เมนู

6. มหากปิชาดก



ว่าด้วยผลกรรมของผู้ที่ทำร้ายผู้มีคุณ



[2370] พระราชาแห่งชนชาวกาสี ผู้ทรงยัง
รัฐสีมามณฑลให้เจริญ ในพระนครพาราณสี ทรง-
แวดล้อมไปด้วยมิตร และอำมาตย์ผู้มีความภักดีมั่นคง
เสด็จไปยังมิคาชินอุทยาน.
ณ ที่นั้นได้ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ ซึ่งเป็น
โรคเรื้อน ขาวพราวเป็นจุด ๆ ตามตัว มากไปด้วย
กลากเกลื้อนเรี่ยราดด้วยเนื้อที่หลุดออกมาจากปากแผล
เช่นกับดอกทองกวาวที่บานในเรือนร่างทุกแห่งมีเพียง
กระดูก ซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น.
ครั้นทอดพระเนตรเห็นคนที่ตกยาก ถึงความ
ลำบากน่าสงสารยิ่งนักแล้ว ทรงหวั่นหวาดพระทัย จึง
ตรัสถามว่า ท่านเป็นยักษ์ประเภทไหน ในจำนวน
ยักษ์ทั้งหลาย.
อนึ่ง มือและเท้าของท่านขาว ศีรษะยิ่งขาว
กว่านั้น ตัวของท่านก็ด่างพร้อย มากไปด้วยเกลื้อน-
กลาก.
หลังของท่านก็เป็นปุ่ม เป็นปม ดุจเถาวัลย์อันยุ่ง
อวัยวะของท่านบ้างก็ดำ บ้างก็หงิกงอ คล้ายเถาวัลย์
มีข้อดำ ดูไม่เหมือนคนอื่น ๆ.

เท้าเปรอะเปื้อนด้วยธุลี น่าหวาดเสียว ซูบผอม
สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น หิวระหาย ร่างกายซูบซีด
ท่านมาจากไหน และจะไปไหน.
แลดูน่าเกลียด รูปร่างก็อัปลักษณ์ ผิวพรรณน่าชัง
ดูน่ากลัว แม้มารดาบังเกิดเกล้าของท่าน ก็ไม่ปรารถนา
จะดูแลเจ้าเลย.
ในชาติก่อนท่านทำกรรมอะไรไว้ ได้เบียดเบียน
ที่ไม่ควรเบียดเบียนไว้อย่างไร ได้เข้าถึงทุกข์นี้ เพราะ
ทำกรรมหยาบช้าอันใดไว้.
[2371] ขอเดชะ ขอเชิญพระองค์ทรงสดับ
ข้าพระองค์จักราบทูลอย่างที่คนฉลาดทูล เพราะว่า
บัณฑิตทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมสรรเสริญคนที่พูดจริง.
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเที่ยวตามโคที่หายไปคนเดียว
ได้หลงทางเข้าไปในป่าหิมพานต์ อันแสนจะกันดาร
เงียบสงัด อันหมู่กุญชรชาติท่องเที่ยวไปมา.
ข้าพระพุทธเจ้า หลงทางเข้าไปในป่าทึบ อันหมู่
มฤคร้ายกาจท่องเที่ยวไปมา ต้องทนหิวระหาย เที่ยว
ไปในป่านั้น ตลอดเจ็ดวัน.
ณ ป่านั้น ข้าพระพุทธเจ้า กำลังหิวจัดได้เห็น
ต้นมะพลับต้นหนึ่ง ตั้งอยู่หมิ่นเหม่เอนไปทางปากเหว
มีผลดกดื่น.

ทีแรก ข้าพระพุทธเจ้า เก็บผลที่ลมพัดหล่นมา
กินก่อน เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากินผลที่หล่นมาเหล่านั้น
รู้สึกพอใจ ยังไม่อิ่มจึงปีนขึ้นไปบนต้น ด้วยหวังใจ
ว่าจะกินให้สบายบนต้นนั้น.
ข้าพระพุทธเจ้า กินผลที่หนึ่งเสร็จแล้ว ปรารถนา
จะกินผลที่สองต่อไป เมื่อข้าพระพุทธเจ้า เหยียดมือ
คว้าเอาผลที่ต้องการ ทันใดนั้น กิ่งไม้ที่ขึ้นเหยียบอยู่
นั้น ก็หักขาดลง ดุจถูกตัดด้วยขวานฉะนั้น.
ข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยกิ่งไม้นั้น ตีนชี้ฟ้า
หัวหกตกลงไปในห้วงเหว ภูเขาอันขรุขระ ซึ่งไม่มี
ที่ยึดที่เหนี่ยวเลย.
ข้าพระพุทธเจ้าหยั่งไม่ถึง เพราะน้ำลึก ต้องไป
นอนไร้ความเพลิดเพลิน ไร้ที่พึ่ง อยู่ในเหวนั้น 10
ราตรีเต็ม ๆ.
ภายหลังมีลิงตัวหนึ่ง มีหางดังหางโค เที่ยวไป
ตามซอกเขา เที่ยวไต่ไปตามกิ่งไม้ หาผลไม้กิน ได้มา
ถึงที่นั้น มันเห็นข้าพระพุทธเจ้าผอมเหลือง ได้กระทำ
ความเอ็นดูกรุณา ในข้าพระพุทธเจ้า.
จึงถามว่า พ่อชื่ออะไร ทำไมถึงมาทนทุกข์อยู่
ที่นี่อย่างนี้ เป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ขอได้โปรดแนะนำ
ตนให้ข้าพเจ้าทราบด้วย.
ข้าพระพุทธเจ้า จึงได้ประนมอัญชลี ไหว้ลิงตัว
นั้น แล้วกล่าวว่า เราเป็นมนุษย์ ถึงแล้วซึ่งหายนะ

เราไม่มีหนทางที่จะไปจากที่นี้ได้ เพราะเหตุนั้นเราจึง
บอกให้ท่านทราบไว้ ขอท่านจงมีความเจริญ อนึ่ง
ขอท่านได้โปรดเป็นที่พำนักของข้าพเจ้าด้วย.
ลิงตัวองอาจ เที่ยวไปหาก้อนหินก้อนใหญ่ในภูเขา
มา แล้วผูกเชือกไว้ที่ก้อนหิน ร้องบอกข้าพระพุทธ-
เจ้าว่า
มาเถิดท่าน จงขึ้นมาเกาะหลังข้าพเจ้า เอามือ
ทั้งสองกอดคอไว้ เราจักพาท่านกระโดดขึ้นจากเหว
โดยเต็มกำลัง.
ข้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำของพญาพานรินทร์ ตัว
มีสิรินนั้นแล้ว จึงขึ้นเกาะหลัง เอามือทั้งสองโอบคอไว้.
ลำดับนั้น พญาวานร ตัวมีเดช มีกำลัง ก็พาข้า
พระพุทธเจ้า กระโดดขึ้นจากเหว โดยความยากลำบาก
ทันที.
ครั้นขึ้นมาได้แล้ว พญาวานรตัวองอาจ ได้ขอ
ร้องข้าพระพุทธเจ้าว่า แน่ะสหาย ขอท่านจงคุ้มครอง
ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจักงีบสักหน่อย.
ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี และเสือดาว
สัตว์เหล่านั้น พึงเบียดเบียนข้าพเจ้าซึ่งหลับไปแล้ว
ท่านเห็นพวกมัน จงป้องกันไว้.
เพราะข้าพระพุทธเจ้า ช่วยป้องกันให้อย่างนั้น
พญาวานรจึงหลับไปสักครู่หนึ่ง คราวนั้น โดยที่ข้า

พระพุทธเจ้าขาดความยั้งคิด กลับได้คิดความอัน
ลามกว่า
ลิงนี้ ก็เป็นอาหารของมนุษย์ทั้งหลาย เท่ากับ
มฤคอื่น ๆ ในป่านี้เหมือนกัน อย่ากระนั้นเลย เรา
ควรฆ่าวานรนี้ กินแก้หิวเถิด.
อนึ่ง อิ่มแล้ว จักถือเอาเนื้อไปเป็นเสบียงเดิน
ทาง เราจักต้องผ่านทางกันดาร เนื้อก็จักได้เป็นเสบียง
ของเรา.
ทันใดนั้น ข้าพระพุทธเจ้า จึงได้หยิบเอาหินมา
ทุ่มศีรษะลิง การประหารของข้าพระพุทธเจ้า ผู้ลำบาก
เพราะอดอาหาร จึงมีกำลังน้อย.
ด้วยกำลังก้อนหินที่ข้าพระพุทธเจ้าทุ่มลง ลิง
นั้นผุดลุกขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตัวอาบไปด้วยเลือด ร่ำไห้
มองดูข้าพระพุทธเจ้า ด้วยตาอันเต็มไปด้วยน้ำตา
พลางกล่าวว่า
นายอย่าทำข้าพเจ้าเลย ขอท่านจงมีความเจริญ
แต่ท่านได้ทำกรรมอันหยาบช้าเช่นนี้ และท่านก็รอด
ตายมีอายุยืนมาได้ สมควรจะห้ามปรามคนอื่น.
แน่ะท่านผู้กระทำกรรม อันยากที่บุคคลจะทำลง
ได้ น่าอดสูใจจริง ๆ ข้าพเจ้า ช่วยให้ท่านขึ้นจาก
เหวลึก ซึ่งยากที่จะขึ้นได้ เช่นนี้.
ท่านเป็นดุจข้าพเจ้านำมาจากปรโลก ยังสำคัญ
ตัวข้าพเจ้าว่า ควรจะฆ่าเสีย ด้วยจิตอันเป็นบาปกรรม
ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านคิดชั่ว.

ถึงท่านจะไร้ธรรม เวทนาอันเผ็ดร้อน ก็อย่าได้
ถูกต้องท่านเลย และบาปกรรมก็อย่าได้ตามฆ่าท่าน
อย่างขุยไผ่ ฆ่าไม้ไผ่เลย.
แน่ะท่านผู้มีธรรมอันเลว หาความสำรวมมิได้
ความคุ้นเคยของข้าพเจ้า จะไม่มีอยู่ในท่านเลย มา
เถิด ท่านจงเดินไปห่างเรา พอมองเห็นหลังกันเท่านั้น.
ท่านพ้นจากเงื้อมมือแห่งสัตว์ร้าย ถึงทางเดิน
ของมนุษย์แล้ว ท่านผู้ไร้ธรรม นี่หนทาง ท่านจงไป
ตามสบาย โดยทางนั้นเถิด.
พญาวานรนั้น ครั้นกล่าวมาอย่างนี้แล้ว ก็ล้าง
เลือดที่ศีรษะ เช็ดน้ำตาเสร็จแล้ว ก็กระโดดขึ้นไปยัง
ภูเขา.
ข้าพระพุทธเจ้า เป็นผู้อันวานรนั้น อนุเคราะห์
แล้ว ถูกความกระวนกระวายเบียดเบียน ร้อนเนื้อตัว
ได้ลงไปยังห้วงน้ำ แห่งหนึ่งเพื่อจะดื่มกินน้ำ.
ห้วงน้ำก็เดือดพล่าน เหมือนถูกต้มด้วยไฟ นอง
ไปด้วยเลือด คล้ายกับน้ำเลือดน้ำหนองฉะนั้น ทุกสิ่ง
ทุกอย่างปรากฏแก่ข้าพระพุทธเจ้า อย่างเห็นชัด.
หยาดน้ำตกต้องกาย ของข้าพระพุทธเจ้า มี
ประมาณเท่าใด ฝีก็ผุดขึ้นเท่านั้น มีสัณฐาน เหมือน
มะตูมครึ่งลูก.

ฝีก็แตกในวันนั้นเอง น้ำเลือดน้ำหนอง ของข้า-
พระพุทธเจ้า ก็ไหลออกมา มีกลิ่นเหม็นดุจซากศพ
อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้า จะเดินไปทางไหน ในบ้าน
และนิคมทั้งหลาย.
พวกมนุษย์ทั้งหญิงและชาย พากันถือท่อนไม้
ห้ามกันข้าพระองค์ผู้ฟุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นว่า อย่าเข้ามา
ข้างนี้นะ.
บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้เสวยทุกขเวทนา เห็น
ปานนี้ อยู่ 7 ปี ซึ่งเป็นผลกรรมชั่วของตนในปาง
ก่อน.
เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ จึงกราบทูลให้พระ
องค์ทรงทราบ ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย ที่
มาประชุมกันอยู่ในที่นี้ ขอพระองค์อย่าได้ประทุษร้าย
มิตร เพราะว่า ผู้ประทุษร้ายมิตร จัดเป็นคนเลวทราม.
ในโลกนี้ ผู้ประทุษร้ายมิตร ย่อมเป็นโรคเรื้อน
เกลื้อนกลาก เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรก.

จบมหากปิชาดกที่ 6

อรรถกถามหากปิชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภการกลิ้งศิลาของพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
พาราณสิยํ อหุ ราชา ดังนี้.
ความโดยย่อว่า เมื่อภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวติเตียนพระเทวทัต
เพราะใช้นายขมังธนู เพราะกลิ้งศิลาในเวลาต่อมา พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัต
ก็กลิ้งศิลาเพื่อฆ่าเราเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ในพระนครพา-
ราณสี
ในหมู่บ้านกาสิกคาม พราหมณ์ชาวนาผู้หนึ่ง ไถนาเสร็จแล้วปล่อยโคไป
เริ่มทำการงานขุดหญ้าพรวนดินด้วยจอบ. ฝูงโคเคี้ยวกินใบไม้ที่พุ่มไม้แห่งหนึ่ง
พลางพากันหนีเข้าไปสู่ดงโดยลำดับ. พราหมณ์นั้นคะเนว่าถึงเวลาแล้ว ก็วาง
จอบเหลียวหาฝูงโคไม่พบ เกิดความโทมนัส จึงเที่ยวค้นหาในดงเข้าไปจนถึง
ป่าหิมพานต์. พราหมณ์นั้นหลงทิศทางในป่าหิมพานต์ อดอาหารถึงเจ็ดวัน
เดินไปพบต้นมะพลับต้นหนึ่ง จึงขึ้นไปเก็บผลรับประทาน พลัดตกลงมาจาก
ต้นมะพลับ เลยตกลงไปในเหวดุจขุมนรกลึกตั้ง 60 ศอก. พราหมณ์ตกอยู่ใน
เหวล่วงไปได้สิบวัน. คราวนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดวานร กำลัง
เคี้ยวกินผลาผล เหลือบเห็นบุรุษนั้นเข้า จึงผูกเชือกเข้าที่หิน ช่วยบุรุษนั้น
ขึ้นมาได้. เมื่อวานรโพธิสัตว์กำลังหลับ พราหมณ์ได้เอาหินมาทุ่มลงที่ศีรษะ.
พระมหาสัตว์เจ้ารู้การกระทำของเขาแล้ว จึงกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ กล่าวว่า
แน่ะบุรุษผู้เจริญ ท่านจงเดินไปตามพื้นดิน ข้าพเจ้าจักเดินบอกหนทางแก่ท่าน