.
พระราชาตรัสเพียงเท่านี้แล้วทรงพระดำริว่า การที่เราจักควักนัยน์ตา
ให้แก่พราหมณ์ในที่นี้ทีเดียว เป็นการไม่เหมาะสมจึงพาพราหมณ์ไปสู่ภายใน
พระราชฐาน แล้วประทับบนราชอาสน์ตรัสสั่งให้เรียกหมอชื่อว่าสีวิกะมาตรัสว่า
เจ้าจงชําระนัยน์ตาของเราให้สะอาด. ได้มีเสียงเอิกเกริกโกลาหลเป็นอันเดียวกัน
ทั่วทั้งพระนครว่า ได้ยินว่า พระราชาของพวกเรา มีพระราชประสงค์จะควัก
พระเนตรทั้งสอง พระราชทานแก่พราหมณ์ ลำดับนั้น ข้าราชการมีเสนาบดี
เป็นต้น ราชวัลลภ ชาวพระนครและนางสนมทั้งหลาย มาประชุมพร้อมกัน
เมื่อจะกราบทูลทัดทานพระราชา ได้กล่าวคาถา 3 คาถา ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ของ
ข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์อย่าทรงพระราชทาน
ดวงพระเนตรเลย อย่าทรงทอดทิ้งข้าพระพุทธเจ้าทั้ง-
ปวงเลย ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์พระราช-
ทานทรัพย์เถิด แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ มีเป็นอันมาก
ข้าแต่มหาราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระองค์
จงทรงพระราชทานรถทั้งหลายที่เทียมแล้ว ม้าอาชา-

ไนย ช้างตัวประเสริฐที่ตบแต่งแล้ว ที่อยู่และเครื่อง
บริโภคที่ทำด้วยทองคำเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
ขอพระองค์จงทรงพระราชทานเหมือนกับชาวสิพีทั้ง-
ปวง ที่มีเครื่องใช้สอย มีรถเฝ้าแหนพระองค์อยู่โดย
รอบ ทุกเมื่อฉะนั้นเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปรกฺกริ แปลว่า ทอดทิ้ง. อธิบายว่า
ชาวสีพีทั้งหลายพากันกราบทูล ด้วยความประสงค์อย่างเดียวเท่านั้นว่า ก็เมื่อ
พระองค์พระราชทานดวงพระเนตรแล้ว พระองค์จักครอบครองราชสมบัติ
ไม่ได้ คนอื่นจักเป็นพระราชาแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
จักชื่อว่าเป็นผู้ถูกพระองค์ทรงสละเสียแล้ว. บทว่า ปริกเรยฺยุํ แปลว่า พึง
แวดล้อม.
บทว่า เอวํ เทหิ ความว่า ชาวสีพีทั้งหลายจะพึงได้เฝ้าแหนพระองค์
ผู้มีพระเนตรไม่บกพร่องอยู่ตลอดกาลนาน โดยวิธีใด พระองค์จงทรงพระราช-
ทานโดยวิธีนั้นเถิด คือพระองค์จงทรงพระราชทานแต่เพียงทรัพย์แก่พราหมณ์
เท่านั้น อย่าได้ทรงพระราชทานคู่พระเนตรเลย เพราะเมื่อพระองค์ทรงพระ-
ราชทานคู่พระเนตรไปแล้ว ประชาชนชาวสีพีทั้งหลาย จักไม่ได้เฝ้าแหนพระ
องค์ต่อไป.
ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสพระคาถา 3 คาถา ความว่า
ผู้ใดแลพูดว่าจักให้ แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้น
เหมือนกับสวมบ่วงที่ตกลงยังพื้นดินไว้ที่คอ ผู้ใดแล
พูดว่าจักให้ แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้นเป็นคนลามก
ยิ่งกว่าผู้ที่ลามก ทั้งจะต้องเข้าถึงสถานที่ลงอาญาของ
พญายม ความจริงผู้ขอได้ขอสิ่งใดไว้ ผู้ให้ก็ควรจะ

ให้สิ่งนั้นแหละ ผู้ขอยังไม่ได้ขอสิ่งใดไว้ ผู้ให้ก็อย่า
พึงให้สิ่งนั้น พราหมณ์ได้ขอสิ่งใดไว้กะเรา เราก็จัก
ให้สิ่งนั้นนั่นแหละ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิมุญฺจติ แปลว่า สวมใส่. บทว่า
ปาปา ปาปตโร ความว่า ย่อมชื่อว่า เป็นผู้ที่เลวทรามกว่าผู้ที่เลวทราม.
บทว่า สมฺปตฺโต ยมสาธนํ ความว่า ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าถึงอุสสุทนรก อัน
เป็นสถานที่ลงอาญาแห่งพญายมโดยแท้. บทว่า ยํ หิ ยาเจ ความว่า
พระเจ้าสีวิราชตรัสว่า ก็ยาจกขอสิ่งใด แม้ทายกก็ต้องให้สิ่งนั้นทีเดียว ก็
พราหมณ์ผู้นี้ขอจักษุกะเรา หาใช่ขอทรัพย์เช่นแก้วมุกดาเป็นต้นไม่ เรานั้น
จักให้จักษุแก่เขาเท่านั้น.
ลำดับนั้น เมื่ออำมาตย์ทั้งหลาย จะทูลถามท้าวเธอว่า พระองค์จะ
พระราชทานพระจักษุ เพราะทรงปรารถนาอะไร จึงกล่าวคาถา ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชา พระองค์ทรง
ปรารถนา พระชนมายุ วรรณะ สุขะ และพละอะไร
หรือ จึงทรงพระราชทานพระเนตร พระองค์ทรงเป็น
ราชาแห่งชาวสีพี ไม่มีใครประเสริฐยิ่งไปกว่า ทรง
พระราชทานพระเนตร เพราะเหตุปรโลกหรืออย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปรโลกเหตุ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
บุรุษผู้เป็นบัณฑิตเช่นพระองค์ จำต้องละอิสริยยศส่วนปัจจุบันแล้ว พระราช-
ทานดวงพระเนตร เพราะเหตุแห่งปรโลกหรืออย่างไร ?
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะตรัสตอบอำมาตย์เหล่านั้น จึงตรัสพระคาถา
ความว่า

เราให้ดวงตาเป็นทานนั้น เพราะยศก็หาไม่
เราจะได้ปรารถนาบุตร ทรัพย์หรือแว่นแคว้น เพราะ
ผลแห่งการให้ดวงตานี้ก็หาไม่ อีกประการหนึ่ง ธรรม
ของสัตบุรุษทั้งหลาย ท่านได้ประพฤติกันมาแล้วแต่
โบราณ เพราะเหตุนี้แหละ ใจของเราจึงยินดีในทาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นวาหํ ตัดบทเป็น น เว อหํ. บทว่า
ยสสา ความว่า เพราะเหตุแห่งยศอันเป็นทิพย์ หรือเป็นของมนุษย์ก็หามิได้.
บทว่า น ปุตฺตมิจฺเฉ ความว่า ใช่ว่าเราอยากจะได้บุตร ทรัพย์สมบัติ
แว่นแคว้น เพราะผลแห่งการให้จักษุเป็นทานนี้ก็หามิได้ ก็แต่ว่าข้อนี้ ชื่อว่า
เป็นโบราณมรรค คือเป็นการบำเพ็ญบารมี อันสัตบุรุษคือบัณฑิตได้แก่
พระโพธิสัตว์ผู้สัพพัญญูสั่งสมมาดีแล้ว ด้วยว่าพระโพธิสัตว์ไม่บำเพ็ญบารมี
ให้เต็มแล้ว ชื่อว่าจะมีความสามารถที่จะบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ โพธิ-
บัลลังก์ก็หามิได้ อนึ่ง เราบำเพ็ญบารมีไว้ ก็ใคร่จะเป็นพระพุทธเจ้า. บทว่า
อิจฺเจว ทาเน นิรโต มโน ความว่า เพราะเหตุนี้ใจของเราจึงได้ยินดี
เฉพาะในทานบริจาค.
แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงแสดงจริยาปิฎก แก่พระ
ธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ เพื่อจะทรงแสดงว่า พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น
เป็นที่รักกว่าดวงตาแม้ทั้งสองของเรา จึงตรัสว่า
ดวงตาทั้งสองข้างจะได้เป็นที่เกลียดชังของเราก็
หาไม่ ตนของตนเองก็หาได้เป็นที่เกลียดชังของเราไม่
พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น
เราจึงได้ให้ดวงตา.

ก็เมื่ออำมาตย์ทั้งหลาย ได้ฟังพระดำรัสของพระมหาสัตว์แล้ว ไม่อาจ
จะทูลทัดทาน จำต้องนิ่งเฉยอยู่ พระมหาสัตว์เจ้าได้ตรัสกำชับสีวิกแพทย์
ด้วยพระคาถาว่า
ดูก่อนสีวิกะ ท่านเป็นมิตรสหายของเรา ท่าน
เป็นคนศึกษามาดีแล้ว จงกระทำตามคำของเราให้ดี
จงควักดวงตาทั้งสองของเราผู้ปรารถนาอยู่ แล้ววาง
ลงในมือของพราหมณ์วณิพกเถิด.

พระคาถานั้นมีอรรถกถาอธิบายว่า ดูก่อนสีวกแพทย์ผู้สหาย เธอเป็น
ทั้งสหายและมิตรของเรา ได้ศึกษามาในศิลปะของแพทย์เป็นอย่างดีโดยแท้
จงทำตามคำของเราให้สำเร็จประโยชน์ เมื่อเราปรารถนาพิจารณาแลดูนั่นแล
เธอจงควักดวงตาทั้งคู่ของเราออกดังถอนหน่อตาล แล้ววางไว้ในมือของยาจก
ผู้นี้เถิด ดังนี้.
ลำดับนั้น สีวกแพทย์ ทูลเตือนท้าวเธอว่า ขึ้นชื่อว่าการให้จักษุ
เป็นทาน เป็นกรรมหนัก ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์จงใคร่ครวญ
ให้ดี. พระราชาตรัสว่า ดูก่อนสีวิกแพทย์ เราใคร่ครวญดีแล้ว ท่านอย่ามัว
ชักช้าร่ำไรอยู่เลย อย่าพูดกับเราให้มากเรื่องไปเลย. สีวิกแพทย์คิดว่า การที่
นายแพทย์ผู้ศึกษามาดีเช่นเรา จะเอาศาสตราคว้านพระเนตรของพระราชา
ไม่สมควร. เขาจึงบดโอสถหลายขนาน แล้วเอาผลตัวยาอบดอกอุบลเขียว
แล้วถวายให้ทรงถูพระเนตรเบื้องขวา. พระเนตรพร่า เกิดทุกขเวทนาเป็น
กำลัง เขากราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงกำหนด
พระทัยดูเถิด การทำพระเนตรให้เป็นปกติ เป็นภาระของข้าพระพุทธเจ้า.
พระราชาตรัสว่า พ่อหมอ เธอจงหลีกไป อย่ามัวทำช้าอยู่เลย. เขาจึงปรุง

โอสถน้อมเข้าไปให้ทรงถูพระเนตรซ้ำอีก พระเนตรก็หลุดออกจากหลุมพระเนตร
บังเกิดทุกขเวทนาเหลือประมาณ. เขากราบทูลว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า ขอ
พระองค์จงทรงกำหนดพระทัยดูเถิด การทำพระเนตรให้เป็นปกติ เป็นภาระ
ของข้าพระพุทธเจ้า. พระราชาตรัสว่า หลีกไปเถอะพ่อหมอ อย่าทำชักช้า
อยู่เลย. ในวาระที่ 3 เขาปรุงโอสถให้แรงขึ้นกว่าเดิม น้อมเข้าไปถวาย. ด้วย
กำลังพระโอสถ พระเนตรก็หมุนหลุดออกจากเบ้าพระเนตร ลงมาห้อยอยู่ด้วย
เส้นเอ็น. เขาจึงกราบทูลซ้ำอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมนรชน ขอพระองค์
จงทรงกำหนดพระทัยดูเถิด การทำพระเนตรให้เป็นปกติ เป็นภาระของข้า
พระพุทธเจ้า. พระราชาตรัสว่า เธออย่าทำการชักช้าอยู่เลย. ทุกขเวทนา
บังเกิดขึ้น เหลือที่จะประมาณ พระโลหิตก็ไหลออก. พระภูษาทรงเปียกชุ่ม
ไปด้วยพระโลหิต นางสนมและหมู่อำมาตย์ทั้งหลาย หมอบเฝ้าอยู่แทบบาทมูล
ของพระราชา ต่างพากันปริเทวนาการพิไรรำพันอึงคะนึงว่า ขอเดชะ พระองค์
ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ขอพระองค์อย่าทรงพระราชทานดวงพระเนตรเลย.
พระราชาทรงอดกลั้นทุกขเวทนา ตรัสว่า พ่อหมอ เธออย่าทำการชักช้าอยู่เลย.
เขารับพระบรมราชโองการแล้ว ประคองพระเนตรด้วยมือซ้าย จับศาสตรา
ตัดเอ็นที่ติดพระเนตรด้วยมือขวา แล้วรับพระเนตรไปวางไว้ในพระหัตถ์ของ
พระมหาสัตว์. พระองค์ทอดพระเนตรเบื้องขวา ด้วยพระเนตรเบื้องซ้าย ทรง
อดกลั้นทุกขเวทนา ตรัสเรียกพราหมณ์ว่า มาเถิดพราหมณ์ แล้วตรัสว่า
สัพพัญญุตญาณเท่านั้น เป็นที่รักกว่านัยน์ตาของเรานี้ ตั้งร้อยเท่า พันเท่า
แสนเท่า ผลที่เราบริจาคดวงตานี้ จงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญญุคญาณนั้นเถิด
แล้วได้พระราชทานดวงพระเนตรนั้นแก่พราหมณ์ไป. พราหมณ์รับพระเนตร
นั้น ประดิษฐานไว้ในดวงตาของตน. ด้วยอานุภาพของพระเจ้าสีวิราชนั้น
ดวงพระเนตรก็ประดิษฐานอยู่ เป็นเหมือนดอกอุบลเขียวที่แย้มบาน. พระ-
มหาสัตว์เจ้า ทอดพระเนตรดูนัยน์ตาของพราหมณ์นั้น ด้วยพระเนตรเบื้องซ้าย

แล้วทรงดำริว่า โอ อักขิทาน เราได้ให้ดีแล้ว ทรงเสวยปีติอันซ่านไปภายใน
พระหฤทัยหาระหว่างมิได้ จึงได้พระราชทานพระเนตรเบื้องซ้ายนอกนี้อีก.
ท้าวสักกเทวราช ทรงประดิษฐาน แม้พระเนตรเบื้องซ้ายนั้นไว้ในดวงพระเนตร
ของพระองค์ แล้วเสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ เมื่อมหาชนกำลังแลดูอยู่
นั่นแล ได้ออกจากพระนครไปสู่เทวโลกทันที.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาหนึ่ง
คาถาครึ่ง ความว่า
พระเจ้าสีวิราชทรงเตือนให้หมอสีวิกะ กระทำ
ตามพระราชดำรัสแล้ว หมอสีวิกะควักดวงพระเนตร
ของพระราชาออกแล้ว ทรงพระราชทานแก่พราหมณ์
พราหมณ์เป็นคนตาดี พระราชาก็เข้าถึงความเป็น
คนตาบอด.

ไม่สู้นานนัก มังสะพระเนตรทั้งคู่ของพระราชาก็งอกขึ้น. และเมื่อ
งอกขึ้นก็หาถึงความเป็นหลุมไม่ ได้เต็มบริบูรณ์ด้วยก้อนพระมังสะอันนูนขึ้น
เหมือนปมผ้ากัมพล หลุมพระเนตรทั้งสองเป็นเหมือนภาพนัยน์ตาอันนายช่าง
จิตรกรจัดทำ. ทุกขเวทนาก็เสื่อมหายขาดไปสิ้น ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ประทับ
อยู่บนปราสาทสอง-สามวัน ทรงดำริว่า ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแก่คน
ตาบอด เพราะฉะนั้น เราจักมอบราชสมบัติแก่อำมาตย์ทั้งหลาย ไปสู่พระราช
อุทยาน บวชบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้แล้ว ตรัสสั่งให้อำมาตย์ทั้งหลายมาเฝ้า
ตรัสบอกเนื้อความนั้นแก่อำมาตย์เหล่านั้น แล้วตรัสสั่งว่า กัปปิยการกคนหนึ่ง
สำหรับให้สิ่งของ มีน้ำบ้วนปากเป็นต้น จักอยู่ในสำนักของเรา ท่านทั้งหลาย
จงผูกรางไว้ในที่กระทำสรีรกิจของเราเถิด แล้วตรัสเรียกนายสารถีมาตรัสสั่งว่า

เจ้าจงเทียมรถ. ส่วนอำมาตย์ทั้งหลาย ไม่ให้พระองค์เสด็จด้วยรถ นำเสด็จ
ไปด้วยพระสุวรรณสีวิกา แล้วให้ประทับอยู่ใกล้ฝั่งสระโบกขรณี จัดแจงวาง
กำลังพิทักษ์รักษาแล้วจึงหลีกไป. พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ ทรงรำพึง
ถึงทานของพระองค์. ขณะนั้นได้ร้อนไปถึงอาสนะของท้าวสักกเทวราช ท้าว
สักกะทรงรำพึงดู เห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว ทรงดำริว่า เราจักให้พรแก่พระเจ้า
สีวิมหาราช แล้วทำพระเนตรให้เป็นปกติ ดังนี้แล้วจึงเสด็จมาที่ฝั่งสระโบกขรณี
นั้น เสด็จดำเนินไป ๆ มา ๆ ไม่ไกลพระมหาสัตว์เจ้า.
พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
นับแต่นั้นมาสองสามวัน เมื่อพระเนตรทั้งสอง
มีเนื้องอกขึ้นเต็มแล้ว พระราชาผู้บำรุงสีพีรัฐ จึงตรัส
เรียกนายสารถีผู้เฝ้าอยู่นั้นว่า ดูก่อนสารถี ท่านจง
เทียมยานเถิด เสร็จแล้วจงบอกให้เราทราบ เราจะ
ไปยังอุทยาน จะไปยังสระโบกขรณี และราวป่า พอ
พระเจ้าสีวิราชเข้าไปประทับนั่งขัดสมาธิ ริมขอบสระ
โบกขรณีแล้ว ท้าวสุชัมบดีสักกเทวราชก็เสด็จมาเฝ้า
ท้าวเธอ.

ฝ่ายท้าวสักกเทวราช อันพระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับเสียงแห่งพระบาท
แล้วตรัสถามว่า นั่นใคร ? จึงตรัสพระคาถาความว่า
หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะจอมแห่งเทพ มาใน
สำนักของพระองค์แล้ว ข้าแต่พระราชฤาษี ขอพระ-
องค์จงทรงเลือกเอาพรตามที่พระทัยปรารถนาเถิด.

เมื่อท้าวสักกเทวราชตรัสอย่างนี้แล้ว พระราชาจึงตรัสพระคาถา
ความว่า

ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช ทรัพย์ก็ดี กำลังก็ดี ของ
หม่อมฉันมีเพียงพอแล้ว อนึ่ง คลังของหม่อมฉันก็มี
เป็นอันมาก บัดนี้ หม่อมฉันเป็นคนตาบอด พอใจ
ความตายเท่านั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มรณญฺเญว รุจฺจติ ความว่า ข้าแต่
เทวราช บัดนี้ ความตายอย่างเดียวเท่านั้น ที่ข้าพเจ้าพอใจเพราะความเป็นคน
ตาบอด ขอพระองค์จงให้ความตายแก่ข้าพเจ้าเถิด.
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกะท้าวเธอว่า ดูก่อนพระเจ้าสีวิราช
ก็พระองค์ทรงพระประสงค์จะสิ้นพระชนม์เอง จึงอยากสิ้นพระชนม์ หรือว่า
อยากสิ้นพระชนม์เพราะเป็นคนตาบอด พระเจ้าสีวิราชทูลตอบว่า ข้าพเจ้า
อยากสิ้นพระชนม์เพราะเป็นคนตาบอด. ท้าวสักกเทวราช ตรัสข้อสนทนาต่อ
ไปว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า ขึ้นชื่อว่าทานจะให้ผลในสัมปรายภพอย่างเดียวเท่านั้น
ก็หามิได้ ย่อมเป็นปัจจัยแม้เพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน ก็พระองค์อันยาจกทูล
ขอพระเนตรข้างเดียว ได้พระราชทานเสียทั้งสองข้าง เหตุนั้น พระองค์โปรด
ทำสัจจกิริยาเถิด แล้วตรัสว่า
ดูก่อนบรมกษัตริย์ผู้เป็นจอนนรชน พระองค์จง
ตรัสถ้อยคำที่เป็นสัจจะ เมื่อพระองค์ตรัสแต่ถ้อยคำที่
เป็นสัจจะ พระเนตรจักเกิดขึ้นอีก.

พระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับเช่นนั้นแล้ว ตรัสว่า ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช
แม้หากว่าพระองค์ทรงพระประสงค์จะพระราชทานจักษุแก่ข้าพเจ้า ขออย่าต้อง
ให้อุบายอย่างอื่นเลย ดวงจักษุจงเกิดขึ้นด้วยผลแห่งทานของข้าพเจ้าเถิด
เมื่อท้าวสักกะตรัสว่า เราเป็นท้าวสักกเทวราชไม่สามารถจะให้จักษุแก่คนอื่น

ได้ จักษุจักเกิดขึ้นด้วยกำลังแห่งทาน อันพระองค์บริจาคอย่างเดียว จึงตรัสว่า
ถ้าเช่นนั้นทานอันข้าพเจ้าบริจาคด้วยดีแล้ว ดังนี้ เมื่อจะทรงทำสัจจกิริยา จึง
ตรัสพระคาถาความว่า
บรรดาวณิพกทั้งหลาย ผู้มีโคตรต่าง ๆ กัน มา
ขอหม่อมฉัน แม้วณิพกคนใดมาขอหม่อมฉัน แม้
วณิพกนั้น ก็เป็นที่รักแห่งใจของหม่อมฉัน ด้วยการ
กล่าวคำสัตย์นี้ ขอจักษุจงบังเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสปิ เม ความว่า วณิพกเหล่าใดมา
ขอเรา วณิพกเหล่านั้น ก็เป็นที่รักของเรา เมื่อพวกเขาพากันมาขอ ผู้ใดขอ
จักษุเรา ถึงผู้นั้นก็เป็นที่รักใคร่ด้วยใจของเรา. บทว่า เอเตน ความว่า
ถ้าคำว่า ยาจกทั้งมวลล้วนเป็นที่รักของเรา นี้เป็นสัจจวาจาอันเรากล่าวแล้ว
ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอจักษุข้างหนึ่งของเราจงเข้าถึงคือจงบังเกิดขึ้นเถิด.
ลำดับนั้น พระจักษุอันเป็นปฐมก็เกิดขึ้นในระหว่างแห่งพระดำรัสของพระราชา
นั่นเอง แต่นั้นเพื่อจะให้พระจักษุข้างที่สองเกิดขึ้น ท้าวเธอจึงตรัสหมวดสอง
แห่งคาถา ความว่า
พราหมณ์ผู้ใดมาขอหม่อมฉัน ว่าขอพระราชทาน
พระเนตรเถิด หม่อมฉันได้ให้ดวงตาทั้งสองแก่
พราหมณ์ผู้นั้นซึ่งเป็นวณิพก ปีติ และโสมนัสเป็น
อันมากเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันยิ่งนัก ด้วยการกล่าวคำสัตย์
นี้ ขอจักษุจงบังเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันเถิด ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ มํ ความว่า พราหมณ์ใดมาขอเรา.
บทว่า โส ความว่า พราหมณ์นั้นมีจักษุพิการมาขอเราว่า ขอพระองค์โปรด

พระราชทาน แก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด. บทว่า วนิพฺพโต ความว่า แก่พราหมณ์
ผู้มาขอ. บทว่า ภิยฺโย มํ อาวิสิ ความว่า ครั้นให้จักษุทั้งสองแก่พราหมณ์
แล้ว นับแต่นั้นมาก็เป็นคนตาบอด แต่ในเวลาตาบอดนั้น หาได้คำนึงถึง
ทุกขเวทนาเห็นปานนั้นไม่ ปีติอันยิ่งเกิดแผ่ซ่านไป คือ เข้าสู่ดวงหทัยของเรา
ผู้พิจารณาเห็นว่า โอ เราได้ให้ทานด้วยดีแล้ว ทั้งความโสมนัสก็เกิดขึ้นแก่เรา
หาประมาณมิได้. บทว่า เอเตน ความว่า ถ้าหากปีติโสมนัสมิใช่น้อยเกิดขึ้น
แก่เราในกาลนั้นไซร้ นี้เป็นสัจจวาจาอันเรากล่าวแล้ว ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้
จักษุแม้ข้างที่สองจงเกิดขึ้นแก่เราเถิด.
ในทันใดนั้นเอง พระเนตรดวงที่สองก็เกิดขึ้น. แต่พระเนตรของ
พระเจ้าสีวิราชนั้น จะว่าเป็นพระเนตรปกติก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นพระเนตรทิพย์ก็
ไม่ใช่ เพราะพระเนตรของพระองค์ทรงพระราชทานแก่สักกพราหมณ์แล้ว
ทั้งสักกพราหมณ์ก็ไม่สามารถทำพระเนตรให้เป็นปกติเหมือนของเดิมได้ อนึ่ง
ธรรมดาพระเนตรทิพย์ จะเกิดขึ้นแก่จักษุ ซึ่งมีที่ตั้งอันถอนเสียแล้ว หามิได้
ฉะนั้น พระเนตรเหล่านั้น ของพระเจ้าสีวิราช ต้องเรียกว่า สัจจปารมิตาจักษุ
คือจักษุที่เกิดขึ้นเพราะสัจจบารมีของพระองค์ ในกาลที่พระเนตรเหล่านั้นเกิดขึ้น
พร้อมกันนั่นเอง ราชบริษัททั้งปวงต่างก็มาประชุมพร้อมกันด้วยอานุภาพของ
ท้าวสักกเทวราช. ลำดับนั้น เมื่อท้าวสักกเทวราช จะทรงทำการชมเชย
พระเจ้าสีวิราชในท่ามกลางมหาชนนั่นเอง จึงตรัสพระคาถาสองคาถา ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงบำรุงสีพีรัฐ พระองค์ตรัส
พระคาถาแล้วโดยธรรม พระเนตรทั้งสองของพระองค์
ปรากฏเป็นตาทิพย์เห็นได้ทะลุภายนอกฝา ภายนอก
กำแพงและภูเขาตลอดร้อยโยชน์ โดยรอบ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ภาสิตา ความว่า ข้าแต่
มหาราช คาถาเหล่านี้พระองค์ตรัสแล้วตามธรรม คือ ตามสภาพ. บทว่า
ทิพฺยานิ ความว่า ประกอบด้วยอานุภาพอันเป็นทิพย์. บทว่า ปฏิทิสฺสเส
แปลว่า จักปรากฏ. บทว่า ติโรกุฑฺฑํ ความว่า ข้าแต่มหาราช พระเนตร
เหล่านั้นของพระองค์ จงเสวยผล คือ ผ่องใส ทอดพระเนตรเห็นรูปได้ทะลุ
ล่วงนอกฝานอกกำแพง และแม้ภูเขาอย่างใดอย่างหนึ่ง ราวกะว่าจักษุแห่งเหล่า
เทพยดา ตลอด 100 โยชน์ทั่วสิบทิศโดยรอบ.
ท้าวสักกเทวราช ประทับยืนขึ้นบนอากาศ ตรัสพระคาถาเหล่านี้
ในท่ามกลางมหาชนแล้ว ทรงโอวาทพระมหาสัตว์เจ้าว่า ขอพระองค์จงอย่า
ประมาท แล้วเสด็จไปยังเทวโลกทันที.
ฝ่ายพระมหาสัตว์เจ้าแวดล้อมด้วยมหาชนเสด็จเข้าสู่พระนคร ด้วย
สักการะใหญ่ แล้วเสด็จขึ้นประทับ ณ สุจันทกปราสาท. ความที่ท้าวเธอได้
พระเนตรทั้งคู่กลับคืนมา ปรากฏแพร่สะพัดไปตลอดทั่วสีรีรัฐสีมามณฑล.
ลำดับนั้น ประชาชนชาวสีวีรัฐทั้งสิ้น ต่างถือเอาเครื่องบรรณาการมาถวาย
เป็นอันมาก เมื่อต้องการจะเข้าเฝ้าชมพระบารมี พระเจ้าสีวิราช พระมหา-
สัตว์เจ้าทรงดำริว่า เมื่อมหาชนนี้ประชุมกันแล้ว เราจักพรรณนาทานของเรา
จึงตรัสสั่งให้สร้างมณฑปใหญ่ ที่ประตูพระราชนิเวศน์ ประทับนั่งบนราชบัล-
ลังก์ ภายใต้ สมุสสิตเศวตรฉัตร ตรัสให้ตีกลองประกาศในพระนคร ตรัสสั่ง
ให้เสนาข้าราชการทั้งมวลประชุมกันแล้วตรัสว่า ดูก่อนประชาชนชาวสีวีรัฐ
ผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเห็นพระเนตรทิพย์ของเราเหล่านี้แล้ว จำเดิม
แต่นี้ไป ยังไม่ได้ให้ทานก่อน แล้วอย่าเพิ่งบริโภค เมื่อจะทรงแสดงธรรม
ได้ตรัสพระคาถา 4 คาถา ความว่า

ใครหนอในโลกนี้ ถูกขอทรัพย์อันน่าปลื้มใจ
แล้ว แม้จะเป็นของพิเศษ แม้จะเป็นของที่รักอย่างดี
ของตน จะไม่พึงให้ เราขอเตือนท่านทั้งหลายผู้เป็น
ชาวแคว้นสีพีทุก ๆ คน ที่มาประชุมกัน จงดูดวงตา
ทั้งสองอันเป็นทิพย์ของเราในวันนี้ ตาทิพย์ของเรา
เห็นได้ทะลุภายนอกฝา ภายนอกกำแพง และภูเขา
ตลอด 100 โยชน์โดยรอบ ในโลกอันเป็นที่อยู่ของ
สัตว์ทั้งหลายนี้ ไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่าการบริจาคทาน
เราได้ให้จักษุที่เป็นของมนุษย์แล้ว กลับได้จักษุทิพย์
ดูก่อนชาวแคว้นสีพีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้เห็นจักษุ
ทิพย์ที่เราได้นี้แล้ว จงให้ทานเสียก่อน จึงค่อยบริโภค
เถิด บุคคลผู้ให้ทานและบริโภคแล้วตามอานุภาพของ
ตน ไม่มีใครจะติเตียนได้ ย่อมเข้าถึงสุคติสถานดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกนีธ ตัดบทเป็น โก นุ อิธ แปลว่า
ใครหนอในโลกนี้. บทว่า อปิ วิสิฏฺฐํ ความว่า แม้จะเป็นของสูงสุด. บทว่า
จาคมตฺตา ความว่า ขึ้นชื่อว่าจักษุอื่นที่จะยอดเยี่ยมกว่า ประมาณการบริจาค
ไม่มี. บทว่า อิธ ชีวิเต ความว่า ในชีวโลกนี้. ปาฐะว่า อิธ ชีวิตํ ดังนี้ก็มี.
ความก็ว่า เป็นอยู่ในชีวโลกนี้. บทว่า อมานุสึ ความว่า จักษุทิพย์อันเรา
ได้แล้วด้วยเหตุนี้จึงควรทราบความข้อนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่จะสูงสุดกว่าการบริจาค
ไม่มี. บทว่า เอตํปี ทิสฺวา ความว่า ท่านทั้งหลายแม้เห็นแล้วซึ่งจักษุอัน
เป็นทิพย์ อันเราได้แล้วนี้ (จงให้ทานก่อนจึงบริโภค).
ครั้นพระเจ้าสีวิราช ทรงแสดงธรรมด้วยคาถา 4 คาถาเหล่านี้ด้วย
ประการฉะนี้แล้ว จำเดิมแต่นั้นมา ในวันกึ่งเดือนและวันปัณณรสีอุโบสถ ก็

รับสั่งให้มหาชนประชุมกัน ทรงแสดงธรรมด้วยคาถาเหล่านี้เป็นประจำ มหาชน
สดับธรรมนั้นแล้ว พากันทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ได้ไปสู่เทวโลกเต็ม
บริบูรณ์ทั่วกัน.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ไม่ยินดีด้วยทานในภายนอก ได้ควัก
ดวงตาทั้งสองของตนบริจาคทานแก่ยาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้าด้วยอาการอย่างนี้
แล้วทรงประกาศจตุราริยสัจ ประชุมชาดกว่า สีวิกแพทย์ในครั้งนั้นได้มาเป็น
พระอานนท์ ท้าวสักกเทวราชได้มาเป็นพระอนุรุทธะ ราชบริษัทที่เหลือ
ได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าสีวิราช ได้มาเป็นเราผู้ตถาคตฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสีวิราชชาดก

4. สิริมันทชาดก



ว่าด้วยปัญญาประเสริฐ



[2084] ท่านอาจารย์เสนก เราขอถามเนื้อความ
นี้ บรรดาคนสองจำพวกคือ คนผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา
แต่เสื่อมจากสิริ กับคนที่มียศแต่ไร้ปัญญา นักปราชญ์
กล่าวคนไหนว่าประเสริฐ.

[2085] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาราษฎร์
คนฉลาดหรือคนโง่ คนบริบูรณ์ด้วยศิลปะ หรือคน
หาศิลปะมิได้ แม้จะมีชาติสูง ก็ย่อมเป็นคนรับใช้ของ