เมนู

อรรถกถาสุปปารกชาดก



พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ
พระปัญญาบารมี ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อุมฺมุชฺชนฺติ นิมุชฺชนฺติ ดังนี้.
เรื่องพิสดารมีว่า วันหนึ่งเพลาเย็น พวกภิกษุพากันรอพระตถาคต
เสด็จออกแสดงธรรม นั่งในธรรมสภา ต่างพรรณนาพระมหาปัญญาบารมี
ของพระทศพลว่า ผู้มีอายุทั้งหลายอัศจรรย์ยิ่งนัก พระศาสดาทรงมีพระปรีชา
มาก มีพระปรีชาหนักหนา มีพระปรีชาแจ่มใส มีพระปรีชาว่องไว มีพระ
ปรีชาคมคาย มีพระปรีชาหลักแหลม ทรงประกอบด้วยพระปรีชาอันเป็น
อุบายในกรณียะนั้น ๆ หนักหนาเสมอด้วยแผ่นดิน ลึกซึ้งประหนึ่งมหาสมุทร
กว้างขวางไม่สิ้นสุดดุจดังอากาศ ปัญหาที่ตั้งขึ้นกันในชมพูทวีป ที่จะได้นามว่า
ผ่านพ้นพระทศพลไปได้ไม่มีเลยทีเดียว เหมือนคลื่นที่ตั้งขึ้นในมหาสมุทร
พอถึงฝั่งเท่านั้นก็แตกกระจายไป ฉันใด ปัญหาอันใดอันหนึ่งที่ตั้งขึ้น ก็มิได้
ผ่านพ้นพระทศพลไปได้ ถึงบาทมูลพระศาสดาแล้ว ย่อมแตกฉานไปทีเดียว
ฉันนั้น พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้
เท่านั้น ที่ตถาคตมีปัญญา แม้ในครั้งก่อน ตถาคตก็เป็นผู้มีปัญญาด้วยญาณ
อันไม่แก่กล้า ถึงจะเป็นคนตาบอดก็ยังรู้ได้ว่า ในสมุทรตอนนี้มีรัตนะนามนี้
ด้วยการกำหนดน้ำในมหาสมุทร ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลพระเจ้ากุรุราช เสวยราชสมบัติ ณ แคว้นกุรุ ได้มี
บ้านอันเป็นท่าเรือนามว่า ภรุกัจฉะ เสวยราชสมบัติ ณ แคว้นกุรุ ครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นบุตรของหัวหน้าต้นหนในบ้านกุรุกัจฉะ เป็นคน
น่าเลื่อมใส ผิวพรรณเพียงดังทอง หมู่ญาติได้ขนานนามให้ท่านว่า สุปารก

กุมาร ทำจำเริญด้วยบริวารมาก ในกาลที่มีอายุ 16 นั่นแล สำเร็จศิลปะของ
ต้นหนแล้ว ต่อมาพอบิดาล่วงลับไป ก็ได้เป็นหัวหน้าต้นหน ทำหน้าที่ต้นหน
ได้เป็นบัณฑิตสมบูรณ์ด้วยญาณ บรรดาเรือที่ท่านขึ้นไปแล้ว เป็นไม่มีเรื่อง
ที่เรียกว่าอับปางเลย ต่อมานัยน์ตาทั้งคู่ของท่านกระทบน้ำเค็มนัก เลยเสียไป
ตั้งแต่บัดนั้น ถึงท่านจะเป็นหัวหน้าต้นหนอยู่ ก็ทำหน้าที่ต้นหนไม่ได้ คิดว่า
เราพึ่งพระราชาเลี้ยงชีวิตเถอะ แล้วเข้าไปเฝ้าพระราชา ครั้งนั้นพระราชาทรง
แต่งตั้งท่านไว้ในหน้าที่พนักงานตีราคา ตั้งแต่บัดนั้น ท่านก็คอยประเมินราคา
ช้างแก้ว ม้าแก้ว และก้อนแก้วมุกดาแก้วมณีเป็นต้น.
ครั้งนั้น วันหนึ่ง คนทั้งหลายนำช้างตัวหนึ่ง มีสีดำเหมือนสีหน่อหิน
ทูลถวายแด่พระราชา ด้วยคิดว่าจักเป็นมงคลหัตถี พระราชาทอดพระเนตร
ช้างนั้นแล้ว ตรัสว่า เจ้าทั้งหลายจงให้ท่านบัณฑิตมาดู ครั้นพวกนั้นนำช้าง
นั้นไปสู่สำนักของท่านแล้ว ท่านใช้มือลูบสรีระของมันทั่ว ๆ ไป กล่าวว่า
ช้างตัวนี้ไม่สมควรจะเป็นมงคลหัตถี มันค่อมอยู่หน่อยที่เท้าหลังทั้งสองข้าง
เพราะแม่ช้างตกลูกช้างตัวนี้ ไม่อาจรับไว้ทันด้วยบั้นขาได้ เหตุนั้นมันเลย
ตกลงถึงแผ่นดิน ขาหลังทั้งคู่จึงค่อมไปเสีย คนเหล่านั้นพากันถามพวกที่
นำช้างนั้นมา พวกนั้นกล่าวว่าท่านบัณฑิตพูดจริง พระราชาทรงสดับเหตุนั้น
ทรงร่าเริงดีพระทัย โปรดให้พระราชทานทรัพย์แก่ท่าน 8 กระษาปณ์.
อยู่มาอีกวันหนึ่ง มีคนนำม้าตัวหนึ่งมาทูลถวายแด่พระราชาว่า จักเป็น
ม้ามงคลได้ พระราชาทรงส่งม้านั้นไปสู่สำนักของท่าน ท่านใช้มือลูบคลำ
มันเหมือนกัน แล้วบอกว่าม้าตัวนี้ไม่สมควร จะเป็นม้ามิ่งมงคลได้ เพราะ
ในวันที่มันเกิดนั้นแล แม่มันตายเสียแล้ว เพราะเหตุนั้น มันไม่ได้นมแม่
จึงไม่เจริญเท่าที่ควร พวกมนุษย์ที่จูงม้ามา พากันกล่าวว่า ถ้อยคำของท่าน
ทั้งนั้นเป็นความจริง พระราชาทรงสดับแม้เรื่องนั้นก็ทรงดีพระทัย โปรด-

พระราชทาน 8 กระษาปณ์เหมือนกัน.
ครั้นวันหนึ่ง มีคนนำรถมาถวายแด่พระราชาว่า จักเป็นรถมงคล
พระราชาทรงส่งรถแม้นั้นไปสู่สำนักของท่าน ท่านคงใช้มือลูบคลำรถคันนั้น
ทั่วแล้ว กล่าวว่า รถคันนี้สร้างด้วยต้นไม้เป็นโพรง เหตุนั้นไม่ควรแด่
พระราชา ถ้อยคำของท่านแม้นั้นก็ได้เป็นความจริง พระราชาทรงสดับเรื่อง
แม้นั้น ก็ทรงยินดีโปรดพระราชทาน 8 กระษาปณ์.
ครั้งนั้นมีคนนำผ้ากัมพลราคามากมาถวายพระราชาพระองค์นั้น พระ-
องค์ทรงส่งผ้านั้นไปให้แก่ท่านเหมือนกัน ท่านใช้มือลูบผ้านั้นไปทั่วผืน
กล่าวว่า ผ้าผืนนี้มีรอยหนูกัดอยู่แห่งหนึ่ง คนเหล่านั้นซักฟอกดูเห็นรอยนั้น
พากันกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นคงพระราชทาน 8
กระษาปณ์เท่านั้น ท่านดำริว่า พระราชาองค์นี้ เห็นข้ออัศจรรย์ถึงเพียงนี้
คงประทาน 8 กระษาปณ์ รางวัลเท่านี้ เป็นรางวัลสำหรับช่างกัลบก
พระองค์คงมีเผ่าช่างกัลบกเป็นแน่ เราจะมัวมาบำรุงพระราชาเช่นนี้ทำไมกัน
ไปสู่ที่อยู่ของตนตามเดิมดีกว่า ท่านเลยกลับท่าเรือภรุกัจฉะดังเดิม เมื่อ
ท่านพำนักอยู่ในบ้านนั้น พวกพ่อค้าจัดแจงเรือ ปรึกษากันว่า จักกระทำ
ใครให้เป็นต้นหน เห็นพ้องกันว่า เรือที่ท่านสุปารกบัณฑิตขึ้นไปแล้ว
ไม่อัปปางเลย ท่านผู้นี้เป็นบัณฑิตฉลาดในอุบายถึงจะเป็นคนตาบอด ท่าน
สุปารกบัณฑิตก็ยังเป็นผู้สูงสุด พากันเข้าไปหาท่านบอกว่า ขอเชิญท่าน
เป็นต้นหนของพวกข้าพเจ้า เมื่อท่านกล่าวว่า พ่อคุณทั้งหลาย ฉันเป็น
คนตาบอด จักกระทำหน้าที่ต้นหนได้อย่างไร พากันอ้อนวอนบ่อย ๆ ว่า
นายขอรับ ทั้งที่ท่านตาบอดนั้นแหละ ก็ยังสูงสุดกว่าพวกข้าพเจ้า ท่าน
รับคำว่า ตกลงพ่อคุณทั้งหลาย ฉันจักเป็นต้นหนได้ด้วยข้อกำหนดที่พวก
เธอเคยบอก แล้วขึ้นเรือของพวกนั้น พวกนั้นพากันแล่นเรือไปสู่มหาสมุทร

เรือปลอดภัยไปได้ 7 วัน ลำดับนั้น ลมมิใช่กาลบังเกิดพัดผันขึ้นแล้ว เรือ
ลอยไปเหนือสมุทรตลอด 4 เดือนทีเดียว จึงถึงสมุทรตอนที่มีชื่อว่า ขรุมาลี
ในสมุทรตอนชื่อว่าขรุมาลีนั้น ฝูงปลามีสรีระคล้ายคน มีจมูกแหลม พากัน
ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ พวกพ่อค้าเห็นฝูงปลานั้นแล้ว เมื่อจะถามชื่อสมุทร
ตอนนั้นกะพระมหาสัตว์ กล่าวคาถาที่ 1 ว่า
พวกมนุษย์จมูกแหลมดำผุดดำว่ายอยู่ พวก
ข้าพเจ้าขอถามท่าน สุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.

พระมหาสัตว์ถูกพวกนั้นพากันถามอย่างนี้แล้ว เทียบทานดูตาม
ตำรับต้นหน จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า
เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหาทรัพย์
ออกจากท่าชื่อ ภรุกัจฉะ ครั้นเรือแล่นไปผิดทางมาถึง
ทะเลตอนนี้เขาเรียกกันว่า ขุรมาลี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปยาตานํ ความว่า เมื่อพวกเธอซึ่งเป็น
พ่อค้าพากันออกเรือจากท่าภรุกัจฉะ. บทว่า ธเนสินํ ความว่า พวกเธอ
ผู้เป็นพ่อค้าไปแสวงหาทรัพย์. บทว่า นาวาย วิปฺปนฏฺฐาย ความว่า พ่อคุณ
ทั้งหลาย ครั้นเรือของพวกเธอลำนี้ถูกกรรมบังคับแล่นไปผิดประเทศ สมุทรตอน
ที่ผ่านพ้นสมุทรปกติซึ่งถึงเข้านี้ ท่านเรียกว่า ขุรมาลี บัณฑิตทั้งหลาย ท่าน
แสดงสมุทรตอนนี้ไว้อย่างนี้.
ก็แลในสมุทรตอนนั้นมีเพชรพร้อมมูล พระมหาสัตว์คิดว่า ถ้าเราบอก
แก่พวกเหล่านั้นอย่างนี้ ตอนนี้เป็นสมุทรมีเพชร พวกนี้จักพากันเอาแต่เพชรให้
มากด้วยความโลภ ถึงให้เรือจมเสียก็ได้ จะไม่ยอมบอกเลย ให้ชะลอเรือไว้
ใช้อุบายให้จับเชือกทิ้งข่ายลงไป โดยทำนองที่จะจับปลา ขนก้อนเพชรขึ้นใส่

ในเรือ ให้ทิ้งข้าวของที่มีค่าน้อยเสีย เรือผ่านสมุทรตอนนั้นไปถึงตอนที่อัคคิมาลี
ถัดไป สมุทรตอนนั้นเปล่งแสงแจ่มจ้า ปรากฏเหมือนกองเพลิงที่ลุกโพลง และ
เหมือนพระอาทิตย์เมื่อยามเที่ยง พวกพ่อค้าพากันถามท่านด้วยคาถาว่า
ทะเลนี้ ปรากฏเหมือนกองไฟและพระอาทิตย์
ข้าพเจ้าถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.

ฝ่ายพระมหาสัตว์ก็บอกเรื่องนั้นแก่พวกนั้น ด้วยคาถาต่อไปว่า
เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหาทรัพย์
ออกจากท่าชื่อ ภรุกัจฉะ ครั้นเรือแล่นไปผิดทางมา
ถึงทะเลตอนนี้เขาเรียกว่า อัคคิมาลี.

ก็แลในท้องทะเลตอนนั้น มีทองมากมาย. ฝ่ายพระมหาสัตว์ ก็ให้
พวกนั้นถือเอาทองแม้จากท้องทะเลนั้นบรรทุกเรือ โดยนัยก่อนเหมือนกัน
ฝ่ายเรือแล่นพ้นท้องทะเลตอนนั้นไป ถึงท้องทะเลตอนที่เปล่งสีเหมือนนมสด
และนมส้ม อันมีชื่อ ทธิมาลี. พวกพ่อค้าพากันถามชื่อของท้องทะเลตอนนั้น
ด้วยคาถานี้ว่า
ทะเลนี้ ปรากฏเหมือนนมส้มและนมสด พวก
ข้าพเจ้าขอถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.

พระมหาสัตว์บอกแก่พวกเหล่านั้น ด้วยคาถาต่อไปว่า
เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหาทรัพย์
ออกจากท่าชื่อว่า ภรุกัจฉะ ครั้นเรือแล่นไปผิดทาง
มาถึงทะเลตอนนี้ เขาเรียกกันว่า ทธิมาลี.

ก็แลในท้องทะเลตอนนั้น มีเงินมากมาย ครั้งนั้นท่านก็ให้พวกนั้น
ขนเงินบรรทุกเรือโดยอุบาย เรือแล่นผ่านท้องทะเลตอนนั้น บรรลุท้องทะเล

สีเขียว ส่องแสงเหมือนหญ้าคาสีเขียว และเหมือนข้าวกล้าที่กำลังงอกงาม
อันมีชื่อว่า กุสมาลี. พวกพ่อค้าพากันถามชื่อท้องทะเลตอนนั้นด้วยคาถาว่า
ทะเลนี้ปรากฏเหมือนหญ้าคาและข้าวกล้า พวก
ข้าพเจ้าขอถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.

ท่านบอกด้วยคาถาต่อไปว่า
เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหาทรัพย์
ออกจากท่าชื่อว่า ภรุกัจฉะ ครั้นเรือแล่นไปผิดทาง
มาถึงทะเลตอนนี้เขาเรียกกันว่า กุสมาลี.

ก็ในทะเลตอนนั้น มีแก้วนิลมณีมากมาย แม้ท่านก็คงให้พวกนั้นขน
เอาแก้วนั้นใส่เรือด้วยอุบาย เรือคงแล่นผ่านท้องทะเลตอนนั้นไปถึงท้องทะเล
อันปรากฏเหมือนป่าอ้อและป่าไผ่ อันมีชื่อว่า นฬมาลี. พวกพ่อค้าพากันถาม
ชื่อของท้องทะเลตอนนั้นด้วยคาถาว่า
ทะเลนี้ปรากฏเหมือนไม้อ้อและไม้ไผ่ พวก
ข้าพเจ้าขอถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.

พระมหาสัตว์บอกท้องทะเลตอนนั้น ด้วยคาถาต่อไปว่า
เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหาทรัพย์
ออกจากท่าชื่อ ภรุกัจฉะ ครั้นเรือแล่นไปผิดทางมา
ถึงทะเลตอนนี้เขาเรียกกันว่า นฬมาลี.

ก็ในทะเลตอนนั้น มีมรกตและไพฑูรย์มากมาย ท่านคงให้ขนใส่เรือ
ด้วยอุบายดุจกัน.
อีกนัยหนึ่ง บทว่า นโฬ คือ ไม้อ้อแมลงป่อง ไม้อ้อปูก็เรียก
ไม้อ้อชนิดนั้นมีสีแดง. ส่วนที่ว่าไม้ไผ่นั้นเป็นชื่อของแก้วประพาฬนั่นเอง และ

ท้องทะเลตอนนั้น มากมายด้วยแก้วประพาฬ จึงได้มีแสงแดงฉาย. เหตุนั้น
พวกพ่อค้าจึงพากันถามว่า เหมือนไม้อ้อและไม้ไผ่.
พระมหาสัตว์ คงให้พวกนั้นขนแก้วประพาฬ จากท้องทะเลตอนนั้น
พวกพ่อค้าครั้นผ่านพ้นท้องทะเลตอนนฬมาลีไปแล้ว พบท้องทะเลตอนที่ชื่อ
ว่า พลวามุข น้ำในท้องทะเลตอนนั้น เดือดพล่านพุ่งขึ้นโดยเป็นพืดตลอดไป
น้ำที่พุ่งขึ้นโดยเป็นพืดตลอดไปในท้องทะเลตอนนั้น ปรากฏเป็นเหมือนเหว
ใหญ่ใกล้หน้าผาขาดโดยส่วนทั่วไป เมื่อคลื่นพุ่งขึ้น ก็เป็นเหมือนเหวติดต่อ
กันไป เสียงน่าสะพรึงกลัวบังเกิดขึ้น ปานจะทำลายหูทั้งสองเสีย และปานจะผ่า
หทัยเสีย. พวกพ่อค้าเห็นท้องทะเลตอนนั้นแล้ว พากันกลัวสะทกสะท้าน ถาม
ชื่อของสมุทรตอนนั้นด้วยคาถาว่า
เสียงน่ากลัวมาก น่าสยดสยอง ฟังเหมือนเสียง
อมนุษย์ และทะเลนี้ปรากฏเหมือนบึงและเหว พวก
ข้าพเจ้าขอถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.

พระมหาสัตว์บอกชื่อของท้องทะเลตอนนั้นด้วยคาถาว่า
เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหาทรัพย์
ออกจากท่าชื่อว่า ภรุกัจฉะ ครั้นเรือแล่นไปผิดทาง
มาถึงทะเลตอนนี้เขาเรียกกันว่า พลวามุขี.

พระโพธิสัตว์ ครั้นบอกชื่อของท้องทะเลตอนนั้นด้วยคาถาตามลำดับ
กล่าวว่า พ่อทั้งหลาย บรรดาเรือที่ถึงท้องทะเลพลวามุขนี้ อันสามารถกลับได้
ไม่มีเลย ท้องทะเลตอนนี้ ยังเรือที่ตกเข้าไปแล้วให้จมถึงความแตกสลาย.
ก็แลพวกมนุษย์ประมาณ 700 คนพากันขึ้นเรือนั้นไป. พวกนั้นทั้งหมดพากัน
กลัวต่อมรณภัย ต่างเปล่งเสียงโอดครวญร่ำไห้ประดังเป็นเสียงเดียวกัน เหมือน

ฝูงสัตว์ที่กำลังหมกไหม้อยู่ในอเวจีนรกฉะนั้น. พระมหาสัตว์ดำริว่า เว้นเรา
เสียแล้ว คนอื่นที่จะชื่อว่า สามารถทำลายความปลอดภัยให้แก่พวกนี้ไม่มีเลย
เราต้องตั้งสัตย์กระทำความปลอดภัยให้แก่พวกเขา เรียกพวกนั้นมากล่าวว่า
พ่อทั้งหลาย พวกเธอจงให้เราอาบน้ำด้วยน้ำหอมให้นุ่งผ้าใหม่ เตรียมถาดน้ำ
วางไว้ที่แอกเรือโดยเร็วเถิด พ่อค้าเหล่านั้นพากันทำตามนั้น. พระมหาสัตว์
ถือถาดเต็มด้วยน้ำด้วยมือทั้งสองข้าง ยืนที่แอกเรือ เมื่อกระทำสัจจกิริยาจึงกล่าว
คาถาที่สุดว่า
ตั้งแต่ข้าพเจ้าระลึกถึงตนได้ ถึงความเป็นผู้รู้
เดียงสา ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกแกล้งเบียดเบียนสัตว์ แม้
สักตัวเดียวเลย ด้วยสัจจวาจานี้ ขอเรือจงกลับได้โดย
สวัสดี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต ความว่า ข้าพเจ้าระลึกตนได้
จำเดิมแต่กาลใด และข้าพเจ้าได้เป็นผู้บรรลุวิญญูภาพแล้วจำเดิมแต่กาลใด.
บทว่า เอกปาณํปิ หึสิตุํ ความว่า ในระหว่างนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยสำนึกเลย
ที่จะแกล้งเบียดเบียนแม้สัตว์คือมดดำมดแดง เพียงตัวเดียว. บทนี้เป็นเพียง
การเทศนาเท่านั้น. ก็พระโพธิสัตว์ได้กระทำสัจจกิริยาด้วยอำนาจแห่งศีล 5
อย่างนี้ว่า สิ่งของผู้อื่นกำหนดแม้เพียงเส้นหญ้า ก็ไม่เคยหยิบฉวยเลย ภรรยา
ของผู้อื่นก็ไม่เคยมองดูด้วยอำนาจความโลภ คำพูดเท็จก็ไม่เคยพูด น้ำเมาก็ไม่
เคยดื่มแม้แต่จะหยดด้วยอดหญ้า.
ก็แลครั้นกระทำสัจจกิริยาแล้ว ก็รดน้ำในถาดที่เต็มลงที่แอกเรือ.
เรืออันแล่นไปผิดทิศทางตลอด 4 เดือน ก็บ่ายหัวกลับ ได้ไปถึงท่าภรุกัจฉะ

เพียงวันเดียวเท่านั้น ด้วยอานุภาพแห่งสัจจะ ประหนึ่งท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล
ครั้นถึงแล้วยังแล่นไปบนบกได้ประมาณ 8 อุสภะ หยุดที่ประตูเรือนของนาย
เรือพอดี. พระมหาสัตว์แบ่งทองเงินแก้วมณีแก้วประพาฬและเพชร ให้แก่พวก
พ่อค้าเหล่านั้น ให้โอวาทแก่พวกนั้นว่า รัตนะเพียงเท่านี้ ก็เป็นการพอแล้ว
สำหรับเธอทั้งหลาย พวกเธออย่าเข้าไปสู่ท้องทะเลกันอีกเลย ทำบุญต่าง ๆ
มีให้ทานเป็นต้น จนตลอดชีพ ได้ไปเพิ่มจำนวนเมืองสวรรค์แล้ว.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสย้ำว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย แม้ในครั้งก่อน ตถาคตก็มีปัญญามากอย่างนี้เหมือนกัน ทรงประชุม
ชาดกว่า บริษัทของท่านสุปปารกะผู้บอดในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท
ส่วนสุปปารกบัณฑิต ได้มาเป็นเราแล.
จบอรรถกถาสุปปารกชาดก
จบอรรถกถาเอกาทสนิบาต

รวมชาดกที่มีในเอกาทสนิบาตนี้ คือ


1. มาตุโปสกชาดก 2. ชุณหชาดก 3. ธรรมเทวปุตตชาดก
4. อุทยชาดก 5. ปานียชาดก 6. ยุธัญชัยชาดก 7. ทสรถชาดก 8. สัง-
วรชาดก 9. สุปปารกชาดก และอรรถกถา.