เมนู

อรรถกถามหากปิชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภการกลิ้งศิลาของพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
พาราณสิยํ อหุ ราชา ดังนี้.
ความโดยย่อว่า เมื่อภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวติเตียนพระเทวทัต
เพราะใช้นายขมังธนู เพราะกลิ้งศิลาในเวลาต่อมา พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัต
ก็กลิ้งศิลาเพื่อฆ่าเราเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ในพระนครพา-
ราณสี
ในหมู่บ้านกาสิกคาม พราหมณ์ชาวนาผู้หนึ่ง ไถนาเสร็จแล้วปล่อยโคไป
เริ่มทำการงานขุดหญ้าพรวนดินด้วยจอบ. ฝูงโคเคี้ยวกินใบไม้ที่พุ่มไม้แห่งหนึ่ง
พลางพากันหนีเข้าไปสู่ดงโดยลำดับ. พราหมณ์นั้นคะเนว่าถึงเวลาแล้ว ก็วาง
จอบเหลียวหาฝูงโคไม่พบ เกิดความโทมนัส จึงเที่ยวค้นหาในดงเข้าไปจนถึง
ป่าหิมพานต์. พราหมณ์นั้นหลงทิศทางในป่าหิมพานต์ อดอาหารถึงเจ็ดวัน
เดินไปพบต้นมะพลับต้นหนึ่ง จึงขึ้นไปเก็บผลรับประทาน พลัดตกลงมาจาก
ต้นมะพลับ เลยตกลงไปในเหวดุจขุมนรกลึกตั้ง 60 ศอก. พราหมณ์ตกอยู่ใน
เหวล่วงไปได้สิบวัน. คราวนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดวานร กำลัง
เคี้ยวกินผลาผล เหลือบเห็นบุรุษนั้นเข้า จึงผูกเชือกเข้าที่หิน ช่วยบุรุษนั้น
ขึ้นมาได้. เมื่อวานรโพธิสัตว์กำลังหลับ พราหมณ์ได้เอาหินมาทุ่มลงที่ศีรษะ.
พระมหาสัตว์เจ้ารู้การกระทำของเขาแล้ว จึงกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ กล่าวว่า
แน่ะบุรุษผู้เจริญ ท่านจงเดินไปตามพื้นดิน ข้าพเจ้าจักเดินบอกหนทางแก่ท่าน

ไปทางกิ่งไม้ แล้วพาบุรุษนั้นออกจากป่าจนถึงหนทาง จึงเข้าไปสู่บรรพต
ตามเดิม. บุรุษนั้นล่วงเกินพระมหาสัตว์เจ้าแล้วเกิดโรคเรื้อน กลายเป็นมนุษย์
เปรตในปัจจุบันทันตาเห็นทีเดียว. เขาถูกความทุกข์เบียดเบียนอยู่เจ็ดปี เที่ยว
เร่ร่อนไปถึงมิคาชินอุทยาน เขตพระนครพาราณสี ลาดใบตองลงภายในกำแพง
นอนเสวยทุกขเวทนา. คราวนั้น พระเจ้าพาราณสีเสด็จประพาสพระราช-
อุทยาน เสด็จเที่ยวไปพบเขา ณ ที่นั้น แล้วดำรัสถามว่า เจ้าเป็นใคร ทำ
กรรมอะไรไว้ จึงต้องรับทุกข์เช่นนี้ ฝ่ายเปรตนั้นได้กราบทูลเรื่องราวทั้งมวล
โดยพิสดาร.
พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ตรัสพระคาถา
ความว่า
พระราชาแห่งชนชาวกาสี ผู้ทรงยังรัฐสีมา
มณฑลให้เจริญ ในพระนครพาราณสี ทรงแวดล้อม
ไปด้วยมิตรและอำมาตย์ผู้มีความภักดีมั่นคง เสด็จไป
ยังนิคาชินอุทยาน.
ณ ที่นั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ ซึ่ง
เป็นโรคเรื้อน ขาวพราวเป็นจุด ๆ ตามตัว มากไปด้วย
กลากเกลื้อน เรี่ยราดด้วยเนื้อที่หลุดออกมาจากปาก-
แผล เช่นกับดอกทองกวาวที่บาน ในเรือนร่างทุกแห่ง
มีเพียงกระดูกซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น.
ครั้นทอดพระเนตรเห็นคนที่ตกยาก ถึงความ
ลำบากน่าสงสารยิ่งนักแล้ว ทรงหวั่นหวาดพระทัย
จึงตรัสถามว่า ท่านเป็นยักษ์ประเภทไหน ในจำพวก
ยักษ์ทั้งหลาย.

อนึ่ง มือและเท้าของท่านขาว ศีรษะยิ่งขาวกว่า
นั้น ตัวของท่านก็ด่างพร้อย มากไปด้วยเกลื้อนกลาก
หลังของท่านก็เป็นปุ่มเป็นปม ดุจเถาวัลย์อันยุ่ง
อวัยวะของท่านบ้างก็ดำ บ้างก็หงิกงอ คล้ายเถาวัลย์
มีข้อดำ ดูไม่เหมือนคนอื่น ๆ.
เท้าเปรอะเปื้อนด้วยธุลี น่าหวาดเสียว ซูบผอม
สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น หิวระหาย ร่างกายซูบซีด
ท่านมาจากไหน และจะไปไหน.
แลดูน่าเกลียด รูปร่างก็อัปลักษณ์ ผิวพรรณ
ชั่วช้า ดูหน้ากลัว แม้มารดาบังเกิดเกล้าของท่าน ก็ไม่
ปรารถนาจะดูแลเจ้าเลย.
ในชาติก่อน ท่านทำกรรมอะไรไว้ ได้เบียดเบียน
ผู้ที่ไม่ควรเบียดเบียนไว้อย่างไร ได้เข้าถึงทุกข์นี้
เพราะทำกรรมอันหยาบช้าอันใดไว้.

บรรดาบทเหล่านัน บทว่า พาราณสฺยํ ได้แก่ ในพระนครพาราณสี.
บทว่า มิตฺตามจฺจปริพฺยุฬฺโห ความว่า ทรงแวดล้อมไปด้วยมิตร และ
อำมาตย์ผู้มีความภักดีมั่นคง. บทว่า มิคาชินํ ได้แก่ พระอุทยานที่มีนาม
อย่างนี้. บทว่า เสตํ ความว่า ได้ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์นอนอยู่ใน
ใบตอง ชื่อว่าขาว เพราะเป็นโรคเรื้อนขาว พราวเป็นจุด ๆ ชื่อว่าเป็นหิต
เพราะเป็นหิตเปื่อยแตกเยิ้ม เสวยทุกขเวทนา.
บทว่า วิทฺธสฺตํ โกวิลารํว ความว่า เรี่ยราดไปด้วยเนื้อที่หลุด
ออกจากปากแผล เช่นกับดอกทองกวาวที่บานแล้ว. บทว่า กีสํ ความว่า

ในบางส่วนจะมีเรือนร่างเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ผอมสะพรั่งไปด้วยแถวแห่ง
เส้นเอ็น. บทว่า พฺยมฺหิโต ความว่า พระราชาทรงหวั่นเกรง คือ หวาดหวั่น
พระทัย. บทว่า ยกฺขานํ ความว่า พระราชาได้ตรัสถามว่า ในระหว่าง
พวกยักษ์ทั้งหลาย ท่านเป็นยักษ์ประเภทไหน. บทว่า วฏฺฐนาวลิสงฺกาสา
ความว่า ในที่ด้านหลังของท่านเป็นปุ่มเป็นปม คล้ายเถาวัลย์ที่ยุ่ง. บทว่า
องฺคา ความว่า อวัยวะทั้งหลายของท่านดำ หงิกงอ คล้ายเถาวัลย์ที่มีข้อดำ.
บทว่า นาญฺญํ ความว่า เราไม่เห็นคนอื่น ๆ มีลักษณะเหมือนเช่นนี้. บทว่า
อุคฺฆฏฺฐปาโท ได้แก่ มีเท้าเปรอะเปื้อนไปด้วยธุลี.
บทว่า อาทิตฺตรูโป ได้แก่ มีร่างกายซูบซีด. บทว่า ทุทฺทสี
ความว่า มองดูน่าเกลียด. บทว่า อปฺปกาโรสิ ความว่า มีร่างกายไร้สง่า
ราศรี คือมีรูปร่างเลวทราม. บทว่า กึ กมฺมมกรา ความว่า ในชาติก่อน
แต่ชาตินี้ ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้. บทว่า กิพฺพิสึ ได้แก่ กรรมอันหยาบช้า.
ต่อจากนั้น พราหมณ์จึงกล่าวคาถากราบทูลว่า
ขอเดชะ ขอเชิญพระองค์ทรงสดับ ข้าพระองค์
จักกราบทูลอย่างคนที่ฉลาดทูล เพราะว่าบัณฑิต
ทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมสรรเสริญคนที่พูดจริง.
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า เที่ยวตามโคที่หายไปคนเดียว
ได้หลงทางเข้าไปในป่าหิมพานต์ อันแสนจะกันดาร
เงียบสงัด อันหมู่กุญชรชาติท่องเที่ยวไปมา.
ข้าพระองค์หลงทางเข้าไปในป่าทึบ อันหมู่มฤค
ร้ายกาจท่องเที่ยวไปมา ต้องทนหิวระหาย เที่ยวไป
ในป่านั้นตลอด 7 วัน.

ณ ป่านั้น ข้าพระพุทธเจ้ากำลังหิวจัด ได้เห็น
ต้นมะพลับต้นหนึ่ง ตั้งอยู่หมิ่นเหม่ เอนไปทางปากเหว
มีผลดกดื่น.
ทีแรก ข้าพระพุทธเจ้า เก็บผลที่ลมพัดหล่นมา
กินก่อน เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากินผลที่หล่นมาเหล่านั้น
รู้สึกพอใจ ยังไม่อิ่มจึงปีนขึ้นไปบนต้น ด้วยหวังใจว่า
จะกินให้สบายบนต้นนั้น.
ข้าพระพุทธเจ้ากินผลที่หนึ่งเสร็จแล้ว ปรารถนา
จะกินผลที่สองต่อไป เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเหยียดมือ
คว้าเอาผลที่ต้องการ ทันใดนั้น กิ่งไม้ที่ขึ้นเหยียบอยู่
นั้น ก็หักขาดลง ดุจถูกตัดด้วยขวานฉะนั้น.
ข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยกิ่งไม้นั้น ตีนชี้ฟ้า
หัวหกตกลงไปในห้วงเหวภูเขาอันขรุขระ ซึ่งไม่มีที่
ยึดที่เหนี่ยวเลย.
ข้าพระพุทธเจ้าหยั่งไม่ถึงเพราะน้ำลึก ต้องไป
นอนไร้ความเพลิดเพลิน ไร้ที่พึ่งอยู่ในเหวนั้น 10
ราตรีเต็ม ๆ.
ภายหลังมีลิงตัวหนึ่ง มีหางดังหางโค เที่ยวไป
ตามซอกเขา เที่ยวไต่ไปตามกิ่งไม้ หาผลไม้กิน ได้
มาถึงที่นั้น มันเห็นข้าพระพุทธเจ้าผอมเหลือง ได้
กระทำความเอ็นดูกรุณาในข้าพระพุทธเจ้า.

จึงถามว่า พ่อชื่อไร ทำไมจึงมาทนทุกข์อยู่ที่นี่
อย่างนี้ เป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ขอได้โปรดแนะนำตน
ให้ข้าพเจ้าทราบด้วย.
ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้ประนมอัญชลีไหว้ลิงตัวนั้น
แล้วกล่าวว่า เราเป็นมนุษย์ถึงแล้วซึ่งหายนะ เราไม่มี
หนทางที่จะไปจากที่นี่ได้ เพราะเหตุนั้น เราจึงบอก
ให้ท่านทราบไว้ ขอท่านจงมีความเจริญ อนึ่ง ขอ
ท่านโปรดเป็นที่พำนักของข้าพเจ้าด้วย.
ลิงตัวองอาจ เที่ยวไปหาก้อนหินก้อนใหญ่ใน
ภูเขามา แล้วผูกเชือกไว้ที่ก้อนหิน ร้องบอกข้าพระ-
พุทธเจ้าว่า
มาเถิดท่าน จงขึ้นมาเกาะหลังข้าพเจ้า เอามือ
ทั้งสองกอดคอไว้ เราจักพาท่านกระโดขึ้นจากเหว
โดยเต็มกำลัง.
ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำของพญาพานรินทร์ ตัวมี
สิรินั้นแล้ว จึงขึ้นเกาะหลัง เอามือทั้งสองโอบคอไว้.
ลำดับนั้น พญาวานรตัวมีเดชมีกำลัง ก็พาข้า
พระพุทธเจ้ากระโดดขึ้นจากเหว โดยความยากลำบาก
ทันที.
ครั้นขึ้นมาได้แล้ว พญาวานรตัวองอาจ ได้ขอร้อง
ข้าพระพุทธเจ้าว่า แน่ะสหาย ขอท่านจงคุ้มครอง
ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจักงีบสักหน่อย.

ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี และเสือดาว
สัตว์เหล่านั้น พึงเบียดเบียนข้าพเจ้าซึ่งหลับไปแล้ว
ท่านเห็นพวกมันจงป้องกันไว้.
เพราะข้าพระพุทธเจ้า ช่วยป้องกันให้อย่างนั้น
พญาวานรจึงหลับไปสักครู่หนึ่ง คราวนั้น โดยที่ข้า-
พระพุทธเจ้าขาดความคิด กลับได้ความเห็นอันลามกว่า
ลิงนี้ก็เป็นอาหารของมนุษย์ทั้งหลาย เท่ากับ
มฤคอื่น ๆ ในป่านี้เหมือนกัน อย่ากระนั้นเลย เรา
ควรฆ่าวานรนี้กินแก้หิวเถิด.
อนึ่ง อิ่มแล้ว จักถือเอาเนื้อไปเป็นเสบียง
เดินทาง เราจักต้องผ่านทางกันดาร เนื้อก็จักได้เป็น
เสบียงของเรา.
ทันใดนั้น ข้าพระพุทธเจ้า จึงได้หยิบเอาหินมา
ทุ่มศีรษะลิง การประหารของข้าพระพุทธเจ้า ผู้ลำบาก
เพราะอดอาหาร จึงมีกำลังน้อย.
ด้วยกำลังก้อนหินที่ข้าพระพุทธเจ้าทุ่มลง ลิงนั้น
ผลุดลุกขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตัวอาบไปด้วยเลือด ร่ำไห้มองดู
ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยตาอันเต็มไปด้วยน้ำตา พลาง
กล่าวว่า นายอย่าทำข้าพเจ้าเลย ขอท่านจงมีความ
เจริญ แต่ท่านได้ทำกรรมอันหยาบช้าเช่นนี้ และท่าน
รอดตายมีอายุยืนมาได้ สมควรจะห้ามปรามคนอื่น.

แน่ะท่านผู้กระทำกรรม อันยากที่บุคคลจะทำ
ลงได้ น่าอดสูใจจริง ๆ ข้าพเจ้าช่วยให้ท่านขึ้นจาก
เหวลึก ซึ่งยากที่จะขึ้นได้เช่นนี้.
ท่านเป็นดุจข้าพเจ้านำมาจากปรโลก ยังสำคัญ
ตัวข้าพเจ้าว่า ควรจะฆ่าเสีย ด้วยจิตอันเป็นบาปธรรม
ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านคิดชั่ว.
ถึงท่านจะไร้ธรรม เวทนาอันเผ็ดร้อนก็อย่าได้
ถูกต้องท่านเลย และบาปกรรมก็อย่าได้ตามฆ่าท่าน
ย่างขุยไผ่ ฆ่าไม้ไผ่เลย.
แน่ะท่านผู้มีธรรมอันเลว หาความสำรวมมิได้
ความคุ้นเคยของข้าพเจ้าจะไม่มีอยู่ในท่านเลย มาเถิด
ท่านจงเดินไปห่าง ๆ เรา พอมองเห็นหลังกันเท่านั้น.
ท่านพ้นจากเงื้อมมือแห่งสัตว์ร้าย ถึงทางเดิน
ของมนุษย์แล้ว ท่านผู้ไร้ธรรม นี่หนทาง ท่านจงไป
ตามสบายโดยทางนั้นเถิด.
วานรนั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ล้างเลือดที่
ศีรษะ เช็ดน้ำตาเสร็จแล้วก็กระโดดขึ้นไปยังภูเขา.
ข้าพระพุทธเจ้า เป็นผู้อันวานรนั้นอนุเคราะห์
แล้ว ถูกความกระวนกระวายเบียดเบียน ร้อนเนื้อตัว
ได้ลงไปยังห้วงน้ำแห่งหนึ่งเพื่อจะดื่มกินน้ำ.
ห้วงน้ำเดือดพล่าน เหมือนถูกต้มด้วยไฟ นอง
ไปด้วยเลือด คล้ายกับน้ำเลือดน้ำหนองฉะนั้น ทุกสิ่ง
ทุกอย่างปรากฏแก่ข้าพระพุทธเจ้าอย่างเห็นชัด.

หยาดน้ำตกต้องกายของข้าพระพุทธเจ้ามีเท่าใด
ฝีก็ผุดขึ้นเท่านั้น มีสัณฐานเหมือนมะตูมครึ่งลูก.
ฝีก็แตกในวันนั้นเอง น้ำเลือดน้ำหนองของข้า
พระพุทธเจ้าก็ไหลออกมา มีกลิ่นเหม็นดุจซากศพ
อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าจะเดินไปทางไหน ในบ้านและ
นิคมทั้งหลาย.
พวกมนุษย์ทั้งหญิงแลชาย พากันถือท่อนไม้
ห้ามกันข้าพระองค์ ผู้ฟุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นว่า อย่า
เข้ามาข้างนี้นะ.
บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้เสวยทุกขเวทนา เห็น-
ปานนี้ อยู่ 7 ปี ซึ่งเป็นผลกรรมชั่วของตนในปางก่อน.
เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงกราบทูลให้พระ
องค์ทรงทราบ ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลายที่มา
ประชุมกันอยู่ในที่นี้ ขอพระองค์อย่าได้ประทุษร้าย-
มิตร เพราะว่าผู้ประทุษร้ายมิตรจัดเป็นคนเลวทราม.
ในโลกนี้ ผู้ที่ประทุษร้ายมิตร ย่อมเป็นโรค
เรื้อนเกลื้อนกลาก เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุสโล ความว่า ขอเดชะข้าพระพุทธเจ้า
จักกราบทูลแด่พระองค์ ฉันเดียวกับคนที่ฉลาดพูดกัน. บทว่า โคคเวโส
ความว่า เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเที่ยวตามโคที่หายไป. บทว่า อจฺจสรึ ความว่า
หลงทางล่วงแดนมนุษย์เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์.
บทว่า อรญฺเญ ได้แก่ ในป่าเปลี่ยวไร้ราชาครอบครอง. บทว่า
อีริเน ความว่า แห้งแล้งกันดาร. บทว่า วิวเน แปลว่า เงียบเหงา. บทว่า

วิปฺปนฺนฏฺโฐ แปลว่า หลงทาง. บทว่า พุภุกฺขิโต ความว่า เกิดความ
หิวระหาย คือ ถูกความหิวแผดเผาแล้ว. บทว่า ปปาตมภิลมฺภนฺตํ ความว่า
มีลำต้นโน้มเอนไปทางปากเหว. บทว่า สมฺปนฺนผลธารินํ ความว่า สะพรั่ง
ไปด้วยพวงผล อันมีรสหวาน. บทว่า วาต สีตานิ ความว่า ทีแรกข้าพระ-
พุทธเจ้าเก็บผลที่ลมพัดหล่น (มากิน) ก่อน. บทว่า ตตฺถ เหสฺสามิ ความว่า
ข้าพระพุทธเจ้าจึงปีนขึ้นไปบนต้นมะพลับนั้น ด้วยคิดว่าจักกินอยู่บนต้น
ให้สบาย.
บทว่า ตโต สา ความว่า เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเหยียดมือคว้าเอาผล
ที่ต้องการ กิ่งไม้ที่ขึ้นเหยียบอยู่นั้น ก็หักขาดลง เหมือนถูกตัดด้วยขวาน
ฉะนั้น. บทว่า อนาลมฺเพ ความว่า ไม่มีที่ซึ่งจะพึงยึดพึงเหนี่ยวได้เลย.
บทว่า คิริทุคฺคสฺมิ ได้แก่ ภูเขาที่ขรุขระ. บทว่า เสสึ ความว่า ข้าพระ-
พุทธเจ้าจำต้องนอน. บทว่า กปิ มาคญฺฉิ ความว่า มีวานรมาถึงที่นั้น.
บทว่า โคนงฺคุฏฺโฐ ความว่า มีหางคล้ายหางโคทั้งหลาย ปาฐะว่า นงฺคุฏฺโฐ
ดังนี้ก็มี. บางอาจารย์ก็กล่าวว่า โคนงฺคุลี. บทว่า อกรมฺมยิ ความว่า
ได้กระทำความเอ็นดูในข้าพระพุทธเจ้า. บทว่า อมฺโภ ความว่า ข้าแต่
มหาราชเจ้า พญาวานรนั้น ได้ยินเสียงข้าพระพุทธเจ้า ว่ายน้ำอยู่ในเหวลึกนั้น
จึงร้องทักข้าพระพุทธเจ้าว่า แน่ะท่านผู้เจริญ แล้วถามว่า ท่านเป็นใคร. บทว่า
พฺยสมฺปตฺโต แปลว่า ถึงแล้วซึ่งความฉิบหาย. ปาฐะว่า ปปาตสฺส วสํ
ปตฺโต
ดังนี้ก็มี.
บทว่า ภทฺทํ โว ความว่า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงกล่าววิงวอนท่าน
ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน. บทว่า ครุสิลํ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เมื่อ
ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว พญาวานรนั้นจึงปลอบใจข้าพระพุทธเจ้าว่า

อย่ากลัวเลย แล้วเที่ยวไปในภูเขา ผูกเชือกยึดก้อนศิลาอันหนักไว้เป็นเบื้องแรก.
บทว่า นิสโภ ความว่า จอมวานรตัวองอาจ ผูกเชือกที่ศิลาแล้ว ยืนอยู่ที่
เงื้อมภูเขา ได้กล่าวคำนี้กะข้าพระพุทธเจ้า. บทว่า พาหาหิ ความว่า ท่านจง
มาขึ้นหลังข้าพเจ้า เอาแขนทั้งสองเกาะคอข้าพเจ้าไว้ให้ดี. บทว่า เวคสา
ความว่า โดยเต็มกำลัง. บทว่า สิรีมโต ได้แก่ ผู้มีบุญ. บทว่า อคฺคหึ
ความว่า เมื่อพญวานรโดดลงมายังเหวนรก ลึก 60 ศอกโดยเร็วปานลม
ข้าพระพุทธเจ้าโดดขึ้นเกาะหลังโดยเร็ว เอาแขนทั้งสองกอดคอไว้.
บทว่า วิหญฺญมาโน แปลว่า ลำบาก. บทว่า กิจฺเฉน ความว่า
ด้วยความยากลำบาก อีกนัยหนึ่ง หมายความว่า บัณฑิตผู้เป็นสัตบุรุษ เมื่อหา
โอกาสช่วยเหลือ ก็ต้องเดือดร้อน. บทว่า รกฺขสฺสุ ความว่า ข้าพเจ้า
ช่วยเหลือท่านจนเหน็ดเหนื่อย จักพักผ่อนม่อยหลับสักครู่หนึ่ง ฉะนั้น ท่านจง
รักษาความปลอดภัยให้ข้าพเจ้าด้วย. บทว่า ยถา จญฺเญ วเน มิคา ความว่า
(วานรนี้ก็เป็นอาหารควรกินได้ของมนุษย์) เท่ากับพวกพาลมฤคในป่านี้ นอก-
จากสัตว์ดุร้ายมีราชสีห์เป็นต้น. แต่ในพระบาลีท่านเขียนไว้ว่า อจฺฉโก
กตรจฺฉโย.

บทว่า ปริตฺตาตูน ความว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า เพราะ
พญาวานร ทำข้าพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องป้องกันไว้อย่างนี้ ขาดโยนิโสมนสิการ
จึงหลับไปครู่หนึ่ง. บทว่า ภกฺโข ความว่า ควรแก่การเคี้ยวกิน. บทว่า
อาสิโต ความว่า กินจนอิ่มหนำแล้ว. บทว่า สมฺพลํ ได้แก่ เสบียง.
บทว่า มตฺถกํ สนฺนิตาฬยึ ความว่า ทุบศีรษะของพญาวานรนั้น.
ปาฐะว่า สนฺนิตาฬยํ ดังนี้ก็มี. บทว่า ทุพฺพโล อหุ ความว่า ข้าพระ-
พุทธเจ้าไม่ค่อยมีกำลัง จึงทุ่มไม่ได้แรงสมความประสงค์. บทว่า เวเคน

ความว่า ด้วยกำลังแห่งก้อนหินที่ข้าพระพุทธเจ้าทุ่มไปแล้ว. บทว่า อุทปฺปตฺโต
แปลว่า ผลุดลุกขึ้นแล้ว. บทว่า มายฺโย ความว่า ก้อนหินที่บุรุษผู้มัก
ประทุษร้ายมิตร ทุ่มลง ตัดหนังใหญ่ ขาดห้อยลงเลือดไหล. พระมหาสัตว์
เสวยทุกขเวทนาคิดว่า ในที่นี้ไม่มีคนอื่นเลย ภัยนี้ต้องเกิดขึ้น เพราะอาศัย
ชายคนนี้ จึงหวาดกลัวต่อมรณภัย เอามือจับหนังที่ขาดห้อยอยู่ไว้ กระโดดขึ้น
กิ่งไม้ เมื่อจะเจรจากับชายลามกนั้น จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า มายฺโย มํ ท่าน
อย่าได้ทำข้าพเจ้าเลย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มายฺโย มํ ภทฺทนฺเต ความว่า
พญาวานรห้ามพราหมณ์นั้นว่า ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าได้ทำข้าพเจ้าเลย. บทว่า
ตวญฺจ นาม ความว่า ท่านอันข้าพเจ้าช่วยให้ขึ้นมาจากเหวอย่างนี้แล้ว
กระทำกรรมร้ายกาจในข้าพเจ้าเห็นปานนี้น่าอนาถ ท่านทำกรรมที่ไม่สมควรเลย.
บทว่า อโห วต ความว่า พญาวานรเมื่อจะตำหนิพราหมณ์นั้น จึงกล่าว
อย่างนี้. บทว่า ตาว ทุกฺกรการกา ความว่า แน่ะบุรุษอาธรรม์ผู้กระทำ
กรรมยากที่บุคคลจะกระทำลงได้ เพราะผิดในเรา. บทว่า ปรโลกาว ความว่า
ท่านเป็นดุจอันข้าพเจ้านำมาจากปรโลก. บทว่า ทุพฺเภยฺยํ (ยังเข้าใจตัว
ข้าพเจ้าว่า) ควรประทุษร้าย คือควรฆ่าเสีย.
บทว่า เวทนํ กฏุกํ ความว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ท่านเป็นผู้ไม่มีธรรม
ข้าพเจ้าต้องประสบทุกขเวทนาเช่นใด เวทนาอันเผ็ดร้อนเช่นนี้อย่าถูกต้อง
ท่านเลย บาปกรรมนั้นอย่าฆ่าท่าน ดังขุยไผ่ฆ่าไม้ไผ่เลย. ขอเดชะพระ-
มหาราชเจ้า พญาวานรเอ็นดูข้าพระพุทธเจ้าอย่างบุตรสุดที่รักด้วยประการฉะนี้.
ทีนั้น ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวกะพญาวานรว่า ข้าแต่เจ้า ท่านอย่ากระทำสิ่งที่
ข้าพเจ้ากระทำเลย ท่านอย่าให้ข้าพเจ้าผู้เป็นอสัตบุรุษ ต้องฉิบหายเสียในป่า

เห็นปานนี้เลย ข้าพเจ้าหลงทิศไม่รู้หนทาง โปรดอย่ายังกุศลกรรมที่ตนทำแล้ว
ให้พินาศเสีย โปรดให้ชีวิตเป็นทานแก่ข้าพเจ้า ช่วยนำข้าพเจ้าออกจากป่า
ไปดำรงอยู่ในถิ่นฐานแดนมนุษย์เถิด. เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว
พญาวานรนั้น เมื่อจะเจรจาปราศรัยกับข้าพเจ้า จึงกล่าวคาถามีคำว่า ตยิ เม
นตฺถิ วิสาโส
ความคุ้นเคยในท่านไม่มีสำหรับเราดังนี้เป็นต้น. บทว่า
ตตฺถ ตยิ ความว่า นับแต่วันนี้ไป เรากับท่านไม่มีความคุ้นเคยกัน. บทว่า
เอหิ ความว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เราจะไม่เดินทางไปกับท่าน แต่ท่านจงมาเถิด
ท่านจงเดินไปพอเห็นร่างไม่ห่างจากหลังเรา เราจักเดินไปทางปลายยอดไม้
เท่านั้น. บทว่า มุตฺโตสิ ความว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า ลำดับนั้น พญาวานร
ได้นำข้าพเจ้าออกจากป่าแล้วกล่าวว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ ท่านพ้นจากเงื้อมมือ
สัตว์ร้ายแล้ว.
บทว่า มานุสึ ปทํ ความว่า พญาวานรกล่าวว่า ท่านถึง คือ มาถึง
ถิ่นอันเป็นอุปจารของมนุษย์แล้ว นี่ทาง ท่านจงไปตามทางนั้นเถิด. บทว่า
คิริจโร ได้แก่ วานรมีปกติเที่ยวไปตามซอกเขา. บทว่า ปกฺขนฺลย แปลว่า
ล้างแล้ว. บทว่า เตนาภิสตฺโตสฺมิ ความว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า
ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้อันพญาวานรนั้นสงเคราะห์แล้ว เมื่อบาปกรรมนั้นสุกงอม
แล้ว สำคัญว่า อันพญาวานรอนุเคราะห์แล้ว จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า อทฺทิโต
ความว่า ถูกความกระวนกระวายเบียดเบียนแล้ว. บทว่า อุปาคมึ ความว่า
ข้าพระพุทธเจ้าเข้าไปยังห้วงน้ำแห่งหนึ่ง. บทว่า สมปชฺชถ ความว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดปรากฏแก่ข้าพระพุทธเจ้า เป็นเห็นปานนี้. บทว่า ยาวนฺโต
ความว่า มีประมาณเท่าใด.
บทว่า คณฺฑุ ชาเยถ ความว่า ฝีก็ผุดขึ้น (มีประมาณเท่านั้น).
ได้ยินว่า มนุษย์เปรตนั้น เมื่อไม่สามารถจะทนความหิวกระหายได้ จึงยก

กระพุ่มมือวักน้ำดื่มเข้าไปหน่อยหนึ่ง แล้วรดน้ำที่เหลือลงที่ศีรษะ ทันใดนั้น
เอง ฝีขนาดเท่ามะตูมสุก ก็ผุดขึ้นตามจำนวนหยาดน้ำ เพราะเหตุนั้น เขาจึง
กล่าวอย่างนั้น. บทว่า ปภินฺนา ความว่า ฝีเหล่านั้นก็แตกในวันนั้นเอง
น้ำหนองน้ำเลือดก็ไหลออกมา มีกลิ่นเหม็นดุจซากศพ. บทว่า เยน ความว่า
(ข้าพระพุทธเจ้าจะเดินไป) ทางใด ๆ . บทว่า โอกิตฺตา ความว่า ฟุ้งไป
ด้วยกลิ่นเหม็น คือมีกลิ่นเหม็นตลบอยู่รอบตัว. บทว่า มาสฺสุ โอเรน
อาคมา ความว่า พวกมนุษย์ทั้งหลาย ต่างถือท่อนไม้ห้ามกันข้าพระพุทธเจ้าว่า
เจ้าสัตว์สกปรก ออกไปให้ห่าง อย่าเข้าใกล้ข้า คืออย่าเข้ามาใกล้พวกเรา.
บทว่า สตฺตวสฺสานิ ทานิ เม ความว่า พราหมณ์กราบทูลว่า ขอเดชะ
พระมหาราชเจ้า นับแต่วันนั้นมาจนถึงบัดนี้ เป็นเวลาเจ็ดปี ข้าพระพุทธเจ้า
ต้องเสวยกรรมของตน ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ครั้นมนุษย์เปรตนั้น
พรรณนากรรม คือ การประทุษร้ายมิตรของตนให้พินาศอย่างนี้แล้ว ทูลว่า
ขอเดชะพระมหาราชเจ้า ใคร ๆ เห็นข้าพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างแล้ว ไม่
ควรทำกรรมเห็นปานนี้ แล้วกล่าวคาถามีอาทิว่า ตํ โว ดังนี้. บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า ตํ เท่ากับ ตสฺมา แปลว่า เพราะเหตุนั้น. อธิบายว่า
เพราะเหตุกรรมเห็นปานนี้ มีทุกข์เป็นวิบากอย่างนี้.
พระบรมศาสดาตรัสอภิสัมพุทธคาถานี้ไว้ ความว่า
ในโลกนี้ ผู้ประทุษร้ายมิตร ย่อมเป็นโรคเรื้อน
เกลื้อนกลาก เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรก.

อธิบายว่า ภิกษุทั้งหลาย บุคคลใดประทุษร้ายเบียดเบียนมิตรในโลก
นี้ บุคคลนั้น ย่อมมีสภาพเห็นปานนี้.

เมื่อบุรุษนั้น กำลังกราบทูลพระราชาอยู่ แผ่นดินก็แยกช่องให้.
เขาก็จุติไปบังเกิดในอเวจีมหานรก ในขณะนั้นเอง. พระราชาก็เสด็จออกจาก
พระราชอุทยาน เสด็จสู่พระนคร.
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำอดีตนิทานนี้มาแสดงจบแล้ว ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัต
ก็กลิ้งศิลา ประทุษร้ายเราเหมือนกันแล้วทรงประชุมชาดกว่า บุรุษผู้ประทุษ
ร้ายมิตร
ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัต พญาวานร ได้มาเป็นเราผู้
ตถาคต
ฉะนี้แล.
จบอรรถกถามหาปิกชาดก

7. ทกรักขสชาดก



ว่าด้วยผีเสื้อน้ำ



[2372] ถ้าผีเสื้อน้ำแสวงหาเครื่องเซ่น ด้วย
มนุษย์ พึงจับเรือของพระนางสลากเทวี พระราชชนนี
พระนางนันทาเทวี อัครมเหสี พระติขิณกุมารราช
อนุชา ธนุเสขกุมารผู้สหาย เกวัฏพราหมณ์ปุโรหิต
มโหสถบัณฑิต และพระองค์รวมเป็น 7 ผู้แล่นเรือ
ไปในทะเล พระองค์จะพระราชทานใครอย่างไร ให้
ตามลำดับ แก่ผีเสื้อน้ำ พระเจ้าข้า.
[2373] ข้าพเจ้าจะให้พระราชมารดาก่อนให้
พระมเหสี ให้กนิษฐภาดา ต่อแต่นั้นไปก็จะให้สหาย