เมนู

4. ฉัททันตชาดก



ว่าด้วยพญาช้างฉันทันต์



[2327] ดูก่อนพระน้องนาง ผู้มีพระสรีระ
อร่ามงามดังทอง มีผิวพรรณผ่องเหลืองเรืองรอง พระ-
เนตรทั้งสองแจ่มใส เหตุไรหนอ พระน้องจึงดูเศร้าโศก
ซูบไป ดุจดอกไม้ที่ถูกขยี้ ฉะนั้น
[2328] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า หม่อมฉันแพ้
พระครรภ์ โดยการแพ้พระครรภ์เป็นเหตุให้หม่อมฉัน
ฝันเห็นสิ่งที่หาไม่ได้ง่าย.
[2329] กามสมบัติของมนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ในโลกนี้ และในสวนนันทนวัน กามสมบัติทั้งหมดนั้น
เป็นของเราทั้งสิ้น เราหาให้เธอได้ทั้งนั้น.
[2330] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นายพราน
ป่าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในแว่นแคว้นของพระองค์ จง
มาประชุมพร้อมกัน หม่อมฉันจะแจ้งเหตุ ที่แพ้พระ
ครรภ์ของหม่อมฉัน ให้นายพรานป่าเหล่านั้นทราบ.
[2331] ดูก่อนเทวี นายพรานป่าเหล่านี้ ล้วน-
แต่มีฝีมือ เป็นคนแกล้วกล้า ชำนาญป่า รู้จักชนิดของ
เนื้อ ยอมสละชีวิตเพื่อประโยชน์ของเราได้.
[2332] ท่านทั้งหลายผู้เป็นเชื้อแถวของนาย-
พราน ที่มาพร้อมกันอยู่ ณ ที่นี้ จงฟังเรา เราฝันเห็น

ช้างเผือกผ่อง งามีรัศมี 6 ประการ ฉันต้องการงาช้าง
คู่นั้น เมื่อไม่ได้ ชีวิตก็เห็นจะหาไม่.
[2333] บิดา หรือปู่ทวด ของข้าพระองค์
ทั้งหลาย ก็ยังไม่เคยเห็น ทั้งยังไม่เคยได้ยินว่า พญา-
ช้างที่มีงามีรัศมี 6 ประการ พระนางเจ้าทรงนิมิตเห็น
พญาช้างมีลักษณะเช่นไร ขอได้ตรัสบอกพญาช้างที่มี
ลักษณะเช่นนั้น แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า.
[2334] ทิศใหญ่ 4 ทิศน้อย 4 เบื้องบน 1
เบื้องล่าง 1 ทิศทั้ง 10 นี้ พระองค์ทรงนิมิตเห็น
พญาช้าง ซึ่งมีงามีรัศมี 6 ประการ อยู่ทิศไหน
พระเจ้าข้า ?
[2335] จากที่นี้ตรงไปทิศอุดร ข้ามภูเขาสูง-
ใหญ่ 7 ลูก เขาลูกสูงที่สุด ชื่อสุวรรณปัสสคิรี มี
พรรณไม้ผลิดอกออกบานสะพรั่ง มีฝูงกินนรเที่ยว
สัญจรไปมาไม่ขาด.
ท่านจงขึ้นไปบนภูเขาอันเป็นที่อยู่แห่งหมู่กินนร
แล้วมองลงมาตามเชิงเขา ทันใดนั้น จะได้เห็นต้นไทร
ใหญ่ สีเสมอเหมือนสีเมฆ มีย่านไทร8,000ห้อยย้อย.
ใต้ต้นไทรนั้น พญาเศวตกุญชรซึ่งมีงารัศมี 6
ประการอยู่อาศัย ยากที่ใครอื่นจะข่มขี่จับได้ ช้าง
ประมาณ 8,000 มีงาเท่างอนไถ วิ่งไล่เร็วปานลมพัด
พากันแวดล้อมรักษาพญาเศวตกุญชรนั้นอยู่.

ช้างเหล่านั้น ย่อมบันลือเสียงน่าหวาดกลัว
โกรธแม้แต่ลมที่พัดถูกตัว ถ้าเห็นมนุษย์ ณ ที่นั้น
เป็นต้องขยี้เสีย ให้เป็นภัสมธุลี แม้แต่ละอองก็ไม่
ถูกต้องพญาช้างได้เลย.
[2336] ข้าแต่พระราชเทวี เครื่องอาภรณ์ที่
แล้วไปด้วยเงิน แก้วมุกดา แก้วมณี และแก้วไพฑูรย์
มีอยู่ในราชสกุลมากมาย เหตุไร พระแม่เจ้า จึงทรง
พระประสงค์เอางาช้างมาทำเป็นเครื่องประดับเล่า พระ-
แม่เจ้าทรงปรารถนาจะให้ฆ่าพญาช้าง ซึ่งมีงามีรัศมี
6 ประการเสีย หรือว่าจะให้พญาช้างฆ่าพวกเชื้อแถว
ของนายพรานเสียกระมัง.
[2337] ดูก่อนนายพราน เรามีทั้งความริษยา
ทั้งความน้อยใจ เพราะนึกถึงความหลังเข้าก็ตรอมใจ
ขอท่านจงทำตามความประสงค์ของเรา เราจักให้บ้าน
ส่วยแก่ท่าน 5 ตำบล.
[2338] พญาช้างนั้นอยู่ที่ตรงไหน เข้าไปยืน
อยู่ที่ไหน ทางไหนเป็นทางที่พญาช้างไปอาบน้ำ อนึ่ง
พญาช้างนั้นอาบน้ำอย่างไร ทำไฉน ข้าพระพุทธเจ้า
จึงจะรู้คติของพญาช้างได้ ?
[2339] ในที่ ๆ พญาช้างอยู่นั้น มีสระอยู่
ไกล้ ๆ น่ารื่นรมย์ มีท่าราบเรียบ ทั้งน้ำก็มาก สะพรั่ง
ไปด้วยพรรณไม้ดอก มีหมู่ภมรมาเคล้าคลึง พญาช้าง
ลงอาบน้ำในสระนี้แหละ.

พญาช้างชำระศีรษะแล้ว ทัดทรงมาลัยอุบล มี
ร่างเผือกผ่องขาวราวกะดอกบุณฑริกบันเทิงใจ ให้
มเหสีชื่อว่า สัพพสุภัททา เดินหน้า ดำเนินไปยังที่อยู่
ของตน.
[2340] นายพรานนั้น ยึดเอาพระเสาวนีย์ของ
พระนางสุภัททาราชเทวี ซึ่งประทับยืนอยู่ ณ ที่นั่นเอง
แล้วถือเอาแล่งลูกธนู ข้ามภูเขาใหญ่ทั้งเจ็ดลูกไป
จนถึงลูกที่ชื่อว่า สุวรรณปัสสบรรพตอันสูงโดด.
เขาขึ้นไปสู่บรรพต อันเป็นที่อยู่ของกินนรแล้ว
มองลงมายังเชิงเขา ได้เห็นต้นไทรใหญ่ สีเขียวดัง
สีเมฆ มีย่านไทร 8,000 ห้อยย้อย ที่เชิงเขานั้น.
ทันใดนั่นเอง ก็ได้เห็นพญาช้างเผือกขาวผ่อง
ซึ่งมีงามีรัศมี 6 ประการ ยากที่คนเหล่าอื่นจะจับได้ มี
ช้างประมาณ 8,000เชือก ล้วนแต่มีงางามงอน ขนาด
งอนไถ วิ่งไล่เร็วดุจลมพัด แวดล้อมรักษาพญาช้าง
นั้นอยู่.
และได้เห็นสระโบกขรณี อันน่ารื่นรมย์อยู่ใกล้ๆ
ที่อยู่ของพญาช้างนั้น ทั้งท่าน้ำก็ราบเรียบ น้ำมากมาย
มีพรรณดอกไม้บานสะพรั่ง มีหมู่ภมรเที่ยวเคล้าคลึง
อยู่.
ครั้นเห็นทางที่พญาช้างลงอาบน้ำ จนกระทั่งที่
ซึ่งพญาช้างเดิน ยืนอยู่ และทางที่พญาช้างลงอาบน้ำ

ก็แลนายพรานผู้มีใจลามก ถูกพระนางสุภัททาผู้ตกอยู่
ในอำนาจจิตทรงใช้มา ก็มาจัดแจงตระเตรียมหลุม.
[2341] นายพรานผู้กระทำกรรมอันชั่วช้า ขุด
หลุมเอากระดานปิดเสร็จแล้ว สอดธนูไว้ เอาลูกศร
ลูกใหญ่ ยิงพญาช้างที่มายืนอยู่ข้างหลุมของตน.
พญาช้างถูกยิงแล้ว ก็ร้องก้องโกญจนาท ช้าง
ทั้งหมดพากันบันลืออื้ออึง ต่างพากันวิ่งมารอบ ๆ
ทั้ง 8 ทิศ ทำหญ้าและไม้ให้แหลกเป็นจุณไป.
พญาช้างเอาเท้ากระชุ่นดิน ด้วยคิดว่า เราจักฆ่า
นายพรานคนนี้ แต่ได้เห็นผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็น
ธงชัยของพระฤาษี ก็เกิดความรู้สึกว่า ธงชัยของพระ
อรหันต์ อันสัตบุรุษไม่ควรทำลาย.
[2342] ผู้ใดยังไม่หมดกิเลส ปราศจากทมะ
และสัจจะ ผู้นั้นไม่ควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ.
ส่วนผู้ใด คลายกิเลสได้แล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีล
ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นแลควรนุ่งห่มผ้า
กาสาวะ.
[2343] พญาช้างถูกลูกศรใหญ่ เสียบเข้าแล้ว
ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย ได้ถามนายพรานว่า เพื่อนเอ๋ย
ท่านประสงค์อะไร เพราะเหตุอะไร หรือว่าใครใช้
ให้ท่านมาฆ่าเรา.

[2344] ดูก่อนพญาช้างที่เจริญ นางสุภัททา
พระมเหสีของพระเจ้ากาสิกราช อันประชาชนสักการะ
บูชาอยู่ในราชสกุล พระนางได้ทรงนิมิตเห็นท่าน
และได้โปรดให้ทำสักการะแก่ข้าพเจ้าแล้ว ตรัสบอก
ข้าพเจ้าว่า มีพระประสงค์งาทั้งคู่ของท่าน.
[2345] แท้จริงพระนางสุภัททา ทรงทราบ
ดีว่า งางาม ๆ แห่งบิดาและปู่ทวดของเรา มีอยู่เป็น
อันมาก แต่พระนางเป็นคนพาล โกรธเคือง ผูกเวร
ต้องการจะฆ่าเรา.
ดูก่อนนายพราน ท่านจงลุกขึ้นเถิด จงหยิบเลื่อย
มาตัดงาคู่นี้เถิด ประเดี๋ยวเราจะตายเสียก่อน ท่านจง
กราบทูลพระนางสุภัททาผู้ยังผูกโกรธว่า พญาช้างตาย
แล้ว เชิญพระนางรับงาคู่นี้ไว้เถิด.
[2346] นายพรานนั้นรีบลุกขึ้นจับเลื่อย เลื่อย
งาพญาช้างทั้งคู่อันงดงามวิลาส หาที่เปรียบมิได้ ใน
พื้นปฐพี แล้วรีบถือหลีกออกจากที่นั้นไป.
[2347] ช้างเหล่านั้นตกใจ ได้รับความเสียใจ
เพราะพญาช้างถูกยิง พากันวิ่งไปยังทิศทั้ง 8 เมื่อไม่
เห็นปัจจามิตรของพญาช้าง ก็พากันกลับมายังที่อยู่ของ
พญาช้าง.
[2348] ช้างเหล่านั้น พากันคร่ำครวญ ร่ำไห้อยู่
ณ ที่นั้น ต่างเกลี่ยอังคารขึ้นบนกระพองของตน ๆ

แล้วยกเอานางช้างสัพพภัททาตัวเป็นมเหสี ให้เป็นหัว
หน้าพากันกลับยังที่อยู่ของตนทั้งหมด.
[2349] นายพรานนั้นนำงาทั้งคู่ของพญาคช-
สาร อันอุดมไพศาลงดงาม ไม่มีงาอื่นในพื้นปฐพี จะ
เปรียบได้ ส่องรัศมีดุจสีทอง สว่างไสวไปทั่วทั้ง
ไพรสณฑ์ มาถึงยังพระนครกาสีแล้ว น้อมนำงาทั้งคู่
เข้าไปถวายพระนางสุภัททา กราบทูลว่า พญาช้าง
ล้มแล้ว ขอเชิญพระนางทอดพระเนตรงาทั้งคู่นี้เถิด.
[2350] พระนางสุภัททาผู้เป็นพาล ครั้นทอด
พระเนตรเห็นงาทั้งสองของพญาคชสารอันอุดม ซึ่ง
เป็นปิยภัสดาของตนในชาติก่อนแล้ว หทัยของพระนาง
แตกทำลาย ณ ที่นั้นเอง ด้วยเหตุนั้นแล พระนาง
จึงได้สวรรคต.
[2351] พระบรมศาสดาได้บรรลุพระสัมโพธิ-
ญาณแล้ว มีอานุภาพมา ได้ทรงทำการแย้มในท่าม
กลางบริษัท ภิกษุทั้งหลายผู้มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว พากัน
กราบทูลถามว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาได้ทรงทำ
การแย้มให้ปรากฏโดยไร้เหตุผลไม่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลายจงดู
กุมารีสาวคนนั้น นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ประพฤติ
อนาคาริยวัตร นางกุมารีคนนั้นแล เป็นนางสุภัททา
ในกาลนั้น เราตถาคต เป็นพญาช้างในกาลนั้น.

นายพรานผู้ถือเอางาทั้งคู่ ของพญาคชสารอัน
อุดม หางาอื่นเปรียบปานมิได้ในปฐพี กลับมายัง
พระนครกาสีในกาลนั้นเป็นเทวทัต.
พระพุทธเจ้าผู้ปราศจากความกระวนกระวาย
ความเศร้าโศก และกิเลสดุจลูกศร ตรัสรู้ยิ่งด้วย
พระองค์เองแล้วได้ตรัสฉัททันตชาดกนี้ อันเป็นของ
เก่า ไม่รู้จักสิ้นสูญ ซึ่งพระองค์ท่องเที่ยวไปตลอด
กาลนาน เป็นบุรพจรรยทั้งสูง ทั้งต่ำ ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คราวครั้งนั้น เราเป็นพญา-
ช้างฉัททันต์ อยู่ที่สระฉัททันต์นั้น เธอทั้งหลายจง
ทรงจำชาดกไว้ ด้วยประการฉะนี้แล.

จบฉันทันตชาดกที่ 4

อรรถกถาฉัททันตชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
ภิกษุณีสาวรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กึ นุ โสจสิ
ดังนี้.
เล่ากันมาว่า นางภิกษุณีนั้นเป็นธิดาของตระกูลหนึ่ง ในพระนคร
สาวัตถี เห็นโทษในฆราวาสแล้วออกบวชในพระศาสนา วันหนึ่งไปเพื่อจะ
ฟังธรรม พร้อมกับพวกนางภิกษุณี เห็นพระรูปโฉมอันบังเกิดขึ้นด้วยบุญญา-