เมนู

อรรถกถาสังวรมหาราชชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภภิกษุทอดทิ้งความเพียรเสียแล้วรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้น
ว่า ชานนฺโต โน มหาราชา ดังนี้.
เรื่องมีว่า ภิกษุนั้นเป็นกุลบุตรชาวพระนครสาวัตถี ฟังพระธรรม
เทศนาของพระศาสดา บรรพชาได้อุปสมบทแล้ว บำเพ็ญอาจาริยวัตร และ
อุปัชฌายวัตร ท่องพระปาฏิโมกข์ทั้งสองจนคล่อง มีพรรษาครบ 5 เรียน
กรรมฐาน ลาอาจารย์และอุปัชฌาย์ว่า ผมจักอยู่ในป่า ไปถึงบ้านชายแดน
ตำบลหนึ่ง พวกคนต่างเลื่อมใสในอิริยาบถ พากันสร้างบรรณศาลาบำรุงอยู่
ในบ้านนั้น ครั้นเข้าพรรษา ก็บำเพ็ญสืบสร้างพยายามจำเริญกรรมฐานตลอด
ไตรมาส ด้วยความเพียรอันปรารภแล้ว ไม่สามารถให้คุณแม้เพียงโอภาส
บังเกิดได้ ดำริว่า ในบุคคลสี่เหล่า ที่พระศาสดาทรงแสดงแล้ว เราคงเป็น
ประเภทปทปรมะเสียแน่แล้ว เราจะอยู่ป่าทำไม ไปพระเชตวัน คอยดูพระรูป
พระโฉมของพระตถาคตเจ้า สดับธรรมเทศนาอันไพเราะ ยับยั้งอยู่เถอะ.
เธอทอดทิ้งความเพียรออกจากบ้านนั้น ไปถึงพระเชตวันโดยลำดับ ถูกอาจารย์
และอุปัชฌาย์ทั้งภิกษุที่เคยรู้จักมักคุ้น รุมถามถึงเหตุที่บังคับให้มา ก็บอก
เรื่องนั้น ถูกภิกษุเหล่านั้นติเตียนว่า เหตุไรคุณจึงทำอย่างนี้ นำตัวไปสู่สำนัก
พระศาสดา เมื่อตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอพาภิกษุผู้ไม่ปรารถนามากัน
หรือ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้ทอดทิ้งความเพียรมาแล้ว
พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามว่า ที่เขาว่าน่ะจริงหรือ เมื่อกราบทูลว่าจริง
พระเจ้าข้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เหตุไรจึงทอดทิ้งความเพียรเสียล่ะ ที่จริง

ผลอันเลิศในพระศาสนานี้ ที่มีนามว่าอรหัตผล ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เกียจคร้าน
ผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว จึงจะชื่นชมอธิคมธรรมได้ ก็แลในปางก่อน
เธอก็เป็นคนมีความเพียรทนต่อโอวาท ด้วยเหตุนั้นแล แม้เป็นน้องสุดท้อง
แห่งโอรส 100 ของพระเจ้าพาราณสี ตั้งอยู่ในโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย ก็
ถึงเศวตฉัตรได้ ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระโอรสสุดท้องนี้ ได้ทรงยึดเหนี่ยวผูกน้ำใจฝูงชนผู้ถึง
พระนครพาราณสีทั่วหน้า ด้วยสังคหวัตถุนั้น ๆ ได้เป็นที่รักที่เจริญใจของคน
ทั้งปวง. กาลต่อมา พวกอำมาตย์พากันกราบทูลถามพระราชาผู้ประทับนั่ง
เหนือพระแท่นที่สวรรคตว่า ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า ฯ เมื่อ
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทสวรรคตไป พวกข้าพระพุทธเจ้าจักถวายเศวตฉัตรให้
แก่ใคร พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสสั่งว่า พ่อเอ๋ย ลูกของฉันแม้ทั้งหมด เป็น
เจ้าของเศวตฉัตรทั้งนั้น แต่ผู้ใดจับใจพวกเธอ พวกเธอก็ให้เศวตฉัตรแก่ผู้นั้นก็
แล้วกัน ครั้นพระองค์สวรรคต พวกอำมาตย์นั้น จัดการถวายพระเพลิงพระศพ
ของพระองค์เสร็จ ประชุมกันในวันที่ 7 ตกลงกันว่า พระราชารับสั่งไว้ว่า ผู้ใด
จับใจเธอได้ พวกเธอพึงยกเศวตฉัตรให้แก่ผู้นั้น ก็แลพระสังวรกุมารพระองค์นี้
จับใจพวกเราไว้ได้ แล้วพากันยกเศวตฉัตรกาญจนมาลา แด่พระกุมารสังวร
พระองค์นั้น พระเจ้าสังวรมหาราช ดำรงในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ทรง
ครองราชสมบัติโดยธรรม พระกุมาร 99 พระองค์นอกนั้นเล่า ต่างตรัสว่า
ข่าวว่า พระราชบิดาของพวกเราสวรรคตแล้วได้ยินว่า พวกอำมาตย์ยกเศวตฉัตร
ถวายแก่เจ้าสังวรกุมาร เธอเป็นน้องสุดท้อง ยังไม่ถึงเศวตฉัตรของพระบิดานั้น
พวกเราต้องยกเศวตฉัตรถวายพระพี่ใหญ่ทุกองค์มาร่วมกัน ส่งหนังสือถึง
พระเจ้าสังวรมหาราชว่า จงให้ฉัตรแก่พวกเรา หรือไม่ก็รบกัน แล้วพากัน

ล้อมพระนครไว้. พระราชาตรัสบอกเรื่องนั้นแก่พระโพธิสัตว์ แล้วตรัสถามว่า
คราวนี้พวกเราจะทำอย่างไร. กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ไม่
ต้องทำการรบกับพระเจ้าพี่เหล่านั้นดอก พระเจ้าข้า พระองค์ทรงแบ่งพระราช
ทรัพย์ของพระบิดาออกเป็น 99 ส่วน ส่งถวายแด่พระพี่เจ้า 99 พระองค์ ทรง
ส่งสาสน์ไปด้วยว่า เชิญเจ้าพี่ทั้งหลายรับส่วนพระราชทรัพย์ของพระราชบิดา
ของเจ้าพี่นี้เถิด หม่อมฉันไม่ขอรบกับเจ้าพี่ดอก. พระองค์ทรงกระทำอย่างนั้น.
ครั้งนั้นเจ้าพี่องค์ใหญ่ของพระองค์ พระนามว่าอุโบสถกุมาร ตรัส
เรียกพระเจ้าน้องที่เหลือมาตรัสว่า พ่อทั้งหลาย ผู้เป็นพระราชาก็ไม่มีผู้สามารถ
จะย่ำยีได้ อนึ่งเล่า เจ้าน้องของพวกเราองค์นี้ มิได้ตั้งตน แม้แต่จะเป็นศัตรูตอบ
ส่งพระราชสมบัติของบิดาให้พวกเรา ส่งสาส์นมาด้วยว่า ฉันไม่ขอต่อรบกับ
เจ้าพี่ ก็แลพวกเราเล่าจักยกเศวตฉัตรขึ้นในขณะเดียวกันทุกคนไม่ได้ พวกเรา
ให้เศวตฉัตรแก่เธอองค์เดียวก็แล้วกัน เจ้าน้องนี้เท่านั้นจงเป็นพระราชา
มาเถิด เธอทั้งหลาย พวกเราพากันไปพบเธอมอบราชทรัพย์ แล้วพากันไป
สู่ชนบทของพวกเราดังเดิม. ครั้งนั้นพระกุมารแม้ทั้งหมดนั้น ก็ให้เปิดประตู-
เมือง มิได้เป็นศัตรูเลย พากันเข้าสู่พระนคร ฝ่ายพระราชาตรัสสั่งให้พวก
อำมาตย์คุมสักการะ เพื่อพระกุมารเหล่านั้น ทรงส่งสวนทางไป พระกุมาร
ทรงพระดำเนินมาด้วยบริวารเป็นอันมาก ขึ้นสู่พระราชวังแสดงอาการนอบน้อม
แด่พระเจ้าสังวรมหาราช พากันประทับนั่งเหนืออาสนะต่ำ พระเจ้าสังวร
มหาราช ทรงประทับนั่งเหนือสีหาสนะภายได้เศวตฉัตร พระยศใหญ่ พระสิริ
โสภาคอันใหญ่ได้ปรากฏแล้ว สถานที่ที่ทอดพระเนตรแล้ว ๆ ระยิบระยับไป.
พระอุโบสถกุมารทอดพระเนตรเห็นสิริสมบัติของพระเจ้าสังวรมหาราชแล้ว
ทรงพระดำริว่า พระราชบิดาของพวกเรา ทรงทราบความที่สังวรกุมารได้

เป็นพระราชา เมื่อพระองค์ล่วงลับไป จึงประทานชนบทอื่น ๆ แก่พวกเรา
มิได้ประทานแก่สังวรกุมารนี้ เมื่อจะทรงปราศรัยกับพระเจ้าสังวรมหาราชนั้น
ได้ตรัสพระคาถา 3 คาถาว่า
มหาราชาผู้เป็นจอมแห่งชน ทรงทราบถึงพระ-
ศีลาจารวัตรของพระองค์ ทรงยกย่องพระกุมารเหล่านี้
มิได้สำคัญพระองค์ด้วยชนบทอะไรเลย.
เมื่อพระมหาราชาผู้สมมติเทพ ยังทรงพระชนม์
อยู่ หรือทิวงคตแล้วก็ตาม พระประยูรญาติผู้เห็น
ประโยชน์ตนเป็นสำคัญ พากันยอมรับนับถือพระองค์.
ข้าแต่พระเจ้าสังวรราช ด้วยพระศีลาจารวัตร
ข้อไหน พระองค์จึงสถิตอยู่เหนือพระเชษฐภาดาผู้ทรง
ร่วมกำเนิดได้ ด้วยพระศีลาจารวัตรข้อไหน หมู่
พระญาติที่ประชุมกันแล้ว จึงไม่ย่ำยีพระองค์ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชานนฺโต โน แปลว่า ทรงทราบ
แน่นอนอยู่. บทว่า ชนาธิโป ความว่า พระจอมนรชนผู้พระราชบิดาของ
พวกหม่อมฉัน. บทว่า อิเม ได้แก่ ซึ่งพระกุมาร 99 พระองค์เหล่านี้.
แต่ในคัมภีร์พระบาลีทั้งหลาย ท่านเขียนไว้ว่า กุมารเหล่าอื่น. บทว่า ปูเชนฺโต
ความว่า ทรงยกย่องด้วยชนบทนั้น ๆ. บทว่า น ตํ เกนจิ ความว่า แต่
มิได้ทรงสำคัญพระองค์ว่า ควรจะทรงเชิดชู แม้ด้วยชนบทน้อย ๆ เลย ชะรอย
จะทรงทราบถึงพระองค์ว่า ผู้นี้เมื่อเราล่วงลับไป จักได้เป็นพระราชา จึงให้
ประทับอยู่แทบบาทมูลของตน. บทว่า ติฏฺฐนฺเต โน ความว่า ไม่ว่าจะเป็น
เมื่อพระมหาราชผู้สมมติเทพยังทรงพระชนม์อยู่. พระองค์ตรัสถามด้วย บทว่า

นุ แปลว่า มิใช่หรือ. บทว่า อาทู เทเว ความว่า หรือว่า เมื่อพระบิดา
ของพวกเราเสด็จทิวงคต หมู่พระญาติกับชาวนิคมชาวชนบทที่เป็นข้าราชการ
เห็นประโยชน์คือความเจริญของตน ต่างยอมรับนับถือพระองค์ว่า เป็นพระราชา
เถิด ด้วยพระศีลาจารวัตรไรเล่า. บทว่า สญฺชาเต อภิติฏฺฐสิ ความว่า
พระองค์ทรงครอบงำพระญาติผู้มีกำเนิดเสมอกัน คือพระภาดา 99 พระองค์
เสีย ประทับอยู่ได้. บทว่า นาติวตฺตนฺติ ความว่า พระญาติเหล่านั้นพา
กันครอบงำพระองค์มิได้.
พระเจ้าสังวรมหาราช ทรงสดับพระดำรัสนั้น เมื่อทรงแถลงพระคุณ
ของพระองค์ ได้ตรัสคาถา 6 คาถาว่า
ข้าแต่พระราชบุตร หม่อมฉันมิได้ริษยาสมณะ
ทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง หม่อมฉันนอบ
น้อมท่านเหล่านั้นโดยเคารพไหว้เท้าของท่านผู้คงที่.
สมณะเหล่านั้น ยินดีแล้วในธรรมของผู้แสวงหา
คุณ ย่อมพร่ำสอนหม่อมฉันผู้ประกอบในคุณธรรม
ผู้พอใจฟัง ไม่มีความริษยา.
หม่อมฉันได้ฟังคำของสมณะ ผู้แสวงหาคุณอัน
ใหญ่หลวงเหล่านั้นแล้ว มิได้ดูหมิ่นสักน้อยหนึ่งเลย
ใจของหม่อมฉันยินดีแล้วในธรรม.
กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกอง
พลเดินเท้า หม่อมฉันไม่ตัดเบี้ยเลี้ยงและบำเหน็จบำ-
นาญของจตุรงคเสนาเหล่านั้นให้ลดน้อยลง.

อำมาตย์ผู้ใหญ่ และข้าราชการผู้มีปรีชาของฉัน
มีอยู่ ช่วยกันบำรุงพระนครพาราณสีให้มีเนื้อมาก มี
น้ำดี.
อนึ่ง พวกพ่อค้าผู้มั่งคั่งมาแล้วจากรัฐต่าง ๆ
หม่อมฉันช่วยจัดอารักขาให้พ่อค้าเหล่านั้น ขอได้โปรด
ทราบอย่างนี้เถิด เจ้าพี่อุโบสถ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ราชปุตฺต ความว่า ข้าแต่พระราชบุตร
หม่อมฉันมิได้กีดกันใคร ๆ เลยว่า สมบัติอย่างนี้ จงอย่ามีแก่ผู้นี้. บทว่า
ตาทินํ ความว่า หม่อมฉันกราบไหว้บาทยุคลแห่งหมู่สมณะผู้ทรงธรรม ผู้
ประกอบด้วยลักษณะอันคงที่ ได้นามว่าสมณะ เพราะท่านสงบบาปได้แล้ว
ได้นามว่า ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง เพราะท่านแสดงคุณมีศีลขันธ์เป็นต้น
อันใหญ่ ด้วยเบญจางประดิษฐ์ เมื่อจะให้ทาน และเมื่อจะจัดการคุ้มครองป้อง
กันอันชอบธรรมแด่ท่านเหล่านั้น ก็นอบน้อมท่านเหล่านั้นโดยเคารพคือบูชา
อย่างใจรักใคร่ทีเดียว. บทว่า เต มํ ความว่าสมณะเหล่านั้น รู้จักหม่อมฉัน
โดยถ่องแท้ว่า กุมารนี้ขวนขวายในส่วนแห่งธรรม รับฟังด้วยดี มิได้มีความ
ริษยาก็พากันพร่ำสอนหม่อมฉัน ผู้ประกอบด้วยธรรมคุณรับฟังด้วยดี ไม่ริษยา
คือพากันให้โอวาทว่า กระทำข้อนี้ อย่ากระทำข้อนี้. บทว่า เตสาหํ ตัดบทเป็น
เตสํ อหํ. บทว่า หตฺถาโรหา ความว่า พวกพลช้าง คือนักรบที่ขึ้นช้าง
รบ. บทว่า อนีกฏฺฐา ความว่า ตั้งอยู่ในกองทัพช้างเป็นต้น. บทว่า รถิกา
ได้พลรถ (นักรบขี่รถ). บทว่า ปตฺติการกา ได้แก่ พวกพลรบเดินเท้า.
บทว่า นิพฺพิตฺถํ ความว่า สินจ้างรางวัลอันใดที่พวกเหล่านั้นจัดเตรียมไว้
หม่อมฉันมิได้ลดหย่อนสิ้นจ้างรางวัลนั้น คือให้อย่างไม่ต้องลดเลย. บทว่า

มหามตฺตา ความว่า ข้าแต่พี่ชาย หมู่มหาอำมาตย์ ผู้มีปัญญามาก คือ ผู้
ฉลาดในมนต์ทั้งหลาย และผู้บำรุงอันมีความคิดอ่านที่เหลือ ของหม่อมฉันมี
อยู่ หม่อมพี่ไม่ได้อาจารย์ผู้สมบูรณ์ด้วยความคิดเป็นบัณฑิต แต่อาจารย์
ของหม่อมฉันเป็นบัณฑิต ฉลาดในอุบาย ท่านเหล่านั้นเกี่ยวโยงหม่อมฉัน
ไว้ด้วยเศวตฉัตร. บทว่า พาราณสี ความว่า ข้าแต่พี่ จำเดิมแต่กาลที่
ยกฉัตรถวายแก่หม่อมฉันแล้ว ท่านพวกนั้น ต่างรู้ถึงมัจฉมังสาหารที่ควร
เคี้ยวกิน และน้ำดี ๆ ก็ควรดื่ม อันจะมีในพระนครพาราณสีว่า พระราชา
ของพวกเราทรงธรรม ฝนย่อมตกทุก ๆ กึ่งเดือน ข้าวกล้าต่าง ๆ ย่อมสมบูรณ์.
ด้วยอาการอย่างนี้ ชาวพระนครก็พากันอยู่กระทำพระนครพาราณสีให้มีมัจฉมัง-
สาหารและน้ำท่ามากมาย. บทว่า ผีตา ความว่า พวกพ่อค้าผู้ไม่ถูกประทุษ
ร้าย นำช้างแก้ว ม้าแก้ว และแก้วมุกดาเป็นต้นมาทำการค้า พากันมั่งคั่งร่ำ
รวยไปตามกัน. บทว่า เอวํ ชานาหิ ความว่า ข้าแต่พี่อุโปสถ ด้วยเหตุ
เหล่านี้ เพียงเท่านี้ หม่อมฉันถึงจะเป็นน้องสุดท้อง ก็ครอบงำพี่ทั้งหลายของ
หม่อมฉัน ถึงเศวตฉัตรได้ โปรดทรงทราบด้วยประการฉะนี้.
ครั้นพระอุโบสถกุมารทรงสดับพระคุณของพระองค์แล้ว ได้ตรัสพระ
คาถา 2 คาถาว่า
ข้าแต่พระเจ้าสังวรราช ได้ยินว่า พระองค์ทรง
ครอบครองราชสมบัติแห่งหมู่พระญาติโดยธรรม พระ-
องค์เป็นผู้มีพระปรีชาด้วย เป็นบัณฑิตด้วย ทั้งทรงเกื้อ
กูลพระประยูรญาติด้วย.
ศัตรูทั้งหลายย่อมไม่เบียดเบียนพระองค์ ผู้แวด
ล้อมไปด้วยพระประยูรญาติ ทรงพร้อมมูลด้วยรัตนะ
ต่าง ๆ เหมือนจอมอสูรไม่เบียดเบียนพระอินทร์ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน กิร ความว่า ข้าแต่พระสังวร-
มหาราช ได้ยินว่า พระองค์ทรงครอบงำอานุภาพแห่งญาติคือพระเชษฐภาดาทั้ง
หลายของพระองค์ ทั้ง 99 คนเสีย จำเดิมแต่นี้ เชิญพระองค์นั้นแลทรงครอง
ราชสมบัติโดยธรรมเถิด พระองค์เล่า ก็ทรงหลักแหลมทั้งเป็นบัณฑิตและยัง
เกื้อกูลแก่หมู่ญาติ. บทว่า ตํ ตํ ได้แก่ ซึ่งพระองค์ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยคุณ
ต่าง ๆ อย่างนี้. บทว่า ญาติปริพฺยุฬฺหํ ความว่า ผู้อันหม่อมฉันผู้เป็นญาติ
99 คน แวดล้อม. บทว่า นานารตนโมจิตํ ความว่า ทรงพร้อมมูลมั่งคั่ง
ด้วยนานารัตนะ คือทรงสั่งสมรัตนะไว้มากมาย. บทว่า อสุราธิโป ความว่า
เปรียบเหมือนอสุรราชไม่ย่ำยีพระอินทร์ ผู้อันเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์แวดล้อมแล้ว
ฉันใด หมู่มิตรจะไม่ย่ำยีพระองค์ ผู้อันพวกหม่อมฉันคอยป้องกันแวดล้อม
แล้ว ทรงครองราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี มีบริเวณ 12 โยชน์ในแคว้น
กาสีอันมีอาณาเขต 300 โยชน์ ฉันนั้น.
พระเจ้าสังวรมหาราช ทรงประทานยศใหญ่ แด่พระเจ้าพี่ทุกพระองค์.
พระเจ้าพี่เหล่านั้น ประทับอยู่ในสำนักของพระองค์ตลอดกึ่งเดือน กราบทูลว่า
ข้าแต่พระมหาราช พวกหม่อมฉัน จักคอยระวังพวกโจรที่กำเริบขึ้นในชนบท
ทั้งหลาย เชิญพระองค์ทรงเสวยสุขในราชสมบัติเถิด แล้วเสด็จไปสู่ชนบทของ
ตน ๆ. พระราชาทรงดำรงในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ในที่สุดแห่งพระชนมายุ
ได้ไปเพิ่มเทพนครให้เต็ม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสย้ำว่า ดูก่อนภิกษุ
ครั้งก่อน เธอทนต่อโอวาทเช่นนี้ บัดนี้ เหตุไรไม่กระทำความเพียร ทรง
ประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ทรงประชุม
ชาดกว่า สังวรกุมารผู้เป็นพระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุนี้ อุโบสถ
กุมาร
ได้มาเป็นสารีบุตร เจ้าพี่ที่เหลือได้เป็นเถรานุเถระ และบริษัท ได้
มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนอำมาตย์ผู้ถวายโอวาทได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาสังวรมหาราชชาดก

9. สุปปารกชาดก



ว่าด้วยทะเล 6 ประการ



[1588] พวกมนุษย์จมูกแหลมดำผุดคำว่ายอยู่
พวกข้าพเจ้าขอถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.

[1589] เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหา
ทรัพย์ออกจากท่าชื่อภรุกัจฉะ ครั้นเรือแล่นไปผิดทาง
มาถึงทะเลตอนนี้เขาเรียกกันว่า ขุรมาลี.

[1590] ทะเลนี้ ปรากฏเหมือนกองไฟและ
พระอาทิตย์ ข้าพเจ้าขอถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้
ชื่ออะไร.

[1591] เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหา
ทรัพย์ออกจากท่าชื่อภรุกัจฉะ ครั้นเรือเล่นไปผิดทาง
มาถึงทะเลตอนนี้เขาเรียกว่า อัคคิมาลี.

[1592] ทะเลนี้ปรากฏเหมือนนมส้ม และนมสด
พวกข้าพเจ้าขอถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.

[1593] เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหา
ทรัพย์ออกจากท่าชื่อภรุกัจฉะ ครั้นเรือแล่นไปผิดทาง
มาถึงทะเลตอนนี้เขาเรียกกันว่า ทธิมาลี.

[1594] ทะเลนี้ปรากฏเหมือนหญ้าคาและข้าว
กล้า พวกข้าพเจ้าของถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้ชื่อ
อะไร.