เมนู

อรรถกถาจิตตสัมภูตชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
ภิกษุสองรูป ซึ่งอยู่ร่วมรักกันสนิทเป็นสัทธิงวิหาริก ของท่านพระมหากสัสปะ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สพฺพํ นรานํ สผลํ สุจิณฺณํ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุสองรูปนั้น ใช้สอยสมณบริขารร่วมกันมีความคุ้นเคย
สนิทกันอย่ายิ่ง แม้เมื่อเที่ยวบิณฑบาตก็ไปร่วมกัน ไม่สามารถที่จะพรากจาก
กันได้. ภิกษุทั้งหลายนั่งสรรเสริญความคุ้นเคยกันของภิกษุทั้งสองรูปนั้นแหละ
ในธรรมสภา พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นกราบทูล
ให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ภิกษุสองรูปนี้เป็นผู้
คุ้นเคยกันในอัตภาพนี้ ไม่น่าอัศจรรย์เลย ก็โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้ถึง
จะท่องเที่ยวไประหว่างสามสี่ภพ ก็ไม่ละทิ้งความสนิทสนมกันฐานมิตรเลย
เหมือนกันแล้ว ทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระเจ้าอวันตีมหาราช เสวยราชสมบัติในกรุงอุช-
เชนี แคว้นอวันตี
ในกาลนั้น ด้านนอกกรุงอุชเชนีมีหมู่บ้านคนจัณฑาล
ตำบลหนึ่ง. พระมหาสัตว์เจ้าบังเกิดในหมู่บ้านนั้น ต่อมา คัพภเสยยกสัตว์
แม้อื่น ก็มาเกิดเป็นบุตรแห่งน้าหญิงของพระมหาสัตว์นั้นเหมือนกัน . ในกุมาร
ทั้งสองนั้นคนหนึ่งซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ ชื่อจิตตกุมาร คนหนึ่งซึ่งเป็นบุตร
น้าสาวชื่อสัมภูตกุมาร. กุมารแม้ทั้งสองเหล่านั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว เรียน
ศิลปศาสตร์ ชื่อว่า จัณฑาลวังสโธวนะ วันหนึ่งชักชวนกัน ว่า เราทั้งสอง
จักแสดงศิลปศาสตร์ ที่ใกล้ประตูพระนครอุชเชนี คนหนึ่งแสดงศิลปะที่ประตู

ด้านทิศเหนือ อีกคนหนึ่งแสดงศิลปะที่ประตูด้านทิศใต้. ก็ในพระนครนั้น
ได้มีนางทิฏฐมังคลิกาสองคน คนหนึ่งเป็นธิดาของท่านเศรษฐี อีกคนหนึ่ง
เป็นธิดาของท่านปุโรหิตาจารย์. นางทั้งสองได้ให้บริวารชน ถือเอาของขบเคี้ยว
และของบริโภคทั้งระเบียบดอกไม้และของหอมเป็นต้นเป็นอันมากไป ด้วยคิดว่า
จักเล่นในอุทยาน คนหนึ่งออกทางประตูด้านทิศเหนือ อีกคนหนึ่งออกทาง
ประตูด้านทิศใต้. นางทิฎฐมังคลิกากุมารีทั้งสองนั้น เห็นบุตรของคนจัณฑาล
สองพี่น้องแสดงศิลปะอยู่ จึงถามว่าคนเหล่านี้เป็นใคร ๆ ได้ฟังว่าเป็นบุตรของ
คนจัณฑาล จึงคิดว่า เราทั้งหลายได้เห็นบุคคลที่ไม่สมควรจะเห็นแล้วหนอ
แล้วเอาน้ำหอมล้างตาพากันกลับ. มหาชนที่ไปด้วยพากันโกรธ กล่าวว่า เฮ้ย
ไอ้คนจัณฑาลชาติชั่ว เพราะอาศัยเจ้าทั้งสอง พวกเราจึงไม่ได้ดื่มสุราและ
กับแกล้มที่ไม่ต้องซื้อหา แล้วพากันโบยตีพี่น้องแม้ทั้งสองเหล่านั้น ให้ถึงความ
บอบช้ำย่อยยับ พี่น้องทั้งสองเหล่านั้นกลับได้สติฟื้นขึ้นมา จึงลุกขึ้นเดินไปยัง
สำนักของกันแลกัน มาพร้อมกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง แล้วบอกเล่าความทุกข์
ที่เกิดขึ้นนั้นสู่กันฟัง ต่างร้องไห้คร่ำครวญ ปรึกษากันว่า เราทั้งสองจักทำ
อย่างไรกันดี แล้วพูดกันว่า เพราะอาศัยชาติกำเนิด ความทุกข์นี้จึงเกิดแก่เรา
ทั้งสอง พวกเราไม่สามารถจะกระทำงานของคนจัณฑาลได้จึงตกลงกันว่า เรา
ทั้งสองปกปิดชาติกำเนิดแล้ว ปลอมแปลงเพศเป็นพราหมณ์มาณพ ไปสู่เมือง
ตักกศิลา เล่าเรียนศิลปวิทยากันเถิด ดังนี้แล้ว เดินทางไปในพระนครตักกศิลา
นั้น เป็นธัมมันเตวาสิกเริ่มเรียนศิลปศาสตร์ ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์
เล่าลือกันไปทั่วชมพูทวีปว่า ได้ยินว่า คนจัณฑาลสองพี่น้อง ปกปิดชาติกำเนิด
หนีไปเรียนศิลปศาสตร์.
ในพี่น้องทั้งสองคนนั้น จิตตบัณฑิตเล่าเรียนศิลปศาสตร์สำเร็จ แต่
สัมภูตกุมารยังเรียนไม่สำเร็จ อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์ชาวบ้านผู้หนึ่ง มาเชิญ

อาจารย์ทิศาปาโมกข์ว่า ข้าพเจ้าจักกระทำการสวดมนต์ (ในพิธีมงคล) ในคืน
วันนั้นเอง ฝนตกเอ่อล้นซอกมุมเป็นต้นในหนทาง. อาจารย์จึงเรียกจิตตบัณฑิต
มาแต่เช้าตรู่ ส่งไปแทนตนโดยสั่งว่าพ่อมหาจำเริญ เราไม่สามารถจะไปได้
เธอจงไปสวดมงคลกถาพร้อมด้วยมาณพทั้งหลาย บริโภคอาหารส่วนที่พวกเธอ
ได้รับ แล้วนำอาหารส่วนที่เราได้มาให้ด้วย จิตตบัณฑิตรับคำอาจารย์แล้วพา
มาณพทั้งหลายมาแล้ว. คนทั้งหลายคดข้าวปายาสตั้งไว้ หมายว่า กว่ามาณพ
ทั้งหลายจะอาบน้ำล้างหน้าเสร็จ ก็จะเย็นพอดี เมื่อข้าวปายาสยังไม่ทันเย็น
มาณพทั้งหลายพากันมานั่งในเรือนแล้ว. มนุษย์ทั้งหลายจึงให้น้ำทักษิโณทก
ยกสำรับมาตั้งไว้ข้างหน้าของมาณพเหล่านั้น. สัมภูตมาณพ เป็นเหมือนคนมี
นิสัยละโมบในอาหาร รีบตักก้อนข้าวปายาสใส่ปาก ด้วยสำคัญว่าเย็นดีแล้ว
ก้อนข้าวปายาสซึ่งร้อนระอุเหมือนเหล็กแดง ก็ลวกปากของเขา. เขาสะบัดหน้า
สั่นไปทั้งร่าง ตั้งสติไม่อยู่ มองดูจิตตบัณฑิตเผลอกล่าวเป็นภาษาจัณฑาลไป
อย่างนี้ว่า " ขลุ ขลุ " ฝ่ายจิตตบัณฑิต ก็ตั้งสติไว้ไม่ได้เหมือนกัน ส่งภาษา
จัณฑาลตอบไปอย่างนี้ว่า " นิคคละ นิคคละ " มาณพทั้งหลายต่างมองหน้า
แล้วพูดกันว่า นี้ภาษาอะไรกัน ? จิตตบัณฑิตกล่าวมงคลกถาอนุโมทนาแล้ว.
มาณพทั้งหลาย จึงออกไปภายนอก แล้วนั่งวิพากย์วิจารภาษากันอยู่ในที่นั้น ๆ
เป็นพวก ๆ พอรู้ว่าเป็นภาษาจัณฑาลแล้วจึงด่าว่า เฮ้ย ! ไอ้คนจัณฑาลชาติชั่ว
พวกเจ้าหลอกลวงว่าเป็นพราหมณ์มาตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ แล้วช่วยกัน
โบยตีมาณพทั้งสอง.
ลำดับนั้น สัตบุรุษผู้หนึ่งจึงห้ามว่า ท่านทั้งหลายจงหลีกไป แล้วกัน
สองมาณพออกมา แล้วส่งไปโดยพูดว่า นี้เป็นโทษแห่งชาติกำเนิดของท่าน
ทั้งสอง จงพากันไปบวชเลี้ยงชีพ ณ ประเทศแห่งใดแห่งหนึ่งเถิด มาณพ

ทั้งหลายกลับมาแจ้งเรื่องที่มาณพทั้งสองเป็นจัณฑาลให้อาจารย์ทราบทุกประการ
แม้มาณพทั้งสอง ก็เข้าป่า บวชเป็นฤาษี ต่อมาไม่นานนัก ก็จุติจากอัตภาพ
นั้นไปบังเกิดในท้องของแม่เนื้อ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา จำเดิมแต่คลอดจาก
ท้องแม่เนื้อแล้ว มฤคโปดกทั้งสองพี่น้องก็เที่ยวไปด้วยกัน ไม่อาจพรากจาก
กันได้. วันหนึ่ง นายพรานผู้หนึ่ง มาเห็นมฤคโปดกทั้งสอง คาบเหยื่อกลับมา
แล้วยืนเอาหัวต่อหัว เอาเขาต่อเขา เอาปากต่อปากจรดติดชิดกัน ยืนขนชัน
ตั้งอยู่ ณ ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงพุ่งหอกไปที่สัตว์ทั้งสองให้สิ้นชีวิต ด้วยการ
ประหารทีเดียวเท่านั้น. ครั้นมฤคโปดกทั้งคู่จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปบังเกิด
ในกำเนิดนกเขา อยู่ที่ริมฝั่งน้ำ รัมมทานที. แม้ในอัตภาพนั้นก็มีนายพราน
ดักนกผู้หนึ่งมาเห็นลูกนกเขาทั้งสองเหล่านั้นซึ่งเจริญวัยแล้ว ไปเที่ยวคาบเหยื่อ
แล้วมายืนเอาหัวซบหัว เอาจะงอยปากต่อจะงอยปากแนบสนิทชิดเรียงยืนเคียง
กัน จึงเอาข่ายครอบฆ่าให้ตายด้วยการประหารทีเดียวเท่านั้น. ก็ครั้นจุติจาก
อัตภาพนี้แล้ว จิตตบัณฑิตเกิดเป็นบุตรของปุโรหิตในพระนครโกสัมพี. สัม-
ภูตบัณฑิตไปเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าอุตตรปัญจาลราช. จำเดิมแต่กาลที่ถึง
วันขนานนาม กุมารเหล่านั้น ก็ระลึกชาติหนหลังของตน ๆ ได้. สัมภูตบัณฑิต
ราชกุมาร ไม่สามารถระลึกชาติในระหว่างได้ คงระลึกได้เฉพาะชาติที่ 4 ซึ่ง
เกิดเป็นคนจัณฑาลเท่านั้น ส่วนจิตตบัณฑิตกุมาร ระลึกได้ตลอด 4 ชาติ
โดยลำดับ. ในเวลาที่มีอายุได้ 16 ปี จิตตบัณฑิตออกจากเรือนเข้าไปสู่หิมวัน-
ต์ประเทศ บวชเป็นฤาษี ยังฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วย
ความสุขอันเกิดแต่ฌาน. ฝ่ายสัมภูตราชกุมารเมื่อพระชนกสวรรคตแล้ว ให้
ยกเศวตฉัตรขึ้นเสวยราชสมบัติแทน ได้ตรัสพระคาถา 2 คาถา ด้วยความ
เบิกบานพระราชหฤทัย การทำให้เป็นเพลงขับเฉลิมฉลองมงคล ท่ามกลาง

มหาชน ในวันเฉลิมฉัตรมงคลนั่นเอง. นางสนมกำนัลก็ดี นักฟ้อนรำทั้งหลาย
ก็ดี ได้สดับคาถาเพลงขับนั้นแล้ว คิดว่า ได้ยินว่า นี้เป็นเพลงขับเฉลิมฉลอง
เนื่องในวันมงคล ของพระราชาของเราทั้งหลาย จึงพากันขับร้องบทเพลง
พระราชนิพนธ์นั้นทั่วกัน ประชาชนชาวพระนครแม้ทั้งหมดทราบว่า เพลงขับนี้
เป็นที่โปรดปราน พอพระราชหฤทัยของพระราชา ก็พากันขับร้องบทพระราช
นิพนธ์นั่นแหละ ต่อ ๆ กันไปโดยลำดับ. ฝ่ายพระจิตตบัณฑิตดาบส อยู่ใน
หิมวันตประเทศนั่นแล ใคร่ครวญพิจารณาดูว่า สัมภูตบัณฑิตผู้น้องชายของ
เรา ได้ครอบครองเศวตฉัตรแล้วหรือว่ายังไม่ได้ครอบครอง ทราบว่าได้
ครอบครองแล้ว จึงคิดว่า บัดนี้เรายังไม่สามารถเพื่อจะไปสั่งสอนพระราชา
ซึ่งได้เสวยราชสมบัติใหม่ ให้ทรงรู้แจ้งซึ่งธรรมวิเศษได้ก่อน เราจักเข้าไปหา
ท้าวเธอในเวลาที่ทรงพระชราภาพ กล่าวธรรมกถา แล้วชักนำให้บรรพชา
ดังนี้แล้วจึงมิได้เสด็จไปตลอดคระยะเวลา 50 ปี ในเวลาที่พระราชาทรงเจริญ
ด้วยพระโอรสและพระธิดาแล้ว จึงเหาะมาทางอากาศด้วยฤทธานุภาพ ลงที่
พระราชอุทยาน นั่งพักอยู่บนแท่นมงคลศิลาอาสน์ราวกับพระปฏิมาทองคำ.
ขณะนั้นมีเด็กคนหนึ่ง ขับเพลงบทพระราชนิพนธ์ เก็บฟืนอยู่. จิตตบัณฑิต
ดาบสเรียกเด็กนั้นมา เด็กก็มาไหว้พระดาบสแล้วยืนอยู่. ทีนั้นพระจิตตบัณฑิต
ดาบส จึงกล่าวกะเด็กนั้นว่า ตั้งแต่เช้ามา เจ้าขับเพลงขับบทเดียวนี้เท่านั้น
ไม่รู้จักเพลงอย่างอื่นบ้างเลยหรือ ? เด็กตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมรู้
บทเพลงแม้อย่างอื่น เป็นอันมาก แต่บทเพลงทั้งสองบทนี้ เป็นบทที่พระราชา
ทรงโปรดปราน พอพระราชหฤทัย เพราะฉะนั้น กระผมจึงขับร้องเฉพาะ
เพลงบทนี้เท่านั้น พระดาบสถานต่อไปว่า ก็มีใคร ๆ ขับร้องเพลงขับตอบบท
พระราชนิพนธ์บ้างหรือไม่ ? เด็กตอบว่า ไม่มีเลยขอรับ. พระดาบสจึงกล่าวว่า

ก็เจ้าเล่า จักสามารถเพื่อจะขับบทเพลงตอบอยู่หรือ ? เด็กตอบว่า เมื่อกระผมรู้
ก็จักสามารถ. พระดาบสกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เมื่อพระราชาทรงขับบทเพลง
พระราชนิพนธ์ทั้งสองแล้ว เจ้าจงจำเอาบทเพลงขับที่สามนี้ไปร้องขับตอบเถิด
แล้วสอนเพลงขับนั้นให้เด็กส่งไป พร้อมกับสั่งว่า เจ้า ไปขับร้องในสำนักของ
พระราชา พระราชาทรงเลื่อมใสจักพระราชทานยศยิ่งใหญ่แก่เจ้า. เด็กนั้นรีบ
ไปยังสำนักของมารดาให้ช่วยประดับตกแต่งตนแล้ว ไปยังประตูพระราชนิเวศน์
สั่งราชบุรุษให้กราบทูลพระราชาว่า ได้ยินว่า มีเด็กคนหนึ่งจักมาขับร้อง
บทเพลงตอบกับด้วยพระองค์ ครั้นเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้วจึงเข้า
ไปถวายบังคม อันพระราชาตรัสถามว่า พ่อเด็กน้อย เขาว่าเจ้าจักมาร้องเพลง
ตอบกับเราหรือ ? ก็กราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า เป็นความจริง
พระเจ้าข้า แล้วกราบทูลให้พระราชามีพระราชโองการ ให้ราชบริษัททั้งหลาย
มาประชุมกัน เมื่อราชบริษัทประชุมพร้อมกันแล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า
ขอพระองค์โปรดทรงขับร้องเพลงบทพระนิพนธ์ของพระองค์ก่อนเถิด ข้าพระ-
พุทธเจ้าจักขับบทเพลงถวายตอบทีหลัง. พระราชาได้ตรัสพระคาถา 2 คาถา
ความว่า
กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อมมีผล
เสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรม แม้จะเล็กน้อยที่จะไม่ให้ผล
เป็นไม่มี เราได้เห็นตัวของเรา ผู้ชื่อว่า สัมภูตะ มี
อานุภาพมาก อันบังเกิดขึ้นด้วยผลบุญ เพราะกรรม
ของตนเอง กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อม
มีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรมแม้จะเล็กน้อยที่จะไม่ให้
ผลเป็นไม่มี มโนรถของเราสำเร็จแล้ว แม้ฉันใด
มโนรถแม้ของจิตตบัณฑิต พระเชษฐาของเรา ก็คง
สำเร็จแล้วฉันนั้น กระมังหนอ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น กมฺมุนา กิญฺจน โมฆมตฺถิ นี้
พระราชาตรัสหมายถึง อปราปรเวทนียกรรม ว่าในกรรมที่บุคคลทำแล้วทั้งดี
และชั่ว กรรมแม้เล็กน้อยเพียงอย่างเดียว ที่จะชื่อว่าเป็นโมฆะไม่มี คือจะไร้
ผลเสียเลย หามิได้ ต้องให้ผลก่อน จึงจักพ้นไปได้. บทว่า สมฺภูตํ ความว่า
พระเจ้าสัมภูตบัณฑิต ตรัสเรียกพระองค์เองว่า เราเห็นตัวเองซึ่งมีชื่อว่า
สัมภูตะ. บทว่า สกมฺมุนา ปุญฺญผลูปปนฺนา ความว่า ข้าพเจ้าเห็นตัว
ข้าพเจ้า ผู้บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญ เพราะกรรมของตน คือบังเกิดขึ้นด้วย
ผลแห่งบุญ เพราะอาศัยกรรมของตนเป็นเหตุเป็นปัจจัย.
บทว่า กจฺจินุ จิตฺตสฺสปิ ความว่า แท้จริง เราทั้งสองได้รักษาศีล
ร่วมกันมา ไม่นานนักข้าพเจ้าก็ถึงซึ่งยศใหญ่ ด้วยผลแห่งศีลนั่นเองก่อน
ฉันใด มโนรถแม้แห่งจิตตเชษฐาพระภาดาของเรา จะสำเร็จสมความมุ่งหมาย
ฉันนั้นเหมือนกัน ดังมโนรถของเราหรือไม่หนอ.
เมื่อพระเจ้าสัมภูตะขับเพลงคาถาสองบทจบลง กุมารเมื่อจะขับเพลง
ตอบถวาย จึงกล่าวคาถาที่ 3 ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ กรรมทุกอย่างที่
นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อมมีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรม
แม้จะเล็กน้อยที่จะไม่ให้ผลเป็นอันไม่มี มโนรถของ
พระองค์สำเร็จแล้ว แม้ฉันใด ขอพระองค์โปรดทราบ
เถิดว่า มโนรถของจิตตบัณฑิต ก็สำเร็จแล้วฉันนั้น
เหมือนกัน.

พระราชาทรงสดับคาถานั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถาที่ 4 ความว่า
เจ้าหรือคือจิตตะ เจ้าได้ฟังคำนี้มาจากคนอื่น
หรือว่าใครบอกเนื้อความนี้แก่เจ้า คาถานี้เจ้าขับดีแล้ว
เราไม่มีความสงสัย เราจะให้บ้านส่วยร้อยตำบลแก่เจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุตมญฺญโต เม ความว่า ถ้อยคำที่ว่า
เชษฐาภาดาของพระเจ้าสัมภูตะ นามว่า จิตตบัณฑิตนี้ เจ้าได้ยินมาแต่สำนัก
จิตตบัณฑิตคนนั้น ผู้กล่าวอยู่หรือ ? บทว่า โกจิ นํ ความว่า หรือว่าใคร
บอกเนื้อความนี้แก่เจ้าว่า จิตตบัณฑิตผู้พระภาดาของพระเจ้าสัมภูตราชเราเห็น
แล้ว. บทว่า สุคีตา ความว่า คาถานี้เจ้าขับดีแล้ว แม้โดยประการทั้งปวง
เราไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยในเพลงขับนี้. บทว่า คามวรํ สตญฺจ ความว่า
พระเจ้าสัมภูตราชตรัสว่า เราจะให้บ้านส่วยร้อยตำบลเป็นรางวัลแก่เจ้า.
ลำดับนั้น กุมารจึงกล่าวคาถาที่ 5 ความว่า
ข้าพระพุทธเจ้าหาใช่จิตตะไม่ ข้าพระพุทธเจ้า
ฟังคำนี้มาจากคนอื่น และฤาษีได้บอกเนื้อความนี้
แก่ข้าพระพุทธเจ้าแล้วสั่งว่า เจ้าจงไปขับคาถานี้ ตอบ
ถวายพระราชา พระราชาทรงพอพระทัยแล้ว จะพึง
พระราชทานบ้านส่วยให้แก่เจ้าบ้างกระมัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตมตฺถํ ความว่า พระฤาษีรูปหนึ่ง
นั่งอยู่ในพระอุทยานของพระองค์ บอกเนื้อความนี้แก่ข้าพเจ้า.
พระเจ้าสัมภูตราชทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า ชะรอย
พระดาบสนั้น จักเป็นจิตตบัณฑิตผู้เชษฐภาดาของเรา เราจักไปพบพระเชษฐ-
ภาดาของเรานั้น เมื่อจะตรัสใช้ให้ราชบุรุษเตรียมกระบวน จึงตรัสพระคาถา
สองคาถา ความว่า
ราชบุรุษทั้งหลาย จงเทียมราชรถของเรา
จัดแจงให้ดี ผูกรัดจัดสรรให้งดงามวิจิตร จงผูกรัด
สายประคนมงคลหัตถี นายหัตถาจารย์จงขึ้นประจำคอ

จงนำเอาเภรีตะโพนสังข์มาตระเตรียม เจ้าหน้าที่
ทั้งหลายจงเทียมยานพาหนะโดยเร็ว วันนี้แลเราจักไป
เยี่ยมเยียนพระฤาษี ซึ่งนั่งอยู่ ณ อาศรมสถานให้ถึงที่
ทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หญฺญนฺตุ แปลว่า จงนำมาเตรียมไว้.
บทว่า อสฺสมนฺตํ ตัดบทเป็น อสฺสมํ ตํ แปลว่า ยังอาศรมบทนั้น.
พระเจ้าสัมภูตราช ครั้นดำรัสสั่งอย่างนี้แล้ว เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่ง
เสด็จไปโดยพลัน จอดราชรถไว้ที่ประตูพระราชอุทยาน แล้วเสด็จเข้าไปหา
พระดาบสจิตตบัณฑิตนมัสการแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง มี
พระราชหฤทัยชื่นชมโสมนัส ตรัสพระคาถาที่ 8 ความว่า
ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ลาภดีแล้วหนอ คาถาอันข้าพเจ้า
ขับดีแล้วในท่ามกลางบริษัท ข้าพเจ้าได้พบพระฤาษี
ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลพรต เป็นผู้มีความชื่นชมยินดี ปีติ-
โสมนัสยิ่งนัก.

พระคาถานี้มีอรรถาธิบายว่า คาถาที่ข้าพเจ้าขับกล่อมในท่ามกลาง
บริษัท ในวันฉัตรมงคลของข้าพเจ้านั้น เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าได้พบพระฤาษี
ผู้เข้าถึงศีลและพรตแล้ว ถึงความปีติโสมนัสหาที่เปรียบมิได้ นับว่าข้าพเจ้า
ได้ลาภอันดียิ่งทีเดียว.
จําเดิมแต่ได้พบพระจิตตบัณฑิตดาบสแล้ว พระเจ้าสัมภูตราช ทรง
ชื่นชมโสมนัสยิ่ง เมื่อจะมีพระราชดำรัสตรัสสั่ง ซึ่งราชกิจมีอาทิว่า ท่าน
ทั้งหลายจงลาดบัลลังก์เพื่อเชษฐภาดาของเรา จึงตรัสคาถาที่ 9 ความว่า

ขอเชิญท่านผู้เจริญ โปรดรับอาสนะ น้ำ และ
รองเท้าของข้าพเจ้าทั้งหมดเถิด ข้าพเจ้ายินดีต้อนรับ
ท่านผู้เจริญ ในสิ่งของอันมีราคาคู่ควรแก่การต้อนรับ
ขอท่านผู้เจริญ เชิญรับสักการะอันมีค่าของข้าพเจ้า
ทั้งหลายด้วยเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อคฺเฆ ความว่า ข้าพเจ้าขอต้อนรับ
ท่านผู้เจริญ ในสิ่งของอันมีราคาควรเพื่อการต้อนรับแขก. บทว่า กุรุเต โน
ความว่า ขอเชิญท่านผู้เจริญจงรับประเคน สิ่งอันมีค่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย
ด้วยเถิด.
ครั้นพระเจ้าสัมภูตบัณฑิต ทรงทำการปฏิสันถาร ด้วยพระดำรัสอัน
อ่อนหวานอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแบ่งราชสมบัติถวายกึ่งหนึ่งจึงตรัสพระคาถา
นอกนี้ ความว่า
ขอเชิญพระเชษฐาทรงสร้างปรางค์ปราสาท อัน
เป็นที่อยู่น่ารื่นรมย์สำหรับพระองค์เถิด จงทรงบำรุง
บำเรอด้วยหมู่นารีทั้งหลาย โปรดให้โอกาสเพื่ออนุ-
เคราะห์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด แม้เราทั้งสองก็จะครอบ
ครองอิสริยสมบัตินี้ร่วมกัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิมํ อิสฺสริยํ ความว่า เราจะเป็นกษัตริย์
กันทั้งสององค์ แบ่งราชสมบัติกันคนละครึ่ง แล้วเสวยราชย์ครอบครองอยู่
ในอุตตรปัญจาลนคร แคว้นกปิลรัฐ.
พระจิตตบัณฑิตดาบสฟังพระดำรัส ของพระเจ้าสัมภูตราชแล้ว
เมื่อจะแสดงธรรมเทศนาถวาย จึงกล่าวคาถา 6 คาถา ความว่า

ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์ทรงเห็นผลแห่งสุจริต
อย่างเดียว ส่วนอาตมาภาพเห็นผลแห่งสุจริต และ
ทุจริตที่สั่งสมไว้แล้ว เป็นวิบากใหญ่จึงสำรวมตน
เท่านั้น มิได้ปรารถนาบุตร ปศุสัตว์หรือทรัพย์ ชีวิต
ของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ มีกำหนดร้อยปีเป็นอย่าง
มาก ไม่เกินกำหนดนั้นไปได้เลย ย่อมจะเหือดแห้งไป
เหมือนไม้อ้อที่ถูกตัดแล้ว มีแต่จะเหี่ยวแห้งไปฉะนั้น
ในช่วงชีวิตอันจะต้องเหือดแห้งไปนั้น จะมัวเพลิด-
เพลินไปไย จะมัวเล่นคึกคะนองไปทำไม ความยินดี
จะเป็นประโยชน์อะไร ประโยชน์อะไรด้วยการแสวง
หาทรัพย์ จะมีประโยชน์อะไรด้วยบุตรและภรรยา
สำหรับอาตมา ดูก่อนมหาบพิตร อาตมาพ้นแล้วจาก
เครื่องผูก อาตมารู้ชัดอย่างนี้ว่า มัจจุราชจะไม่รังควาน
เราเป็นอันไม่มี เมื่อบุคคลถูกมัจจุราชครอบงำแล้ว
ความยินดีจะเป็นประโยชน์อะไร จะมีประโยชน์อะไร
ด้วยการแสวงหาทรัพย์ ดูก่อนมหาบพิตร ผู้เป็น
จอมนระ ชาติกำเนิดของตนเราไม่สม่ำเสมอกัน
กำเนิดแห่งคนจัณฑาลจัดว่าเลวทรามในระหว่างมนุษย์
เมื่อชาติก่อนเราทั้งสองได้อยู่ร่วมกัน ในครรภ์แห่ง
นางจัณฑาล เพราะกรรมอันชั่วช้าของตน เราทั้งสอง
ได้เกิดเป็นคนจัณฑาล ในกรุงอุชเชนีอวันตีชนบท
ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นเนื้อสองตัว

พี่น้อง อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ครั้นจุติจากอัตภาพ
นั้นแล้ว ได้เกิดเป็นนกเขาสองตัวพี่น้อง อยู่ฝั่ง
รัมมทานที ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว คราวนี้
อาตมาภาพเกิดเป็นพราหมณ์ มหาบพิตรทรงสมภพ
เป็นกษัตริย์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุจฺจริตสฺส ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร
พระราชสมภาร พระองค์ทรงเห็นแต่ผลแห่งสุจริตอย่างเดียว ส่วนอาตมาภาพ
เห็นทั้งผลแห่งทุจริตและสุจริตทีเดียว ด้วยว่าเราทั้งสองได้บังเกิดในกำเนิดคน
จัณฑาล ในอัตภาพที่ 4 แต่อัตภาพนี้ ด้วยผลแห่งทุจริต พากันรักษาศีลอยู่ใน
อัตภาพนั้นไม่นาน ด้วยผลแห่งศีลอันสุจริตนั้น พระองค์ทรงบังเกิดในตระกูล
กษัตริย์ อาตมาภาพเกิดในตระกูลพราหมณ์ เพราะอาตมาภาพเห็นผลแห่ง
ทุจริตและสุจริตอันเคยสั่งสมดีแล้ว ว่าเป็นวิบากใหญ่อย่างนี้ จึงจักสำรวมตน
เท่านั้น ด้วยความสำรวมคือศีล จะปรารถนาบุตร ปศุสัตว์ หรือธนสารสมบัติ
ก็หามิได้.
บทว่า ทเสวิมา วสฺสทสา ความว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า เพราะ
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในมนุษยโลกนี้ มีกำหนดสิบปีสิบหน คือร้อยปีเท่านั้น
ด้วยสามารถแห่งหมวดสิบเหล่านี้ คือ มันททสกะ สิบปีแห่งความเป็นเด็กอ่อน
1 ขิฑฑาทสกะ สิบปีแห่งการเล่นคึกคะนอง 1 วัณณทสกะ สิบปีแห่งความ
สวยงาม 1 พลทสกะ สิบปีแห่งความมีกำลังสมบูรณ์ 1 ปัญญาทสกะ สิบปี
แห่งความมีปัญญารอบรู้ 1 หานิทสกะ สิบปีแห่งความเสื่อม 1 ปัพภารทสกะ
สิบปีแห่งความมีกายเงื้อมไปข้างหน้า 1 วังกทสกะ สิบปีแห่งความมีกายคดโกง
1 โมมูหทสกะ สิบปีแห่งความหลงเลอะเลือน 1 สยนทสกะ สิบปีแห่งการ
นอนอยู่กับที่ 1. ชีวิตนี้ย่อมไม่ถึงขั้นลำดับทสกะเหล่านี้ครบทั้งหมด ตามที่

กำหนดไว้. โดยที่แท้ยังไม่ทันถึงเขตที่กำหนดนั้นเลย ก็ซูบซีดเหี่ยวแห้งไป
ดังไม้อ้อที่ถูกตัดแล้วฉะนั้น ถึงแม้สัตว์เหล่าใดมีอายุอยู่ได้ครบ 100 ปีบริบูรณ์
รูปธรรมและอรูปธรรมของสัตว์แม้เหล่านั้น อันเป็นไปในมันททสกะถูกตัดแล้ว
ย่อมผันแปรเหือดแห้งอันตรธานไป ในระยะมันททสกะนั่นเอง ดุจไม้อ้อที่เขา
ตัดแล้วตากไว้ที่แดดฉะนั้น. ที่จะล่วงเลยกำหนดนั้น จนถึงขั้นขิฑฑาทสกะ
หามิได้ วัณณทสกะเป็นต้น อันเป็นไปแล้วในขิฑฑาทสกะเป็นต้นก็อย่างเดียว
กัน.
บทว่า ตตฺถ ความว่า เมื่อชีวิตนั้นต้องซูบซีดเหี่ยวแห้งไปด้วยอาการ
อย่างนี้ ความเพลิดเพลินยินดีเพราะอาศัยเบญจกามคุณ จะมีประโยชน์อะไร ?
การเล่นคึกคะนองด้วยสามารถแห่งการเล่นทางกายเป็นต้น จะมีประโยชน์อะไร
ความยินดีด้วยสามารถแห่งความโสมนัส จะมีประโยชน์อะไร ? การแสวงหา
ธนสารสมบัติจะมีประโยชน์อะไร ? ประโยชน์อะไร ด้วยลูก ด้วยเมียของ
อาตมาภาพ อาตมาภาพหลุดพ้นแล้วจากเครื่องผูกคือบุตรและภรรยานั้น.
บทว่า อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส ความว่า อันมฤตยูผู้กระทำที่สุดแห่ง
ชีวิตครอบงำแล้ว. บทว่า ทฺวิปทกนิฏฺฐา ความว่า (กำเนิดคนจัณฑาล)
นับเป็นกำเนิดต่ำต้อย ในระหว่างมวลมนุษย์ผู้มีสองเท้าด้วยกัน. บทว่า
อวสิมฺหา ความว่า เราแม้ทั้งสองคนได้เคยอยู่ร่วมกันมา.
บทว่า จณฺฑลาหุมฺหา ความว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า เมื่อก่อน
นับถอยหลังจากนี้ไป 4 ชาติ เราทั้งสองได้เกิดเป็นคนจัณฑาลอยู่ในพระนคร
อุชเชนี แคว้นอวันตีรัฐ เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว เราแม้ทั้งสอง ได้เกิด
เป็นมฤคโปดก อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานที มีนายพรานผู้หนึ่งฆ่าเราแม้ทั้งสอง
ซึ่งยืนพิงกันอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานั้น จนสิ้นชีวิต
เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วไปเกิดเป็นนกเขา อยู่ร่วมกันที่ฝั่งน้ำ "รัมมทานที"

มีเนสาทผู้หนึ่งดักข่ายทำลายเราให้ถึงตายด้วยการประหารคราวเดียวเท่านั้น ครั้น
เคลื่อนจากอัตภาพนั้น มาในชาตินี้ เราทั้งสองเกิดเป็นพราหมณ์ และกษัตริย์
คือ อาตมาภาพเกิดในตระกูลพราหมณ์ในพระนครโกสัมพี พระองค์เกิดเป็น
กษัตริย์ในพระนครนี้ ครั้นพระโพธิสัตว์ ประกาศชาติกำเนิดอันลามกต่ำต้อย
ที่ผ่านมาแล้ว แก่พระเจ้าสัมภูตราชนั้น ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล้วแสดงว่า
อายุสังขาร แม้ในชาตินี้มีเวลาเล็กน้อย ให้พระเจ้าสัมภูตราชทรงเกิดอุตสาหะ
ในบุญกุศลทั้งหลาย ได้กล่าวคาถา 4 คาถา ติดต่อกันไป ความว่า
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานำเข้าไปสู่ความ
ตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย เมื่อนรชน
ถูกชรานำเข้าไปสู่ความตาย ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ดู-
ก่อนพระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทำตามคำ
ของอาตมาภาพ อย่าทรงทำกรรมทั้งหลายมีทุกข์เป็น
กำไรเลย ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานำเข้าไปสู่
ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย เมื่อ
นรชนถูกชรานำเข้าไปสู่ความตาย ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน
ดูก่อนพระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทำตามคำ
ของอาตมภาพ อย่าทรงทำกรรมทั้งหลาย อันมีทุกข์
เป็นผลเลย ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานำเข้าไปสู่
ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลาย เป็นของน้อย เมื่อ
นรชนถูกชรานำเข้าไปสู่ความตาย ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน
ดูก่อนพระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทำตามคำ
ของอาตมภาพ อย่าทรงทำกรรมทั้งหลาย อันมีศีรษะ

เกลือกกลั้วด้วยกิเลสธุลี ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรา
นำเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของ
น้อย ชราย่อมกำจัดวรรณะของนรชนผู้แก่เฒ่า ดูก่อน
พระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทำตามคำของ
อาตมาภาพ อย่าทรงทำกรรมที่ให้เข้าถึงนรกเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปนียติ ความว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า
ชีวิตแม้นี้ ย่อมเข้าไปใกล้ความตาย เพราะอายุของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นนี้
มีน้อย ชื่อว่า นิดหน่อยเพราะแล่นไปได้น้อยบ้าง เพราะดำรงอยู่ได้น้อยบ้าง
เป็นเช่นเดียวกับหยาดน้ำค้างที่ติดอยู่ปลายหญ้า อันเหือดแห้งด้วยแสงพระ-
อาทิตย์อุทัยฉะนั้น.
บทว่า น สนฺติ ตาณา ความว่า เพราะว่าเมื่อนรชนอันชรานำ
เข้าไปใกล้ความตายแล้ว ปิยชนทั้งหลายมีบุตรเป็นต้น จะเป็นผู้ที่ต้านทาน
ป้องกันไว้ได้ ก็หามิได้. บทว่า มเมว วากฺยํ ความว่า ซึ่งถ้อยคำของ
อาตมาภาพนี้. บทว่า มากาสิ ความว่า อย่าได้ถึงความประมาทมัวเมา
เพราะเหตุแห่งกามคุณมีรูปเป็นต้น แล้วกระทำกรรมที่มีทุกข์เป็นกำไรอันเป็น
เครื่องให้เจริญด้วยทุกข์ในอบายมีนรกเป็นต้น. บทว่า ทุกฺขผลานิ ได้แก่
กรรมที่มีทุกข์เป็นผล. บทว่า รชสฺสิรานิ ได้แก่ กรรม อันเป็นเหตุให้
ศีรษะเกลือกกลั้วด้วยธุลี คือกิเลส. บทว่า วณฺณํ ความว่า ชราย่อมกำจัด
วรรณะแห่งสรีระของนรชน ผู้เสื่อมวัยทรุดโทรม บทว่า นิรยูปปตฺติยา
ความว่า อย่าได้สร้างกรรมเพื่อจะไปบังเกิดในนรก อันหาความยินดีมิได้เลย.
เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ากล่าวอยู่อย่างนี้ พระเจ้าสัมภูตราชทรงรู้สึกพระ-
องค์ แล้วตรัสพระคาถา 3 คาถา ความว่า

ข้าแต่ภิกษุ ถ้อยคำของพระคุณเจ้านี้เป็นคำจริง
แท้ทีเดียว พระฤาษีกล่าวไว้ฉันใด คำนี้ก็เป็นฉันนั้น
แต่ว่ากามทั้งหลายของข้าพเจ้ายังมีอยู่มาก กามเหล่า
นั้น คนเช่นข้าพเจ้าสละได้ยาก ช้างจมอยู่ท่ามกลาง
หล่มแล้ว ย่อมไม่อาจถอนตนไปสู่ที่ดอนได้ด้วยตนเอง
ฉันใด ข้าพเจ้าจมอยู่ในหล่มคือกามกิเลส ก็ยังไม่
สามารถปฏิบัติตนตามทางของภิกษุได้ฉันนั้น ข้าแต่
พระคุณเจ้าผู้เจริญ อนึ่ง บุตรจะมีความสุขได้ด้วยวิธีใด
มารดาบิดาพร่ำสอนบุตรด้วยวิธีนั้นฉันใด ข้าพเจ้าละ
จากโลกนี้ไปแล้วจะพึงเป็นผู้มีความสุขอื่นนานได้ด้วย
วิธีใด ขอพระคุณเจ้าโปรดพร่ำสอนข้าพเจ้า ด้วยวิธี
นั้น ฉันนั้นเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนปฺปรูปา ความว่า กามกิเลสทั้งหลาย
ของข้าพเจ้า ยังมีชาติมิใช่นิดหน่อย คือมากมาย หาประมาณมิได้. บทว่า
เต ทุจฺจชา มาทิสเกน ความว่า ข้าแต่ภิกษุผู้เชษฐภาดา ท่านละกิเลส
ทั้งหลายดำรงตนอยู่ได้แล้ว ส่วนข้าพเจ้ายังจมอยู่ในเปือกตม คือ กามกิเลส
เพราะเหตุนั้น คนเช่นข้าพเจ้าละกามกิเลสเหล่านั้นได้ยากยิ่ง.
ด้วยบทว่า นาโค ยถา นี้ พระเจ้าสัมภูตราชทรงแสดงถึงความที่
พระองค์จมลงในเปลือกตมคือกามกิเลส. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺยสนฺโน
ความว่า ข้าพเจ้าจมลงแล้ว คือ ลื่นไหลลงแล้ว ได้แก่ ถลำลงไปแล้ว.
อีกอย่างหนึ่งปาฐะ ก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า มคฺคํ ได้แก่ มรรคาแห่ง
โอวาทานุสาสนีของท่าน. บทว่า นานุพฺพชามิ ความว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถ

จะบรรพชาได้ ขอท่านจงโปรดให้โอวาทแก่ข้าพเจ้าผู้ดำรงอยู่ในฆรวาสวิสัยนี้.
เท่านั้นเถิด. บทว่า อนุสาสเร แปลว่า ย่อมพร่ำสอน.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะพระเจ้าสัมภูตราชนั้นว่า
ดูก่อนมหาบพิตร ผู้จอมนรชน ถ้ามหาบพิตร
ไม่สามารถละกามของมนุษย์เหล่านี้ได้ไซร้ มหา-
บพิตรจงทรงเริ่มตั้งพลีกรรมอันชอบธรรมเถิด แต่การ
กระทำอันไม่เป็นธรรมขออย่าได้มีในรัฐสีมาของมหา-
บพิตรเลย ทูตทั้งหลายจงไปยังทิศทั้ง 4 นิมนต์สมณะ
พราหมณ์ทั้งหลายมา มหาบพิตรจงทรงบำรุงสมณะ
พราหมณ์ทั้งหลายด้วยข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะ และ
คิลานปัจจัย มหาบพิตรจงเป็นผู้มีกมลจิตอันผ่องใส
ทรงอังคาสสมณพราหมณ์ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำ
ได้ทรงบริจาคทานตามสติกำลัง และทรงเสวยแล้ว
เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายไม่ติเตียน จงเสด็จ
เข้าถึงสวรรคสถานเถิด. ดูก่อนมหาบพิตร ก็ถ้าความ
เมาจะพึงครอบงำมหาบพิตรผู้อันหมู่นารีทั้งหลายแวด-
ล้อมอยู่ มหาบพิตรจงทรงมนสิการคาถานี้ไว้ แล้วพึง
ตรัสคาถานี้ในท่ามกลางบริษัทว่า เมื่อชาติก่อนเราเป็น
คนนอนอยู่กลางแจ้ง อันมารดาจัณฑาลเมื่อจะไปป่า
ให้ดื่มน้ำนม มาแล้ว นอนคลุกคลีอยู่กับสุนัขทั้งหลาย
จนเติบโต มาบัดนี้ คนนั้นใคร ๆ เขาก็เรียกกันว่า
พระราชา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น อุตฺสาหเส ความว่า ถ้าหาก
พระองค์จะไม่สามารถ. บทว่า ธมฺมพลึ ความว่า จงยึดเหนี่ยวเอาธรรมิกพลี
อย่าให้บกพร่องโดยธรรมสม่ำเสมอ. บทว่า อธมฺมถาโร เต ความว่า
อย่าทำลายวินิจฉัยธรรมอันโบราณกษัตริย์ทั้งหลายตั้งไว้ ประพฤติธรรมจรรยา.
บทว่า นิมนฺติตา ความว่า เชื้อเชิญอาราธนาสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่
ในธรรมมา. บทว่า ยถานุภาวํ ความว่า ตามสติกำลังของตน. บทว่า
อิมเมว คาถํ พระโพธิสัตว์กล่าวหมายถึงข้อความคาถาที่จะกล่าวต่อไป ณ
บัดนี้.
ในคาถานั้น มีอธิบายดังนี้ ดูก่อนมหาราชเจ้า ถ้าหากความมัวเมา
จะพึงครอบงำพระองค์ คือ ถ้าหากความมานะถือตัว ปรารภกามคุณมีรูป
เป็นต้น หรือปรารภความสุขเกิดแต่ราชสมบัติจะพึงบังเกิดขึ้นแก่พระองค์ ผู้
ห้อมล้อมด้วยหมู่สนมนารีทั้งหลายไซร้ ทันทีนั้นพระองค์พึงทรงจินตนาการว่า
ในชาติปางก่อนเราเกิดในกำเนิดจัณฑาล ได้หลับนอนในที่ซึ่งเป็นอัพโภกาส
กลางแจ้ง เพราะไม่มีแม้เพียงกระท่อมมุงด้วยหญ้ามิดชิด ก็แลในกาลนั้น
นางจัณฑาลีผู้เป็นมารดาของเรา เมื่อจะไปสู่ป่า เพื่อหาฟืนและผักเป็นต้น
ให้เรานอนกลางแจ้งท่ามกลางหมู่ลูกสุนัข ให้เราดื่มนมของตนแล้วไป เรานั้น
แวดล้อมไปด้วยลูกสุนัข ดื่มนมแห่งแม่สุนัข พร้อมด้วยลูกสุนัขเหล่านั้น จึง
เจริญวัยเติบโต เราเป็นผู้มีเชื้อชาติต่ำช้ามาอย่างนี้ แต่วันนี้เกิดเป็นผู้ที่ประชาชน
เรียกว่ากษัตริย์ ดูก่อนมหาราชเจ้า เพราะเหตุนี้แล เมื่อพระองค์จะทรงสอน
ตนเองด้วยเนื้อความนี้ พึงตรัสคาถาว่า ในชาติปางก่อนเราเป็นสัตว์นอนอยู่ใน
อันโภกาสกลางแจ้ง เมื่อนางจัณฑาลีผู้มารดาไปสู่ป่า เที่ยวไปทางโน้นบ้าง
ทางนี้บ้าง เป็นผู้อันแม่สุนัขสงสาร ให้ดื่มนม คลุกคลีอยู่กับพวกลูก ๆ จึงเจริญ
เติบโตมาได้ แต่วันนี้ เรานั้นอันใคร ๆ เขาเรียกกันว่าเป็นกษัตริย์ ดังนี้.

พระมหาสัตว์ครั้นให้โอวาทแก่พระเจ้าสัมภูตราชอย่างนี้แล้วจึงกล่าวว่า
อาตมาภาพถวายโอวาทแก่พระองค์แล้ว บัดนี้พระองค์จงทรงผนวชเสียเถิด
อย่าทรงเสวยวิบากแห่งกรรมของตนด้วยตนเลย แล้วเหาะขึ้นไปในอากาศยังละออง
ธุลีพระบาทให้ตกเหนือเศียรเกล้าของพระราชา แล้วเหาะไปยังหิมวันตประเทศ
ทันที ฝ่ายพระราชาทอดพระเนตรดูพระดาบสนั้นไปแล้ว เกิดความสังเวช
สลดพระทัย ยกราชสมบัติให้แก่ราชโอรสองค์ใหญ่ ตรัสสั่งให้พลนิกายกลับ
ไปแล้ว บ่ายพระพักตร์เสด็จไปยังหิมวันตประเทศ (เพียงองค์เดียว) พระ-
มหาสัตว์เจ้า ทรงทราบการเสด็จมาของพระราชาแล้ว แวดล้อมด้วยหมู่ฤาษี
เป็นบริวาร มาต้อนรับพระราชาให้ทรงผนวชแล้วสอนกสิณบริกรรม. พระ-
สัมภูตดาบส บำเพ็ญฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว. พระดาบสทั้งสองแม้เหล่านั้น
ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ด้วยประการฉะนี้.
พระศาสดาครั้นนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ-
ทั้งหลาย โปราณกบัณฑิต แม้จะท่องเที่ยวไป 3-4 ภพ ก็ยังเป็นผู้มีความ
คุ้นเคยรักใคร่สนิทสนม มั่นคงอย่างนี้โดยแท้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า สัมภูต-
ดาบส
ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนจิตตบัณฑิตดาบส ได้มาเป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาจิตตสัมภูตชาดก

3. สีวิราชชาดก



ว่าด้วยการให้ดวงตาเป็นทาน



[2066] ข้าพระพุทธเจ้า เป็นคนชราไม่แลเห็น
ในที่ไกล มาเพื่อจะทูลขอพระเนตร ข้าพระพุทธเจ้า
มีนัยน์ตาข้างเดียว ข้าพระพุทธเจ้า ทูลขอแล้ว ขอ
พระองค์ได้โปรดพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่ง แก่
ข้าพระพุทธเจ้าเถิด.

[2067] ดูก่อนวณิพก ใครเป็นผู้แนะนำท่าน
ให้มาขอดวงตาเรา ณ ที่นี้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าว
ดวงตาใด ว่ายากที่บุรุษจะสละได้ ท่านมาขอดวงตา
นั้น อันเป็นอวัยวะเบื้องสูง ยากที่จะสละได้ง่าย ๆ.

[2068] ในเทวโลกเขาเรียกผู้ใดว่า สุชัมบดี
ในมนุษยโลกเขาเรียกท่านผู้นั้นว่า " มฆวา " ข้าพระ-
พุทธเจ้าเป็นวณิพก ท่านผู้นั้นแนะนำให้มาขอ
พระเนตร ณ ที่นี้ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นวณิพก การขอ
ของข้าพระพุทธเจ้าไม่มีสิ่งใดจะยิ่งไปกว่า ขอพระองค์
ทรงพระราชทานพระเนตร แก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้มาขอ
เถิด บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ดวงตาใดยากที่บุรุษจะ
สละได้ ขอพระองค์โปรดพระราชทานดวงพระเนตร
นั้น ที่ไม่มีสิ่งอื่นจะยิ่งกว่า แก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด.